อันธการล้อมรัก

-

เขียนโดย Paweepat

วันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2565 เวลา 09.23 น.

  1 ตอน
  0 วิจารณ์
  864 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2565 09.39 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) Prologue

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

บทนำ
 

 

เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นติดๆกันหลายครั้งเรียกความสนใจจากเจ้าของห้องร่างสูงที่กำลังเคร่งเครียดอยู่กับแฟ้มเอกสารกองโตบนโต๊ะทำงานให้หยุดหันมอง เรียวคิ้วเข้มที่พาดอยู่เหนือดวงตาคมกริบขมวดเข้าหากันเล็กน้อย แต่เพียงเท่านั้นก็มากพอจะทำให้ใบหน้าคมคายตามแบบฉบับหนุ่มตะวันตกดูลึกลับน่ากลัวขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า

เมื่อวานธันวาเพิ่งขอลาพักร้อนกลับไปเยี่ยมญาติที่ต่างจังหวัด กว่าจะกลับมาก็อีกหลายวัน เพราะฉะนั้นเขาจะตัดมันออกจากตัวเลือกเป็นคนแรก...

ไม่สิ ไม่ใช่คนแรกแต่เป็นคนเดียวต่างหาก เพราะนอกจากผู้ช่วยคนสนิทที่ทำงานด้วยกันมานานก็คงไม่มีใครกล้ามาเคาะห้องเขาเวลานี้อีกแล้ว

ตาคมเหลือบมองนาฬิกาบนผนังห้องอย่างนึกตำหนิคนข้างนอกว่าช่างไม่รู้จักกาลเทศะเอาเสียเลย ต่อให้มีธุระสำคัญแค่ไหนก็ควรรอให้เช้าก่อน ไม่ใช่เสนอหน้ามาตอนตีสองแบบนี้

“ฉันไม่รับแขก”

เสียงเข้มตอบกลับเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกันชัดถ้อยชัดคำ คนที่อยู่หลังบานประตูจะเป็นใครเขาไม่สน ที่สนคือตอนนี้เป็นเวลาส่วนตัว และการที่เขายังไม่เข้านอนก็ไม่ได้หมายความว่าจะอนุญาตให้ใครหน้าไหนเข้าพบได้ทั้งนั้น

ภวินท์ส่ายหัวอย่างหงุดหงิด ก่อนจะก้มลงอ่านเอกสารต่อ แต่อ่านไปได้แค่ไม่กี่บรรทัด เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีก

ก๊อกๆ

ใครมันกล้าลองดี...

ชายหนุ่มมั่นใจว่าก่อนจะรับคนเข้าทำงานทุกครั้ง เขาได้กำชับให้พวกนั้นอ่านข้อตกลงในสัญญาจ้างอย่างละเอียดถี่ถ้วนทุกตัวอักษร ถึงจะอ่านภาษาไทยไม่คล่อง แต่ก็แน่ใจว่าในนั้นมีกฎข้อหนึ่งที่ระบุไว้ชัดเจนว่า ‘หากนายจ้างไม่ประสงค์เรียกใช้งาน ห้ามใครก็ตามเข้ามายุ่งวุ่นวายในพื้นที่ส่วนตัวทั้งยามปกติและยามวิกาล’

ก๊อกๆ

ปึก!

แฟ้มสีดำในมือถูกเหวี่ยงลงบนโต๊ะเสียงดังก่อนที่ร่างสูงจะผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินไปกระชากประตูเปิดด้วยใบหน้าถมึงทึง

“ฉันบอกว่าไม่รับแขก ไม่ได้ยินที่พูด?”

“พ่อ”

เสียงหวานคุ้นหูที่ลอยเข้ามากระทบโสตประสาทเป็นสิ่งแรกทำให้ภวินท์ชะงักไป ประกายแข็งกร้าวดุดันในดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นความสงสัยยามเมื่อแสงสีเหลืองนวลจากไฟที่ส่องสว่างตรงโถงทางเดินสาดกระทบซีกหน้าด้านข้างของคนตัวเล็กที่ยืนโงนเงนอยู่หน้าประตู เห็นแค่เงาก็รู้แล้วว่าใคร แต่เวลานี้คนตรงหน้าควรจะหลับอยู่บนห้องนอนชั้นสองไม่ใช่เหรอ?

ตาคมหลุบมอง 'ปณาลี' เด็กสาวตัวเล็ก ใบหน้ากลมมน ปากนิดจมูกหน่อย ที่สูงเพียงแค่ระดับอกอย่างใช้ความคิด

ไหนเมื่อตอนหัวค่ำ คนของเขารายงานว่าวันนี้ทั้งวันเธอขลุกอยู่แต่ในห้องเพราะต้องอ่านหนังสือสอบ แล้วทำไมป่านนี้คนที่บอกว่ามีสอบแต่เช้าถึงยังไม่ยอมหลับยอมนอนอีก

“ทำไมถึงยังไม่นอน ไหนว่าพรุ่งนี้มีสอบ?”

ไม่ปล่อยให้ความสงสัยวนอยู่ในหัวนาน ภวินท์ก็ถามเสียงดุพลางเพ่งมองใบหน้าของเด็กในปกครองที่ไม่เคยทำตัวอยู่ในปกครองเลยสักครั้ง ด้วยความที่เขาสูงกว่าเธอหลายฟุตประกอบกับที่ต่างฝ่ายต่างยืนหันหลังให้แสงไฟเลยทำให้มองเห็นหน้าคู่สนทนาไม่ชัด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล เพราะตั้งแต่อยู่ร่วมบ้านด้วยกันมา ไม่เคยสักครั้งที่ปณาลีจะมีปัญหาถึงขนาดต้องมาเคาะห้องเรียกตอนกลางดึกแบบนี้ หรือต่อให้มี…ห้องเขาก็คงเป็นตัวเลือกสุดท้าย

“ว่ายังไง ไม่ได้ยินที่พี่ถาม?” พอเห็นอีกฝ่ายไม่ตอบชายหนุ่มก็จงใจกดเสียงให้เข้มขึ้น รู้ทั้งรู้ว่าไม้นี้ไม่มีทางใช้ได้ผล อย่างปณาลีหรือจะกลัวเขา

ลมหายใจแผ่วเบาถูกพ่นออกมาพร้อมกับที่อาวุธสีดำเมื่อมถูกผู้เป็นเจ้าของยัดเก็บกลับลงในกระเป๋ากางเกง สำหรับภวินท์ การฆ่าคนตายในบ้านถือเป็นเรื่องต้องห้าม แต่ถึงอย่างไร การป้องกันตัวก็เป็นสิ่งที่ต้องทำในยามจำเป็นเช่นกัน เพราะคนที่มีธุระกับคนอย่างเขาตอนตีสอง คงไม่ได้มาดีแน่

แต่ทุกอย่างย่อมมีข้อยกเว้นเสมอ กับเธอคนนี้ก็เช่นกัน

ภวินท์แง้มประตูให้กว้างขึ้น คิดในแง่ร้ายว่าปณาลีอาจมีเรื่องสำคัญที่รอจนถึงเช้าไม่ได้ แต่พอเห็นสภาพของอีกฝ่ายถนัดตา คิ้วหนาก็พันกันยุ่ง 

“แต่งตัวบ้าอะไรวะ”

เขาเผลอสบถออกมาอย่างลืมตัวขณะมองสำรวจคนตัวเล็กที่อยู่ในชุดเสื้อครอปตัวสั้นโชว์สะดือกับกางเกงสกินนี่รัดรูป แถมเนื้อตัวยังคลุ้งไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์ 

“นี่ดื่มเหล้ามา?”

“เปล่า” ปณาลีปฏิเสธเสียงอ้อแอ้ แต่คนฟังกลับมองตาเขียวปั้ด

ปากบอกว่าไม่ แต่แค่ยืนให้ตรงยังทำไม่ได้เลย!

ภวินท์นึกค่อนขอดในใจ คิดไม่ถึงว่าปณาลีจะกล้าเอาเรื่องเรียนมาบังหน้าแล้วแอบหนีเที่ยวลับหลังเขา แบบนี้มันจะท้าทายกันเกินไปหน่อยแล้ว!

 ไวเท่าความคิด ข้อมือบางถูกคนตัวโตคว้ามากุมจนรอบ เขาตั้งใจจะดึงแม่ตัวดีเข้ามาคุยกันในห้อง เพราะดูจากสภาพขืนปล่อยให้ยืนโซซัดโซเซเป็นเรือโต้พายุอยู่แบบนี้ นอกจากจะคุยไม่รู้เรื่องแล้ว มีหวังคงได้ล้มหัวฟาดพื้น ไม่ก็ทำเสียงดังรบกวนจนคนในบ้านตื่นกันหมด

ทว่า...

ปณาลีกลับทำตัวแปลกประหลาดด้วยการเป็นฝ่ายรุกเข้ามาหาเขาก่อนทั้งที่ปกติแทบไม่เคยเฉียดเข้าใกล้ ตั้งท่ารังเกียจอย่างกับอะไรดี

“ทำไมพ่อไม่เห็นมาหาโปรดบ้างเลย โปรดเหงา”

คนตัวเล็กพุ่งเข้ามาซุกซบท่อนแขนกำยำ ก่อนจะพึมพำเสียงเบาคล้ายละเมอ สัมผัสอุ่นๆเปียกชื้นที่แขนเสื้อทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังร้องไห้

“เป็นอะไร” พอลากเธอเข้ามาในห้องพร้อมกับกดล็อกประตูเสร็จสับก็หันมาถาม

“โปรดคิดถึงพ่อ”

“…” 

“คิดถึงมากๆเลยนะ” 

“เมาแล้วอย่าละเมอเป็นเด็กๆ”

“นี่ไม่ใช่เด็ก นี่โตตั้งเท่าเนี๊ยะแล้ว” คนโตแล้วว่าพร้อมกับยกมืออวดส่วนสูงอันน้อยนิดของตัวเองอย่างภูมิใจ “ให้โปรดไปหาพ่อนะ นะๆน๊าา”

“พ่อเราตายแล้ว ตายนานแล้ว” ถึงจะพูดตรงไปตรงมาเหมือนไม่คิดจะรักษาน้ำใจคนเมา แต่หางตาก็ยังอดไม่ได้ที่จะเหลือบไปมองกรอบรูปอันเล็กบนโต๊ะทำงาน

ภาพของชายวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานดูดีที่กำลังส่งยิ้มให้กล้องกระตุกบางอย่างในห้วงความคิดของคนมองให้นึกย้อนกลับไปเมื่อครั้งอีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่ 

‘ประวิทย์ พรรธนะรักษ์‘ อาจไม่ใช่คนดีอย่างที่ใครหลายคนเข้าใจ แต่ถึงอย่างไรท่านก็เป็นพ่อแท้ๆของปณาลี

และเป็นพ่อบุญธรรมของเขาด้วย

“ทำไมพ่อต้องตาย ไม่ตายไม่ได้เหรอ”

“ไม่ได้”

“ทำไมถึงไม่ได้”

“เพราะพ่อตายแล้ว ตายก็คือตาย ต่อให้ร้องไห้น้ำตาเป็นสายเลือดหรือเทเหล้าอาบตับยังไงคนตายก็ไม่ฟื้นขึ้นมา และคนที่อยู่ก็ต้องเลิกทำตัวมีปัญหาได้แล้วถ้าไม่อยากให้ดวงวิญญาณของพ่อต้องมีห่วง ไหนว่าไปวัดกับคุณย่าดวงแก้วบ่อยๆ ทำไมไม่รู้จักฟังพระฟังเจ้า?”

ว่าแล้วก็อดตำหนิคนตัวเล็กไม่ได้ อาการที่เธอเป็นอยู่ใช่ว่าเขาจะไม่เข้าใจ แต่ที่ต้องพูดตรงๆก็เพราะอยากให้หญิงสาวรู้จักยอมรับความจริงเสียที ปณาลีไม่ใช่เด็กแล้ว อายุยี่สิบเอ็ดบางคนลำบากกว่าเธอก็มี ไม่ใช่ว่าขาดพ่อขาดแม่แล้วจะยืนอยู่บนโลกนี้ไม่ได้เสียหน่อย

ภวินท์มองคนเมาตาขุ่น รู้สึกเวทนาเล็กน้อยเมื่อคิดว่าสภาพแบบนี้ต่อให้พูดอะไรไปพรุ่งนี้ตื่นมาก็คงลืมหมดอยู่ดี

“ทำไมคนไม่ดีถึงพูดถึงพระ” 

ตัวแสบ…

เขาได้ยินปณาลีบ่นและรู้ด้วยว่าตัวเองกำลังถูกด่า จะเอาเรื่องก็ย่อมได้ แต่เพราะยึดคติไม่อยากถือสาหาความกับคนเมาเลยปล่อยไป ไว้มีสติเมื่อไหร่ค่อยเคลียร์ทีหลังก็ยังไม่สาย ร่างสูงยืนกอดอกพิงสะโพกสอบกับโต๊ะหนังสือ สายตาที่มองปณาลีเหมือนผู้ใหญ่กำลังมองเด็กเล็กๆ คนถูกมองก็ไม่ได้สะทกสะท้าน พูดโน่นพูดนี่ไปเรื่อยจนในที่สุดก็วกเข้าเรื่องเดิม

“พ่อทิ้งโปรดไปแบบนี้ไม่ได้ โปรดไม่อยากอยู่กับเขา”

“เขาไหน” เสียงเข้มถามขึ้นทันทีที่รู้สึกว่าประโยคของเธอเริ่มฟังไม่เข้าหู แต่ใครจะคิดว่านอกจากจะไม่ได้คำตอบแล้ว เขายังถูกคนเมาโมเมหาว่าเป็นพ่อเธอเสียอีก

“พ่อจ๋า” ภวินท์ก้มลงมองใบหน้าเรียวเล็กของคนที่จู่ๆก็เดินเอาคางมาถูไหล่เขาอย่างออดอ้อน อาการเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายอย่างกับคนเป็นไบโพล่าของเจ้าหล่อนทำให้คนตัวโตอดไม่ได้ที่จะลงบัญชีดำคาดโทษเธอกับเพื่อน รวมทั้งใครก็ตามที่พากันไปกินเหล้าจนเมายับขนาดนี้ เห็นทีได้สติเมื่อไหร่ คงต้องเรียกตัวมากำราบกันเสียบ้าง

ภวินท์ถอนหายใจหนักๆออกมา พอเห็นคนเมาเงียบไปแถมยังทำท่าคอพับคออ่อนเหมือนจะหลับกลางอากาศ เขาก็เขย่าตัวเรียกเธอเบาๆ

“ดึกแล้ว ไปอาบน้ำนอน”

พอได้ยินคำว่าอาบน้ำ ปณาลีก็ผงกหัวขึ้นมายิ้มกว้างโชว์ฟันสามสิบสองซี่ก่อนจะส่ายหัว

“โปรดไม่อาบน้ำ”

“งั้นก็ไปล้างหน้าแปรงฟัน”

“ม่าย”

“แล้วจะนอนทั้งอย่างนี้ ไม่เหนียวตัวแย่?”

“ไม่เหนียว ไม่เหม็นด้วย” คนเมาตอบหน้าซื่อ ก่อนจะยื่นแขนสองข้างออกมาแล้วพูด “ไม่เชื่อพ่อก็ดมสิ”

“ที่พูดนี่แน่ใจแล้ว?” คิ้วหนาเลิกขึ้นเป็นการหยั่งเชิง ประกายบางอย่างพาดผ่านนัยน์ตาคู่คมเงียบๆ ไม่รู้คำถามทีเล่นทีจริงของเขาจะซึมเข้าไปในสมองคนฟังบ้างหรือเปล่า แต่เท่าที่เห็น ปณาลีดูจะไม่มีสติรับรู้อะไรเลย

แบบนี้ใช้ไม่ได้…

เป็นสาวเป็นนางแทนที่จะระวังคำพูด มีอย่างที่ไหนอยู่ๆซี้ซั้วชวนให้ผู้ชายดมตัว  เมาแล้วเรื้อนเป็นบ้า

“ทีหลังอย่าไปพูดแบบนี้กับใคร” …เดี๋ยวก็โดนหลอกฟันไม่รู้ตัว

เขาต่อประโยคเองในใจ ปณาลีเวอร์ชั่นนี้ไม่ใช่ในแบบที่จะเห็นได้บ่อยๆ เท่าที่อยู่ด้วยกันมา มีบ้างที่หญิงสาวจะไปเฮฮาสังสรรค์กับเพื่อนตามประสาวัยรุ่น แต่ถ้าเป็นเรื่องกินเหล้าเข้าผับ บอกตามตรงว่าเขาไม่รู้ และเธอก็ไม่เคยทำให้เห็นด้วย 

“ให้พ่อดมก่อน จะได้เชื่องายยย”

เขาหลุบตามองคนหน้ามึนพูดเสียงยานคราง ก่อนจะปัดท่อนแขนเล็กออกเบาๆ คิดไม่ถึงว่ามือปลาหมึกของเธอจะตามติดเป็นพัลวัน

“พ่ออย่าหนี ถ้าโปรดจับได้เดี๋ยวจะโดน”

มีขู่เสียด้วย

ภวินท์ส่ายหน้าอย่างละอาใจ เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่างแต่พอเห็นเธอทำท่าจะพุ่งเข้ามาอีก มือหนาก็รีบตะครุบข้อมือบางไว้ แต่ดันกลายเป็นว่าเขาคว้าไว้ได้แค่ข้างเดียว

หมับ 

“จับได้แล้ว”

“นั่นไม่ใช่แขน!”

เสียงแหบต่ำเอ่ยรอดไรฟันทันทีที่มืออีกข้างของคนตัวเล็กคว้าหมับเข้าที่เป้ากางเกงอย่างจัง สันกรามแกร่งบดเข้าหากันโดยอัตโนมัติจนใบหน้ากระตุกเกร็ง คลื่นอารมณ์รุนแรงที่หลั่งไหลมารวมกันอยู่ที่จุดกึ่งกลางกายส่งผลให้ภวินท์ต้องรีบกระชากตัวต้นเหตุออกไปก่อนที่อะไรๆของเขามันจะ ‘ตื่น’ ขึ้นมา

แต่แทนที่ทุกอย่างจะดีขึ้น เขากลับต้องเป็นฝ่ายทุกข์ทรมานหนักกว่าเก่าเมื่อคนเมาเกิดแข้งขาอ่อนเซมาซบอกอย่างแรงจนเกิดเสียงดัง อึ่ก และไม่รู้เพราะความบังเอิญหรือจังหวะนรกแตก ริมฝีปากบางของเจ้าหล่อนถึงได้ประทับลงบนยอดอกภายใต้เสื้อยืดเนื้อบางสำหรับใส่นอนของเขาอย่างพอดิบพอดี

ทั่วทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ… 

ตากลมโตฉ่ำปรือด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์หวานล้ำจนทำให้คนมองตาพร่า

และมันเป็นวินาทีเดียวกันกับที่ความอดทนของเขาสิ้นสุดลง

“อยากให้ดมนักใช่ไหม?” คนถามตาเป็นประกาย รอยยิ้มชั่วร้ายผุดขึ้นเหนือมุมปากราวกับนักล่า ทั้งที่เป็นคนตั้งคำถามแต่ชายหนุ่มกลับไม่คิดจะรอฟังคำตอบ พอเห็นปณาลีเอนตัวเข้ามาใกล้ จมูกโด่งเป็นสันก็กดลงบนผิวกายอ่อนนุ่มอย่างรวดเร็ว

ทว่าเป้าหมายของเขากลับไม่ใช่แขนเล็กๆนั่น ไม่ใช่…และไม่เคยใช่ตั้งแต่แรก

ภวินท์ค่อยๆเคลื่อนกายเข้าหาร่างบางทั้งที่ปลายจมูกโด่งยังไม่ละไปจากพวงแก้มนวลเนียนที่ขึ้นสีน้อยๆ กลิ่นหอมอ่อนๆของแชมพูหรืออะไรสักอย่างที่เขาเองก็อธิบายไม่ถูก รู้แต่เพียงว่ามันกำลังทำให้ความยับยั้งชั่งใจที่มีลดน้อยถอยลงเรื่อยๆ

จากตอนแรกที่ตั้งใจจะลงโทษ เลยกลายเป็นยิ่งถลำลึกลงอย่างไม่น่าให้อภัย

“รู้ยางว่าม่ายเหม็นนน”

สำหรับเขานั่นไม่ใช่คำถาม เพราะฉะนั้นจึงไม่จำเป็นต้องตอบ

แต่ถึงอย่างไร เสียงในหัวก็ทำหน้าที่ของมันไปแล้ว

...ไม่เหม็นจริงด้วย แถมยังหอมมากอีกต่างหาก

สัมผัสเย้ายวนใจบวกกับกลิ่นกายเฉพาะตัวที่ผสมปนเปกับกลิ่นเหล้าจางๆทำเอาชายหนุ่มลุ่มหลงจนเผลอลากไล้ริมฝีปากจากพวงแก้มเรื่อยลงมายังซอกคอขาว เขาขบเม้มเบาๆอย่างหมั่นเขี้ยวจนรู้สึกถึงแรงสะท้านจากร่างนุ่มนิ่มในอ้อมกอด กิริยาใสซื่อไร้เดียงสาที่แสดงออกมาอย่างเป็นธรรมชาติเปรียบเสมือนเชื้อเพลิงชั้นดีที่นอกจากจะไม่สามารถทำให้คนตัวโตหยุดระรานเนินเนื้อละมุนได้แล้ว มันกลับยิ่งปลุกความร้อนรุ่มในกายให้ลุกโชนเหมือนดั่งเปลวเพลิงที่ยากจะดับมอด ภวินท์พรมจูบไปทั่วใบหน้าเล็ก กระทั่งมาหยุดอยู่ที่กลีบปากอวบอิ่มสีชมพูระเรื่อที่เผยอขึ้นน้อยๆราวกับท้าทาย

“อื้อ”

กว่าจะรู้ตัวว่าฝ่ามือหยาบกร้านของตัวเองเผลอลูบไล้สำรวจไปทั่วทุกสัดส่วนของร่างแบบบางก็เมื่อได้ยินเสียงครางแผ่วเบาเล็ดลอดออกมาจากปากคนตัวเล็กที่แทบจะยืนทรงตัวไม่อยู่ แม้จะถูกขวางกั้นด้วยปราการหลายชิ้น แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับคนที่กำลังจมดิ่งอยู่ในห้วงปรารถนา ภวินท์จ้องลึกลงไปในดวงตาคู่สวยก่อนจะค่อยๆเลิกชายเสื้อครอปตัวสั้นขึ้นทีละน้อย ไม่ทันไรปลายนิ้วซุกซนก็หายลับเข้าไปด้านใน

สัมผัสแปลกปลอมที่เลื่อนมากอบกุมทรวงอกข้างซ้ายทำเอาขนอ่อนในกายปณาลีลุกชันจนต้องห่อไหล่เข้าหากัน 

อาการสะบัดร้อนสะบัดหนาว ชาวาบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนราวกับถูกกระแสไฟอ่อนๆลามไล้ไปทั่วคือสิ่งเดียวในตอนนี้ที่รู้สึกได้ และทั้งหมดนั้นกำลังหลอมละลายมโนสำนึกในหัวจนแทบไม่มีเหลือ

”อ้ะ”

ปณาลีในตอนนี้คล้ายคนละเมอ แม้จะไม่ให้ความร่วมมือแต่หญิงสาวก็ไม่ได้แสดงท่าทีปัดป้อง เธอไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นต่อจากนี้คืออะไร ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเผลอปล่อยตัวปล่อยใจคล้อยตามจนทำให้นักล่าอย่างเขายิ่งได้ใจ

“อะ อื้อ”

เสียงครางเล็กแหลมถูกเปล่งออกมาอีกครั้งเมื่อคนตัวเล็กรู้สึกถึงคลื่นความร้อนระลอกใหญ่ที่เริ่มไต่ระดับต่ำลงมาเรื่อยๆอย่างน่าหวาดเสียว ไม่ทันไรตะขอชั้นในตัวสวยก็ถูกปลดออก เขาจงใจไม่ให้สายเสื้อหลุดลงไปจากลาดไหล่บาง ขณะก้มลงดูความเต่งตึงที่เด้งผึงปรากฏแก่สายตา ปณาลีตัวเล็กก็จริงแต่เพิ่งรู้ว่าอะไรหลายๆอย่างของเธอไม่ได้เล็กตามไปด้วย ตั้งแต่เด็กจนโตหญิงสาวถูกเลี้ยงดูประคบประหงมเป็นอย่างดี แทบไม่เคยพบเจอความลำบากจึงไม่แปลกที่เนื้อตัวเจ้าหล่อนจะขาวนวลเนียน ไร้ซึ่งรอยขีดข่วนจนคนมองอย่างเขาอดไม่ได้ที่จะลอบกลืนน้ำลาย

ภวินท์มองร่างบางที่ท่อนบนเกือบเปลือยเปล่าด้วยความพอใจ ปลายนิ้วซุกซนยื่นไปสัมผัสกับผลเชอรี่สีหวานแสนล่อตาล่อใจที่กลางยอดอกก่อนจะไล้วนอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน น้ำหนักมือที่เคล้นสลับหนักเบาทำให้สาวน้อยบิดตัวไปมาและเริ่มที่จะสะบัดตัวหนี 

…แต่ยิ่งหนี ก็ยิ่งเสียเปรียบ 

ภวินท์ลอบยิ้มเมื่อในที่สุดร่างเล็กก็ถูกเขาดันติดผนังอย่างไร้ทางออก มือหนากระชากบราสีอ่อนให้พ้นทาง ก่อนที่ปากหยักจะพุ่งเข้าฉกชิมความหอมหวานจากก้อนเนื้อขนาดเหมาะมือราวกับทารกที่โหยหาไออุ่นจากมารดา  มือหนายังคงกอบกุมหยอกล้อความนุ่มหยุ่นข้างที่เป็นอิสระอยู่อย่างหลงไหล ขณะที่ปลายนิ้วอีกข้างค่อยๆแตะลงที่ขอบกางเกงของหญิงสาวอย่างแผ่วเบา ทุกสัมผัสดำเนินไปอย่างช้าๆ แต่ก็แฝงไว้ด้วยความจาบจ้วงร้อนแรงในคราวเดียวกัน 

เพราะเธอไม่สติรับรู้ ส่วนเขาก็หยุดตัวเองไม่ได้

สัญชาตญาณของบุรุษเพศผลักดันให้ชายหนุ่มไม่อาจควบคุมความต้องการบางอย่างในกายได้ สิ่งเดียวที่ผุดขึ้นในหัวคือความปรารถนาแรงกล้าที่ต้องได้รับการปลดปล่อย และเขาจะทำแบบนั้นแน่…

ทว่าจู่ๆคนตัวเล็กที่คิดว่าอ่อนปวกเปียกไปแล้วก็กลับเอาเรี่ยวแรงจากไหนไม่รู้ยกเท้าขึ้นถีบกลางลำตัวแกร่งอย่างแรงชนิดที่ทำฝรั่งตัวโตๆเกือบกระเด็น!

“พ่อขี้โกง โปรดให้หอมแขนไม่ใช่หอมตัว มันจักจี้”

คำพูดประโยคเดียวของเจ้าหล่อนทำเอาในหัว Blank ไปหมด

“…” นานนับนาทีกว่าที่ชายหนุ่มจะหาเสียงตัวเองเจอ

“งั้นก็ขอโทษ”

ภวินท์ตอบเสียงพร่า ทั้งที่ยังรู้สึกค้างคากับสัมผัสติดตรึงที่เกิดขึ้น แต่พอสำนึกได้ว่าเพิ่งโดนคนเมาถีบ อารมณ์วาบหวามที่มีก็ลดลงไปพอสมควร

เห็นตัวเล็กๆบางๆแบบนี้ มือเท้าหนักใช่เล่น

แม้จะรู้สึกทรมาณใจแทบขาดแต่ก็ต้องใช้ความพยายามขุมใหญ่ในการควบคุม ‘อะไรๆ’ ให้สงบลง 

ใช้เวลาเกือบห้านาทีกว่าจะเรียกสติกลับมาได้ แต่…

ใครจะคิดว่าเขาจะต้องทำเรื่องที่โง่ที่สุดในชีวิตอย่างการติดตะขอชั้นในและจัดระเบียบเสื้อผ้าให้ผู้หญิงที่เมื่อไม่กี่วินาทีก่อนเธอเกือบจะเสร็จเขาอยู่รอมร่อ

เวรชัดๆ!

ตาคมกวาดมองสาวน้อยที่ยืนเกาแก้มตัวเองเบาๆ ท่าทางเบลอๆเหมือนคนเพ้อมากกว่าจะขัดเขินทั้งที่เกือบโดนเขาปล้ำเรียกรอยยิ้มจากร่างสูงที่จับจ้องอยู่ในระยะประชิด กว่าจะรู้ตัวว่าเผลอทำเกินกว่าเหตุก็เมื่อเห็นรอยแดงที่ปรากฏบนต้นคอเล็ก น่าแปลกที่มันทำให้เขาอารมณ์ดี แต่ถึงอย่างนั้นพอรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย เขาก็ค่อยๆถอยห่างจากปณาลีอย่างใจเย็น

ที่ถอยไม่ใช่เพราะรู้สึกผิดแล้วก็ไม่ได้คิดว่าการกระทำเมื่อครู่ของตัวเองเข้าข่ายฉวยโอกาสสักนิด ปณาลีเป็นคนก้าวเข้ามาในที่ของเขาเองโดยที่เขาไม่ได้ออกแรงบังคับ แถมยังเป็นฝ่ายเชื้อเชิญให้ดมตัว แล้วยังมาจับ…ช่างมันเถอะ

เอาเป็นว่า เขาเป็นผู้ชายทั้งแท่ง มีเลือดมีเนื้อไม่ใช่พระอิฐพระปูนที่ไหน หากจะหลงเออออไปกับเธอบ้างตามประสาอ้อยเข้าปากช้างก็คงไม่แปลก

แต่ถึงอย่างไร การอยู่ในห้องกับสาวน้อยวัยแรกแย้มที่โตเป็นสาวเต็มตัวสองต่อสองคงไม่ใช่เรื่องดี เขามั่นใจว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องนี้เป็นเพราะความเมาล้วนๆ และยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบเมื่อครู่ขึ้นอีก เขาไม่แน่ใจว่าจะหยุดตัวเองได้ทัน ดีไม่ดีจะกลายเป็นว่าปณาลีถูกเขาใช้กำลังเอาเปรียบด้วยซ้ำ

เคยมีคนบอกว่าผู้หญิงกับผู้ชาย อยู่ใกล้กันก็เหมือนแม่เหล็กต่างขั้วที่พร้อมจะดึงดูดเข้าหากันได้ทุกเมื่อ

และเขากับเธอไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นแบบนั้น

“กลับห้องเถอะ พี่จะพาไปส่ง” พอได้ข้อสรุปที่เป็นเหตุเป็นผลกับตัวเอง เสียงเข้มก็ออกคำสั่ง

“ไม่ โปรดจะนอนกับพ่อ ขอนอนกับพ่อนะ”

“ไม่ได้!”

“แต่โปรดไม่อยากนอนคนเดียว เดี๋ยวเขาก็มาฆ่าโปรดหรอก” ปณาลีเริ่มกลับมางอแงอีกครั้ง “เขาไม่รักโปรดนะพ่อ”

“ใครไม่รักโปรด”

“ไอ้ลูกครึ่งหน้ายักษ์”

“...”

“พ่อไม่น่าทิ้งให้โปรดอยู่กับเขาเลย เขาเกลียดโปรดจะตาย”

“รู้ได้ยังไง เคยถามเขาแล้วหรือ”

“ไม่เคย” คนพูดเริ่มขยับปากช้าลง ภวินท์เห็นหญิงสาวอ้าปากหาวหวอด ก่อนจะยกมือขยี้ตา ยังไม่ทันคุยกันรู้เรื่องเธอก็ชิงตัดบทหนีด้วยการพูดว่า ‘โปรดง่วงแล้ว ขอนอนนะ’ แล้วก็หลับคาอ้อมอกเขาไปเลย

คืนนั้นภวินท์เลยต้องอุ้มอีกฝ่ายกลับห้องทั้งที่ลึกๆยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจกับคำพูดเมื่อครู่

พอห่มผ้าให้คนบนเตียงเสร็จก็ตั้งใจจะเดินกลับห้อง ทว่าจู่ๆคนที่คิดว่าหลับไปแล้วก็กลับคว้ามือเขาไปกุมไว้ทั้งที่ยังไม่ลืมตา

“โปรดไม่อยากเป็นนายใหญ่ ไม่เป็นได้ไหม”

“...”

“โปรดสัญญาว่าจะไม่ดื้อ ไม่ซน ไม่แอบไปดูสเก็ตที่อเมริกาอีกแล้วด้วย”

“...”

“พ่อจะให้โปรดทำอะไรก็ได้แต่อย่าให้โปรดเป็นนายใหญ่เลยนะ นะพ่อนะ”

 

ไม่รู้นานเท่าไหร่ที่ชายหนุ่มยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น

ทุกคำที่เธอพูดเขาได้ยินชัดเจน แต่ก็ใช่ว่าจะทำอะไรได้ในเมื่อปณาลีคือคนที่ ‘คุณท่าน’ เลือก

ไม่ว่าใครก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความจริงข้อนี้ได้

...หรือต่อให้ทำได้ มันก็คงไม่มีประโยชน์

ภวินท์ปลดมืออีกฝ่ายออกอย่างนุ่มนวล ก่อนจะเดินออกจากห้องไปด้วยสายตาอ่านยาก

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา