กบฏไร้เดียงสา

-

เขียนโดย CTTiana

วันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 เวลา 00.31 น.

  4 ตอน
  2 วิจารณ์
  1,419 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 19.08 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) เชือกฟางเส้นสุดท้ายของเกรเทล

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 4 เชือกฟางเส้นสุดท้ายของเกรเทล

 

เมื่อทั้งคู่กล่าวร่ำลากันเสร็จเรียบร้อยเกรเทลก็เดินมาส่งเพื่อนสนิทขึ้นรถยนต์ส่วนตัวที่เอามาจอดไว้ข้างร้านกาแฟ ไม่นานเฮลก้าก็ขับออกไปส่วนเธอเองก็เดินออกมายืนตรงป้ายเพื่อรอรถกลับบ้าน

ครืด ครืด

แรงสั่นสะเทือนจากกระเป๋าสะพายทำให้ร่างบางถึงกับสะดุ้ง มือล้วงหามือถือภายใต้ข้าวของมากมาย

หน้าจอแสดงชื่อผู้ติดต่อชัดเจนร่างบางกดรับสายทันที

“ว่าไงพี่ฮันเซล”

‘อยู่ไหน’

เด็กสาวตกใจแม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้ขึ้นเสียงใส่แต่น้ำเสียงกลับดูหงุดหงิดชอบกล ด้วยความกังวลว่าอีกฝ่ายจะโมโหจึงรีบบอก

“หนูอยู่ร้านกาแฟที่ชอบมากับเฮลก้า”

เม้มปากลุ้นว่าพี่ชายจะตอบอะไรกลับมา เธอพอเดาได้ว่าที่พี่เป็นแบบนี้คงเพราะมันเริ่มดึก

‘ดึกแล้วอันตราย แล้วนี่จะกลับหรือยัง?’

…อย่างที่คิดไม่มีผิด…

ไม่ว่าเธอจะไปไหนทำอะไรเขามักจะห่วงเธอเสมอต่อให้ทะเลาะกันบ้านแตกพี่ก็ยังทำหน้าที่ดูแลน้องสาวได้ไม่ขาดตกบกพร่อง

“กำลังกลับ รอรถอยู่”

ในเมื่อเขาอุตส่าห์โทรถามเรื่องอะไรเธอจะต้องประชดเขาก็บอกไปตามตรง

‘เดี๋ยวพี่ไปรับรออยู่ตรงนั้น หาที่สว่างหน่อยอย่าไปยืนที่มืด’

ปลายสายมีเสียงกุกกักอะไรสักอย่าง ร่างบางคิดในใจไปแล้วว่าพี่ชายเธอคงจะรีบลุกไปหยิบกุญแจรถยนต์เพื่ออกมารับเธอแน่นอน

โดยปกติเขากลับบ้านตรงต่อเวลาพอถึงบ้านก็จะเช็คหาน้องสาวตัวแสบก่อนเนื่องจากนิสัยที่เอาแต่ใจและดื้อจึงต้องค่อยดูแลเสมอมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว

“เฮ้ยพี่ไม่ต้องหนูกลับเองได้ อีกอย่างตรงป้ายก็มีคนมายืนรอรถกันเยอะแยะไม่ต้องกลัว”

ร่างสูงชะงักทันทีที่น้องสาวพูดปฏิเสธ แม้ว่าเธอจะโตแล้วแต่เมื่อท้องฟ้ามืดระแวกแถวนั้นรถก็ชอบขับเร็วไม่ค่อยเบรคกัน

คนบนท้องถนนคงถือคติว่ารีบกลับบ้านไปพักผ่อนผลที่ตามมาจึงมักมีข่าวเกิดอุบัติเหตุขึ้นอยู่บ่อย ๆ เขาอดเป็นห่วงไม่ได้

‘มันมืดแล้วเกรเทล’  เขาเสียงแข็ง

“ไม่ต้องเลยพี่ พอเลย หนูยังไม่ได้คิดบัญชีกับพี่เมื่อตอนเช้านะ”

สิ้นประโยคของน้องตัวแสบเขาต้องหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อให้ใจเย็นที่สุด รู้อยู่แก่ใจว่ามันคงจะทำให้คนตัวเล็กไม่พอใจแต่ทำไงได้ก็เขาเป็นพี่ชายเธอ

‘แล้วบอกเลิกมันไปยัง’

เหมือนถูกสะกิดแผลความอัดอั้นตันใจดีดตัวขึ้นมาจนล้นอก เธอไม่ได้อยากพาลใส่พี่ชายแต่มันอยากพูดออกมาแม้ว่าพ่อบังเกิดเกล้าจะไม่รับรู้เลยก็ตาม

“โห้ยังมีหน้ามาถามอีกนะพี่”

…โกรธแล้วสินะ…

‘ขอคำตอบ’ แม้ว่าจะเสี่ยงโดนด่าแต่อย่างน้อยบอกให้เขารู้ที

“บอกเลิกไปแล้ว พอใจหรือยังทั้งพี่ทั้งป๊าเลย นี่ชีวิตหนูนะทำไมชอบมาบงการกัน”

‘…’

“หนูโตแล้วนะมีเหตุผลมากพอ ไม่ว่าอะไรหรอกถ้ามันมีเหตุผลที่เข้าใจได้”

ยิ่งพูดออกมาเท่าไรก็ยิ่งเหมือนมีเรื่องราวมากมายพรั่งพรูออกมาไม่หมด

‘…’

“แต่บางทีมันก็เยอะไป อันนั้นไม่ได้ อันนี้ไม่ได้ จนบางทีหนูก็ระแวง”

เธออึดอัดมากรู้สึกมือไม้สั่นไปหมด

‘…’

ฮันเซลยืนนิ่งอยู่ตรงประตูบ้านตั้งใจฟังเสียงปลายสาย เพื่อที่จะเก็บรายละเอียดทุกคำพูดของน้องสาว

“ว่าถ้าเกิดหนูทำอะไรขึ้นมาจะถูกดุหรือเปล่า”

เขารู้ว่าเธออดทนมานานหลายปี เกรเทลไม่ได้อยากเป็นเด็กมีปัญหา แต่เธอก็มักจะไปแอบทำลับหลัง จนเขานี่แหละที่ต้องคอยตามวิ่งแก้ปัญหาให้อยู่เสมอ

เด็กสาวเงียบไปชั่วครู่สูดลมหายใจเล็กน้อย แต่ประโยคถัดมาทำให้ใจเขากระตุกแรงจนน่ากลัว

“พี่รู้ป่ะว่าบางครั้งก็เคยคิดอยากหนีออกจากบ้านไปอยู่ไกล ๆ ที่ไหนก็ได้”

…หมายความว่าไง…

“หนูเหนื่อยอ่ะพี่ ไม่รู้ว่าเหนื่อยอะไรแต่มันเหนื่อยอ่ะ”

ยิ่งพูดเสียงยิ่งสั่นแม้พยายามจะตั้งสติไม่ให้ฟุ้งซ่าน ขอบตาเริ่มร้อน เธอไม่ได้อยากอ่อนแอให้ใครเห็นแม้กระทั่งพี่ชายตนเอง

คงจริงอย่างที่คนอื่นเขาพูดกันว่าอดทนมากแค่ไหนคนอื่นก็ไม่เห็นความพยายามของเราอยู่ดี

ร่างบางสูดหายใจเข้าช้า ๆ แล้วปล่อยออกมา

“ชีวิตหนูเหมือนไม่ใช่ชีวิตหนู หนูแค่อยากได้ชีวิตหนูแค่นั้นเอง”

‘…’

ฮันเซลนิ่งงัน ไม่คิดเลยว่าตัวแสบจะน้อยใจมากขนาดนี้ นี่เขาละเลยความรู้สึกน้องมากแค่ไหนกัน ทั้งที่คิดว่าตัวเองดูแลดีที่สุดแล้ว ทั้งเอาใจ อยากได้อะไรก็พยายามหามาประเคนให้ทดแทนป๊า

“ตลอดหลายปีมานี้หนูพยายามทำตามที่ป๊าบอกแต่ก็ทำไม่ได้ ถ้าชีวิตเราไม่ลองทำอะไรเลยมันก็จะเอาตัวไม่รอด เรื่องนี้พี่รู้ดีกว่าใครนะ”

ทั้งที่พยายามเก็บความรู้สึกมาโดยตลอด จนกระทั่งเรื่องเมื่อวานที่ทั้งป๊าและพี่ชายไม่เข้าใจสักนิดว่าคนที่ลำบากใจที่สุดคือตัวเธอเอง

ไม่มีใครสักคนถามเธอเลยว่ามันรู้สึกแย่เพียงใด

“หนูน่ะ…”

มือบางปาดขอบตาที่เริ่มมีน้ำใสซึม

“หนูน่ะอิจฉาพี่มากเลยรู้ตัวไหม”

ทางด้านชายหนุ่มกำมือถือแน่นภายในใจรู้สึกผิด อยากจะพูดขอโทษแต่ก็ไม่กล้า จึงปล่อยให้คนในสายระบายความในใจต่อไป

“พี่ที่เกิดเป็นผู้ชาย ไม่มีใครกล้ามารังแก ไม่ต้องมาคอยเป็นห่วงจนเกินไปเหมือนผู้หญิง อยากทำอะไรก็ได้ตามใจ”

‘เกรเทลพี่…’

ฮันเซลพยายามจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ถูกเกรเทลพูดกลบหมด

“พี่ฟังนะผู้หญิงนะไม่ได้สบายอย่างที่หลายคนเข้าใจหรอกและหนูก็รู้ด้วยว่าผู้ชายก็ไม่ได้สบายเช่นกันต่างคนต่างมีความยากไม่เหมือนกัน”

‘…’

“พี่ก็พยายามในส่วนของพี่ หนูก็พยายามในส่วนของหนู”

ร่างบางก้มหน้าลงต่ำเพื่อซ่อนความอ่อนแอไม่ให้ผู้ใดเห็น ยกยิ้มน้อย ๆ ให้กับความขมขื่นของชีวิต สูดลมหายใจเข้าแล้วสะบัดหัวเพื่อเรียกสติ

“ดูงี่เง่าเนอะพี่ที่หนูพูดแบบนี้ แต่ถ้าหนูไม่พูดออกมาคงอึดอัดจนขาดใจตายเข้าสักวัน”

ทีแรกว่าจะทำเป็นไม่สนใจอะไรปล่อยให้มันลืมเลือนหายไปอย่างที่เคยเป็น แต่ขอแค่ครั้งนี้สักครั้งที่จะพูดความในใจออกไปบ้าง

“หนูไม่รู้หรอกว่าพวกพี่คิดยังไง แต่หนูเบื่อแล้วนะ…ฮึก”

ดันเผลอปล่อยให้ตัวเองสะอื้นน้ำตาไหลจึงรีบเก็บเสียงแต่ก็ไม่ทันคู่สนทนา เขารู้แล้วว่าเธอร้องไห้ความรู้สึกผิดกระหน่ำภายในจิตใจ

‘พี่มีเหตุผล’

“เหตุผล? พอเถอะพี่ฮันเซล ตอนนี้หนูไม่พร้อมฟังคำแก้ตัวหรือข้ออ้างของใครทั้งนั้น”

ความน้อยเนื้อน้อยใจกำลังเล่นงานอย่างรุนแรง รู้สึกตัวเล็กลงจนอยากหาที่ซุก

‘เกรเทลฟังพี่ก่อน’

เด็กสาวส่ายหน้าเนื่องด้วยอารมณ์ที่อ่อนไหวทำให้ตอนนี้คนปลายสายพูดอะไรก็ไม่เข้าหูทั้งนั้น

ขอแค่วันนี้วันเดียว

ขอแค่ให้เธอสงบสติอารมณ์คนเดียว หลังจากนี้ค่อยคุยกันใหม่

ของี่เง่าสักครั้งแล้วจะกลับไปเป็นเด็กดี

“พี่ไม่ต้องพูดแล้ว ตอนนี้หนูขออยู่คนเดียว”

‘เกรเทลพี่แค่…’

โครม! เคร้ง!

เสียงดังสนั่นเหมือนวัตถุขนาดใหญ่ชนกันอย่างแรงตามมาด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวนน่ากลัว วินาทีนั้นชายหนุ่มนึกถึงน้องสาวตัวเองทันที

‘เกรเทล! เกรเทล! ได้ยินพี่ไหม!?’

ไร้ซึ่งการตอบกลับจากปลายสายมีแต่เสียงหวีดร้องของคนที่ไม่ทราบว่าเป็นชายหรือหญิงดังเข้ามาแทน

‘ฮัลโหลเกรเทล! ตอบพี่หน่อย!’

เห็นท่าไม่ดีเขาจึงกำโทรศัพท์มือถือเปลี่ยนเป็นเปิดสปีกเกอร์โฟนแทน เพื่อที่จะได้รู้สถานการณ์แล้วรีบวิ่งไปขึ้นรถทันที

…แม่งเอ้ยพระเจ้า…

มือหนาหมุนพวงมาลัยเหยียบคันเร่งเพื่อไปยังจุดหมายให้เร็วที่สุด

ภาวนาในใจขออย่าให้มีอะไรเกิดขึ้นกับไอตัวแสบ เขาคงไม่มีหน้าไปพบป๊ากับแม่ที่บ้าน

ฮันเซลรู้สึกเหมือนเวลาเดินช้าลงเป็นปีทั้งที่จริงใช้เวลาแค่ยี่สิบนาทีกว่าจะมาถึงสถานที่เกิดเหตุ

บริเวณโดยรอบพังพินาศ ซุ้มม้านั่งตรงป้ายรถเมล์ทล่มลงมา เสาไฟฟ้าแถวนั้นโค่นล้มหักครึ่ง รถพยาบาลและรถตำรวจจอดเรียงหลายคันรถ มีชาวบ้านแห่ออกมามุงดูกันเต็ม

ร่างสูงรีบลงจากรถแล้วเดินไปหาเจ้าหน้าที่ตำรวจ

“คุณตำรวจเกิดอะไรขึ้นครับ?”

“เกิดเหตุเมาแล้วขับครับ คู่กรณีเป็นคนขับรถพ่วงแล้วดันหลับใน”

ชายหนุ่มพูดไม่ออก ใจกระวนกระวายเป็นห่วงน้องสาว หวังแค่ว่าเธอจะไม่โดนลูกหลงไปด้วย เขาหันหลังเดินออกมาแล้วมุ่งตรงมาทางพยาบาลสาว

“ผมมาตามหาน้องสาวผมครับเธอชื่อเกรเทล ผมสั้นทำสีบลอนด์สว่าง รูปร่างผอม”

เขารีบอธิบายรายละเอียดคร่าว ๆ ของน้องสาว

“ขอนึกสักครู่นะคะ”

พยาบาลสาวยืนขมวดคิ้วบ่นพึมพำนับจำนวนคนในเหตุการณ์เมาแล้วขับ

“อืม...จากจำนวนผู้บาดเจ็บ 20 ราย ถ้าผมสั้นทำสีรู้สึกว่าจะมีแค่คนเดียวนะคะ” 

พยาบาลสาวนึกแล้วเว้นจังหวะพูดเล็กน้อย

“ถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลคนแรกเลยค่ะ” 

เขาเข้าข้างความคิดตัวเองว่าอาจจะเพราะคนเจ็บเยอะเลยต้องเร่งส่งคนไปโรงพยาบาล

แต่เหมือนพระเจ้ากลั่นแกล้งประโยคถัดมาทำเอาเขาหน้าซีด

“อาการสาหัสมากจนต้องติดแถบป้ายแดง คนเห็นเหตุการณ์เล่าว่าเธอดันยืนอยู่ริมฟุตบาทพอดีเลยได้รับแรงกระแทกเยอะกว่าคนอื่นค่ะ”

 

------

 

คอมเมนต์เป็นกำลังใจให้ไรท์ได้นะคะ

หากพบคำผิด แก้ไขติชมโปรดคอมเมนต์อย่างสุภาพไรท์ยินดีปรับปรุงแก้ไขค่ะ

 

***

Talk with writer

เนื้อหาใกล้ถึงช่วงสำคัญแล้วบทเกริ่นนำแบบเต่าคลาน ฉะนั้นอย่าเพิ่งหนีไรท์กันไปเด้ออยู่รอเจอพระเอกกันก่อนนะคะ555 บอกแล้วเรื่องนี้ไม่มีดราม่าแต่ทุกตัวละคนมีเหตุผลของตนเองจำคำไรท์ไว้นะคะ

‘ทุกตัวละครมีเหตุผลเป็นของตนเอง’

 

****

 

แวะมาพูดคุยเล่นหรือดูอัพเดตเกี่ยวกับนิยายไรท์ได้ที่

Facebook : C.T.Tiana

X (Twitter) : @Ccttiana  

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา