ใต้รัตติกาล
เขียนโดย LaVieRosy
วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2565 เวลา 15.32 น.
แก้ไขเมื่อ 26 มีนาคม พ.ศ. 2565 15.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
9) บทที่ 9
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความนลินเลือกขับรถออกจากกรุงเทพฯเกือบสี่โมงเย็นอย่างไม่รีบร้อน อ้างกับมารดาว่าตื่นสายและต้องทำเอกสารการสอนส่งมหาวิทยาลัยสำหรับบรรยายสัปดาห์หน้า ทั้งๆที่จริงหญิงสาวนอนหลับๆตื่นๆทั้งคืนและตื่นเต็มตาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง กินยาประจำตอนเช้าและนั่งกอดหมอนใบเล็กที่โซฟาทรงกลมในห้องหนังสืออยู่แบบนั้นราวกับจะหาที่เกาะยึดกันภัย
'ให้พี่ไปด้วยไหม'
ภาณุถามเธอระหว่างบทสนทนาเมื่อคืน
'ไม่เป็นไรค่ะ บัวคิดว่าบัวโอเคขึ้นมากแล้ว'
'โทรหาพี่ได้ตลอดนะครับ ขับรถไม่ไหว จอดแล้วโทรหาพี่เลยนะ พี่จะไปหา'
เสียงสายเรียกเข้าดังขึ้นตอนที่หญิงสาวขับรถเข้าสู่เขตหัวหิน เธอกดแป้นหน้าจอรับ เสียงดังแผดลั่นห้องโดยสาร
"บัว! อยู่ไหน! ทำไมสายขนาดนี้!"
เสียงไม่พอใจของบิดาทำให้มือที่จับพวงมาลัยสั่นน้อยๆ นลินตบไฟเลี้ยวซ้ายรอจังหวะแล้วนำรถจอดแนบริมถนน พัฒน์พิรุณเป็นคนดุมาก ดุทั้งนิสัย น้ำเสียงและหน้าตา แต่ไหนแต่ไรมานลินจะโดนดุในความเชื่องช้า เนิบนาบ หัวช้า ซุ่มซ่ามและไม่ทันใจเขาเสมอ ต่างจากฉัตรสุดาผู้เป็นลูกรัก เพราะฝ่ายนั้นเป็นคนคล่องแคล่วว่องไว ทะมัดทะแมงและรวดเร็วเสมอ หญิงสาวจับมือทั้งสองข้างของตนเองกุมเอาไว้แน่นไม่ให้สั่น พยายามตอบด้วยเสียงปกติที่สุด
"ถึงหัวหินแล้วค่ะ อีกสิบนาทีน่าจะถึง บัวต้องทำสไลด์ส่งมหาลัยก่อนเพราะมีสอนอาทิตย์หน้าค่ะ เลยออกมาช้า"
"แล้วทำไมไม่รู้จักทำให้มันเร็วกว่านี้ รู้ก็รู้ว่าต้องมา อากงก็เกลียดบ้านเราอย่างกับอะไร นี่ยังจะหาเรื่องเพิ่มอีก ไม่รู้ว่าอะไรควรทำก่อนทำหลังรึไง"
นลินน้ำตาหยด เธอปาดมันทิ้งอย่างรวดเร็วก่อนจะตอบช้าๆแต่เน้นเสียงว่า
"ถ้าพ่อยังพูดแบบนี้ บัวจะยิ่งไปถึงสายนะคะ"
ปลายสายเงียบไป พัฒน์พิรุณรู้ดีว่าในลูกสาวทั้งสอง คนที่จริงๆแล้วใจเด็ดขาดกว่าคือนลิน ภายใต้ท่าทีเรียบเฉยเป็นนิจ ยิ้มเสมอ นลินตัดขาดคนได้ไม่เหลือใยทันทีที่เกินทน เป็นคนโกรธยากแต่โกรธได้นานและฝังใจ
ลูกสาวคนเล็กเคยเล่นสงครามเย็นไม่พูดกับเขานานนับเดือน ต่างกับฉัตรสุดาที่ภายนอกดูโผงผางแต่เป็นคนใจอ่อนและขี้สงสาร และตอนนี้เขาเริ่มรับรู้ถึงความไม่พอใจของลูกสาวคนเล็กแล้ว
“รีบมาแล้วกัน"
เสียงเข้มอ่อนลงเล็กน้อยเท่านั้น นลินเงยหน้าพยายามไม่ให้น้ำตาไหลออกมา เธอรู้สึกมาเสมอว่าทั้งพ่อและแม่รักและชื่นชมพี่สาวมากกว่า รู้สึกมาตลอดว่าเธอไม่มีอะไรเทียบกับพี่สาวได้ ทั้งรูปร่างหน้าตา ความคล่องแคล่ว แต่เธอก็พยายามทดแทนด้วยความขยันหมั่นเพียร ประพฤติตนอย่างดีทั้งต่อหน้าและลับหลังบุพการี ไม่เคยเหลวไหลเกเร อยู่ในกรอบในทางที่ทุกคนอยากให้เดินและพยายามมาเสมอที่จะเก็บความรู้สึกทุกอย่าง ไม่เอาเรื่องอะไรมารบกวนใจพวกท่านแต่ดูเหมือนสิ่งที่เธอพยายามทำจะทดแทนอะไรไม่ได้เลย
หญิงสาวรวบรวมสติกลับมา นำรถเคลื่อนออกสู่ถนนอีกครั้ง ขับผ่านโรงแรมหลายแห่งที่อยู่ติดชายหาดก็เลี้ยวซ้ายผ่านทางเข้าเล็กๆเป็นอุโมงค์ต้นปาล์มเข้าไป สุดทางเป็นน้ำพุปูนปั้นสามชั้นมีนกตัวจ้อยเกาะอยู่ตั้งตรงกลาง หลังน้ำพุ เป็นอาคารปูนชั้นเดียวสีทรายหลังคาปั้นหยาสีน้ำตาลอ่อน พนักงานชายในชุดเสื้อผ้าฝ้ายคอตั้งสีเดียวกับตัวอาคารและกางเกงสีน้ำตาลเข้มอำนวยความสะดวกเดินนำให้เธอเลี้ยวซ้ายไปทางลานจอดรถที่ซ่อนตัวอยู่ในสวนปาล์มร่มรื่น
นลินเห็นรถของสมาชิกในครอบครัวเธอจอดเรียงกันสี่คัน ส่วนรถของแฟนหนุ่มพี่สาวจอดห่างออกไปอีกแถว หญิงสาวนำรถเข้าจอดแล้วกล่าวขอบคุณพร้อมให้ทิปพนักงานหนุ่มน้อยเป็นธนบัตรสีแดงหนึ่งใบ นี่ก็เป็นอีกสิ่งที่บิดามารดาไม่พอใจในตัวเธอเลยสักครั้ง
'ให้อะไรมากมาย อวดร่ำอวดรวยรึไงกัน'
มารดาเคยค่อนว่าเช่นนั้นแต่ฉัตรสุดาที่เห็นน้องสาวโดนต่อว่ามานานก็เถียงแทน
'โอ๊ย น้องมันก็ทำตามมารยาทสากล แม่จะบ่นอะไร เงินยัยบัวหามา เงินแม่ที่ไหน น้องจะใช้อะไรก็เรื่องของมันสิ'
เท่านั้น บิดาและมารดาก็ไม่พูดอะไรเรื่องนี้อีกเลย
นลินเดินมาที่อาคารสีทราย เมื่อมาใกล้จึงเห็นบ่อน้ำขนาดกว้างประมาณหนึ่งเมตรเป็นกรอบล้อมรอบตัวอาคาร มีปลาคาร์ปหลากสีสันตัวย่อมว่ายวนหลายตัว สวยจนต้องหยิบโทรศัพท์มากดถ่ายภาพไปหลายภาพ หญิงสาวเป็นอีกคนที่หลงรักปลาชนิดนี้ตั้งแต่แรกเห็นโดยไม่มีสาเหตุ ฝันไว้ว่าหลังเกษียณอายุจะขายคอนโดแล้วไปซื้อบ้านหลังเล็กๆอยู่ ปลูกดอกไม้หลายๆสี พืชผลกินได้ มีแปลงผักสวนครัวรวมถึงไม้ยืนต้นที่ให้ร่มเงา มีห้องหนังสือและห้องครัวใหญ่ๆและมีบ่อปลาคาร์ปหน้าบ้านไว้นั่งดูเล่นยามเย็น
"คุณนลิน ใช่ไหมคะ"
พนักงานสาวที่แต่งกายเครื่องแบบเดียวกับพนักงานชายเดินยิ้มออกมาต้อนรับพร้อมเวลคัมดริ้งค์สีม่วงอ่อนในแก้วสวยบนถาดไม้วางคู่กับผ้าสีขาวม้วนอย่างเรียบร้อย นลินเงยหน้ามายิ้มให้
"ทางวิลล่าวีไอพีแจ้งทะเบียนรถมาค่ะ ยินดีต้อนรับค่ะ"
พนักงานสาวตอบคำถามที่คาดว่าแขกผู้มาถึงคงสงสัย
"น้ำอัญชันมะนาวกับผ้าเย็นค่ะ คุณนิศากรทำกรุ๊ปเช็คอินไปแล้วค่ะ นั่งพักสักครู่ให้หายเหนื่อยก่อนแล้วเจ้าหน้าที่จะพาไปที่วิลล่านะคะ หากต้องการอะไรเพิ่มเติมแจ้งได้ตลอดเวลาเลยค่ะ"
เครื่องดื่มเปรี้ยวอมหวานเย็นฉ่ำกับผ้าเย็นหอมกลิ่นลาเวนเดอร์ช่วยให้นลินสดชื่นและใจสงบขึ้นในเวลาเดียวกัน
"ไปเลยก็ได้ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ"
พนักงานสาวอีกคนลุกขึ้นมาจากฝ่ายต้อนรับ ผายมือนำทางเธอเดินไปตามทางเดินโรยกรวดสีขาวมีต้นปาล์มปลูกเรียงเป็นระยะ บนกรวดขาวนั้นปูทับด้วยแผ่นหินทรายอย่างสวยงาม นลินได้รูปสวยๆไปอีกหลายรูปในโทรศัพท์ โดยเฉพาะหาดทรายขาวกับน้ำทะเลสีฟ้าใสสุดทางเดิน
ลมและกลิ่นทะเลโชยบางเบาพาให้เธอชุ่มชื่นใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่ความชุ่มชื่นใจอันเล็กน้อยก็พลันหายไปไม่เหลือสิ้นเมื่อเดินเลี้ยวขวาเข้าสู่แนวพูลวิลล่าสองชั้นหลังใหญ่ เมื่อเจออากงอาม่า บิดามารดาและน้าสาวน้าเขยนั่งจิบชายามบ่ายที่ชุดโต๊ะเก้าอี้หวายบริเวณสนามหญ้าติดชายหาดหน้าสระน้ำรูปตัวแอลขนาดใหญ่
"มาได้ซะที แม่สายบัว"
นิศานาถค่อนลูกสาวคนเล็ก หญิงสาวยกมือไหว้ทุกคน
"เจ้ก็ชอบว่าหลาน บัวก็ต้วมเตี้ยมแบบนี้มานานแล้ว ใช่ไหม"
นิศากรหันมาถามเธอก่อนหัวเราะ ส่วนอาม่าลุกค่อยๆเดินมากอดเธอไว้แน่น
"อาบัว ลื้อผอมไปนา ทำงานมากไปๆไม่ลีนา กินอะไรมารึยัง ม่าปอกสาลี่ที่ลื้อชอบเอาไว้ ไปๆ ม่าพาไปกิน"
"โอย ม้า ยัยบัวนะเหรอผอมลง อ้วนขึ้นไม่ว่าล่ะสิ กินแต่ของฝรั่ง ไปเมืองนอกบ่อยขนาดนั้น"
น้าสาวของเธอยังคงสนุกสนานหัวเราะไม่เลิก ฝ่ายอากงก็ปรายตามองแล้วส่ายศีรษะ
"อ้วนไม่ลีๆ"
"เอ๊ะ ลื้อนี่! ตัวลื้อผอมรึไง!"
อาม่าตัวเล็กที่เสียงไม่เล็กผิวขาวจัดของเธอยกมือเท้าเอวแผดเสียงใส่สามี หากจะมีใครในตระกูลฝั่งมารดาที่นลินจะพออบอุ่นใจได้เมื่อนึกถึงก็คงจะเป็นอาม่าของเธอผู้นี้
"เจ้บัวมาเล่นน้ำด้วยกันเร็ววว"
นัยน์ภัค ลูกสาวคนโตของนิศากรเรียกเธอจากบนเรืออดลมรูปเป็ดสีชมพูลอยในสระว่ายน้ำสีมรกต
"ยัยเพชร แกชวนใครไม่ดูสภาพเลย เอายัยบัวไปเป็ดก็จมหมดพอดี เผลอๆจะทับจนแบนลมออกหมด ฮ่าๆ"
นาทีนั้น นลินรู้สึกโกรธจนอยากจะกรีดร้องออกมาแต่ทำได้เพียงนิ่ง ฉัตรสุดาที่ลอยคอเล่นน้ำอยู่กับญาติผู้น้องและแฟนหนุ่มเคลื่อนตัวมาที่ขอบสระ
"โซ่ยอี๊ อินเตอร์เน็ตก็เล่นเป็นก็น่าจะรู้เท่าทันโลกบ้างนะคะ แก่จนหัวหงอกแล้วไม่รู้รึไง ผู้ดีมีการศึกษาเขาไม่ทักกันเรื่องนี้หรอก บอดี้เชมน่ะ รู้จักไหมคะ...อ่อ พี่ลืมไป บัว โซ่ยอี๊เค้าอ่านภาษาอังกฤษไม่ออก พูดก็ไม่ได้ ว่างๆก็ให้ยัยเพชรยัยพลอยอ่านให้ละกัน"
"ยัยบีม!"
"บีม!"
เสียงบิดาและมารดาดังประสานกันอย่างไม่พอใจแต่ฉัตรสุดาไม่สน เธอขึ้นมาจากสระในชุดว่ายน้ำแบบกระโปรงแขนยาวปิดมิดชิดถึงคอ คว้าเอาผ้าเช็ดตัวคลุมแล้วเข้ามาจูงมือน้องสาว
"ไปบัว อาม่า บีมเล่นน้ำจนเหนื่อยแล้ว ไปกินผลไม้ของอาม่ากันดีกว่า"
"เพชรไปด้วยค่าา"
นัยน์ภัคกระโดดลงเรือเป็ดมาร่วมด้วยทันทีด้วยเล่นน้ำกับฉัตรสุดามาตลอดบ่ายหลังจากมาถึง สามสาวจึงเดินประคองอาม่าของพวกเธอเข้าไปในวิลล่า
"ปากจัดเหมือนฮวงนั้ง"
ดำรงค์ผู้อาวุโสสุดในครอบครัวมองด้วยสายตาชังอย่างเปิดเผย ทำให้พัฒน์พิรุณลุกขึ้นทันควัน
"ขอตัวนะครับ"
พอชายวัยกลางคนลับตาไป ดำรงก็พูดต่อ
"เลือดฮวงนั้งมันแรง ลื้อเห็นไหมอานาถ อั้วเคยบอกลื้อยังไง"
"ไม่เอาน่า เตี่ย ตึงนั้งหรือฮวงนั้งก็คนเหมือนกัน มีทั้งดีไม่ดีหมด"
คนเป็นพ่อได้แต่นั่งส่ายหัวแล้วพูดพึมพำต่อไป อาหารค่ำวันนั้นจึงค่อนข้างจะกร่อย นลินไม่รับรู้รสอาหารทะเลสดๆที่มีเชฟมาปรุงให้และอาหารไทยหลายอย่างที่เธอชอบบนโต๊ะ รู้แต่ว่าตักเข้าปากพอเป็นพิธีพอ ฉัตรสุดานั่งบีบมือน้องสาวที่เหมือนร่างไร้วิญญาณ
'กลับกับพี่ไหม บัว จะอยู่ถึงพรุ่งนี้ไหวเหรอ'
ฉัตรสุดาถามน้องสาวเมื่อเย็นในห้องนอนหลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย เธอจำเป็นต้องเดินทางกลับกรุงเทพฯหลังอาหารมื้อค่ำเพราะต้องเข้าไปคุมเครื่องจักรในวันพรุ่งนี้
'บัวโอเค กินยาแล้ว ชินแล้ว'
'แล้วคืนนี้จะฝันร้ายไหม'
'บัวมียาตั้งกี่อย่าง พี่บีมอย่าห่วงเลย แค่มาจนเย็น พ่อก็ดุจะแย่ละ ถ้ากลับก่อนมีหวังโดนดุหนักอีกแน่ๆ'
'บางที พี่ก็ไม่เข้าใจพ่อเราเลยนะ จะเอาอะไรกับบัวนักหนา เป็นเด็กดีขนาดนี้ เรียนเก่งขนาดนี้ ทำงานก็ดี ไม่เคยสร้างปัญหาอะไรเลย'
'บัวไม่ได้คล่องเหมือนพี่บีม ซุ่มซ่ามแล้วก็หัวช้า พ่อเขาไม่ชอบคนแบบบัว พี่บีมก็รู้'
'แล้วยังไง คนมันต้องเหมือนกันทุกคนเหรอ ตลกจริง'
'บัวเข้าใจพ่อนะ อากงไม่ชอบพ่อ ไม่ชอบเรา พ่อคงอยากให้เราสมบูรณ์แบบจะได้ไม่โดนว่าได้ว่าเกิดเป็นลูกคนไทยแล้วแย่กว่าคนจีน'
'เฮอะ ตาแก่หัวโบราณ'
'พี่บีม! ทำไมเรียกอากงแบบนั้น'
'อยากจะเรียกมากกว่านี้อีก รักแต่ลูกชาย ไม่ชอบคนไทย ทั้งๆที่คนเลี้ยงดูทุกวันนี้เป็นลูกสาวแล้วก็ทำมาหากินจนมีเงินขึ้นมาได้บนแผ่นดินไทยนี่นะ? อยากจะส่งลงสำเภากลับไปซัวเถาจริงจริ๊ง'
เป็นครั้งแรกของวันที่นลินหัวเราะออกมา ฉัตรสุดาเห็นน้องยิ้มได้ก็เข้ามากอดแน่น
'อยู่ได้อยู่ อยู่ไม่ไหวก็กลับหรือไม่ก็ไปนอนโรงแรมอื่นเยอะแยะ รถเรามี ตังค์เรามี อย่าไปแคร์'
เสียงเพลงอวยพรวันเกิดปลุกสองพี่น้องออกจากภวังค์ ฉัตรสุดานั่งมองเฉยๆเกือบๆจะเบ้ปาก ส่วนนลินปรบมือไปตามจังหวะ ภาวนาในใจขอให้อากงสุขภาพแข็งแรงไม่เจ็บไม่ป่วย แต่เมื่อชายชราเป่าเทียนที่เป็นเลขเจ็ดและเก้าดับลงเท่านั้น ตัวก็เซล้มลงนั่งมือจับอกด้านซ้าย
"เตี่ย!"
"อากง!!!"
"อารงค์!"
เสียงเรียกประสาน ทุกคนลุกขึ้นพร้อมกัน น้าชายของเธอผู้เป็นแพทย์ รีบเข้ามาอุ้มบิดาวางราบบนพื้น ประสานมือวางที่อกกดเป็นจังหวะ ปากก็สั่งเสียงดังว่า
"ใครก็ได้เรียกรถพยาบาลที"
ท่ามกลางความตะลึงงัน นลินกลับหยิบโทรศัพท์มากดเบอร์หนึ่งหกหกเก้าทันใด แล้วหันไปบอกนัยน์ภัค
"เพชรไปที่ฟร้อนท์กับพี่บีม แจ้งเขาว่าจะมีรถฉุกเฉินมา"
ญาติผู้น้องพยักหน้าเร็วๆตาแดงก่ำเนื่องจากอากงอาม่าเลี้ยงดูมาตั้งแต่แบเบาะ ฉัตรสุดารีบคว้ามือน้องวิ่งออกไปด้านหน้า นลินเดินตรงไปที่น้าชายเอาโทรศัพท์แนบหูขณะที่มือยังไม่หยุดเคลื่อนไหว
"หยี่กู๋ หนึ่งหกหกเก้าค่ะ"
ชายวัยกลางคนผิวขาวจัดสวมแว่นกรอบดำสี่เหลี่ยม เหงื่อเริ่มท่วมตัว หอบหายใจแรง รีบรายงานอาการของบิดา หลังจากวางสายเขาเรียกบิดาเสียงดังลั่นเจือสะอื้น
"เตี่ย เตี่ย เตี่ย กลับมา"
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ