ฤาบุปผาลิขิตชะตารัก

-

เขียนโดย ณรีนิน

วันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 16.26 น.

  44 ตอน
  2 วิจารณ์
  17.61K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน พ.ศ. 2565 22.44 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

44) เหตุการณ์ระหว่างเดินทาง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

เหม่ยหลินนั่งเขียนข้อความลงในกระดาษเพื่อเป็นการบอกกล่าวแก่จูผิงสาวใช้ว่าเธอจะไปหมู่บ้านหนิงอันพร้อมลู่หลิ่ง เสร็จแล้วบรรจงพับกระดาษข้อความนั้นวางไว้บนโต๊ะหัวเตียง

มือเรียวเล็กหันไปคว้ากระเป๋าผ้าที่เย็บขึ้นเองเตรียมพร้อมออกเดินทาง หากแต่พอปลายนิ้วที่ได้สัมผัส ‘ลายปักวิหคเหินลม’ บนกระเป๋าผ้าใบสวยพลันให้นึกถึงลายเดียวกันนี้บนผ้าคลุมไหล่ของแม่ทัพหวางชุนเทียน

แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าผ้าคลุมไหล่ที่มอบให้หวางชุนเทียนไปนั้นยังปักไม่แล้วเสร็จ

‘ใช่แล้ว เอาเครื่องปักไปด้วยดีกว่า’

คิดได้เช่นนั้น จึงหยิบบรรดาเครื่องปักใส่ไว้ในกระเป๋าอีกใบหนึ่ง หลังจากนั้นหญิงสาวถือกระเป๋าทั้งสองใบเดินออกจากห้องไปพร้อมอารมณ์ชื่นมื่นเมื่อคิดว่าอีกไม่นานก็จะได้พบกับหวางชุนเทียน แถมยังถือโอกาสได้กลับไปยังสถานที่ที่คุ้นเคยอีกด้วย

ลู่หลิ่งเดินไปเดินมาอยู่ที่ลานกว้างหน้าเรือนเล็ก เฝ้าชะเง้อมองหาเหม่ยหลินอย่างใจจดใจจ่อ ในใจก็นึกกลัวว่าเหม่ยหลินจะเปลี่ยนใจ หากเป็นเช่นนั้นสิ่งที่เตรียมการไว้ก็สูญเปล่า

“ข้ามาแล้ว”

พอได้ยินเสียงใสของคนที่นางรออยู่ก็หันมาเร่งให้เร็วขึ้นอีก

“อย่ามัวชักช้าอยู่เลย เดี๋ยวเขาจะรอนาน”

“ใคร? มีใครรออยู่งั้นหรือ”

“อ่ะ..เอ่อ ก็รถม้ารับจ้างน่ะสิ เราจะใช้รถม้าของจวนไม่ได้ เดี๋ยวจะเป็นจุดเด่นมากจนเกินไป”

ลู่หลิ่งยกมือปิดปากที่เผลอพูดออกไปจึงรีบพูดแก้ไข

ก่อนที่ฝ่ายตรงข้ามจะระแคะระคายอะไรไปมากกว่านี้นางคิดว่าตอนนี้ไม่ควรรอช้า จึงรีบพาเหม่ยหลินเร่งเดินไปที่ประตูฝั่งหลังของเรือนเล็ก

 

รถม้าวิ่งออกมานอกเมืองได้สักพักใหญ่  จนมาถึงสถานีพักม้าซึ่งผู้สัญจรไปมาระหว่างเมืองรู้จักกันดี ด้วยสถานที่แห่งนี้มีจุดผูกม้าไว้บริการให้ได้กินหญ้าและดื่มน้ำ ส่วนบริเวณข้างๆเป็นเหมือนดังโรงเตี๊ยมให้บริการอาหารและห้องพักสำหรับนักเดินทางทั้งหลาย

สารถีบังคับให้ม้าเลี้ยวเข้าสู่ที่ลานกว้างของสถานีพักม้าแห่งนี้ ยังไม่ทันที่รถม้าจะจอดสนิทลู่หลิ่งหันไปเปิดม่านแล้วชะเง้อมองดูบรรยากาศภายนอกพลางกวาดสายตาไปทั่วบริเวณ

“เจ้ามองหาใคร”

“ข้ามองไปเรื่อยเปื่อยน่ะ เราลงไปพักด้านล่างก่อนเถิด ทั้งเจ้าและข้ายังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เช้า”

แม้ว่าลู่หลิ่งจะบอกทำนองว่าไม่มีสิ่งใด แต่เมื่อสังเกตท่าทางของนางดีๆ ก็ดูแปลกตั้งแต่ตอนอยู่ที่จวนแล้ว คำพูดของลู่หลิ่งในยามที่ตอบคำถามก็ดูตรงกันข้ามกับท่าทางลุกลี้ลุกลนที่เป็นอยู่

ทำให้ความรู้สึกยินดีที่จะได้เดินทางในครั้งนี้เริ่มต่อสู้กับความกังวลภายในใจเสียแล้ว

ระหว่างที่ทานอาหาร อยู่ๆ ลู่หลิ่งก็ขอตัวเดินออกไปด้านนอก โดยอ้างว่าจะนำอาหารไปให้เจ้าของรถม้ารับจ้างได้กินด้วย

เหม่ยหลินคิดอะไรขึ้นได้จึงลุกเดินไปที่โต๊ะของเถ้าแก่เจ้าของโรงเตี๊ยม

“เถ้าแก่ ข้าเดินทางมาจากเมืองหลวงต้องการไปหมู่บ้านหนิงอัน ท่านรู้จักหมู่บ้านหนิงอันหรือไม่”

พอเถ้าแก่พยักและบอกว่ารู้จักดีเพราะเคยเดินทางไปซื้อสุรากุ้ยฮวาที่นั่น เหม่ยหลินยิ้มดีใจที่สามารถพูดคุยกับใครสักคนที่รู้จักหมู่บ้านหนิงอัน จึงถามทิศทางที่ถูกต้องว่าเป็นเช่นไร

“แม่นางเดินทางตามเส้นทางนี้ต่อไป พอถึงทางแยกข้างหน้าก็เลี้ยวซ้ายมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ ใช้เวลาเพียงข้ามคืนก็ถึงที่หมายแล้วขอรับ แต่กว่าจะถึงทางแยกก็ใช้เวลาอยู่พอสมควร แม่นางกำชับคนบังคับม้าดีๆ อย่าให้เลี้ยวผิดทางก็แล้วกัน”

“ข้าเข้าใจแล้ว ว่าแต่หากเลี้ยวขวาจะไปถึงที่ใด”

“ก็จะผ่านหลายเมือง หากเดินทางตรงต่อไปเรื่อยๆ จนถึงชายแดนทางเหนือ ที่นั่นเป็นเขตแดนติดกับแคว้นม่งอู๋ขอรับ”

“ที่แท้ทางทิศเหนือคือแคว้นม่งอู๋นี่เอง”

“ใช่ขอรับ ส่วนทางใต้ที่แม่นางจะเดินทางไปก็สิ้นสุดที่ชายแดนทางใต้ติดกับแคว้นฟูเฉิ่ง”

หญิงสาวพยักหน้ากล่าวขอบคุณเถ้าแก่ที่ให้ความรู้เรื่องทิศทาง ก่อนที่จะหันหลังเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะของตนเองดังเดิม

ครั้นมาถึงก็เหลือบสายตามองข้าวของบนโต๊ะแต่กลับไม่พบกระเป๋าผ้าที่วางทิ้งไว้ก่อนที่จะเดินไปคุยกับเถ้าแก่ จึงทำได้แต่ก้มๆเงยๆค้นหาไปรอบโต๊ะ

“เกิดอะไรขึ้นหรือเหม่ยหลิน” ลู่หลิ่งที่เดินกลับมาจากภายนอกร้านถามขึ้น

“กระเป๋า...กระเป๋าของข้าหายไป เมื่อกี้ข้าวางไว้ตรงนี้” มือของเธอชี้ไปบนพื้นโต๊ะที่บัดนี้ว่างเปล่า

“กระเป๋า? ห่อผ้ารูปร่างประหลาดที่เจ้าถือมาน่ะหรือ”

“ใช่ ข้าต้องไปบอกเถ้าแก่ว่าที่นี่มีขโมย ให้เถ้าแก่ช่วยหากระเป๋าของข้า”

เหม่ยหลินเดินไปแจ้งลักษณะของกระเป๋าที่หายไปให้เถ้าแก่ทราบ ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี เพราะเถ้าแก่สั่งให้ลูกน้องเดินมองหาใครก็ตามที่มีกระเป๋าของเหม่ยหลินไว้ในครอบครอง ผู้นั้นย่อมเป็นผู้กระทำผิดที่ขโมยของของผู้อื่น แต่มองหาทั่วร้านก็ยังไม่พบ

ลู่หลิ่งเห็นว่าเสียเวลากับการหาของที่หายนี้นานเกินไปแล้ว จึงพูดตัดบท

“นี่เหม่ยหลิน หากในห่อผ้า เอ้อ...กระเป๋าของเจ้าไม่มีของมีค่าอันใดก็อย่าได้เสียดายไปเลย ป่านนี้เจ้าหัวขโมยคงหนีไปไกลแล้ว มัวแต่ตามหาอยู่เช่นนี้จะทำให้เสียเวลาเดินทางเปล่าๆ เจ้ารีบกินให้อิ่มแล้วเรารีบออกเดินทางกันดีกว่า”

หญิงสาวถอนหายใจแรงเสียดายกระเป๋าใบสวยของตนเอง ยังดีนะที่แยกเครื่องปักไว้อีกกระเป๋าหนึ่งและวางไว้ในรถม้า

เถ้าแก่โรงเตี๊ยมเห็นว่าสิ่งของถูกขโมยในโรงเตี๊ยมของตนเองและยังหาหัวขโมยผู้นั้นไม่เจอ ก็ได้แต่ก้มหัวขอโทษเหม่ยหลินและขอไถ่โทษโดยการไม่เก็บเงินค่าอาหาร

“ไม่ใช่ความผิดของเถ้าแก่หรอก ข้าผิดเองที่ไม่รอบคอบ” หญิงสาวเอ่ยเสียงอ่อย

“ถ้าเช่นนั้น เราออกเดินทางกันเถิด” ลู่หลิ่งชวนให้เหม่ยหลินอีกครั้ง

 

ในขณะที่ทั้งสองสาวกำลังเตรียมตัวออกเดินทางต่อ ก็มีผู้สัญจรรายใหม่มากมายที่แวะเวียนเข้ามายังสถานีพักม้าแห่งนี้ไม่ขาดสาย หนึ่งในนักเดินทางเหล่านั้นมีชายผู้หนึ่งในชุดสามัญ แต่รูปร่างกลับดูองอาจผึ่งผายมากกว่าจะเป็นชาวบ้านทั่วไป เขาควบม้าสีนิลเข้าสถานีแห่งนี้เพื่อให้ม้าได้พักเหนื่อยก่อนที่จะเดินทางกลับไปหาคนที่ตนรักเช่นกัน

สายตาเหลือบเห็นรถม้าสองคันเคลื่อนตัวออกตามกันไปอย่างช้าๆ คาดเดาว่าคงเป็นรถม้าที่รู้จักกัน

แต่ในขณะสวนทางกับรถม้าคันแรก อยู่ๆ เจ้าม้าสีนิลก็หายใจแรงขึ้น มันยกขาหน้าทั้งสองข้างขึ้นและส่งเสียงร้องราวกับต้องการสื่อสารอะไรบางอย่าง

“เจ้าเป็นอะไรไป” มือหนาเอื้อมตบเบาๆ ที่คอของมันเพื่อเป็นการปลอบประโลมและยับยั้งการตื่นตัวที่ไร้สาเหตุเช่นนี้

เขารอจนมันสงบลงได้ ร่างสูงจึงวาดขาลงจากหลังม้าและผูกสายจูงไว้กับหลัก ก่อนที่จะเดินไปหยิบภาชนะใส่น้ำให้แก่ม้าได้ดื่มดับกระหาย

จู่ๆ ก็มีชายร่างผอมทำหน้าตื่นตระหนกวิ่งตรงมาที่ลานกว้างแห่งนี้ ตามมาด้วยเหล่าชายฉกรรจ์ที่เร่งฝีเท้าไล่ล่าชายผู้นั้น แล้วยังมีเสียงดังเอะอะโวยวายของผู้ชายวัยกลางคนที่วิ่งอยู่หลังสุด

“หยุดนะ! กล้าดียังไงมาขโมยของในโรงเตี๊ยมข้า จับมันให้ได้!”

เมื่อได้ยินดังนั้นก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นเรื่องของการลักทรัพย์ เขาจึงคิดว่าผู้กระทำผิดควรจะถูกไต่สวนให้รู้ความจริงเสียก่อน จึงตัดสินใจวิ่งไปจับตัวคนผู้นั้นทันที

“โอ๊ย!  ปล่อยข้านะ”

ชายร่างผอมร้องลั่น และแม้จะถูกจับมือไพล่หลังไว้ข้างหนึ่งก็ยังไม่ยอมปล่อยของในมือ แต่กลับใช้มืออีกข้างหนึ่งหยิบมีดพกขึ้นมาหวังจะจ้วงแทงเพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามปล่อยมือ

สุดท้ายโจรกระจอกก็หนีไม่สำเร็จ เมื่อถูกอีกฝ่ายบิดข้อมือจนทนไม่ไหวยอมปล่อยมีดร่วงหล่นลงพื้น

กลุ่มผู้ไล่ล่าวิ่งมาถึงด้วยความเหนื่อยหอบ และหยุดทันทีที่เห็นว่าหัวขโมยถูกจับตัวโดยชายแปลกหน้า เถ้าแก่โรงเตี๊ยมรีบเข้ามากล่าวขอบคุณ

“ลักษณะของท่านดูเป็นผู้มีวรยุทธ์ หรือว่าท่านจะเป็นคนของทางการ”

เถ้าแก่สังเกตเห็นท่าทางการจับกุมตัวเจ้าหัวขโมยด้วยความช่ำชองจึงอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความอยากรู้

“ใช่ ข้าเป็นคนของราชสำนัก”

ชายหนุ่มแปลกหน้าบอกความจริงเพียงครึ่งเดียว เขาไม่อยากเปิดเผยตัวตนในฐานะ ‘แม่ทัพหวางชุนเทียนแห่งแคว้นตงเยว่’ ให้ใครรู้ เพราะต้องการเดินทางกลับเมืองหลวงแบบเงียบๆ

“ชายผู้นี้ขโมยของอันใดของท่านมางั้นหรือ”

เสียงทุ้มเอ่ยถามในขณะที่ยังควบคุมตัวชายร่างผอมที่แต่งกายในชุดเก่าและโทรมให้คุกเข่าลงกับพื้น

“มันขโมยห่อผ้าของแขกที่เข้ามาพักที่โรงเตี๊ยมของข้าน่ะสิ หลักฐานอยู่ในมือของมันแล้ว”

เถ้าแก่มั่นใจเหลือเกินว่าสิ่งที่อยู่ในมือของชายร่างผอมคือทรัพย์สินของแขกหญิงที่เพิ่งเดินทางออกไปจากสถานีพักม้า

ห่อผ้ารูปทรงสามเหลี่ยมที่แม่นางผู้นั้นเรียกว่ากระเป๋า ยิ่งไปกว่านั้นยังมีลักษณะเด่นอยู่ที่ลายปัก ‘วิหคเหินลม’ อีกด้วย

รายละเอียดตามที่แม่นางผู้นั้นบอกไว้ตรงกับสิ่งที่หัวขโมยผู้นี้ถืออยู่จริงๆ

หวางชุนเทียนหยิบกระเป๋าใบนั้นขึ้นมาเพ่งดูชัดๆ เขาจำฝีมือการปักลวดลายนี้ได้ทันที

มันคือลายปักฝีมือของเหม่ยหลิน!

“เจ้าของห่อผ้านี้ยังอยู่ภายในโรงเตี๊ยมหรือไม่?”

“ท่านรู้จักแม่นางผู้นั้นหรือ” เถ้าแก่ถามกลับเพื่อหยั่งเชิงดู

ชายหนุ่มหันไปคว้าห่อผ้าสัมภาระที่ผูกไว้กับหลังม้า หยิบผ้าคลุมไหล่ออกมาเทียบกับลายปักบนกระเป๋าต่อหน้าเถ้าแก่เป็นการบอกให้รู้ว่าทั้งเขาและหญิงสาวที่เถ้าแก่พูดถึงมีความเกี่ยวข้องกัน

“แม่นางผู้นั้นนั่งรถม้าออกไปเมื่อสักครู่นี้แล้ว นางบอกว่าจะไปหมู่บ้านหนิงอัน”

ไปหมู่บ้านหนิงอัน! หรือว่าจะเป็นรถม้าคันนั้น…

         

รถม้าคันเล็กชะลอความเร็วและหยุดลงที่ข้างทาง ทำให้เหม่ยหลินรู้สึกสงสัยทั้งที่เพิ่งจะหยุดพักที่สถานีพักม้าไปแล้ว และดูเหมือนยังไม่ถึงทางแยกตามที่เถ้าแก่บอกไว้

เมื่อคิดว่ารถม้าอาจจะเกิดปัญหาอะไรที่ทำให้ต้องหยุดกะทันหัน จึงคิดจะเดินออกไปดูเสียหน่อย

“เจ้าไม่ต้องออกไปหรอก เดี๋ยวข้าไปดูเอง”

ลู่หลิ่งทำทีอาสาลงไปดูเหตุการณ์ข้างนอก ก่อนที่จะยกยิ้มที่มุมปาก ‘ถึงเวลาแล้วสินะ’

บุรุษที่รออยู่ในรถม้าอีกคันหนึ่งเปิดม่านมองมาทางหญิงสาวที่ก้าวออกจากรถม้าและเดินตรงมาหาเขา

ลู่หลิ่งโค้งคำนับทันทีที่มาถึง “ท่านรองแม่ทัพเหอ ทำให้ท่านต้องรอนานแล้ว”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา