The Prince of Flower เกมรักมัดใจ เจ้าชายดอกไม้กับยัยเย็นชา

9.7

เขียนโดย Killolat

วันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 เวลา 07.31 น.

  27 บท
  1 วิจารณ์
  2,861 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2567 00.23 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

9) -แอนนีโมนี่-

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

เราแบ่งหน้าที่กันประจำตามจุดต่างๆ ปลาดาวอยู่ซุ้มแจกลูกอม แคคตัสดูแลความเรียบร้อยภายในตึก ส่วนฉันกับทวิตซ์ประจำจุดลงทะเบียนหน้างาน

 

ทวิตซ์พาฉันรุดหน้ามาก่อน เพราะไอ้แว่นเอาแต่พูดติดอ่าง ‘ทริคๆๆๆ’ อยู่หน้าห้องจนปลาดาวเอ๋อรับประทาน =_=;

 

 ไม่รู้เหมือนกันว่าคู่นั้นจะลงเอยยังไง แต่เดี๋ยวคงตามมาทีหลัง

 

.

 

เหลืออีก 10 นาทีก่อนเริ่มงาน ก็มีคนเดินมาลงทะเบียนแล้ว

 

เปิดประเดิมด้วยคู่รักไม่ธรรมดา ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาสูงชะลูดเรือนผมสีน้ำเงินเข้ม ผู้มีดวงตาสีรัติกาลและรอยสักภาษาละตินที่ต้นคอ ‘เจ้าชาย

ราตรี’ ตัวจริงเสียงจริง 

 

ฉันไม่เคยเห็นเจ้าชายราตรีใกล้ๆ มาก่อน ไม่สิ ต้องบอกว่าทุกคนแทบไม่กล้าเข้าใกล้เขาด้วยซ้ำ เพราะถ้าเปรียบสภานักเรียนเป็นด้านสว่าง ‘ดิสไนท์’ ก็

เป็นด้านมืดของโรงเรียน

 

สายตาอำมหิตแผ่รังสีพิฆาตดุจกำมันตะรังสีจนหัวใจแทบหยุดเต้น โชคดีที่มีผู้หญิงข้างกาย ซึ่งดูไร้พิษภัยแบบสุดๆ คอยถ่วงดุลบรรยากาศไว้ พวกเขา

สวมเสื้อคู่เชิตดำแขนยาว ใส่ที่คาดผมเขาปีศาจสีแดงส่องไฟวิบวัับ เป็นคู่ที่น่ารักทีเดียว แม้ไม่ค่อยแฟนซีเท่าไหร่ ถ้าเทียบกับคู่เราที่แต่งแบบจัดเต็ม

แต่คอนเซปต์ดันไปกันคนละโยชน์

 

บาทหลวงหนุ่มกับแม่มดสาว…ดูยังไงก็คอสเพลย์เสียดสีสังคมชัดๆ 

 

“วิ้ว~ มากับแฟนซะด้วย อย่ากลัวจนฉี่ราดซะล่ะยัยบื้อ ^^” 

 

จู่ๆ อีตาทวิตซ์ก็ผิวปากแซวแฟนดิสไนท์อย่างหาญกล้า 

 

-_-+ ชิ้งง

 

 ดิสไนท์แผ่รังสีอำมหิตหนักขึ้น

 

ผีเจาะปากมาพูด! จะกวนประสาทก็หัดดูตาม้าตาเรือบ้างสิย๊ะ! >< นายอยากโดนมาเฟียถล่มงานรึไง?!

 

“ห่วงตัวเองเถอะย่ะ! ไอ้นักบุญใจทราม! อย่างนายต้องแต่งเป็นซานตานเหมาะกว่า!!! >[]<” 

 

แฟนดิสไนท์สู้ไม่ถอย เธอเถียงกลับคอเป็นเอ็น ทำฉันประหลาดใจเล็กน้อย เพราะไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหน ดูชังน้ำหน้าเจ้าชายดอกไม้ขนาดนี้มาก่อน

 

“ให้ไปอยู่นรกขุมเดียวกับเธอน่ะหรอ? ไม่เอาหรอก ลำพังขาโต๊ะสนุ๊กของเธอก็บวมอืดเต็มกะทะทองแดงแล้ว ^^” 

 

ปะ ปากคอเราะร้าย! =O= ฉันเพิ่งเคยเห็นอีตาทวิตซ์ปากร้ายใส่ใครแรงเบอร์นี้ เล่นเอาอีกฝ่ายกัดฟันกรอด คันไม้คันมืออยากหยุมหัวสีเงินเต็มที่

 

แต่ก่อนที่ปีศาจสาวจะกินหัวพระ เจ้าชายราตรีก็พูดขัดห้ามทัพด้วยน้ำเสียงติดรำคาญ

 

“ไปซักทีเหอะ - -^” 

 

ดิสไนท์ลงทะเบียนเสร็จเดินชิ่งหนีเข้าตึก ทิ้งแฟนสาวหัวร้อนทำตัวไม่ถูก 

 

เธอแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ทวิตซ์ทิ้งท้าย ก่อนถูกบิชอปจอมกวนตั้งท่าเยาะเย้ย แตะหน้าผาก ไหล่ซ้าย ไหล่ขวาตามลำดับ ชูสร้อยไม้กางเขนใส่ ประหนึ่ง

ขับไล่ปีศาจ 

 

“อาเมน ^^”

 

ฉันเผลอมองตามหลังร่างบางที่วิ่งไปเกาะแขนแฟนหนุ่มจนหายลับเข้าตึก 

 

เธอเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาไม่โดดเด่นอะไร แต่มีความเป็นธรรมชาติ จริงใจและแสดงออกอย่างตรงไปตรงมา ตอนยิ้มให้คนที่ชอบก็ดูสวยขึ้นเป็นกอง

หรือว่า…

 

“ฉันเคยชอบยัยนั่นด้วยนะ” 

 

จู่ๆ คนหน้าสวยข้างกายก็พูดเรื่องที่ฉันกำลังสงสัยขึ้นมาพอดี ด้วยน้ำเสียงไม่ยี่หระ

 

“ยัยนั่นยิ้มสวย ติ๊งต๊อง เวลาเถียงกันสนุกดี” 

 

อ่า นั่นหรอสเป็คนาย? =-= ไอ้หมอนี่มันมาโซคิสม์ของแท้เลยนี่หว่า

 

“แต่ไม่เคยข้ามเส้นนะ เลิกชอบแล้วด้วย ^^” 

 

ทวิตซ์หันมายิ้มให้ตามปกติ ลูบหัวฉันป่อยๆ

 

ดวงตาสีครามจ้องสะท้อนภาพฉันอย่างแน่วแน่มั่นคง 

 

ตึกตัก… ตึกตัก…

 

…แปลกจัง ทำไมฉันถึงรู้สึกดีใจล่ะ ตอนที่ได้ยินว่าเขาเลิกชอบผู้หญิงคนอื่น

 

ก่อนหัวใจจะทำงานผิดปกติไปมากกว่านี้ ฉันรีบปัดมือเขาออก พูดตัดบทเสียงเย็นชา 

 

“ใครถาม” 

 

น่าหงุดหงิด ไม่เข้าใจว่าหมอนี่จะเล่าให้ฟังทำไม ในเมื่อฉันไม่มีส่วนได้ส่วนเสียด้วยซะหน่อย -*-

 

“สารภาพบาปไงล่าา~ ^^” 

 

บาทหลวงยิ้มหวาน ยกจี้กางเขนอันศักดิ์สิทธิ์เย็นวาบแปะกลางหน้าผาก ซึ่งก็โดนยัยแม่มดใจร้ายปัดออกตามระเบียบ 

 

ฉันจ้องเขาตาแข็ง อารมณ์หงุดหงิดงุ่นง่านที่โผล่ไม่รู้โผล่มาจากไหนยังคงครุกรุ่น

 

นู่น! นายวิ่งตามเข้าตึกไปสารภาพบาปกับแฟนยัยนั่นไป๊! ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน!!!

 

“ไหนๆ ก็ขุดหลุมฝังตัวเองแล้ว ขอพูดหมดเปลือกเลยละกัน” 

 

ทวิตซ์ใช้น้ำเสียงทีเล่นทีจริงส่งยิ้มหวานยั่วกวนบาทา น่าถีบลงหลุมฝังกลบ -*-

 

ฉันเริ่มทำหน้าเอือมระอา คิดในใจว่า ‘ยังไม่จบอีกหรอ?’ 

 

เอาเถอะ! จัดมาเลย เตรียมหูดับรอละ

 

“มีเพียงเหตุผลเดียว ที่ทำให้ฉันเริ่มและเลิกชอบยัยนั่น รู้มั้ยว่าอะไร?” 

 

ชายหนุ่มในชุดบาทหลวงตั้งปุจฉาปริศนาอย่างสนุกสนาน เชื้อเชิญให้ร่วมเล่นเกมทายใจ

 

แน่นอนว่าต้องเมินอยู่แล้ว ฉันแสร้งหูทวนลมก้มจัดเอกสารตรงหน้า เพราะไม่อยากได้ยินตานั่นแพล่มเรื่องสาวๆ ให้ฟังอีก

 

เมื่อโดนเมินสมบูรณ์แบบ เจ้าของมือใหญ่เรียกร้องความสนใจจึงเอื้อมมาประคองใบหน้า 

 

ดวงตาสีฟ้าสุกใสจ้องตรงเข้ามาราวกับดูดกลืนวิญญาณ ก่อนเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงหวานซึ้งที่สามารถหลอมละลายกำแพงน้ำแข็งลงได้ในพริบตา 

 

“…เพราะเธอไง”

 

ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก

 

ไม่มีสิ่งใดหยุดยั้งเสียงหัวใจเต้นโครมครามได้อีกแล้ว เป็นครั้งแรกที่ฉันฝืนเม้มปากแน่นขนาดนี้ เพื่อกดกลั้นความรู้สึกไว้ ไม่ให้หลุดยิ้มหน้าบาน 

 

น่าเจ็บใจเหลือเกิน…กะอีแค่คำหยอดกะล่อนเจ้าชู้ ทำไมต้องหวั่นไหวขนาดนี้ด้วย

 

เมื่อสบโอกาสช่วงชิงหัวใจ ดวงหน้าขาวเรียวคมสวยไม่พลาดโน้มประชิดจนสันจมูกโด่งรั้นแทบชนแก้ม ริมฝีปากสีกุหลาบเผยอขึ้นเล็กน้อยพ่นลม

หายใจหอมกรุ่น

 

หมับ!

 

ปฏิกริยาป้องกันตัวของฉันทำงานโดยอัตโนมัติ ตอนนี้ริมฝีปากแสนเย้ายวนนั่น จึงถูกปิดผนึกไว้ด้วยฝ่ามือเล็ก

 

“…ใกล้เกินไปแล้ว” 

 

ฉันหลุบตาหนีสายตาเว้าวอนที่กู่ร้องว่า ‘อยากจูบใจแทบขาด’ 

 

“หึ” 

 

ทวิตซ์เค่นหัวเราะในลำคอยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ไม่ถอดใจ 

 

เขาแกะมือฉันออกอย่างง่ายดาย ก่อนประทับจูบร้อนผ่าวลงบนฝ่ามือแทน 

 

“ฉันจะรอ…” 

 

น้ำเสียงนุ่มนวลแผ่วเบาลอยหายไปกับสายลมราวคำภาวนา

 

ตึกตัก! ตึกตัก! ตึกตัก!

 

น่าเสียดาย…ที่ตอนนี้แม่มดสาวถูกสาปให้ได้ยินเพียงเสียงหัวใจเต้นระรัว จึงไม่อาจรับรู้ถึงสิ่งที่เค้าพูดเลย แม้แต่คำเดียว

 

.

 

เข้าสู่ช่วงบ่าย อากาศร้อนจัดสมเป็นประเทศไทย หมวกแม่มดถูกใช้แทนพัดวี ฉันมัดเกล้าผมสูงเพื่อคลายร้อน ส่วนหนุ่มหล่อข้างๆ ตอนนี้อยู่ในสภาพ

บาปหนาสุดๆ 

 

“ฮ้าา ร้อนจัง” 

 

ร่างสูงปล่อยเสียงหอบหายใจคลายร้อนคล้ายเสียงครางสยิวกิ้ว

 

ทวิตซ์เสยผมขึ้นเผยให้เห็นใบหน้าฟ้าประทานชัดเจนเปล่งออร่า ปลดกระดุมเสื้อ 3 เม็ดโชว์แผงอกขาว หยาดเหงื่อไหลย้อยเคลือบผิวงามมันวาว ยั่ว

สวาทซะจนสาวๆ พากันกรี๊ดกร๊าดต่อคิวลงทะเบียนแถวยาวเป็นหางเว่า บ้างก็เอาขนมกับเครื่องดื่มเย็นๆ มาเสิร์ฟ แถมช่วยโบกพัดดับร้อนให้อีกต่าง

หาก

 

นี่สินะอภิสิทธิ์ของคนหน้าตาดี =o=;;

 

และแล้ว ‘หวาน’ แขกผู้น่าจดจำอีกนางหนึ่งก็ปรากฎตัวขึ้น เธอสวมชุดเทพธิดากรีกสีขาวงาช้าง ประดับด้วยเครื่องทองหรูหราน้อยแต่มาก ใส่มงกฏ

ดอกไม้สง่างามน่าเอ็นดู รายล้อมด้วยพลพรรคอีก 2-3 นาง ยืนเป็นลูกกระจ๊อกกีกี้ไร้บทบาท

 

“จะไหวหรอ? ^^” 

 

เจ้าชายดอกไม้แจกยิ้มหวาน น้ำเสียงแอบเย้ยหยัน

 

ฉันไม่แปลกใจเท่าไหร่ เพราะก่อนหน้านี้เธอเล่นร้องไห้ขี้มูกโป่งกะอีแค่ฟังเรื่องผีนี่นา

 

“นายทุ่มเทมากเลยหนิ ฉันจะพลาดได้ยังไง ^-^” 

 

ใบหน้าน่ารักส่งยิ้มพริมใจให้หนุ่มหล่ออย่างสดใส ตรงข้ามกับมือที่สั่นหงิกๆ จนเขียนชื่อยึกยือเป็นไส้เดือนดิน

 

เพอร์เฟ็กชั่นนิสที่ลายมือสวยโคตรๆ อย่างอีตาทวิตซ์ทนดูไม่ไหว เลยจัดการแย่งปากกาในมือหล่อนมาขีดฆ่า ลงชื่อแทนให้เสร็จสรรพ

 

“สู้ๆล่ะ” 

 

ริมฝีปากสวยกระตุกยิ้มมาดร้ายตรงข้ามกับคำพูด แต่กลับดูหล่อกร้าวใจจนสาวเจ้าเขินหน้าแดง

 

เห็นทีไรก็อดเชียร์ไม่ได้ เธอคงชอบทวิตซ์มากจริงๆ ถึงขั้นกล้าเผชิญหน้ากับความกลัว

 

…ซักวันฉันจะเป็นแบบนั้นได้มั้ยนะ?

 

จังหวะที่หวานเดินเข้าตึก เสียงดนตรีสร้างบรรยากาศที่พวกเราช่วยกันจัดเพลย์ลิสก็สุ่มเปิดเพลง ‘Thousand years' ของ ‘Chistina Perri’ 

 

[How can I love when I'm afraid to fall?] 

 

ฉันจะรักได้ยังไง ถ้ายังหวาดกลัว

 

[But watching you stand alone] 

 

แต่เมื่อเฝ้ามองเธอยืนอยู่คนเดียว

 

[All of my doubt suddenly goes away somehow] 

 

ความลังเลทั้งหมดก็มลายหายไป

 

[I have died every day waiting for you] 

 

ฉันตายลงทุกวันเพื่อรอเธอ

 

[Darling, don’t be afraid] 

 

อย่าห่วงเลยที่รัก

 

[I have loved you for a thousand years] 

 

ฉันรักเธอมาพันปีแล้ว

 

[I’ll love you for a thousand more] 

 

และจะรักต่อไปอีกพันปี

 

 

เป็นเนื้อเพลงน้ำเน่าเว่อร์วังที่ดันเข้ากับบรรยากาศอย่างเหลือเชื่อ…

 

ไม่ใช่แค่หวานคนเดียว แต่งานนี้ทำให้ฉันได้พบเจอผู้คนมากมายที่พร้อมถูกสาปให้ตายเพราะความรัก 

 

และพวกเขาช่างดูมีความสุขซะจนฉันเริ่มคิดว่า…หรือการตายเพราะความรัก ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายกันนะ?

 

.

 

-เวลา 1 ทุ่ม-

 

(ณ ลานกว้าง)

 

ช่วงหัวค่ำพวกเราสลับหน้าที่กัน แคคตัสกับปลาดาวประจำจุดลงทะเบียน ส่วนฉันกับทวิตซ์เดินตรวจงานก่อนขึ้นประกาศรางวัลตอน 4 ทุ่ม

 

ฉันอยู่ในงานได้ 1 ชม. ก็เริ่มรู้สึกเวียนหัว เพราะเสียงคอนเสิร์ตของพวกชมรมดนตรีและบรรยากาศแออัด มีแต่พวกนักเรียนเต้นเย้วๆ เมามันส์สมเป็นวัน

ปล่อยผี ทวิตซ์เลยรีบพาฉันออกมานอกงานก่อนไหลตาย

 

จากแค่มึนหัว ตอนนี้ฉันหมดแรงขึ้นมาดื้อๆ จนทิ้งน้ำหนักตัวใส่ร่างสูงที่ช่วยพยุงออกมา

 

“เธอโอเคมั้ยเนี่ย?” 

 

ทวิตซ์ประคองร่างฉันไปที่ม้านั่งใกล้ๆ ใช้หลังมือตรวจวัดอุณภูมิตามร่างกาย

 

“ตัวร้อนจัง” 

 

น้ำเสียงและแววตากังวลใจของเขาเป็นเครื่องยืนยันว่า ฉันป่วยจริง 

 

คงติดไข้มาจากใครซักคนในงานตั้งแต่ตอนกลางวัน… 

 

อาการชักไม่สู้ดี ภาพตรงหน้าพร่ามัว ลมหายใจร้อนระอุชวนอึดอัด

 

ง่วงจัง…รู้สึกหนักไปทั้งตัวเลย จำไม่ได้แล้วว่าเป็นไข้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ 

 

ทีแรกฉันนึกว่าแค่ร้อน เพราะอากาศอบอ้าวซะอีก

 

นิ้วเรียวช่วยปลดกระดุมคอเสื้อให้ฉันหายใจสะดวกขึ้น 

 

“เดี๋ยวฉันไปส่งที่หอ”

 

“…แล้วงานล่ะ” 

 

ฉันพูดขัดอ่อนแรง ใจยังอยากทำหน้าที่ต่อให้จบ

 

“เฮ้อ” 

 

ทวิตซ์ถอนหายใจหนักหน่วง เหนื่อยใจกับความดื้อดึงของฉัน 

 

มือใหญ่กดหัวทาบอกแกร่ง เอ่ยน้ำเสียงเอือมระอา 

 

“พักเถอะ ถึงเวลาเดี๋ยวฉันปลุก”

 

กลิ่นสวนดอกไม้หอมสดชื่นช่วยให้หัวหนักอึ้งเบาลง… 

 

ถึงจะรู้สึกร้อนรุ่มเพราะพิษไข้ แต่ไออุ่นจากร่างกายเขากลับทำให้ผ่อนคลายอย่างน่าประหลาด

 

ทวิตซ์ค่อยๆ ดันหัวฉันลงหนุนตักในท่านอนสบาย มือหนาคอยดูแลลูบปลอบประโลมทะนุถนอม

 

“นอนซะนะเด็กดี…ฉันจะเล่านิทานให้ฟัง” 

 

เขาพูดตะล่อมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ราวกับฉันเป็นแค่เด็กไม่รู้เดียงสา

 

น่าอายจัง…ถ้าไม่ติดว่าเรี่ยวแรงหดหาย ป่านนี้ฉันคงรีบเด้งออกจากตักเขาแล้ว 

 

“เห็นดอกไม้ตรงนั้นมั้ย?” 

 

ถ้าหมายถึงดอกไม้แดงเกสรดำที่นายอุตส่าห์ขนมาตกแต่งทั่วทั้งงานล่ะก็นะ…

 

“แอนนีโมนี่ ธิดาแห่งสายลม” 

 

เขาเริ่มเล่าพลางลูบผมฉันเบาๆ ชวนเคลิบเคลิ้ม

 

 “ดอกไม้ที่ถือกำเนิดจากความตายของชายชู้”

 

เดี๋ยวสิ เปิดเรื่องดาร์กไปมั้ยยะ? กะให้นอนฝันร้ายทั้งคืนเลยดิ = =^

 

“เทพีวีนัสเสกมนต์ให้เลือดของอโดนิสกลายเป็นดอกไม้และสายน้ำ…” 

 

เสียงทุ้มนุ่มบรรจงขับกล่อม

 

“เพียงสายลมพัดผ่าน เกสรสีดำจะล่องลอยไปแสนไกล…เติบโตเบ่งบานทั่วทุกดินแดน ไม่มีวันจางหาย เช่นเดียวกับความรักที่เธอมอบให้เขา” 

 

อืม…ค่อยฟังดูโรแมนติกขึ้นหน่อย 

 

“แอนนีโมนี่ จึงเป็นตัวแทนแห่งศรัทธาและความสิ้นหวัง ความตายและจิตวิญญาณ หัวใจที่แตกสลายและรักแท้”

 

เปลือกตาของฉันค่อยๆ ปรือลงจนปิดสนิท ทิ้งตัวปล่อยใจให้สัมผัสอบอุ่นและน้ำเสียงนิ่มนวลช่วยผ่อนคลาย…

 

“แม้รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่วีนัสยังคงเฝ้ารออโดนิสอยู่เสมอ…”

 

 

“…เหมือนที่ฉันรอคอยเธอมาตลอด”

 

สติสัมปชัญญะของฉันจมดิ่งสู่ห้วงนิทรา…ก่อนจะได้ฟังประโยคสุดท้ายจากเขา

 

 

 

-Twitz sides-

 

ยามเมื่อสายลมพัดผ่าน ความปรารถนาที่ล่องลอยไปพร้อมดอกแดนดิไลออนจะกลายเป็นจริง

 

 แต่คงใช้ไม่ได้กับคำอธิษฐานของผม…เพราะเธอดันหลับซะแล้ว 

 

การบุกทลายกำแพงน้ำแข็งช่างยากเย็นจริงๆ ถ้ารู้ว่าต้องใช้เวลานานขนาดนี้ ฉันไม่น่าปล่อยเธอไปเลย

 

“ยูแช…” 

 

ผมลองเรียกเช็คดูว่ายัยตัวเล็กบนตักหลับสนิทดีมั้ย

 

“อืม…” 

 

เธอส่งเสียงครางเบาๆ ในลำคอ ขยับตัวเล็กน้อยมุดหน้าซุกตักผมเพื่อหลบแสง

 

หว๋า…น่ารักชะมัดยาด ใจผมสั่นไปหมดแล้ว ยิ่งเห็นใบหน้าสวยๆ ที่ตั้งใจแต่งองค์ทรงเครื่องใกล้ๆ แบบนี้ ยิ่งห้ามใจลำบาก ไหนจะกลิ่นหวานหอมจาก

ตัวเธอที่ทำให้อดคิดถึงรสจูบของเราไม่ได้ ถ้าไม่ติดว่าป่วยผมคงหักห้ามใจไม่ไหวแน่…

 

จู่ๆ ก็คิดขึ้นมาว่า อยากให้เธอกลับไปเป็นลูกเป็ดขี้เหร่เหมือนเดิมจัง 

 

เอาเถอะ โทษใครไม่ได้หรอก ผมพลาดเองที่ไปจูบเธอเข้า

 

ให้ตายสิ…เหมือนโดนยาเสน่ห์เข้าเต็มเปาจนไม่มีกะจิตกะใจทำอะไรเลย

 

ผมใช้หลังมือแตะเช็คอุณภูมิ…ใบหน้าสาวน้อยยังร้อนฉ่า

 

 ขอโทษนะยูแช ที่บอกจะปลุกเธอ ฉันโกหก

 

ผมค่อยๆ พยุงร่างบางให้ลุกนั่งช้าๆ ก่อนจัดการแบกขึ้นหลัง

 

เบาจัง…

 

เฮ้อ ไม่ได้แบกผู้หญิงขึ้นหลังครั้งแรกซะหน่อย ทำไมถึงรู้สึกตื่นเต้นนักหนา

 

มือผมสัมผัสถึงถุงน่องตาข่ายที่เป็นเหมือนกับดักแห และยิ่งรู้ว่ามันขาดวิ่นเป็นรูจนเปิดให้เห็นขาขาวเนียนสวย เลยเผลอทำตัวซุกซนลูบคลำ...

 

พระเจ้าครับ ช่วยเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับด้วยเถอะ ถ้าเธอรู้ต้องฆ่าผมแน่

 

ตลอดทางมีแต่เสียงลมหายใจเบาๆ คลอเคลียข้างหู ผสมกลิ่นสวนผลไม้เย้ายวน และอุณภูมิร่างกายร้อนกรุ่นที่สัมผัสได้ผ่านแผ่นหลัง 

 

ยูแช…หลับสบายเชียวนะ รู้บ้างมั้ยว่าตัวเองทำอะไรลงไป ตอนนี้ฉันถูกเธอปั่นหัวจนแทบคลั่งตายอยู่แล้ว

 

ถ้าจิตใจของผมบริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนชุดที่ใส่ก็คงดี...แต่มันดันเป็นจริงอย่างที่ยัยนุ่มนิ่มพูดทุกประการ ผมคงเหมาะกับชุดซาตานมากกว่า

 

แม่ครับ เอเดล พระผู้เป็นเจ้าหรือใครก็ได้…ช่วยทำให้คนบาปหนาอย่างผม หลุดพ้นจากมนต์สะกดของแม่มดที

 

-The end Twitz sides-

 

-เช้าวันต่อมา-

 

ฉันตื่นขึ้นบนเตียงนอนในสภาพเดียวกับเมื่อวาน เสื้อผ้าทุกชิ้นยังอยู่ครบ ต่างแค่หัวกระเซิงไม่เป็นทรง ปลาดาวหมอบหลับอยู่ข้างเตียง รอบๆ มี

กะละมังใส่น้ำพร้อมผ้าขนหนูผืนเล็ก เธอคงนั่งเฝ้าไข้และช่วยเช็ดตัวให้ฉันเมื่อคืน 

 

ฉันเริ่มมีแรงขึ้นบ้างแล้ว ตัวร้อนรุมๆ แต่กลับรู้สึกหนาว ไอจามเป็นพักๆ

 

อ๊ะ! O[]O งานเมื่อคืนล่ะ! ทำไมฉันจำอะไรไม่ได้เลย 

 

หรืออีตาทวิตซ์ไม่ได้ปลุก…แล้วทุกอย่างเรียบร้อยดีมั้ย?

 

“ตื่นแล้วหรอยู?” 

 

ปลาดาวงัวเงียลุกขึ้นมา เพราะได้ยินเสียงฉันงมหามือถือ

 

“ขอบคุณที่ช่วยดูแลเมื่อคืน” 

 

ฉันไม่ลืมกล่าวขอบคุณเป็นอันดับแรก ก่อนระบายความในใจออกมา

 

“ขอโทษนะ ทั้งที่ทุกคนตั้งใจทำงาน…แต่ฉันกลับปล่อยให้ตัวเองป่วย”

 

มันน่าเจ็บใจจริงๆ พวกเราใช้เวลาเตรียมงานกันทั้งเดือน เพื่อให้มันออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด แต่ฉันกลับทำมันพังรึเปล่าไม่รู้

 

“ยะ อย่าพูดแบบนั้นสิ! งานเมื่อคืนออกมาดีมากนะ! พอทวิตซ์ส่งยูถึงหอ เขาก็รีบโทรตามฉัน แล้วจัดการทำทุกอย่างตามแผนเป๊ะ ไม่มีอะไรให้ต้อง

กังวลเลย! ><” 

 

ปลาดาวพูดไม่เก่งพยายามสื่อสารเปล่งเสียงตะกุกตะกัก 

 

“ทุกคนเป็นห่วงยูกันใหญ่ แต่ไม่มีใครเดือดร้อนหรอกจ้ะ เชื่อสิ ^^;” 

 

ยิ้มเหยเกของปลาดาวทำฉันอยากร้องไห้ T T 

 

นี่มันนางฟ้าตกสวรรค์ชัดๆ! ฉันคงใช้แต้มบุญทั้งชาติหมดแล้ว ถึงได้มีเพื่อนดีๆ อย่างเธอ

 

“แค่กๆ” 

 

อาการไอค่อกแค่กกำเริบ 

 

ปลาดาวพยายามเกลี้ยกล่อมให้ฉันนอนต่อ แต่เพราะรู้สึกผิดที่ลาป่วย ฉันเลยตั้งใจว่าวันนี้จะไปช่วยทุกคนเก็บงาน

 

พูดถึงเรื่องเมื่อคืน ยังไม่รู้เลยว่าใครชนะรางวัล ที่แน่ๆ ต้องไม่ใช่ไอ้แว่นที่แต่งตัวโคตรลวก แค่เอาผ้าพันแผลชุบสีมาพันหัวเป็นมัมมี่ แต่ดันดูเหมือน

ศีรษะเพิ่งประสบอุบัติมากกว่าแต่งชุดแฟนซี = =

 

อ่า จะว่าไปทวิตซ์แบกฉันกลับยังไงนะ? ถุงน่องตาข่ายกันโป๊ถึงขาดวิ่น

 

ลากพื้น พาดไหล่ เรียกคนมาช่วยหาม อุ้มท่าเจ้าหญิงหรือขี่หลัง…

 

ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก

 

อ๊าาา!!! แล้วทำไมฉันต้องใจเต้นกะอีแค่จินตนาการถึงสภาพตอนถูกเขาพากลับหอด้วยเนี่ย?! 

 

นับวันเธอยิ่งเป็นเอามากนะยูแช! >\\\<

 

กริ๊งงง

 

พูดไม่ทันขาดคำ เสียงเรียกเข้าจากคนในจินตนาการก็ดังขึ้นกะทันหัน 

 

ตายยากจริงตานี่…

 

[มอนิ่ง~ อาการเธอเป็นไงบ้าง? เห็นปลาดาวส่งข้อความมาว่ายังไม่หายดี แต่จะซ่ามาช่วยงานหรอ?]

 

ปลายสายเริ่มต้นประโยคอย่างลั้นลา และจบลงด้วยเสียงดุตำหนิ

 

“ทำไมนายไม่ปลุกฉัน” 

 

ฉันหลบหนีจากการเป็นจำเลย ด้วยการหาเรื่องตำหนิเขาคืนบ้าง 

 

แต่น้ำเสียงตอบกลับแผ่วเบาแทบกระซิบจากปลายสาย ดันทำใจฉันเต้นแรงผิดจังหวะ

 

[ก็ฉันเป็นห่วง…]

 

“…”

 

[ฉันเป็นห่วงเธอมากจริงๆ]

 

ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก

 

ทำไมใจเต้นอีกแล้วล่ะ เขาก็แค่อ่อนโยนใจดี เดิมทีทวิตซ์ก็ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำอะไร เขาคงทำแบบนี้กับทุกคนนั่นแหละ

 

…ฉันไม่ได้พิเศษซักหน่อย ทำไมต้องดีใจด้วย?

 

[เฮ้อ…ถ้าจะมาเดี๋ยวฉันไปรับเอง รออยู่หอห้ามขยับไปไหนนะ ถึงแล้วจะโทรหา] 

 

ติ๊ด

 

ทวิตซ์ถอนหายใจตัดพ้อ ออกคำสั่งเผด็จการ ก่อนชิงวางสาย ไม่เปิดโอกาสให้โต้ตอบ

 

.

 

ปลาดาวขอนอนต่ออีกหน่อย เพราะล้าจากงานและการเฝ้าไข้ฉันเมื่อคืน ฉันเลยต้องไปกับทวิตซ์แค่สองคน

 

กริ๊งงง

 

หลังจากวางสายไม่ถึง 10 นาที เสียงเรียกเข้าจากชายคนเดิมก็โทรกลับ ตามด้วยน้ำเสียงอิดโรยปนหอบหายใจ เหมือนเพิ่งรีบวิ่งปรี่มาสุดชีวิต

 

[ถึงแล้วนะ]

 

ติ๊ด

 

เขาสื่อสารเพียงสั้นๆ ก่อนกดตัดสายทิ้งตามนิสัย

 

ไม่รู้เป็นเพราะพิษไข้รึเปล่า? จิตใจของฉันถึงอ่อนไหวกว่าปกติ

 

รู้สึกประหม่า ตื่นเต้น ดีใจ โล่งอก ปะปนตีรวนกันจนไม่สามารถสรุปได้

 

“นึกว่าเธอจะไม่รอแล้วซะอีก ^^” 

 

เมื่อร่างสูงเหงื่อโชกยังหอบถี่ไม่หายหันมาเผยยิ้มให้ฉัน ทุกอย่างรอบข้างพลันสว่างไสว 

 

ตอนนี้มันชัดเจนแล้วว่า ฉันกำลังรู้สึก ‘ดีใจ’ ที่ได้เจอเขานี่เอง

 

“แค่กๆ…” 

 

ไอ้อาการไอบ้านี่ดันกำเริบขึ้นมาอีกจนได้ -*- 

 

แต่ก็ต้องขอบคุณล่ะนะ ที่ทำให้เสียงหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะของฉันสงบลงด้วย

 

“ว่าแล้ว…เธอเนี่ยไม่ดูแลตัวเองเลย!” 

 

เจ้าชายดอกไม้เค่นเสียงดุใส่ฉันอีกแล้ว

 

ตานั่นเอาเสื้อกันหนาวสีฟ้าอ่อนตัวใหญ่ที่ถือมาด้วยคลุมไหล่ให้ ก่อนดึงเข้าไปกอดแนบชิด ซุกหน้าสูดกลิ่นจนชื่นปอด

 

“ดะ เดี๋ยวติดหวัดหรอก” 

 

ฉันเขินจัดเปล่งเสียงตะกุกตะกัก พยายามดันตัวเขาออกด้วยเรี่ยวแรงอันน้อยนิด

 

“ดีสิ เธอจะได้หายไวๆ” 

 

ร่างกำยำไม่เขยื้อน ซ้ำยังดื้อสูดกลิ่นฉันเข้าไปอีกฟืดใหญ่

 

“แค่กๆ” 

 

ฉันแกล้งไอ เผื่อว่าเขาจะยอมถอยออกบ้าง แต่กลับได้ผลตรงกันข้าม 

 

วงแขนกว้างยิ่งรัดตัวฉันแน่นกว่าเดิมจนสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนในอก

 

ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก

 

“…หนาวมั้ย?” 

 

น้ำเสียงทุ้มต่ำกระซิบถามอย่างห่วงใย

 

“ร้อน” 

 

ฉันตอบกลับราบเรียบ พยายามสงบสติอารมณ์ที่กำลังฟุ้งซ่าน

 

ร่างสูงหัวเราะในลำคออย่างชอบใจ 

 

“เพราะฉันหรอ?”

 

คำพูดเหมือนรู้ทันของเค้าทำใจฉันเต้นแรงได้ตลอดสิน่า 

 

ตึกตัก! ตึกตัก! ตึกตัก!

 

“พะ เพราะหวัดต่างหาก…!”

 

ฉันซุกหน้างุดหลบที่อกเขาหนีความเขิน ลืมไปว่าทำแบบนี้ยิ่งหวั่นไหวหนักกว่าเดิม…

 

แต่ให้ทำไงได้ล่ะ ในเมื่อฉันหนีไปไหนไม่รอดอยู่แล้วนี่ -///-

 

“ยูแช…” 

 

ทวิตซ์เอ่ยเรียกชื่อด้วยน้ำเสียงเว้าวอน 

 

“อย่าทำตัวน่ารักนักสิ…เดี๋ยวฉันก็คลั่งตายหรอก”

 

มือใหญ่กดหัวฉันทาบอกข้างซ้ายให้แน่นขึ้นกว่าเดิม จนได้ยินเสียงหัวใจของเขาเต้นดังโครมคราม

 

ตึกตัก! ตึกตัก! ตึกตัก!

 

“คุณหมอคร้าบ ช่วยตรวจผมหน่อย…ใจผมเต้นแรงมากเลย~”

 

คนกะล่อนยังไม่วายปล่อยมุกเสี่ยวทำเอาฉันอดยิ้มไม่ได้

 

“…สงสัยจะติดเธอเข้าแล้ว”

 


 

(จบตอน)

 

แอนนีโมนี่; รักแท้ที่เฝ้ารอคอยตราบชั่วลมหายใจ
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา