Path to the God : ลำนำสู่พระเจ้า
เขียนโดย NStillRebirth
วันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2567 เวลา 05.06 น.
แก้ไขเมื่อ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2567 05.16 น. โดย เจ้าของนิยาย
บทนำ
เมื่อครั้งอดีตกาลก่อนที่จักรวาลจะถือกำเนิด มีเพียงความเป็นไปอันไร้ระเบียบซึ่งถูกปกคลุมห้วงมิติอันว่างเปล่า สิ่งเหล่านั้นถูกกล่าวขานไว้ในนามของห้วงอนันต์
สิ่งที่ได้ชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้าได้แบ่งแยกห้วงอนันต์ออกเป็นสองฝั่งได้แก่ ความสว่างและความมืดเพื่อสร้างสมดุลในห้วงมิติทั้งมวล ขจัดความไร้ระเบียบ ความโกลาหล และความยุ่งเหยิงภายในห้วงอนันต์
พระผู้เป็นเจ้าได้เริ่มสร้างสรรพสิ่งจากพลังทั้งสอง โดยการนำแสงสว่างแบ่งออกเป็นส่วนๆไว้ภายในความมืด และเรียกสิ่งนั้นว่า เอกภพ
บรรดาแสงสว่างได้กระจายตัวไปทั่วความมืดมิดเกิดเป็นกลุ่มดาวต่างๆ แต่ทว่า พระผู้เป็นเจ้าจำเป็นต้องหาสถานที่ในการผนึกสมดุลของพลังแห่งแสงและความมืดนี้ไว้ ซึ่งพระองค์ได้ทรงเลือกดวงดาวที่สมบูรณ์ที่สุดในเอกภพ และตั้งชื่อให้มันว่าโลก
พระผู้เป็นเจ้าได้นำสมดุลของพลังเหล่านั้นไว้คนละฟากของโลก นำพามาซึ่งความมืดมิดในฟากหนึ่ง และความสว่างไสวในอีกฟากหนึ่ง สิ่งนั้นได้ถูกเรียกในภายหลังว่ากลางวันและกลางคืน
ในภายหลังพระผู้เป็นเจ้าได้เสียสละพลังส่วนหนึ่งของตนให้แก่โลก ซึ่งพลังนั้นถูกเรียกว่า "ชีวิต" เพื่อที่จะพิทักษ์สมดุลแห่งความมืดและความสว่าง เมื่อวันเวลาล่วงเลยไป พลังของชีวิตและเจตจำนงที่ถูกสร้างขึ้นพิทักษ์สมดุลได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน เกิดเป็นตัวตนใหม่ที่มีส่วนผสมของทั้งความมืดและความสว่างอยู่ภายในตนเอง พระผู้เป็นเจ้าที่เห็นดังนั้นจึงเรียกผลผลิตจากการหลอมรวมกันนั้นว่าสิ่งมีชีวิต
ความสามารถในการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตนั้นช่างน่าอัศจรรย์ ในที่สุดพระองค์จึงมอบส่วนหนึ่งของตนเองให้กับสิ่งมีชีวิตตนซึ่งถูกเรียกว่า มนุษย์ และได้มอบหมายหน้าที่ในการแบกรับสมดุลแห่งความมืดและความสว่าง
แต่ทว่า...มนุษย์เพียงคนเดียวไม่อาจจะแบกรับพลังทั้งสองไหว พระองค์จึงได้แบ่งแยกพลังนั้นอีกครั้งและได้สร้างมนุษย์อีกตนขึ้นมา ตนหนึ่งเพื่อพิทักษ์ความสว่าง และอีกตนหนึ่งเพื่อพิทักษ์ความมืด
อยู่มาวันหนึ่งผู้พิทักษ์ความมืดได้หวังชิงอำนาจจากพระผู้เป็นเจ้าจึงเกิดสงครามครั้งใหญ่ขึ้นระหว่างผู้พิทักษ์ทั้งสอง การต่อสู้กินระยะเวลานานจนไม่อาจนับได้ ดังนั้นพระผู้เป็นเจ้าจึงได้ตัดสินใจที่จะสละทุกส่วนของตน หลอมตัวเองเข้ากับความสว่างและความมืดเพื่อหยุดสงคราม ผลที่ตามมานั้นคือจิตวิญญาณทั้ง3สี หนึ่งคือสีขาวจากความสว่าง สองคือสีดำจากความมืด และสามคือสีเทาจาการหลอมรวมกันของทั้งสองสีและตัวของพระองค์เอง
ในเวลาต่อมาแสงสีขาวได้หล่อหลอมกับสิ่งมีชีวิต ความสว่างได้ฝังรากลงบนจิตใจของสิ่งนั้นทำให้เกิดเป็นเหล่าเทพและเทพีต่างๆ เช่นเดียวกันกับความมืดที่ได้หลอมรวมกับสิ่งเดียวกันจนเกิดเป็นปีศาจและอสุรกายขึ้นมา สุดท้ายคือจิตวิญญาณสีเทาที่ได้หล่อหลอมเข้ากับมนุษย์ทำให้เกิดเป็นความดีและความชั่ว ทำให้เกิดความซับซ้อนในจิตใจและความคิดแตกต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่นๆ
หลายล้านปีต่อมาตำแหน่งผู้พิทักษ์ความสว่างได้ถูกส่งต่อกันจากรุ่นสู่รุ่นในหมู่มนุษย์และได้ถูกขนานนามว่า “เดอะไลท์ บริงเกอร์” แต่กลับกันนั้นตำนานของผู้พิทักษ์ความมืดกลับถูกลืมเลือนไปและกลายเป็นเพียงวายร้ายในตำนานต่างๆ ในนาม “เดอะ ดาร์กบริงเกอร์”
เมื่อตำนานต่างๆได้ถูกเล่าขานไปตามบทเพลงของเหล่านักกวี ชื่อของเดอะ ดาร์กบริงเกอร์ ได้ถูกเปลี่ยนเป็น"เดอะ ดูมบริงเกอร์" หรือผู้นำพาหายนะ ดังนั้นแล้วเหล่าผู้สืบทอดของผู้พิทักษ์ความมืดจึงหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ส่งผลให้จิตวิญญาณต่างๆเริ่มอ่อนแอลง ความมืดเริ่มทรงพลังขึ้นในจิตใจของสิ่งมีชีวิตต่างๆ แม้แต่ความสว่างในตัวของเหล่าทวยเทพก็เริ่มถูกความมืดคุกคามภายในจิตใจ พวกเรามิอาจรับรู้ได้ว่าความสมดุลนี้จะคงอยู่ได้นานเพียงใด หรือสุดท้ายแล้วความสมดุลนี้จะนำพาสรรพสิ่งไปที่ใดกันแน่...
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ