ใต้รัตติกาล
เขียนโดย LaVieRosy
วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2565 เวลา 15.32 น.
แก้ไขเมื่อ 26 มีนาคม พ.ศ. 2565 15.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
11) บทที่ 11
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความภานุได้เรียนรู้ว่า นลินเวลาโกรธนั้นเย็นชาได้มากกว่าหิมะที่ตกในช่วงอุณหภูมิติดลบเลขสองหลักที่เขาเคยเจอสมัยเรียน เธอทำราวกับเขาไม่มีตัวตน มองผ่านเหมือนเป็นอากาศธาตุด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ยังคงทำสิ่งที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องด้วยท่าทีนุ่มนวลเรียบร้อยตามธรรมชาติปกติของเธอ
'บัวไม่ชอบปะทะ บัวจะใช้วิธีสงครามเย็น เย็นชา ไม่สนใจ ไม่ไยดี ไม่มีอยู่ บัวเคยทำกับพ่อเป็นเดือน'
หญิงสาวเคยเล่าให้เขาฟังถึงนิสัยที่ไม่ดีของตนเองเวลาโกรธ ดูจากสถานการณ์ยามนี้ ภาณุคิดว่าเป็นเขาที่กำลังโดนสงครามเย็นที่อีกฝ่ายตั้งใจให้หนาวไปถึงขั้วหัวใจอยู่
แขกของดำรงค์มากันเยอะจริงตามคำกล่าว แน่นเต็มศาลาไปด้วยผู้คนที่แต่งกายด้วยชุดสีขาว แฟนหนุ่มของฉัตรสุดาติดไฟลท์บินจึงมาถึงตอนแขกวางดอกไม้จันทร์หมดแล้วและเริ่มทยอยกลับ เขารู้มาจากนลินว่า ทั้งคู่ได้ทำพิธีสู่ขอ ผูกข้อไม้ข้อมือ ยกน้ำชาภายในครอบครัวตามฤกษ์ไปเมื่อปลายปีก่อนเพราะมารดาของฝ่ายชายเพิ่งเสียชีวิตไปด้วยโรคมะเร็งก่อนฤกษ์สองสามสัปดาห์ ฉัตรสุดาจึงไม่ประสงค์จะจัดงานรื่นเริงใดๆ ซึ่งทางทุกคนรับทราบและเข้าใจดีเนื่องจากทั้งคู่คบหากันมากว่าสิบปีแล้ว
ภานุมองไปทางนลินที่ยืนส่งแขกร่วมกับครอบครัวด้วยสีหน้าเรียบเฉย หญิงสาวยืนกุมมือกันอยู่ด้านหลังสุด ก่อนหันไปตามเสียงเรียกของผู้สูงอายุท่านหนึ่งที่เคยมาผ่าหัวเข่ากับเขา ท่านคุยกับเขาอย่างดีใจที่ได้เจอกันอีกและไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบ
"แหม ท่าทางพรหมจะลิขิตป้าให้มาเจอคุณหมออีก โชคดีจริงๆนะคะที่วันนี้เรายังได้เจอกันอยู่ ดูคุณดำรงค์สิคะ วันก่อนเสียยังคุยกันอยู่เรื่องจะได้ไปเที่ยวฉลองวันเกิดกับลูกหลาน ใครจะคิดว่าจะครั้งสุดท้ายที่ได้คุยกัน ชีวิตไม่มีอะไรแน่นอนเลยนะคะ เห็นว่าเป่าเค้กอยู่ดีๆแล้วล้มลงไปเลย ป้ายังไม่ได้บอกขอบคุณแกเลยจริงๆจังๆตามที่ตั้งใจไว้ แกเคยช่วยเหลือที่บ้าน คิดว่าเอาไว้ก่อนบ้าง วันหลังบ้าง วันหน้าบ้าง แต่ที่ว่ามาไม่มีอยู่จริง ใครจะรู้ นาทีหน้า ชั่วโมงหน้า อาจเป็นคนที่เรารักหรือเป็นเราก็ได้"
นายแพทย์หนุ่มนิ่งคิดตามพลันนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเขาและนลินเมื่อครู่ จึงรีบกล่าวตัดบทขอตัวอย่างสุภาพและมองกลับไปที่เดิมอีกครั้งแต่ครั้งนี้ ไม่มีหญิงสาวยืนอยู่ตรงนั้น ภานุร้อนใจขึ้นมาทันใด เขาเดินจนรอบเมรุไม่เจอ เดินไปตามศาลาก็ไม่เจอ ถามญาติคนใดก็ไม่เห็น เขาวิ่งมาที่ลานจอดรถ เจอรถเอสยูวีสีดำของหญิงสาวยังจอดอยู่มุมในสุด ชายหนุ่มรีบวิ่งไปทันที
นลินใช้สองมืออุ้มลังของที่ระลึกและกำลังวาดขาข้างหนึ่งไปมาใต้รถด้านหลังเพื่อให้เซ็นเซอร์รถทำงานเปิดท้ายขึ้นอัตโนมัติ พลันก็มีแขนแข็งแรงสอดเข้ามาโอบกล่องไปถือเอาไว้พร้อมกลิ่นน้ำหอมสะอาดที่คุ้นเคย ภานุวางกล่องที่ปิดฝาพับทบกันอย่างเรียบร้อยลงที่พื้นที่ว่างท้ายรถ หญิงสาวมีสีหน้าตกใจที่เจอเขาแต่ก็กลับเป็นเย็นชาตามเดิมในนาทีต่อมา
เธอยกมือไหว้ เอ่ยเสียงเรียบ
"ขอบคุณที่มางานอากงค่ะ ขออนุญาตส่งเท่านี้นะคะ ทางบ้านมีเรื่องต้องคุยกัน"
ก่อนจะไหว้ลาอีกครั้งและขึ้นรถขับออกไปทางศาลาอย่างรวดเร็ว
น้าชายทั้งสองกลับไปก่อนแล้วเนื่องจากต้องไปส่งแขกผู้ใหญ่ของตน บนศาลาเย็นฉ่ำจึงเหลือเพียงบิดามารดาของเธอ ฉัตรสุดาและแฟนหนุ่ม นัยน์ภัคและนวิยาที่นั่งกอดคอกันเช็ดน้ำตาป้อยๆ นิศากรและสามี ส่วนสมฤดียังนั่งอยู่ที่โซฟาที่เดิม มองกลุ่มควันดำหนาทึบที่เริ่มทยอยออกมาจากยอดเมรุเรื่อยๆ
นลินคิดว่าหลายคนคงหิวจึงหันไปทางกล่องเก็บอุณหภูมิที่มีอาหารกล่องจากร้านประจำของครอบครัว ตั้งใจสั่งเมนูที่พอจำได้ว่าใครชอบอะไรบ้างหยิบออกมาวางเรียงเงียบๆ
ซุปเยื่อไผ่และข้าวผัดหยางโจวของอาม่า ผัดหมี่ฮ่องกงของพี่สาว ข้าวหน้าเป็ดย่างหมูกรอบของบิดา ส่วนของมารดาเป็นโจ๊กปลากะพง บะหมี่เกี๊ยวกุ้งตัวโตๆของน้องสาวสองคน ส่วนนิศากรกับสามีนั้นเธอเลือกเมนูแนะนำของร้านเป็นหมี่กระเฉดผัดกุ้งและข้าวผัดปูรวมถึงซุปเสฉวนมาให้ สามกล่องสุดท้ายเป็นเป็ดย่าง กุ้งทอดพริกเกลือและผัดหมี่สำหรับเธอและภาณุ นลินเพียงมองและทิ้งไว้แบบนั้น
นิศากรหันมาเห็นเธอกำลังเรียงรายอาหารมามากมาย มีโลโก้และภาชนะที่เป็นเอกลักษณ์ของภัตตาคารจีนชื่อดังติดไว้ตัวโต
"อ้าว ยัยบัว อะไรหิวอีกแล้วเหรอ อากงยังเผาไม่ทันหมดเลย ดูสิสั่งอะไรมาเยอะแยะ คนอื่นเขาไม่ได้กินจุแบบคนอ้วนๆหรอกนะ"
นลินพยายามสูดหายใจเข้าลึก กำมือแน่น บิดาของเธอมองจ้องอยู่
"บัวซื้อมาให้ทุกคน คนละกล่องค่ะ กินกันหมดก็กิน กินไม่หมดจะเททิ้งก็แล้วแต่โซ่ยอี๊"
"บัว!"
"ยัยบัว!"
บิดาและมารดาประสานเสียงดุเธอลั่น ในขณะที่หญิงสาวหมดความอดทนแล้ว ตั้งแต่ที่พักที่หัวหินมาจนถึงงานสวดห้าคืนและวันนี้ นิศากรเห็นเธอเป็นตัวตลกมาตลอด ขณะที่ิบิดามารดาก็ไม่เคยพอใจในสิ่งที่เธอทำ ว่าเธอเชื่องช้าไม่ได้ดั่งใจ นลินไม่สนใจสมบัติเงินทองบ้าบออะไรของคนที่กำลังเป็นเถ้าถ่านและนั่นหมายรวมถึงลูกสาวคนเล็กผู้ร่ำรวยที่ผู้ล่วงลับรักมากที่สุดด้วย ก็แค่สายเลือดครึ่งตัว เธอตัดได้จนวันตาย
"เงียบ! พ่อกับแม่เงียบ! แล้วฟัง! โซ่ยอี๊ทำเหมือนบัวเป็นตัวตลกมาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยมีเวลาไหนเลยที่บัวรู้สึกมีความสุขเวลาต้องเจอโซ่ยอี๊ รู้ไหมคะว่ามันเจ็บปวดแค่ไหนที่ต้องเป็นตัวตลกให้ใครๆหัวเราเยาะมาตั้งแต่เด็ก มันฝังใจ มันเป็นปม มันคือความใจร้ายที่สุดที่เอาปมด้อยของคนอื่นมาล้อเลียนสนุกสนาน"
"ยัยบัวก็แกมันอ้วนจริงๆ แกเก็บเอาไปจะคิดมากเอ..."
"หุบปาก! แล้วฟัง!"
นลินตวาดลั่นศาลา ตาแดงก่ำด้วยน้ำตา ทุกคนนิ่งงันกับท่าทีที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
"คิดมากเองเหรอ? มันเป็นข้ออ้างพล่อยๆของคนที่ไม่รู้จักพูดก่อนคิดต่างหาก แล้วที่บัวอ้วนมันไปหนักหัวส่วนไหนของคุณไม่ทราบ รู้เอาไว้นะคะ สิ่งที่โซ่ยอี๊ทำมันคือการฆ่าคนให้ตายทั้งเป็น บัวเกลียดโซ่ยอี๊ เกลียดขี้หน้า เกลียดทุกตารางนิ้ว เกลียดเลือดทุกหยดและกระดูกทุกข้อของคุณ ต่อไปนี้ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก หลานของคุณมีคนเดียวคือพี่บีมเท่านั้น"
"บัว! มันจะมากเกินไปแล้วนะ!"
พัฒน์พิรุณเดินเข้ามากระชากแขนของเธอ แต่นลินสะบัดออกทันควัน เธอมองเขาด้วยแววตาแดงก่ำกร้าวแข็งจนคนเป็นบิดานิ่งไป
"พ่อจะทำอะไร จะตีบัวเหรอ เอาเลย ไหนๆก็ไหนๆแล้ว พ่อไม่เคยรักบัวอยู่แล้วนี่"
หญิงสาวสะอื้นไห้ เอ่ยด้วยความรวดร้าว
"บัวไม่เคยดีในสายตาพ่อกับแม่ ต่อให้บัวพยายามเรียนให้เก่งแค่ไหน ทำงานได้เงินเดือนเท่าไหร่ ซื้อรถให้พ่อขับ ไม่เคยทำตัวเหลวไหลเกเร แต่พ่อกับแม่เห็นแต่ผู้หญิงโง่ๆคนนึงที่อ้วน ต้วมเตี้ยม ไม่ได้ดั่งใจ รู้ไหมคะ พ่อกับแม่ก็ไม่ต่างจากคนอื่นๆในโลกนี้ 'มอง' แต่ไม่เคย 'เห็น' บัว"
หญิงสาวเอามือมาตบที่อกด้านซ้าย
"ไม่มีใครคิดจะมองทะลุผ่านร่างกายที่ทุเรศน่าตลกของบัว ไม่มีใครคิดมองให้ 'เห็น' ว่าข้างในหัวใจบัวเจ็บปวดแค่ไหน ตัวตนของบัวเป็นยังไง ไม่มีใครเห็นค่าเลย ไม่มี!!!"
หญิงสาวกรีดเสียงตวาดใส่บิดาที่ยืนนิ่งงันและทุกคนที่ตกตะลึง เธอใช้โอกาสนั้นถือถ้วยซุปเยื่อไผ่และซุปเสฉวนร้อนขึ้นเปิดฝาอย่างรวดเร็วแล้วเทรวมกันในชามใบหนึ่งที่วางอยู่ สีหน้านิ่งอย่างน่ากลัว
"ในเมื่อกินแล้วมันอ้วน ก็ไม่ต้องกิน!"
โดยรวดเร็วนลินใช้มืออีกข้างที่ไม่ได้ถือถ้วยซุปกระชากผ้าปูโต๊ะสีขาวด้วยแรงที่มีทั้งตัว อาหารและถ้วยชามทุกอย่างกระเด็นแตกกระจัดกระจาย ภาณุที่แอบยืนรอข้างนอกวิ่งไปที่ศาลาทันทีเมื่อได้ยินเสียงโครมคราม เศษอาหารกระเด็นเต็มตัวนิศากรและสามีที่ลุกขึ้นมาโวยลั่นด้วยความโกรธ
"ยัยบัว แกทำอะไรฉัน นี่มันมากเกินแล้วนะ ฉันเป็นอี๊แก ฉันเคยให้เงินอาแกยืม ฉันล้อเล่น แกจะจงเกลียดจงชังอะไร"
ไม่ผิดที่นลินคาดเอาไว้ เธอจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากด เสียงโทรศัพท์อีกฝั่งหนึ่งดังเตือนขึ้นว่ามีข้อความเข้า
"ยืมห้าหมื่น เอาคืนไปห้าแสน เอาไป! แล้วไม่ต้องมาลำเลิกบุญคุณนับญาติกันอีก"
นิศากรหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูด้วยใบหน้าตะลึงงัน นลินใช้จังหวะนั้นก้าวเข้าไปสาดน้ำซุปในชามใส่หน้าคนเป็นน้าสาวอย่างเต็มแรงแล้วขว้างชามทิ้ง
"บัว!!!"
บิดาของเธอเข้ามากระชากตัวเธออีกครั้ง
"เกินไปแล้วนะ แกทำอะไรลงไป!"
"ทำสิ่งที่ควรทำมานานไงคะหรือพ่อก็คิดว่าเขามีสิทธิ์จะทำให้บัวเจ็บปวดยังไงก็ได้"
หญิงสาวตอบเสียงดัง เหยียดริมฝีปากถาม
"บัว แกขอโทษโซ่ยอี๊เดี๋ยวนี้นะ"
นิศานาถกรีดเสียงแหลมใส่ลูกสาวคนเล็ก
"ไม่ค่ะ บัวไม่ผิดอะไร เชิญแม่อยู่กับน้องสาวที่แม่กับอากงยกย่องเชิดชูกันนักหนาเพราะเขารวยไปเถอะค่ะ คนแบบนี้บัวเคารพไม่ลง มีเงินแล้วก็คิดว่าพูดอะไรทำอะไรกับคนอื่นก็ได้ คำว่าทุเรศมันยังน้อยไป"
เสียงฉาดของเนื้อกระทบกันดังขึ้นแทบจะในทันทีที่หญิงสาวพูดจบ ใบหน้าของนลินหันไปอีกด้านตามแรงตวัดของฝ่ามือใหญ่ของบิดา เธอเจ็บและชาไปจนถึงหัวใจ ค่อยๆหันกลับมาหาเขา เลือดสีแดงสดไหลออกจากจมูกข้างหนึ่ง
"บัว"
ฉัตรสุดาร้องอย่างตกใจเมื่อเห็นเลือดและรอยมือขึ้นเป็นปื้นแดงบนแก้มของน้องสาว นลินน้ำตาทะลักในขณะที่พัฒน์พิรุณเองก็ตกใจ
"บัว พ่อ..."
"ขอบคุณที่ย้ำให้เห็นว่าพ่อไม่เคยรักบัวเลยจริงๆ"
หญิงสาวก้มลงนั่งเก็บโทรศัพท์ที่กระเด็นไปตามแรงตบ ข้างกันนั้นมีเศษแก้วน้ำแหลมคมเร็วเท่าใจคิดหญิงสาวหยิบมันขึ้นมาพร้อมกันกัดปากกลั้นเสียงร้องแล้วกดกรีดเศษแก้วแหลมลงที่ข้อมือซ้าย เลือดสีแดงสดเอ่อท้นไหลริน
"บัว"
"อาบัว"
ทุกคนประสานเสียงเรียกเธอ ฉัตรสุดากระโจนมาหาน้องสาวแต่ไม่ทันนลินที่กระโดดขึ้นรถตนเองที่ขับมาจอดข้างศาลาเมื่อตอนนำอาหารลงมาให้ทุกคน กดล็อคประตู มองไปที่ต้นไม้ใหญ่ตรงหน้าที่ก่อปูนล้อมรอบ
ไม่มีความจำเป็นที่เธอต้องมีชีวิตอยู่ ใช่อย่างที่ภาณุพูด เธอเป็นต้นเหตุ เธอก็ต้องแก้ไขที่ตัวเธอเอง เธอเปลี่ยนคนอื่นไม่ได้แต่เธอก็ทรมานเกินกว่าจะต่อสู้ เธอไม่เข้มแข็งพอ ไร้ค่าใดๆ นาทีนั้นในหัวของนลินว่างเปล่า เธออยู่ในความมืดมิด มีเพียงเธอและต้นไม้ด้านหน้า เธอกลืนน้ำตา เมื่อบังเอิญเพลงที่เชื่อมกับโทรศัพท์ดังขึ้น
*อีกครั้งจะเป็นอะไรไป ให้เธอไม่ต้องผิด
ไม่ต้องรู้ไม่ต้องเห็นสักนิด ฉันจะเดินไปตายไกลๆ
หญิงสาวดึงเกียร์มาจนสุด สายตาว่างเปล่าแต่แน่วแน่ก่อนหลับตาแล้วกดคันเร่งเต็มแรง
*เพลง ฉันยังอยู่ได้...คนดี คำร้องโดย เสาวลักษณ์ ลีละบุตร
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ