ฤาบุปผาลิขิตชะตารัก

-

เขียนโดย ณรีนิน

วันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 16.26 น.

  44 ตอน
  2 วิจารณ์
  17.60K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน พ.ศ. 2565 22.44 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

27) ข้าจะดูแลเจ้าเอง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

“ฉันจะต้องตายแบบนี้จริงๆหรือ!” เหม่ยหลินคิดคำนึงในเสี้ยวขณะที่ร่างของหญิงสาวลอยละลิ่วตกจากริมระเบียงชั้นสองของโรงเตี๊ยม เธอหลับตาอย่างไร้ความหวัง ต่อให้โชคดีตกลงไปไม่ตาย เมื่อใดที่ร่างกระแทกกับพื้นก็ต้องอยู่อย่างตายทั้งเป็นอยู่ดี! แล้วสติสัมปชัญญะของเธอพลันดับวูบไม่อาจรับรู้เหตุการณ์ต่อจากนี้

“ท่านแม่ทัพ!” จูผิงตะโกนออกไปด้วยความตกใจระคนดีใจเมื่อชะโงกมองไปเบื้องล่าง ชายผู้รับร่างเหม่ยหลินไม่ให้ตกสู่พื้นคือแม่ทัพหวางชุนเทียน แม้จะแปลกใจที่เห็นเขาที่นี่ แต่ช่างโชคดีเหลือเกินที่ช่วยเหลือคุณหนูของนางไว้ได้

เหอไป่เฉินยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินสรรพนามที่สาวใช้เรียกชายหนุ่มด้านล่าง หันขวับมองหน้าจูผิงทันที “ชายผู้นั้นคือท่านแม่ทัพงั้นรึ”

“ใช่เจ้าค่ะ แม่ทัพหวางชุนเทียนเป็นนายของข้าเอง”

“แล้วหญิงผู้นั้น...” เขาชี้ไปที่เหม่ยหลิน

“คุณหนูเหม่ยหลินเป็นคู่หมายของท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ”

“จูผิง! เจ้าอย่าพูดเหลวไหล คู่หมายที่ไหนกัน! เจ้าไม่จำเป็นต้องบอกผู้ใดให้รู้ไปทั่วเช่นนี้” ลู่หลิ่งตะคอกใส่จูผิงอย่างหัวเสีย นางไม่อยากได้ยินคำนี้ ไม่อยากให้มีงานแต่งงานเกิดขึ้น! วันนี้อุตสาห์วางแผนไว้เสียดิบดีหวังให้เหม่ยหลินขวัญเสีย หรือหากว่านางได้รับบาดเจ็บ ก็คงยืดเวลากำหนดการแต่งงานไปได้ นางเองก็ตกใจไม่น้อยที่เห็นแม่ทัพหวางชุนเทียนที่นี่ หนำซ้ำยังเป็นผู้ช่วยเหลือเหม่ยหลินไว้อีก

ส่วนจูผิงไม่ใคร่ใส่ใจคำพูดของลู่หลิ่ง นางเป็นห่วงความเป็นความตายของคุณหนูเหม่ยหลินมากกว่าจึงรีบวิ่งลงไปที่หน้าโรงเตี๊ยมก่อนเป็นคนแรก

เหอไป่เฉินกับหลัวอี้ชิงยืนนิ่งมองหน้ากัน ต่างคิดตรงกันว่ายังไม่ควรเปิดเผยตัวในเวลานี้จะดีกว่า แต่ก่อนที่จะเดินจากไปเหอไป่เฉินเหลือบเห็นถุงหอมตกอยู่บริเวณริมระเบียงอันเป็นจุดเกิดเหตุ ลายปักชื่อ “เหม่ยลิน” บนถุงหอมนั้นทำให้นึกถึงอะไรบางอย่างได้จึงเก็บมันไว้กับตัว

 

หญิงสาวทั้งสามวิ่งหน้าตื่นลงมาแหวกผู้คนที่ยืนมุงดูเหตุการณ์จนได้เห็นร่างเหม่ยหลินนอนสลบไสลไม่ได้สติอยู่ในอ้อมแขนของหวางชุนเทียนที่มีสีหน้าเป็นกังวล เขาขมวดคิ้วประหลาดใจเมื่อได้กลิ่นสุราจากตัวเหม่ยหลินลอยมากระทบจมูก

“ท่านแม่ทัพ มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรเจ้าคะ” ลู่หลิ่งรีบเข้าไปถาม

“พวกเจ้าต่างหากมาทำอะไรที่นี่!” หวางชุนเทียนไม่ตอบคำถามแต่กลับกล่าวด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวโกรธทำเอาแต่ละนางสะดุ้งเฮือก พอเห็นว่าทั้งสามทำท่าอึกอักจึงไม่รั้งรอฟังคำตอบอีกต่อไป เขาหันไปสั่งกัวเสี่ยนหรงให้รีบไปตามหมอให้มาดูอาการเหม่ยหลินโดยเร็ว

 “ท่านจะไม่พาแม่นางเหม่ยหลินไปที่จวนก่อนหรือขอรับ” นายกองหนุ่มออกความเห็นด้วยความเป็นห่วงเกรงว่าจะไม่ได้รับความสะดวกหากต้องพาหมอมารักษาเหม่ยหลินที่โรงเตี๊ยมที่แม่ทัพพักอยู่ขณะนี้

“นางยังไม่ฟื้นเช่นนี้ รอช้าไม่ได้ รีบไปตามหมอมาดูอาการของนางที่นี่เดี๋ยวนี้” กัวเสี่ยนหรงรับคำสั่งรีบหันกลับหลังเพื่อที่จะไปยังที่พักม้าด้านหลังโรงเตี๊ยม

“ส่วนพวกเจ้า....กลับจวนไปก่อน” แม่ทัพหวางหันมาสั่งหญิงทั้งสามด้วยน้ำเสียงที่ยากจะคาดเดา

           

“เอม...มากินข้าวเร็วลูก” เสียงอ่อนโยนดังมาจากที่ไกลๆ ใบหน้าที่หันมาส่งยิ้มอบอุ่นให้คือมารดาอันเป็นที่รัก ความอบอุ่นจากรอยยิ้มนั้นทำให้เอมมาลินชุ่มชื่นหัวใจ ส่วนหญิงชราที่อยู่ข้างกายของมารดาคือคุณยายที่มองหลานสาวด้วยดวงตาแสนอ่อนโยน

“หนูเอม...ยายมีขนมอร่อยๆไว้ให้หนูเอมด้วยนะ”

“คุณแม่...คุณยาย...” น้ำเสียงพึมพำเบาๆของหญิงสาว “เอมคิดถึง...”

“แม่กับยายก็ไม่ได้ไปไหนนี่นา อยู่ข้างๆเอมเสมอ” น้ำเสียงที่แสนคิดถึงนั้นค่อยๆเบาลง พร้อมกับใบหน้าของบุพการีอันเป็นที่รักก็ค่อยๆ เลือนรางหายไปด้วย

“อย่าเพิ่งไป!” คุณแม่ คุณยาย! รอเอมด้วย” หญิงสาวไขว่คว้าควานหาได้เพียงอากาศ ไม่อาจเอื้อมถึงแม่และยายของเธอได้

“เหม่ยหลิน!” เสียงของใครอีกคนดังก้องเข้ามาในขณะที่เปลือกตาของเธอยังปิดสนิทและไม่อาจหยุดหยาดน้ำตาที่รินไหล ถึงอย่างนั้นหญิงสาวสัมผัสได้ถึงความห่วงใยในน้ำเสียงทุ้มนุ่มที่เรียกชื่อเธอ

เจ้าของเสียงทุ้มนั้นกระชับมือเรียวบางที่ยื่นคว้าอากาศสะเปะสะปะจนหยุดนิ่งลงได้ เขาได้ยินหญิงสาวร้องเรียกหาใครบางคนด้วยภาษาที่ฟังไม่รู้ความ หมอรักษาที่เพิ่งกลับไปบอกเพียงว่าเป็นเพราะอาการตกใจสุดขีด ประกอบกับสุราดอกท้อที่นางดื่มจึงทำให้สลบไปเช่นนี้ เขาเช็ดน้ำตาให้หญิงสาวพลางคิดว่านางคงเสียใจและกำลังร้องเรียกใครบางคนในความฝัน เหม่ยหลินจับมือข้างหนึ่งของหวางชุนเทียนไว้แน่นราวกับกลัวว่าจะถูกทอดทิ้ง...

“เจ้าฝันร้ายงั้นหรือ” แม่ทัพหนุ่มเอ่ยถามเสียงเบาหลังจากเห็นแพขนตางามงอนทั้งสองข้างที่รื้นไปด้วยน้ำตาเปิดขึ้นช้าๆ

“ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง คุณแม่กับคุณยายหายไปไหน” พอฟื้นขึ้นมาก็เผลอเอ่ยถามหาหญิงอันเป็นที่รักทั้งสองคนด้วยภาษาไทย

“เหม่ยหลิน เจ้าพูดอะไร” เขาขมวดคิ้วไม่เข้าใจถ้อยคำที่พูด

คำตอบที่กลายเป็นคำถามทำให้เหม่ยหลินกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น ยิ่งเมื่อได้เห็นใบหน้าคมเข้มของแม่ทัพหนุ่มก็เข้าใจได้ทันที ‘ที่แท้ก็คุณแม่และคุณยายก็เป็นเพียงแค่ความฝัน’ คราวนี้หญิงสาวหลับตาลงอีกครั้ง สมองของเหม่ยหลินพยายามลำดับเหตุการณ์ พอจะจำได้แล้วว่าเธอตกลงจากระเบียงชั้นสองของโรงเตี๊ยม

“ข้า...ข้ายังไม่ตาย...แล้วที่นี่ที่ไหนเจ้าคะ” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงโรยแรงในขณะที่พยายามยันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง แล้วอยู่ๆก็ปวดหัวจี๊ดจนต้องยกมือกุมที่หน้าผาก “โอ๊ย...ปวดหัว”

“ที่นี่โรงเตี๊ยมลี่หลัน ข้าเห็นว่าเจ้ายังไม่ฟื้นจึงพาเจ้ามาพักที่นี่ก่อน” พูดจบก็หันไปหยิบถ้วยยาที่หมอเตรียมไว้ ยกจ่อที่ปากของหญิงสาว “ดื่มยาก่อนเถิดจะได้หายปวด” อีกมือหนึ่งคอยประคองร่างบางจนสามารถกินยาได้สำเร็จ

“เจ้าร้องไห้...ปวดหัวมากขนาดนั้นเลยหรือ” สายตาของเขาเหลือบเห็นคราบน้ำตาที่แก้มทั้งสองข้าง

“ที่ร้องไห้ไม่ใช่เพราะปวดหัว…แต่เพราะฝันถึงแม่และยาย ข้าคิดถึงพวกท่านทั้งสองมากเหลือเกิน...ข้าอยากกลับไปหาพวกท่าน” คำสุดท้ายที่อยากเอ่ยคือ อยากกลับแต่กลับไม่ได้...

แม่ทัพหนุ่มเห็นใบหน้าที่เศร้าโศกของหญิงสาวแล้ว เอื้อมมือแตะไหล่เป็นการปลอบใจ เขาไม่รู้ว่าในฝันของเหม่ยหลินนั้นเป็นเช่นไร ตอนนี้พอเข้าใจแล้วว่าหญิงสาวคงเป็นทุกข์ใจที่ต้องจากบ้านเกิดมานานจนนางถึงกลับต้องฝันเพ้อหาบุพการี

“เอาล่ะ...เจ้าหยุดร้องไห้เสียเถิด ในเมื่อเจ้าฟื้นแล้วข้าจะพาเจ้ากลับจวน เสี่ยนหรงคงเตรียมรถม้าไว้แล้ว” เหม่ยหลินพยักหน้าเตรียมตัวลุกจากเตียง ทันทีที่ขาแตะพื้นเธอก็รีบยกขาขึ้นและร้องเสียงหลงด้วยความเจ็บปวด “ขาของข้า!”

“เจ้าเจ็บขางั้นรึ” ไม่พูดเฉยๆ แต่เขาถอดรองเท้าและถุงเท้าของหญิงสาวออกเห็นว่าบวมแดงเล็กน้อย เหม่ยหลินจำได้ว่าข้อเท้าพลิกหลังจากถูกลูกหลงจากการต่อสู้ก่อนที่ร่างของเธอจะร่วงลงมา แต่ถึงให้เจ็บอย่างไรเหม่ยหลินก็พยายามจะยืนอีกครั้ง แต่ขาของนางยังไม่ทันถึงพื้น ร่างบางก็ถูกอุ้มตัวลอยขึ้น

“ท่านแม่ทัพ! ปล่อยข้าลงเถิด ข้าเดินเองได้”

“ข้าบอกแล้วว่าจะพาเจ้ากลับจวน เจ้ายังมีอาการเมาสุรา ขาของเจ้าก็เจ็บอยู่เช่นนี้คงเดินลงบันไดไม่ถนัดนัก” หวางชุนเทียนให้เหตุผลว่าที่นี่คือห้องพักที่อยู่ชั้นสองของโรงเตี๊ยมลี่หลัน ขาเจ็บเช่นนี้เดินลงบันไดจะยิ่งเจ็บมากไปอีก

“ข้าไม่เมา แค่สุราไม่กี่จอกจะเมาได้เช่นไร”ความจริงก็ยังมึนหัวอยู่นิดหน่อยแต่ไม่ถึงกับเดินไม่ไหวเสียหน่อย

“ไม่เมา? แต่เหตุใดหน้าเจ้าแดงถึงเพียงนี้เล่า” หวางชุนเทียนยื่นหน้าเข้ามาใกล้

“……” เหม่ยหลินพูดไม่ออกได้แต่ใช้มือสองข้างปิดหน้า หากหน้าของเธอแดงขนาดนั้นจริงก็ไม่รู้ว่าสาเหตุจากฤทธิ์สุราหรือความเขินอายกันแน่...

 

ทันทีที่รถม้าหยุดลงที่หน้าประตูจวน สารถีรีบเปิดประตูรถม้าตามหน้าที่ซึ่งดูเหมือนวันนี้จะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะนายของเขาไม่ได้ลงมาคนเดียว แต่มีร่างหญิงสาวบอบบางอยู่ในอ้อมแขนของเขาด้วย

แม่ทัพหวางก้าวเข้าประตูจวนก็ได้พบกัวเสี่ยนหรงและพ่อบ้านเฉินยืนรออยู่

“เอ่อ...แม่นางเหม่ยหลินเป็นอย่างไรบ้างขอรับ” พ่อบ้านเฉินถามด้วยความเป็นห่วง

“ข้า...” เหม่ยหลินอยากจะตอบว่าไม่เป็นไร แต่หวางชุนเทียนกลับชิงพูดขึ้นก่อน “เหม่ยหลินบาดเจ็บที่ขา พ่อบ้านเฉินเตรียมยาไว้ด้วย”

“ท่านแม่ทัพขอรับ แล้วภารกิจของวันนี้...” กัวเสี่ยนหรงถามเรื่องงานเพราะเห็นว่าแม่นางเหม่ยหลินปลอดภัยดีแล้วคงจะไม่มีอันตรายอะไรอีก

“เจ้าไปจัดการแทนข้าที วันนี้ข้าไม่ว่าง” คำตอบของแม่ทัพหนุ่มทำให้ลูกน้องอย่างเขาอึ้งไปเล็กน้อย ปกติแม่ทัพหวางจะเคร่งครัดเรื่องงานมากกว่าสิ่งอื่นใด แต่เพียงครู่เดียวกัวเสี่ยนหรงก็พยักหน้าอย่างเข้าใจและตอบรับคำสั่งจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด

จูผิงรู้จากบ่าวในจวนว่าท่านแม่ทัพกลับมาถึงจวนแล้ว นางเห็นแว้บๆว่าท่านแม่ทัพกำลังอุ้มนายหญิงของตนเองเดินเลี้ยวไปยังเรือนใหญ่ จึงรีบวิ่งหน้าตั้งหวังจะเข้าไปรับใช้เหม่ยหลินจนไม่ทันระวังชนเข้ากับกัวเสี่ยนหรง

“ระวัง!” กัวเสี่ยนหรงจับแขนจูผิงที่กำลังจะหงายหลังดึงเข้ามาจนปะทะกับร่างเขาอีกครั้ง พอเห็นว่าหญิงสาวยืนตรงขึ้นแล้วจึงปล่อยมือ

“ท่านนายกองกัวเสี่ยนหรง...ข้าขอโทษด้วยเจ้าค่ะ” แม้จะปล่อยมือแล้วแต่จูผิงยังเขินหน้าแดงเพราะไม่เคยถูกชายใดจับมือมาก่อน

“เจ้าคือสาวใช้ที่เพิ่งมาใหม่ รู้จักข้าด้วยหรือ”

“ข้าเห็นท่านอยู่ข้างกายท่านแม่ทัพตลอด ก็พอได้ยินท่านแม่ทัพเรียกชื่อท่านอยู่บ้าง”

“แล้วเจ้าจะรีบร้อนไปไหน”

“ท่านแม่ทัพพาคุณหนูเหม่ยหลินกลับมาแล้ว จะรีบเข้าไปดูแลคุณหนูเจ้าค่ะ”

กัวเสี่ยนหรงย่นคิ้วก่อนจะเอ่ยปากห้ามไม่ให้จูผิงเข้าไปหาคุณหนูของนางในเวลานี้แค่พ่อบ้านเฉินนำยาไปมอบให้ก็เพียงพอแล้ว

“ตอนนี้ท่านแม่ทัพดูแลคุณหนูของเจ้าอยู่ รอจนกว่าท่านแม่ทัพจะออกจากห้อง แล้วเจ้าค่อยเข้าไป เข้าใจหรือไม่” กัวเสี่ยนหรงยื่นหน้าไปกระซิบกระซาบ

“เจ้าค่ะ” จูผิงพยักหน้าเริ่มรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ประกอบกับเขินอายนายกองหนุ่มที่ยื่นหน้าเข้าใกล้

“เหตุใดหน้าแดง เจ้าป่วยไข้งั้นรึ”

“ข้าไม่ได้เป็นอะไรเจ้าค่ะ ข้าขอตัวก่อน” นางหันหลังวิ่งหนีออกไปดื้อๆ ปล่อยให้กัวเสี่ยนหรงยืนทำหน้างงอยู่เพียงคนเดียว

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา