ใต้เตียง
1)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความสักประมาณปี 2543 ตอนนั้นฉันอายุได้ 11 ขวบ ช่วงปิดภาคเรียนเลื่อนชั้น ป.6พอดี ตอนนั้น
ครอบครัวฉันได้มีสมาชิกใหม่แต่งเข้ามา และอยู่ในฐานะ แม่เลี้ยง ฉันก็เหมือนเด็กทั่วไปที่ไม่เข้าใจว่า
ทำไมต้องมีแม่อีกคนด้วยในเมื่อแม่จริงๆของฉันก็ยังอยู่ เพียงแค่อยู่คนละบ้านกับพ่อเท่านั้นเอง มีช่วง
หนึ่งพ่อไม่ค่อยได้กลับบ้าน ซึ่งปกติฉันจะติดพ่อมาก เมื่อถึงเวลานอนฉันจะต้องนอนพร้อมกันกับพ่อ
ตลอด ทำให้น้าสาวต้องคอยไล่ตีก้นเป็นประจำเมื่อฉันงอแงไม่ยอมหลับ ชะเง้อคอรอพ่อทุกคืน หลัง
จากแม่เลี้ยงย้ายมาอยู่กับพ่อแล้ว ฉันก็ถูกสั่งห้ามจากเธอว่าไม่ให้เรียกเธอว่า แม่ ซึ่งจริงๆก็ไม่คิดเรียก
อยู่แล้ว พ่อไปเจอเธอตอนขึ้นไปประชุมพบลูกค้าที่จังหวัดเชียงใหม่เพราะแม่เลี้ยงพื้นเพเป็นคนในพื้นที่
ลักษณะคำพูด จะเหมือนคนขี้อ้อน เจ้านู้นเจ้านี่ ทั้งยังขี้เอาใจ จึงไม่แปลกหรอกที่พ่อจะหลงหัวปรัก
หัวปรำแต่งออกหน้าออกตาโดยไม่สนใจว่าฉันจะรู้สึกอย่างไร เริ่มต้นคืนแรกฉันร้องโวยวายจะเข้าไปนอน
กับพ่อด้วย แต่ไม่มีคนสนใจเพราะรู้กันดีอยู่แล้วว่าคงยากสำหรับในคืนแรกของวันเข้าหอ พ่อใช้เหตุผล
ว่าฉันโตแล้ว สมควรจะแยกห้องนอนเป็นสัดส่วนสักที น้าสาวจึงต้องรับหน้าที่พาฉันเข้านอนแทน
ทุกคืนฉันฉันร้องไห้ด้วยความน้อยใจ กว่าจะหลับก็ปาเข้าไปจะสว่างแล้ว ทุกวันจะเห็นพ่อเดินออกมา
จากห้องนอนด้วยความยิ้มแย้มมีความสุข เดินคุยกันกระหนุงกระหนิงกับแม่เลี้ยง จนน้าเริ่มเบ้ปากเริ่ม
หมั่นไส้ กับท่าทางยั่วยวนที่เธอแสดงออกชัดเจน ดูไม่มีความเกรงใจผู้หลักผู้ใหญ่ บ้านฉันเป็นตะกูลคน
จีนอยู่กันเป็นกงสี อาม่า อากง อากู๋ อยู่รวมกันหลายคน แต่พ่อเป็นเสาหลักใหญ่ในบ้าน ดูแลการ
เงินเกือบทั้งหมด ทุกคนเลยพูดอะไรมากไม่ได้ วันที่สองของการอยู่ร่วมชายคา แม่เลี้ยงพูดออดอ้อน
ขอเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ในห้องนอน เพราะอยากได้ของใหม่ ทั้งที่ของในห้องยังคงสภาพดีอยู่ แทนที่พ่อ
จะห้ามกลับเห็นดีเห็นงาม ว่าจริงๆไม้มันก็เก่าแล้วซื้อใหม่ก็ดี พลันตกบ่ายแก่ๆของวันนั้น มีพนักงาน
ช่วยกันขนทั้งตู้ เตียง โต๊ะ เซ็ทใหม่ วางเรียงรายเต็มบ้าน โดยมีแม่เลี้ยงคอยชี้นิ้วสั่งการ ให้ขนย้าย
เข้ามาในห้องนอน ดูแล้ววุ่นวายไปหมด ด้วยความอยากรู้ฉันกับน้าจึงเดินไปพิงประตูหน้าห้องมอง ตู้
เตียง เซ็ทใหม่ที่สวยหรูราวกับอยู่ในโรงแรมห้าดาว แต่พอแม่เลี้ยงหันมาเห็นพวกเราก็ถูกไล่ออกมา
บอกว่ายืนเกะกะรกหูรกตา น้าได้ยินถึงกับกัดฟันแน่นพาฉันเดินขึ้นห้องทันที พอประตูห้องปิดปั๊ป น้าก็
รีบเสี้ยมสอนวิธีเด็ดๆให้ฉันทำ หากอยากได้พ่อคืนกลับมา แล้วแผนการของเราก็เริ่มขึ้น หัวค่ำพ่อก็
กลับจากทำงานกำลังจอดรถ ฉันรีบวิ่งเอาน้ำไปให้หวังจะเอาใจ แต่ด้วยความซุ่มซ่ามทะเล่อทะล่าเดิน
สะดุดขาตัวเอง ล้มหน้าคว่ำหัวเข่าไถลกับพื้นแผลเหวอะหวะเลือดออกไม่หยุด น้าเห็นถึงกับกุมขมับ
ส่ายหน้าที่ไม่เป็นไปตามแผน พ่อเอารถออกอีกครั้งเพื่อพาไปหาหมอ หลังจากกลับมาฉันเดินก้มหน้า
งุดเข้านอน แต่ได้ยินเสียงพ่อพูดไล่หลังว่า วันนี้ถ้าอยากจะนอนกับพ่อก็ต้องยิ้มก่อนถึงจะให้นอนด้วย
ฉันกับน้าเงยหน้ามองกันด้วยความดีใจ ไม่คิดว่าแผนจะกลับตาลปัตรแบบนี้ ฉันหันหลังวิ่งไปกอดพ่อฉีก
ยิ้มกว้างหายเจ็บชั่วขณะ พ่อหัวเราะลั่นบ้าน พ้นประตูมาภาพในห้องที่ฉันเคยนอนกับพ่อตอนนี้มันได้
เปลี่ยนเป็นอีกห้องที่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ราคาแพง กลิ่นอายความรักในวันเก่าๆมันได้ถูกกลบไปหมด
สิ้น ยิ่งเห็นบนเตียงนอนที่เวลานี้แม่เลี้ยงสวมชุดนอนขาวบาง เผยสรีระภายในตั้งแต่หัวจรดเท้า
ฉันพยายามมองไปที่อื่นเพราะรู้สึกอายแทนที่เธอโป๊ แต่แทนที่แม่เลี้ยงจะรีบหาเสื้อใส่คลุมมิดชิด
ทันทีที่เห็นฉัน เธอกลับเปิดผ้าห่มออกนั่งอ้าซ่าทำไม่สะทกสะท้าน สายตาเหลือบมองฉันแล้วหันไป
ถามดักคอพ่อ ว่าฉันคงไม่ได้มานอนด้วยกันใช่มั้ย เห็นพ่ออ้ำอึ้งไม่พูดอะไร เธอก็พูดกระแทกเสียง
บอกว่าถ้าจะนอนก็เอาฟูกปูนอนข้างล่าง บนเตียงมันเบียด ฉันพยักหน้าบอกพ่อเป็นนัยๆว่าไม่เป็นไร
หนูนอนได้ ระหว่างจัดแจงปูฟูกที่นอนอยู่นั้น ก็สังเหตุเห็นผ้าปูที่นอนผืนใหม่สีแดงมันช่างดูน่ากลัว
พิลึก ฉันคิดในใจ หลังจากจัดฟูกเสร็จสรรพก็ล้มตัวลงนอน แอร์ที่เย็นฉ่ำในห้องมันทำให้ฉันเคลิ้ม
ผล็อยหลับตอนไหนไม่รู้ แต่ตื่นขึ้นมาอีกทีก็เพราะว่าได้ยินเสียงคนหายใจแรงๆ เตียงก็สั่นเป็นจังหวะ
เหมือนแผ่นดินไหว ฉันตกใจกำลังอ้าปากเรียกพ่อ พลันสายตาเห็นแม่เลี้ยงนั่งทำอะไรไม่รู้อยู่บนตัวพ่อ
โยกไปโยกมาเหมือนกำลังเล่นอะไรสักอย่าง แต่จังหวะที่เธอโยกมันเหมือนว่าไม่ได้มีแต่แม่เลี้ยงคนเดียว
ที่นั่งอยู่ ฉันเห็นใครไม่รู้อีกคนนั่งซ้อนเกาะไหล่แม่เลี้ยงด้วย ฉันพยายามจ้อง พอสายตาเริ่มชินกับ
ความมืดฉันก็เริ่มเห็นภาพชัดเป็นลำดับ ผู้หญิงที่นั่งซ้อนข้างหลังแม่เลี้ยงดูเป็นเงาดำใหญ่ๆ ผมยาวปิด
หน้าปิดตา ฉันสงสัยว่านั่นใคร ก็ตัดสินใจลุกตัวขึ้นเพื่อหันไปมองให้ชัดๆ จู่ๆเงาดำนั้นก็หันควับมอง
มาทางฉัน เท่านั้นแหละหัวใจเกือบทำงานไปชั่วขณะ เพราะว่าดวงตาที่หันมามันมีแต่ตาขาวไม่มีตาดำ
มองไม่เห็นเลยว่าจมูกและปากอยู่ตรงไหน ฉันรีบหลับตาปี๋มุดตัวอยู่ใต้ผ่าห่ม รู้สึกกลัวอย่างที่ไม่เคย
เป็น มือไม้แข็งทื่อ ขาทั้งสองข้างชาไปหมด ตัวก็สั่นทั้งที่ไม่หนาว ในใจภาวนาให้ถึงพรุ่งนี้เช้าเร็วๆ
ไม่อยากนอนห้องนี้แล้ว ผ่านไปนานพอสมควร เตียงที่สั่นมาตลอดก็กลับมานิ่งสงบ เสียงหายใจแรงถี่ๆ
ก็เงียบไปด้วยเหมือนกัน ฉันค่อยๆลืมตาพยามยามคิดว่า สิ่งที่เห็นเมื่อกี้อาจจะเป็นความฝัน เพื่อความ
แน่ใจจึงเอามือค่อยๆเลื่อนผ้าห่มเปิดออก กวาดตามองไปรอบๆทุกอย่างก็เหมือนอยู่ในสภาพปกติไม่มี
อะไร เมื่อแน่ใจแล้วว่ามันคือความฝันฉันจึงหายใจโล่งอกแล้วหันหลังนอนต่อ กำลังจะง่วงได้ที่ ก็รู้สึก
ว่าเหมือนมีใครมาสะกิดหลังเบาๆ ร่างกายที่เพลียจากการนอนไม่เต็มอิ่มมาหลายคืนเริ่มไม่สนใจว่าใครจะ
ทำอะไร สักพักมือนั้นก็สะกิดอีกเป็นครั้งที่สอง ฉันเริ่มหงุดหงิดมากขึ้นแต่มานึกออกว่าฉันนอนชิดขอบ
เตียงไม่เหลือช่องว่างที่จะมีใครมานอนได้ ไม่ทันหมดความคิดฉันก็โดนกระตุกเสื้ออีกอย่างแรง จน
กระดุมเม็ดบนขึ้นมาอยู่ระดับคอหอยพอดี ฉันค่อยๆกลั้นใจพลิกตัวไป แต่ภาพที่อยู่เบื้องหน้ามันช่างสะ
พรึงกลัวจนยากจะหาคำอธิบาย เงาดำมืดมีดวงตาขาวโพลน นอนตะแคงหันหน้าชนกันกับฉัน
กลิ่นคาวเลือดลอยฟุ้งขึ้นจมูกทันที และยิ่งหนักไปกว่านั้นคือมันเอื้อมมือมาจับฟูกที่ฉันนอนอยู่
ลากเข้าใต้เตียงทีเดียวอย่างแรง จนหัวชนเข้ากับขอบใต้เตียงดัง โป๊ก!! สะเทือนถึงพ่อและแม่
เลี้ยงที่นอนอยู่ พอลืมตาเห็นพ่อนั่งอยู่ข้างๆฉันก็ร้องไห้โฮ โผกอดพ่ออย่างเร็ว เสียงร้องไห้ดังไปถึง
ชั้นสอง ทุกคนวิ่งลงบันไดปรี่มาดูเป็นการใหญ่ พ่อเข้าใจว่า ฉันคงนอนดิ้นหัวเลยไปกระแทกกับขอบ
เตียง ความสูงของฟูกและตัวฉันถ้าหันหน้าเข้าเตียง ก็จะสามารถมองลอดเห็นช่องใต้เตียงประมาณคืบ
มือหนึ่ง ถ้าบังเอิญนอนพลิกตัวเข้าหาเตียง ก็เป็นไปได้ว่าหัวอาจโขกชนเข้ากับขอบเตียง คืนนั้นฉัน
ร้องไห้วิ่งตามน้าสาวขอไปนอนด้วย จากนั้นก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย ตื่นมาอีกทีก็ตอนไข้ลดอยู่บนเตียงที่
โรงพยาบาล น้าบอกว่าไข้ฉันขึ้นสูงมาก ตัวร้อนเป็นไฟนอนไม่ได้สติ พ่อเดินมาบอกฉันว่าพรุ่งนี้จะ
มารับกลับบ้าน คืนนี้น้าจะอยู่เฝ้า แล้วก็จับมือของแม่เลี้ยงเดินออกจากห้องไป ฉันยังจำแววตาแบบ
สมน้ำหน้าของแม่เลี้ยงที่หันมามองแว๊บนึงได้ดี จากวันนั้นฉันไม่คิดย่างกรายเข้าห้องพ่ออีกเลย พอ
หายไข้กลับบ้านได้ฉันก็เล่าให้น้าสาวฟัง จากเหตุการณ์คืนนั้นผ่านมาประมาณเกือบเดือน วันหนึ่งก็เกิด
เสียงดังจากการมีปากเสียงของแม่เลี้ยงกับพ่อ สักพักก็ได้ยินเสียง อากง อาม่า ร่วมแจมด้วย แต่
ฟังไม่ถนัดนัก จนกระทั่งมีเสียงด่าไล่หลังอยู่หน้าบ้าน ฉันแอบดูจากหน้าต่าง ก็เห็นแม่เลี้ยงถือกระเป๋า
ใบใหญ่เดินกระฟัดกระเฟียดไปขึ้นรถแท็กซี่ บรรยากาศบ้านก็เริ่มเป็นปกติอีกครั้ง ส่วนห้องพ่อก็ถูกทุบ
ทำเป็นห้องพระแทน ฉันสงสัยว่าแม่เลี้ยงไปไหน จึงเดินไปถามน้า คำตอบที่ได้คืออีกสามปีแล้วจะเล่า
ให้ฟัง ตอนนี้รู้ไปฉันก็ไม่เข้าใจหรอก จนฉันอายุได้ 14 ปี ช่วงนั้นเพิ่งขึ้น ม.3 พอดี ตามสัญญา
น้าจึงเล่าให้ฟังเพราะเห็นว่าฉันโตพอจะเข้าใจแล้ว เธอว่าในตอนนั้น ฉันเหมือนคนเพ้อไข้พูดเป็นตุเป็น
ตะว่าเจอผี แต่น้าแกไม่เชื่อหรอก คิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระ จนแกมาเจอกับตัวเอง ขณะถูพื้น
ทำความสะอาด ก็ ได้ยินเสียงคนเดินไปเดินมาอยู่ในห้อง ทีแรกคิดว่าเป็นเสียงแม่เลี้ยงเดิน
เลยไม่สนใจ ก็ถูพื้นต่อ ทีนี้เสียงมันดังขึ้นเรื่อยๆ มัน เหมือนคนกำลังวิ่งกระแทกเท้ารอบห้อง
และจู่ๆเสียงมันก็เงียบ พอน้าจะเอาหูไปเงี่ยฟัง เสียงมันก็ดังขึ้นอีกแต่คราวนี้เป็นเสียงคน
กระโดดใส่ประตูเต็มแรง น้าตกใจผงะออก แล้วสักพักได้ยินเสียงผู้หญิงพูดว่า ถ้าอยากรู้ ก็
เข้ามาดูสิ เสียงมันแหบพร่า ฟังดูน่าขนลุกมาก น้ากลัวจนเป็นลมไป รู้สึกตัวอีกทีก็เพราะเสียงอา
กงเรียกนี่ล่ะ คืออากงจะเดินไปอาบน้ำก็เกิดสะดุดข้อเท้าของน้าที่โผล่ออกมาจากห้องพ่อ เพราะประตู
มันเปิดแง้มไว้นิดหนึ่ง เลยถามน้าว่าเข้าไปทำไม ห้องนั้นมันเป็นห้องส่วนตัวของพี่สะใภ้ ไม่ควรที่จะ
แอบเข้าไปสอดรู้สอดเห็น แถมยังไปเป็นลมในห้องเขาอีก น้าถึงกับช็อคไปหลายนาที เพราะไม่รู้ว่าไป
หมดสติในห้องนั้นได้อย่างไร พออาม่ากลับมาน้าก็รีบวิ่งไปเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง อาม่าอยากจะ
พิสูจน์ก็เลยวางแผนใช้ให้พ่อไปเก็บเงินห้องเช่าที่พัทยาให้หน่อย เพราะคนค้างค่าเช่าอยู่หลายเดือนแล้ว
พอแม่เลี้ยงได้ยินก็ขอตามไปเที่ยวด้วยจึงเข้าแผนที่วางไว้ จากนั้นก็เชิญอาจารย์ที่เก่งคุณไสยทางเขมร
เข้ามาตรวจห้อง อาจารย์ก้าวเข้าห้องมาก้าวแรก ก็หันมาบอกทุกคนว่า ห้องนี้มนต์ดำแรงมาก แก
บอกว่าถ้าไม่เชื่อก็ให้มาดูอะไรนี่ อาจารย์เขมรเอาผ้าดำปิดแสงที่หน้าต่างทุกบานแล้วหยิบไฟฉายใน
ย่ามที่มีแสงสีม่วง ฉายส่องลงบนเตียง ทุกคนก็เข้าไปดู จนเห็นอะไรอย่างหนึ่งเรืองแสงออกมาเป็น
หย่อมใหญ่ๆทั่วผ้า แกอธิบายว่า เนี่ยมันเป็นเลือดผีตายโหง ไฟฉายอันนี้แกเพิ่งได้มาจากลูกศิษย์ที่เป็น
ตำรวจ ไม่ต้องเสียเวลานั่งสมาธิดูว่ามันเป็นมนต์ดำแบบไหน แค่ส่องก็เห็นแล้ว ว่าผ้าผืนนี้เต็มไปด้วย
รอยเลือด ทีนี้เราก็รู้ว่าวิญญาณที่ถูกสะกดน่ะเป็นวิญญาณตายโหง เพราะถ้าเป็นศพที่ตายทั่วไปจะไม่มี
เลือดติดขนาดนี้ โดยปกติใช้แค่ศพทั่วไปก็ได้แล้ว นี่ถึงขั้นใช้ผีตายโหงทำพิธีเพื่อให้ของแรงขึ้น
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำ แสดงว่าคนทำคงมีอาคมแรงกล้าทีเดียว ลูกชายอาม่าตกอยู่ในอันตรายจริงๆ
พูดจบแกก็เปิดไฟเอาผ้าดำออกแล้วพลิกใต้เตียงแต่ก็พบความว่างเปล่า แกยกประนมมือท่องคาถางึมงำ
พร้อมกดมีดหมอแตะไปทั่ว แล้วแกก็หยุดปลายมีดที่หัวเตียง จากนั้นก็เอามีดเจาะลงไปเป็นรูพอให้มือ
สอดได้ สุดท้ายก็คว้านเจอตุ๊กตาดินสีดำตัวเขื่อง มีอักขระอยู่รอบตัวเต็มไปหมด อาม่าเลยถาม
อาจารย์ว่าแล้วจะทำอย่างไรต่อไป แกก็แนะนำให้เอาผ้าปูเตียงให้พระทำพิธีสวดส่งวิญญาณ เพราะผ้านี้
เคยผ่านการห่อศพผีตายโหงมาก่อนแล้วค่อยทำพิธีปลุกมนต์ดำ และศพตายโหงต้องเป็นผู้หญิง
เท่านั้นตายไม่เกิน 24 ชั่วโมง ขั้นตอนต่อไปคือเอาผ้าไปย้อมให้เป็นสีแดงทับคราบเลือด ก่อนเอามา
ปูให้ตัวเองนอนทับแล้วค่อยสวดคาถาสะกดวิญญาณให้เชื่อฟังคำสั่ง ทุกครั้งที่ลูกชายอาม่านอนบนเตียง
ก็จะรู้สึกว่ายิ่งรักผู้หญิงคนนี้มากขึ้น มากขึ้น จนขาดไม่ได้ เพราะได้ถูกมนต์สะกดครอบงำทีละนิด
ส่วนตุ๊กตาดินนั้น มีไว้เพื่อให้ลูกชายอาม่าฟังแต่ผู้หญิงคนนี้คนเดียว ไม่ว่าใครจะเตือนอย่างไรเขาก็จะ
ไม่ได้ยินเสียง แม้กระทั่งเสียงพระสวดก็ตาม ผู้หญิงเขาคงวางแผนตั้งแต่แรกแล้วล่ะ ถึงสั่ง
เฟอร์นิเจอร์ใหม่เพราะต้องการเตียงนอนที่ยังไม่เคยผ่านการใช้มาก่อน ส่วนชิ้นอื่นๆก็คงเป็นผลพลอยได้
มากกว่า ถ้าเป็นเตียงที่มีคนเคยนอนแล้ว มนต์ดำก็จะได้ผลแค่เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น หลังจากที่อาจา
รย์แก้ไขคลายมนต์ดำเรียบร้อยแล้ว
ตั้งแต่นั้นพ่อก็มีอาการอ่อนเพลียง่วงนอนตลอดเวลา อาการเป็นอยู่อาทิตย์กว่าๆก็หายไป สุดท้าย
พ่อก็มีสติกลับมาเหมือนเดิม และเห็นความเป็นจริงกับพฤติกรรมแย่ๆของเธอ จนเกิดปากเสียงกันบ่อย
ครั้ง สุดท้ายทนไม่ไหวพ่อก็ไล่แม่เลี้ยงออกจากบ้าน ตอนหลังพ่อจึงมารู้ความจริงทุกอย่าง ขนาดว่า
จะนั่งรถไปเชียงใหม่เพื่อเอาเรื่องแม่เลี้ยง แต่ทุกคนลงความเห็นว่าปล่อยให้เวรกรรมมันตามสนองดีกว่า
แค่ครอบครัวเราหลุดพ้นจากมันมาได้ก็นับว่าดีแล้ว ข่าวล่าสุดที่ได้ยินมาคือ เธอกลายเป็นคนสติไม่ดี
หวาดกลัวผู้คนในหมู่บ้านไปหมด คอยหลบซ่อนตัวอยู่แต่ในบ้านร้างหลังหนึ่ง ถูกพบอีกทีก็กลายเป็นศพ
นอนแห้ง ผอมจนเห็นกระดูกหมดลมหายใจไปแล้ว นี่แหละกรรม ใครทำอะไรไว้มันย่อมกลับมาหา
เจ้าของเสมอ ไม่ช้าก็เร็ว
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ