ผีแม่ลูกอ่อน…สายใยรักข้ามภพ

-

เขียนโดย กาเลนัง

วันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2565 เวลา 14.53 น.

  1 ตอน
  0 วิจารณ์
  1,308 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2565 14.55 น. โดย เจ้าของเรื่องเล่า

แชร์เรื่องเล่า Share Share Share

 

1) ผีแม่ลูกอ่อน…สายใยรักข้ามภพ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

… สายสัมพันธ์แม่ลูกผูกพันกันลึกซึ้ง ความห่วงหาอาทรที่ซาบซึ้งสะเทือนใจ แม้นจะอยู่ต่างภพต่างภูมิ แต่สายใยแห่งรักไม่เคยลบเลือนจางหายไปเลย …

นี่เป็นเรื่องเหลือเชื่อเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2543 ซึ่งผู้เขียนได้ประสบมาด้วยตนเองและยากจะลบจากความทรงจำ

สงกรานต์ปีนั้นผู้เขียนได้ไปเยี่ยมลูกค้ารายหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของปั๊มน้ำมัน วันนั้นเป็นวันหยุดช่วงเทศกาลสงกรานต์ มีรถราเข้ามาเติมน้ำมันที่ปั๊มเยอะมาก ผู้เขียนจึงต้องนั่งรอให้ลูกค้าว่างพอจะมาคุยงานกัน ระหว่างที่นั่งรออยู่นั้นสายตาเหลือบไปเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่ง อายุอานามราว 3-4 ขวบ กำลังเดินเตาะแตะอยู่ที่ลานซีเมนต์โดยไม่มีผู้ใหญ่อยู่ด้วย ในขณะที่รถบัสคันใหญ่ๆวิ่งกันอยู่ขวักไขว่ น่าหวั่นเกรงว่าจะเกิดอันตราย ผู้เขียนเลยเดินไปอุ้มเด็กคนนั้นมาวางบนเก้าอี้อาร์มแชร์แบบมีล้อ เพื่อรอให้พ่อแม่เด็กมารับตัวไปทีหลัง แรกๆเด็กก็งอแงไม่ยินยอม แต่พอผู้เขียนชวนคุยเล่นและเข็นเก้าอี้ไปมาก็โอเค มารู้เอาทีหลังว่า เด็กคนนี้เป็นลูกชายคนเล็กของลูกค้าที่เป็นเจ้าของปั๊ม ที่สำคัญคือ “เขาเป็นคนต้นเรื่อง” ของเรื่องแปลกสุดพิศวงที่จะเล่าให้ฟังต่อไป

“คุณทำได้ยังไง ? น่าแปลกนะ ปรกติแล้วนอกจากชั้นกับพี่เลี้ยงแล้ว เค้าจะไม่ยอมให้ใครอุ้มหรือเข้าใกล้เลย น่าแปลกใจจริง”

ประโยคแรกที่ลูกค้าซึ่งเป็นคุณแม่ของเด็กอุทานออกมา หลังจากที่เห็นลูกชายคนเล็กกำลังเล่นสนุกและหัวร่อชอบใจอยู่กับผู้เขียน

“เห็นแกเดินอยู่คนเดียวบนลานข้างนอก เกรงว่าจะเกิดอุบัติเหตุเพราะตัวแกเล็กคนขับอาจมองไม่เห็น เลยไปอุ้มมานั่งรอที่นี่ ต้องขอโทษด้วยครับ ผมไม่ทราบว่าเป็นลูกของคุณ”
“ไม่ค่ะ ต้องขอบคุณคุณมากกว่า ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นต้องแย่แน่ๆเลยค่ะ”

หลังจากนั้นเราก็คุยกันเรื่องงานอยู่ครู่ใหญ่ แต่จู่ๆลูกค้าของผู้เขียนก็หยุดพูดและสายตาเธอจ้องตรงมาที่หน้าของผู้เขียน สีหน้าแสดงอาการครุ่นคิดและลังเลใจอยู่หลายอึดใจ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่มั่นใจ

“ไม่ทราบว่าคุณคิดเห็นยังไงกับเรื่องแปลกๆเหนือธรรมชาติ”
“ผมไม่มีความเห็นอะไรเป็นพิเศษนะ ทำนองไม่เชื่ออย่าลบลู่ครับ”
“ชั้นไม่แน่ใจจริงๆ ว่าจะเล่าให้คุณฟังดีมั้ย แต่ถ้าไม่พูดออกมาซะบ้าง ชั้นก็ใกล้จะเป็นบ้าแล้ว กังวลอยู่แต่ว่าถ้าเล่าไปแล้วคุณจะมองว่าชั้นเป็นคนยังไง”
“คงไม่มั้งครับ คุณเป็นลูกค้าผมมาหลายปีแล้ว ผมคงไม่ทำอะไรอย่างนั้น ถ้าการระบายออกมาแล้วมันจะทำให้คุณผ่อนคลายลงได้ ผมก็ยินดีนะครับ”

หลังจากฟังผู้เขียนพูดอย่างนั้น ท่าทีของเธอก็ผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด แล้วเธอก็เริ่มเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น ซึ่งยากจะเชื่อแต่ก็ได้เกิดขึ้นจริงกับลูกชายคนเล็กและครอบครัวของเธอ

เธอเล่าให้ฟังว่า ตั้งแต่เธอตั้งท้องลูกชายคนนี้ เธอก็เริ่มฝันแปลกๆซ้ำๆอยู่ทุกคืน ฝันเป็นเรื่องราวสรุปความได้ว่า มีผู้หญิงคนหนึ่งมาขอทวงลูกชายคืนจากเธอ ในขณะที่ทวงคืนนั้นในอ้อมอกของนางยังโอบอุ้มเด็กผู้หญิงอีกคนอยู่ด้วย จากคำพูดมากมายของผู้หญิงคนนั้นเธอจับความได้ว่าเด็กในท้องของเธอเคยเป็นลูกชายของนางในอดีตชาติ เพียงแต่ถึงวาระที่จะต้องกำเนิดใหม่จึงมาปฏิสนธิในท้องของเธอ ตัวผู้หญิงคนนั้นให้เหตุผลที่มาทวงคืนว่า นางไม่มั่นใจว่าลูกชายที่มาเกิดใหม่จะได้รับการดูแลที่ดีจากเธอเหมือนที่เคยอยู่กับนาง รวมถึงนางตัดใจไม่ได้ที่จะต้องแยกจากลูกชายที่จะไปอยู่ยังภพภูมิใหม่ ดังนั้น นางจึงมาขอลูกชายคืนจากเธอ และการทวงคืนนั้นเกิดขึ้นทุกครั้งยามเธอหลับตานอน

เธอบอกกับผู้เขียนว่านี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เธอแทบบ้า ไหนจะพักผ่อนไม่เพียงพอ ไหนจะห่วงลูกน้อยในครรภ์ ทำให้เธอเครียดมากจนยากจะทน

จากนั้นเธอยังได้เล่าเพิ่มเติมอีกว่า หลังจากคลอดออกมาเป็นเด็กผู้ชายและพักรักษาแผลผ่าตัดหลังคลอดอยู่ในห้องพิเศษที่โรงพยาบาลใหญ่แห่งหนึ่ง มีสามีที่เห่อลูกชายและคุณแม่ที่เห่อหลานอยู่เป็นเพื่อน รวมถึงมีญาติหลายคนมาเยี่ยมอาการและทารกเกิดใหม่ ทั้งที่เป็นเวลากลางวัน เลยเที่ยงไปเล็กน้อย มีเรื่องเหลือเชื่อปรากฏแก่สายตาทุกคนที่อยู่ในห้องนั้น ผู้หญิงคนนั้นปรากฏร่างให้เห็นขึ้นกลางห้องและทวงลูกชายของนางคืนจากนั้นก็เลือนหายไป สามีที่ไม่เคยเชื่อเรื่องเหลวไหลประเภทนี้ ต้องไปซื้อหาเครื่องเซ่นไหว้พร้อมกับติดต่อซินแสมาทำพิธีกรรมในห้องนั้นทันทีก่อนจะสิ้นวัน ทุกคนอยู่ในความรู้สึกหวาดกลัวกับเรื่องที่เกิดขึ้น

“นี่ก็หกปีแล้วนะคะ ที่ชั้นทุกข์ใจมากกับเรื่องนี้”
“เหรอ อย่างนั้นหลานชายก็อายุ 6 ขวบแล้วซิ ผมยังเข้าใจว่า 3-4 ขวบเอง”
“หกขวบแล้วค่ะ แต่ร่างกายไม่มีพัฒนาการเท่าไหร่เลย ทำให้ชั้นกลุ้มใจอยู่จนทุกวันนี้”
“แล้วยังฝันประหลาดอยู่มั้ยครับ”
“ไม่เลยค่ะ เค้าหายไปเลย แต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ทุกอย่างดูแย่กว่าเดิม”

แล้วเธอก็เล่าต่ออีกว่า ตลอดหกปีมานี้ลูกชายเธอเป็นเด็กปากหนัก พูดไม่ได้เหมือนเป็นใบ้ต้องใช้มือในการสื่อสาร ร่างกายไม่มีพัฒนาการเท่าที่ควรจะเป็นเหมือนเด็กทั่วไปในแต่ละช่วงอายุ จนเธอแทบจะปักใจแล้วว่าลูกชายเธอผิดปรกติบกพร่องแต่กำเนิด แต่เมือพาลูกชายไปตรวจอาการกับแพทย์ หมอก็ลงความเห็นว่าทุกอย่างปรกติเพียงแต่เด็กไม่ยอมพูด แนะนำให้หมั่นชวนเด็กพูดคุยให้บ่อยขึ้น ซึ่งเธอก็ทำตามคำแนะนำของแพทย์แต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นจนแทบจะถอดใจแล้ว จนมีอยู่วันหนึ่งที่เธอเดินไปใกล้กับบริเวณที่ลูกชายเธอนั่งเดินอยู่คนเดียวโดยที่เด็กไม่รู้ว่าแม่เดินเข้ามา เธอแทบช็อคไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ลูกชายเธอพูดได้ และกำลังพูดคุยกับใครคนหนึ่งที่เธอมองไม่เห็น ไม่ใช่การพูดกับตัวเองในโลกส่วนตัวเหมือนที่เด็กทั่วไปทำยามที่มีจินตนาการ พูดได้ชัดพูดได้คล่องเหมือนเด็กปรกติ เธอบอกกับผู้เขียนว่า เธอเริ่มกลัวและตั้งคำถามกับตัวเองว่ามันเกิดอะไรขึ้น ฝันร้ายนั้นยังไม่หายไปใช่มั้ย มันกลับมาในรูปแบบใหม่ แล้วเธอจะรับมือกับมันอย่างไร เธอกลัวจริงๆ

“คุณได้เล่าเรื่องนี้ให้เฮียเค้าฟังรึเปล่าครับ”
“ไม่ได้เล่าค่ะ ยังไม่กล้าเล่า”
“ทำไมล่ะครับ เฮียเค้าน่าจะได้รับรู้นะ อาจจะหาทางแก้ไขได้”
“ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นยังไงค่ะ ดูเฮียเค้าเครียดๆอยู่หลายเรื่อง”
“แล้วคุณคิดจะทำยังไงกับเรื่องนี้ครับ ขอโทษที่ก้าวล่วงนะครับ”
“ไม่ค่ะ ที่เล่าให้คุณฟังเพราะหวังว่าจะมีคำแนะนำดีๆจากคุณ เหมือนกับหลายๆเรื่องที่คุณให้คำแนะนำแก่เราตลอดหลายปีที่ผ่านมาค่ะ”
“ขอบคุณครับที่ให้เกียรติ แล้วต้องการคำแนะนำแบบไหนครับ”
“ทางเราควรทำอย่างไรกับผู้หญิงคนนั้นดีคะ”
“อย่างแรกนะครับ คุณต้องไม่ทำอะไรที่เป็นการไม่ดีต่อวิญญาณดวงนั้น ไม่ว่าจะเชิญคนทรงเจ้าเข้าผี หรือนิมนต์พระมาทำพิธีปัดรังควาญขับไล่สิ่งชั่วร้าย”
“ทำไมคะ”
“มีหลายเหตุผลครับ แต่โดยหลักแล้วต้องคำนึงถึงตัวหลานชายให้มากๆครับ”
“ทำไมคะ”
“เค้าเป็นวิญญาณนะครับไม่ใช่คน คุณจะติดต่อพูดคุยหรือเจรจาต่อรองกับเค้าก็ไม่ได้ ไม่รวมถึงการที่คุณมองไม่เห็นเค้าคุณจึงป้องกันเค้าไม่ได้ หรือห้ามเค้าไม่ให้ทำอะไรลูกชายคุณหรือคนในครอบครัวคุณก็ไม่ได้”
“แล้วในความคิดของคุณ ทางเราต้องทำยังไงถึงจะดีคะ”
“ทำดีกับเค้าครับ”
“ทำดี ยังไงคะ แล้วทำไมต้องทำอย่างนั้นล่ะ”
“อย่าลืมนะครับ เค้าเป็นวิญญาณ แล้วเค้าก็บอกเองว่าลูกชายเค้าถึงวาระต้องกำเนิดใหม่ แล้ววิญาณดวงนั้นล่ะไม่มีวาระของตัวเองรึ ลองคิดดูว่าถ้าวาระนั้นถูกกระชั้นเข้ามาให้เร็วขึ้นกว่าเดิม ปัญหาจะจบมั้ย แล้วระหว่างนั้นก่อนวาระจะมาถึง ท่าทีของเค้าก็อาจจะประนีประนอมมากขึ้นก็ได้”
“อืมม์ ก็น่าคิดนะคะ แล้วทางเราต้องทำยังไงคะ”
“คติความเชื่อในสังคมไทย เราเชื่อว่าการทำสังฆทานเป็นทางเชื่อมระหว่างเรากับโลกวิญญาณ เราสามารถส่งพัสดุไปรษณีย์ผ่านพระสงฆ์ไปยังโลกวิญญาณด้วยการถวายสังฆทานครับ คำแนะนำของผมคือพรุ่งนี้คุณไปถวายสังฆทานอุทิศบุญกุศลให้แม่ลูกคู่นั้น และหลังจากนั้นก็ให้ทำอย่างสม่ำเสมอทุกวันพระนะ ในชุดสังฆทานอย่าลืมใส่ตุ๊กตาและเสื้อผ้าของใช้สำหรับเด็กผู้หญิงไปด้วยครับ ที่สำคัญให้พาลูกชายไปด้วยนะครับ ให้เค้าได้มีโอกาสอุทิศบุญกุศลให้กับแม่อีกคนด้วย”
“เท่านี้ก็พอแล้วหรือคะ”
“มีรายละเอียดอีกนิดนึงครับแต่สำคัญมากๆเลย”
“อะไรคะ ดูเหมือนจะซีเรียสมาก”
“ตอนกรวดน้ำแผ่อุทิศบุญกุศล ให้ตั้งอธิษฐานจิตบอกกล่าวเค้าไปว่า คุณไม่ได้แย่งลูกชายไปจากเค้า แต่จะเป็นแม่อีกคนที่จะช่วยเลี้ยงดูลูกชายของเค้าในภพนี้ และจะดูแลลูกชายของเค้าให้ดีเสมอหรือดีกว่าที่เค้าทำครับ”
“ได้ค่ะ ชั้นจะทำตามคำแนะนำค่ะ พรุ่งนี้เลย ขอบคุณนะคะ”
“ด้วยความยินดีครับ”

หลังการสนทนาสิ้นสุดผู้เขียนก็ขอตัวลากลับที่พัก ซึ่งเรื่องราวก็ดูเหมือนจะจบลงด้วยดี เพราะหลังวันนั้นไปไม่กี่วันผู้เขียนก็ได้รับโทรศัพท์จากลูกค้าว่าปัญหาจบแล้วไม่มีอะไรแล้ว ผู้หญิงคนนั้นได้มาพบเธอในความฝัน นางบอกว่าขอบคุณเธอที่อุทิศบุญกุศลไปให้ รวมถึงบอกว่าลูกสาวของนางชอบใจมากกับสิ่งที่เธอส่งไปให้ผ่านการทำสังฆทาน ที่สำคัญคือนางยินดีรับตามคำอธิษฐานที่จะร่วมกันดูแลลูกชาย อีกทั้ง ลูกค้าของผู้เขียนเธอบอกเพิ่มเติมว่าความทุกข์ได้หายไปความสุขได้เข้าแทนที่แล้ว เมื่อลูกชายของเธอเริ่มจะพูดกับคนใกล้ชิดเพียงแต่จะไม่ค่อยพูดกับคนไม่คุ้นเคย ซึ่งผูเขียนได้แสดงความยินดีไปกับเธอด้วย

หลายปีต่อมาหลังจากปีนั้น ผู้เขียนไม่ได้มีโอกาสพบลูกค้ารายนี้อีกหลังจากงานที่จ้างได้เสร็จสิ้น เพียงได้รับทราบจากคำบอกเล่าของลูกค้าอีกรายว่าเด็กผู้ชายคนนั้นมีพัฒนาการทางร่างกายรวดเร็ว เติบโตสูงใหญ่จนเป็นปกติ

เรื่องราวต่างๆของครอบครัวนั้นได้จบลงแล้วด้วยดี แต่ครอบครัวของผู้เขียนเองนั้นกำลังจะเริ่มต้น ไม่กี่วันหลังจากที่ให้คำแนะนำแก่ลูกค้ารายนั้นไป ภรรยาของผู้เขียนได้ส่งเสียงหวีดร้องอย่างตกใจขึ้นกลางดึกเนื่องจากฝันร้าย ถามไถ่ได้ความว่าฝันเห็นผู้หญิงคนหนึ่งอุ้มเด็กผู้หญิงมาด้วยอีกคนมายืนจ้องเขม็งอยู่ตรงประตูรั้ว ไม่พูดไม่จา หน้าตาโกรธเกรี้ยวดูน่ากลัว ทำให้ตกใจจนสะดุ้งตื่น ผู้เขียนฟังแล้วอึ้งคิดอยู่ในใจว่านี่มาถึงบ้านเลยเชียวรึ ขืนปล่อยไว้ต่อไปจะเป็นเรื่องใหญ่แน่ ดังนั้น ก่อนเพลของวันนั้นผู้เขียนชวนภรรยาไปถวายสังฆทานที่วัดใกล้บ้าน ตอนกรวดน้ำแผ่กุศลได้แสดงความบริสุทธิ์ใจเป็นที่ตั้ง โดยตั้งอธิษฐานจิตขมาต่อนางผู้นั้น อย่าได้เป็นเวรกรรมต่อกันเลย อย่ามีบ่วงกรรมผู้พันต่อกันไปในชาติภพหน้าอีกเลย หลังจากทำสังฆทานท่าน ผบ.ทบ. ก็ไม่สะดุ้งตื่นกลางดึกเพราะเรื่องนี้อีกเลย

ปล. ผู้เขียนได้มีโอกาสพบกับนางผู้นั้นอีกครั้ง ในยามใกล้รุ่งของคืนวันหนึ่งเกือบสิบปีให้หลังนับจากวันนั้น โดยนางมาแนะนำตัวกับผู้เขียนว่านางเป็นใครเพื่อให้ผู้เขียนทบทวนความทรงจำ เหตุที่นางมาหาผู้เขียนก็เพื่อจะบอกลาไปกำเนิดใหม่ตามวาระของนาง อีกทั้งบอกเพิ่มเติมว่าลูกสาวคนเล็กของนางได้ถึงวาระเป็นกำเนิดใหม่ไปก่อนหน้านี้ไม่นาน คราวนี้ถึงวาระของนางบ้างจึงมาบอกลา ทั้งยังบอกอีกว่าขอบคุณผู้เขียนที่ให้คำแนะนำที่ดีต่อลูกค้ารายนั้น ทำให้เกิดอานิสงฆ์ทำให้นางไม่ต้องเร่ร่อนอีกต่อไป ซึ่งผู้เขียนก็รู้สึกยินดีไปกับนางด้วย พร้อมกับแผ่ส่วนบุญกุศลเท่าที่มีให้เป็นทานบารมีแก่วิญญาณดวงนี้ เพื่อเป็นเสบียงบุญติดตัวไปเกิดในภพภูมิที่ดียิ่งๆขึ้นไป

ขอปิติแห่งบุญกุศลจงมีแก่ผู้ที่อ่านบทความนี้ทั่วทุกคน ขอบคุณ

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องเล่า

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับเรื่องเล่าเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา