ใต้รัตติกาล

-

เขียนโดย LaVieRosy

วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2565 เวลา 15.32 น.

  11 ตอน
  1 วิจารณ์
  5,191 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 26 มีนาคม พ.ศ. 2565 15.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) บทที่ 6

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ภาณุจอดรถต่อจากรถของนลิน ชายหนุ่มยืนยันจะขับรถตามมาส่งเธอที่คอนโดก่อนจะกลับบ้านตัวเอง

 

"เดี๋ยวคืนนี้พี่โทรหานะ ถ้าฝันร้ายอีก โทรหาพี่ได้ตลอดเลยนะครับ ต่อไปนี้ พี่จะเปิดโทรศัพท์ไว้ตลอดเวลา" 

 

มือใหญ่อบอุ่นเอื้อมเข้ามาลูบศีรษะของหญิงสาวที่ลดกระจกฝั่งคนขับลงจนหมด 

 

"ค่ะ พี่ณุถึงแล้วไลน์มานะคะ ขับรถดีๆนะ" 

 

เขายิ้มกว้างรับ ยิ้มไปถึงดวงตาของเขาช่างอบอุ่นดั่งแสงตะวันสมชื่อ นลินแก้มร้อนซู่ทั้งสองข้างเมื่อเขาโน้มตัวเขามาประทับจุมพิตบนหน้าผากเกลี้ยงเกลาแน่นนาน

 

"เป็นแฟนกันแล้ว ห้ามมองผู้ชายคนอื่นนะ พี่หวง" 

 

หญิงสาวเขินจนไม่รู้จะทำตัวอย่างไร จึงบอกเขาให้รีบกลับบ้าน ลากันอยู่อีกพักใหญ่ ชายหนุ่มจึงยอมเดินกลับไปที่รถตัวเองและเลี้ยววนออกไป นลินรู้สึกเหมือนจะหุบยิ้มไม่ได้ หัวใจพองฟู พอเธอถึงห้อง อาบน้ำสระผมเรียบร้อย ภาณุก็โทรเข้ามาพอดี ทั้งคู่พูดคุยกันไปเรื่อยๆจนรู้อีกทีก็ล่วงเข้าสู่วันใหม่ เขาจึงกำชับให้เธอทานยาก่อนนอนและบอกราตรีสวัสดิ์ หญิงสาวผล็อยหลับไปด้วยรอยยิ้ม

 

รถกระบะคันเก่าแก่ค่อยๆชะลอจอดหน้าบ้านหลังหนึ่งในเวลาแปดโมงครึ่งพอดิบพอดีเช่นทุกวัน เด็กหญิงนลินที่เพิ่งเปลี่ยนมาเป็นนางสาวนลินไม่กี่วันที่ผ่านมายกมือไหว้ขอบคุณคนที่นั่งหลังพวงมาลัย เดินก้มหน้าห่อไหล่ผ่านประตูบานเล็กของประตูรั้วเข้าไปเจอกับโรงรถเก่าที่ดัดแปลงกั้นเป็นห้องกระจกติดแอร์ ภายในมีโต๊ะเล็คเชอร์ตั้งเป็นระเบียบหันหน้าเข้ากระดานไวท์บอร์ดขนาดใหญ่เต็มผนัง

 

สาวน้อยผมเปีบถอดรองเท้าวางบนชั้น เลื่อนประตูเข้าไปด้านในพบว่าวันนี้ห้องเปิดแอร์ไว้เย็นฉ่ำ พื้นกระเบื้องสีเขียวอ่อนสะอาดมันวาววับ เธอเดินตรงไปที่เก้าอี้แถวแรกตัวริมซ้ายสุดกำลังจะชีทและกระเป๋าผ้าสะพายเช่นทุกวัน แต่ต้องชะงักไปเมื่อเจอตุ๊กตาทำจากเปลือกหอยรูปหมูตัวใหญ่ตั้งอยู่ เมื่อหยิบขึ้นมาดู ทันใดนั้นก็มีเสียงเด็กผู้ชายดังสนั่น

 

'เฮ! ฮ่าๆๆๆ'

 

กลุ่มเด็กชายหกเจ็ดคนรุ่นเดียวกับเธอลุกขึ้นมามองที่เธอแล้วหัวเราะกันสนุกสนาน หนึ่งในนั้นเป็นคนขาวแบบลูกคนจีนสวมแว่นกรอบสีดำเดินตรงมาบอกเธอว่า

 

'เราเห็นมันเหมือนเธอ เลยซื้อมาฝาก'

หลังจากนั้นเสียงเฮลั่นก็ดังสนั่นอีกครั้งจากกลุ่มเด็กผู้ชายตามด้วยเสียงหัวเราะขบขัน

 

'ฮ่าๆๆๆๆๆ'

 

'ฮ่าๆๆๆๆๆ'

 

'ฮ่าๆๆๆๆๆ'

 

นลินลืมตาโพลงตื่นมาในความมืดมิด ใจเต้นดังตุบๆๆๆ เจ็บร้าวภายในอก เธอค่อยๆลุกนั่ง นาฬิกาบอกเวลาว่าเพิ่งนอนไปได้สองชั่วโมงเท่านั้น เอื้อมมือไปเปิดลิ้นชักดึงเอาแผงยาออกมาสองแผง ฉีกแผงยาแคปซูลสีชมพูขาวมาสองเม็ดและแกะแผงยาเม็ดรีสีเหลืองนวลมาอีกเม็ดกรอกเข้าปาก ดูดน้ำเย็นในแก้วที่วางข้างหัวเตียงเสมอตามคำแนะนำของแพทย์ หญิงสาวหลับไม่ลงเสียแล้วจึงลุกเดินมาเลื่อนบานประตูห้องหนังสือที่กั้นติดกันออก เปิดไฟสว่าง

 

ผนังห้องสามด้านบิวด์อินด้วยตู้โครงเหล็กสั่งทำพิเศษอัดแน่นไปด้วยหนังสือที่เธอจัดเก็บเป็นหมวดหมู่ตั้งแต่พื้นจรดเพดาน ฝั่งที่ติดสวนด้านนอกของคอนโดเป็นกระจกตัดกรอบสีดำยาวมีม่านกรองแสงและม่านทึบปิดเอาไว้ มุมนั้นมีที่โซฟาสำหรับอ่านหนังสือทรงกลมตัวใหญ่กับหมอนใบเล็กสองใบบุผ้าสีครีมพร้อมที่วางเท้าทรงพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวเข้าชุดกันวางเด่นกินพื้นที่ทั้งมุม

ใกล้กันมีโต๊ะทำงานแบบเรียบง่ายตัวยาวพร้อมเก้าอี้ วางจอคอมพิวเตอร์ใหญ่และเมาส์แพ็ดสีเทาเงิน คู่กับแล็ปท็อปที่พับไว้สีเดียวกัน

 

คอนโดโลว์ไรซ์ขนาดสามห้องนอนแห่งนี้ตั้งอยู่ในซอยย่านพักอาศัยเก่าแก่ของถนนสุขุมวิท มีตึกสี่ตึกขนาดสิบชั้นโอบล้อมสระว่ายน้ำและฟิตเนสตรงกลางและโอบล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่ปลูกเรียงกันแน่นปิดบังตัวตึกจากด้านนอกอีกชั้น นลินทุบทำใหม่ทั้งหมด ยกเว้นโถงรับแขกกลาง ฝั่งที่เป็นสองห้องนอนหญิงสาวทุบเพื่อกั้นสัดส่วนเป็นห้องแต่งตัว ห้องนอนและห้องหนังสือ

 

ส่วนอีกฝั่งของโถงรับแขกกั้นด้วยกระจกใสบานเลื่อนเป็นครัวที่รวมส่วนรับประทานอาหารไปด้วย หญิงสาวซื้อมันได้จากเงินเก็บของตนเองที่เอาออกมาแทบเกลี้ยงบัญชีรวมกับเงินที่ผู้เป็นปู่มอบแบ่งให้ลูกและหลานจากการขายบ้านที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาพร้อมสวนขนาดสิบห้าไร่ให้บริษัทอสังหาริมทรัพย์แห่งหนึ่งสร้างคอนโด

 

หญิงสาวนั่งลงที่โต๊ะทำงาน ในภาวะเช่นนี้เธอคงอ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง จึงนั่งหันกลับไปทางผนังที่ทำล็อกหนึ่งไว้เป็นที่เก็บเอกสาร หยิบแฟ้มการบ้านของนักศึกษาออกมา นอกจากจะทำงานที่องค์กรของเธอแล้ว นลินยังเป็นอาจารย์พิเศษที่มหาวิทยาลัยของรัฐและเอกชนสองสามแห่งโดยความร่วมมือขององค์กรกับมหาวิทยาลัย

 

เปิดโคมไฟตั้งโต๊ะและเริ่มอ่านตรวจการบ้านของนักศึกษาตามที่จิตแพทย์ประจำตัวเธอได้เคยแนะนำไว้ พักหนึ่งใจของเธอก็เริ่มสงบและจดจ่อกับงานตรงหน้าจนนาฬิกาเข็มสั้นชี้ไปที่เลขห้า จึงลุกไปอาบน้ำแต่งตัว

 

วันนี้นลินเลือกเดรสสีดำสนิทคอบัวแขนยาวถึงข้อมือ มีลูกเล่นผ้าปักเป็นลายฉลุสีขาวที่ปลายแขนและคอปก เนื่องจากตื่นเช้าจึงมีเวลาละเลียดเลือกเครื่องประดับได้นาน เธอชอบสะสมนาฬิกาและต่างหูเพชรเม็ดเดี่ยวแบบและทรงต่างๆ สุดท้ายก็เลือกนาฬิกาหน้าปัดสี่เหลี่ยมฝังเพชรเม็ดจิ๋วสายหนังสีดำกับต่างหูเพชรทรงกลมคู่ประจำ คว้ากระเป๋าสะพายและสวมรองเท้าส้นสูงหัวแหลมมีโบว์สีนู้ดก็พร้อมออกจากบ้าน

 

การจราจรเช้าวันจันทร์ช่วงเปิดเทอมวันนี้ไม่หนาแน่นมากนัก รถเคลื่อนตัวไปได้เรื่อยๆ นลินฟังข่าวจากสถานีโทรทัศน์ต่างชาติที่เชื่อมต่อจากแอพพลิเคชั่นในโทรศัพท์มือถือ รถติดไฟแดงที่แยกหนึ่งที่มีตัวนับเวลาถอยหลัง หญิงสาวจึงเข้ากดเกียร์ว่างและดึงเกียร์ไปที่ตัวพี พลันเห็นกล่องสเปรย์แอลกอฮอล์ที่วางไว้ในที่วางแก้ว เป็นของคนที่ทำงานที่ฝากทำบุญ

 

'ไปเมืองนอกเมืองนาบ่อย ยังหาเสื้อผ้าใส่ได้แบบนี้ บัวเลยไม่เคยคิดจะตั้งใจลดน้ำหนัก'

 

 

เสียงตำหนิของนางจงกลดังขึ้นมา นลินสูดลมหายใจเข้าลึก ดูดกาแฟโคลด์บรูว์ที่แวะซื้อจากร้านกาแฟแบบไดรฟ์ธรูเพิ่ม ลืม...ลืมเสีย...เธอสั่งตัวเอง เสียงโทรศัพท์เรียกเข้าปรากฏชื่อภาณุ นิ้วเรียวกดทัชสกรีนที่แผงหน้าจอรถสีเขียว เสียงทุ้มก็ดังก้องในตัวรถ

 

"บัว ตื่นรึยังครับ"

 

"กำลังจะถึงที่ทำงานแล้วค่ะ พี่เสียงง่วงๆนะคะ ได้นอนรึเปล่าคะเนี่ย"

 

"เมื่อคืนมีเคสฉุกเฉินหลังคุยกับบัวเสร็จ พี่เพิ่งออกมาจากห้องผ่าตัดครับ"

 

"เหนื่อยไหมคะ หิวรึเปล่า"

 

"ไม่หิวครับแต่เหนื่อย แต่ได้ยินเสียงบัวก็หายเหนื่อยแล้ว"

 

นลินยิ้มกับคำหวานของเขา

 

"ไปนอนนะคะหรือว่าต้องตรวจคะ"

 

"มีนัดคนไข้เต็มเลย ต้องราวน์เช้าด้วย ท่าจะอด"

 

"ไหวเหรอคะ"

"ชินแล้วครับ สบายมาก เดี๋ยวตอนเที่ยงแอบงีบเอา"

 

"โอเคค่ะ บัวถึงที่ออฟฟิศพอดีเลย สู้ๆนะคะ"

 

"ครับ แล้วพี่โทรหาตอนเที่ยงนะ"

 

เช้าวันจันทร์นั้นแสนวุ่นวายและงานเต็มมือโดยเฉพาะอีเมล์ที่ต้องตอบมากพอๆกับอาการปวดหัวที่ขมับซ้ายของนลินที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หญิงสาวรู้สึกเหมือนมีฆ้อนตอกเข้ามาที่ขมับเป็นจังหวะตุบ ตุบ ตุบ กระบอกตาเริ่มปวดร้าวรวมถึงภายในหูและเริ่มคลื่นไส้เมื่อใกล้เที่ยง เสียงเคาะประตูดังสองครั้งก่อนเพื่อนร่วมงานรุ่นน้องคนสนิทจะเปิดประตูเข้ามา

 

"Oh Gosh...you really look not fine at all. Are you okay?"

 

จันทร์เจ้าหรือที่ทุกคนเรียกกันติดปากว่าเจเจเกิดและเติบโตที่อเมริกาเพราะบิดาไปเรียนต่อระดับปริญญาโทและเอกแล้วอยู่ทำงานด้านการเงินการธนาคารต่ออีกร่วมสิบปี จึงกลับมาเมืองไทย หญิงสาวจึงมีสำเนียงอเมริกันชัดแจ๋วและใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารทั้งในการทำงานและไม่ใช่การทำงานคล่องกว่าภาษาไทยมาก

 

"I couldn't sleep last night."

 

นลินตอบไปเท่านัั้นเพราะอีกฝ่ายเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ทำงานที่ทราบว่าเธอป่วยด้วยโรคใดบ้าง

"Nightmare again?"

 

เธอพยักหน้าตอบ ได้ยินเสียงอีกฝั่งสบถเบาๆแล้วเดินตรงเข้ามากอด

 

"Want a lift home?"

 

"No, thanks. Guess I need to see the doctor first."

 

"Oh...my sis."

 

สาวน้อยเรือนร่างอรชรเข้ามากอดลูบหลังเธออีกครั้ง นลินเอ่ยฝากงานบางอย่างซึ่งอีกฝ่ายก็ยินดีจะทำให้ จันทร์เจ้าเป็นผู้หญิงที่ตรงไปตรงมาและไม่เซ้าซี้เจ้ากี้เจ้าการเหมือนกับนลิน ทั้งสองจึงสนิทสนมกันในเวลาอันรวดเร็ว อีกสิ่งหนึ่งที่หญิงสาวเคยบอกว่าชอบอยู่กับเธอเพราะเธอไม่นินทาวิจารณ์ใคร ทำให้สาวน้อยสบายใจที่จะคุยด้วยอย่างมาก 

 

การจราจรช่วงเที่ยงที่แดดแรงเปรี้ยงนั้นแตกต่างจากช่วงเช้าโดยสิ้นเชิง รถหนาแน่นเต็มถนนเคลื่อนทีละนิด นลินพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกตลอดทางเพราะเริ่มคลื่นไส้มากขึ้น เสียงโทรศัพท์เรียกเข้าที่คุ้นเคยดังขึ้น 

 

"ค่ะ พี่ณุ"

"บัวทำไมเสียงเป็นแบบนั้น เป็นอะไรครับ"

 

"ไมเกรนค่ะ เมื่อคืนฝันร้ายนอนไปสองชั่วโมง บัวกำลังจะไปที่โรงพยาบาลค่ะ"

 

จะด้วยโลกกลมหรือพรหมลิขิตก็สุดรู้ ภาณุทำงานที่โรงพยาบาลที่นลินเป็นคนไข้ประจำและรักษามายาวนานและยังมีอีกหลายๆอย่างที่เขาและเธอช่างจะ 'บังเอิญ' ชอบและไม่ชอบเหมือนกัน

 

"บัวอยู่ไหนครับ ขับรถมาเองเหรอ"

 

"ค่ะ บัวอยู่หน้าโรงแรม...พอดี รถติดมากเลยค่ะ"

 

หญิงสาวเอ่ยชื่อโรงแรมห้าดาวแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ติดถนนสุขุมวิท ห่างไปจากทางเข้าโรงพยาบาลไม่ไกลนัก

 

"บัวหาที่จอดรถหรือเลี้ยวเข้าโรงแรมเลย พี่จะไปหาเดี๋ยวนี้"

 

เขาพูดด้วยเสียงเคร่งแล้วตัดสายไม่ให้เธอปฏิเสธทันที หญิงสาวไม่เจอที่จอดริมถนน จะเลี้ยวเข้าโรงแรมก็เลยทางเข้ามาแล้ว รถก็ยังติดขยับไปไหนไม่ได้ จึงพยายามโทรหาอีกฝ่ายแต่เขาไม่รับ

 

 

ชั่วอึดใจที่หญิงสาวขยับรถเดินหน้าไปได้เพียงไม่กี่คืบ มอเตอร์ไซค์รับจ้างคันหนึ่งก็มาจอดข้างเธอแล้วเคาะกระจก หญิงสาวหันไปมอง ภาณุกำลังลงจากรถทั้งๆที่ยังอยู่ในชุดกาวน์กำลังยื่นจ่ายเงินยื่นให้คนขับ นลินไม่รู็ว่าจะรู้สึกอย่างไรดี ทั้งดีใจ ทั้งตื้นตันใจ ทั้งคลื่นไส้เหลือกำลัง เธอปลดล็อครถ

 

"พี่ณุ"

 

"บัวลงไหวไหม พี่ขับเอง น้องครับพี่รบกวนช่วยพยุงแฟนพี่ไปขึ้นรถนั่งอีกฝั่งที"

 

คนขับวินหนุ่มผู้มีน้ำใจช่วยประคองเธอเดินอ้อมหลังรถมาขึ้นนั่งฝั่งผู้โดยสาร นลินกล่าวขอบคุณเขาหลายครั้ง หนุ่มน้อยก็ยิ้มให้

 

"หายไวๆครับพี่"

 

ชายหนุ่มผมกระเซิงจากการนั่งมอเตอร์ไซค์มา เขาเอื้อมคาดเข็มขัดให้เธอ 

 

"ไหวไหม อดทนนิดนึงนะครับ"

 

"ขอบคุณค่ะ พี่ณุ"

 

"เรื่องแค่นี้ พี่ดูแลแฟนตัวเองไม่ได้แล้วจะไปรักษาใคร"

นลินรูัสึกเหมือนมีน้ำตาซึม เธอเอนซบต้นแขนในชุดกาวน์กอดเอาไว้แน่น 

 

"วันหลังอย่าขับรถเองนะครับ โทรหาพี่หรือเรียกแกร็บนะ มันอันตราย"

 

ริมฝีปากอุ่นแนบลงที่ผมนุ่มสลวย คนที่กอดแขนเขาพยักหน้ารับรู้ 

 

อีกกว่าครึ่งชั่วโมง ทั้งสองจึงมาถึงโรงพยาบาล นลินนั่งรถนั่งและถูกเข็นเข้าห้องฉุกเฉินทันที แพทย์ประจำตัวมาตรวจตอนที่ภาณุตามมาทันพอดี นายแพทย์รุ่นพี่จึงแจ้งชายหนุ่มว่าความดันต่ำมากน่าจะเพราะนอนน้อยจะขอให้น้ำเกลือขวดเล็กและสั่งยาฉีดแก้ปวดและแก้คลื่นไส้อาเจียนเรียบร้อย

 

หญิงสาวอาเจียนออกมาอย่างกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป ภาณุถือถุงอาเจียนให้เธอและลูบหลังให้อย่างไม่รังเกียจ เขาโทรแจ้งลางานตอนบ่ายกับทางพยาบาลแต่บอกว่าสามารถติดต่อได้ในเคสฉุกเฉิน นั่งเฝ้าข้างเตียงจนนลินฉีดยาและได้รับน้ำเกลือแล้วหลับไป ชายหนุ่มดึงมือขาวนวลข้างที่วางแนบตัวบนเตียงสีเขียวมาประสานนิ้วกุมเอาไว้แนบแก้ม ภาวนาให้ความเจ็บปวดนั้นบรรเทาและหายไปโดยไวที่สุด 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา