คุณพฤกษ์รวยมาก (สนพ.Onederwhy)
เขียนโดย ฟ้ามุ่ย
วันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 เวลา 22.49 น.
แก้ไขเมื่อ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2564 23.11 น. โดย เจ้าของนิยาย
14) 00 14
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ00 14
ฉัตรตะวันเดินนำออกมาจากห้องเช่าเล็ก ๆ ด้วยสีหน้าว่างเปล่าโดยมีพฤกษ์เดินกะโผลกกะเผลกตามมาทีหลัง ร่างโปร่งใช้ไหล่ข้างหนึ่งพิงกำแพงเพื่อทรงตัวให้มั่นก่อนจะมองไปรอบ ๆ
“ผิดคาดที่เป็นม่านรูดถูก ๆ แบบนี้”
ฉัตรตะวันที่ก้มลงใส่รองเท้าอยู่เงยหน้าขึ้นพูด
“ก็มันอยู่ใกล้สุดนี่ครับ หรือคุณพฤกษ์ชอบบนรถ”
เขาไม่ตอบได้แต่หัวเราะเบา ๆ ฉัตรตะวันยืดตัวขึ้นก่อนจะเดินไปเปิดประตูรถยนต์ เมื่อเห็นว่าพฤกษ์ยังยืนพิงกำแพงอยู่ที่เดิม คิ้วเข้มจึงขมวดเข้าหากันอย่างเป็นกังวลก่อนร่างสูงจะปรี่เข้ามาประชิด
“สีหน้าคุณดูไม่ดีเลย” ฉัตรตะวันทาบฝ่ามือลงบนหน้าผาก ชักกลับมาที่แก้มนุ่มตามด้วยซอกคอ ดวงตาสีเข้มเบิกกว้างเล็กน้อยเมื่อมองเข้าไปในคอเสื้อเชิ้ต เห็นรอยจ้ำแดงจุดหนึ่งที่เขาเองไม่รู้ว่าเผลอไปทำไว้ตอนไหนปรากฏอยู่
“คุณฉัตร” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นปลุกให้ชายหนุ่มที่จดจ่ออยู่กับร่องรอยบนซอกคอหันมาสนใจตนเอง
“คุณตัวร้อน น่าจะมีไข้”
“อ่า” เขารับคำก่อนจะเซล้มลงไปทันทีที่ก้าวเท้า ฉัตรตะวันใจหายวาบ รีบโถมเข้าไปคว้าตัวอีกฝ่ายไว้อย่างรวดเร็วก่อนจะพูดเสียงสั่น ๆ
“ผมว่าเราไปโรงพยาบาลกันดีกว่า”
รถตู้โดยสารประจำบ้านคันเดิมแล่นเข้าจอดที่หน้าประตูใหญ่ พงพีเป็นคนแรกที่กระโดดลงมาด้วยความกระฉับกระเฉงก่อนจะวิ่งปร๋อเข้าไปในห้องโถงใหญ่ มาลีวัลย์ลงมาเป็นคนที่สองตามด้วยอินทรชิตเป็นคนสุดท้าย
“พี่อินทร์ ๆ ” เด็กหญิงกระตุกเสื้อพี่ชาย พูดน้ำเสียงเจื้อยแจ้วว่า
“ดูสิคะ พี่พีร์วิ่งเร็วจัง สงสัยจะหิวขนม”
อินทรชิตไม่ได้ยินเสียงของน้องเลย เขากระวีกระวาดมองไปยังโรงรถทว่ากลับไม่เห็นรถยนต์ของคุณพฤกษ์จอดอยู่จึงรีบก้าวเร็ว ๆ เข้าไปในบ้านทันที ทิ้งให้มาลีวัลย์มองตามหลังพี่ชายที่เดินหน้าเครียดจากไปด้วยความงุนงง
หลังจากเก็บกระเป๋า อินทรชิตก็เดินเข้ามาในห้องโถง เห็นพงพีนั่งแกว่งขาเคี้ยวขนมถั่วทอดเสียงดังกร้วม ๆ อยู่ในปากด้วยสีหน้ามีความสุข เด็กหนุ่มทิ้งตัวลงบนโซฟาแบบส่ง ๆ ก่อนจะรับน้ำผลไม้ขึ้นมาดื่ม
“คุณพฤกษ์ยังไม่กลับหรือครับ”
ป้าเมียมที่กำลังจัดของว่างวางบนโต๊ะชะงักไปเล็กน้อยและก่อนจะตอบอะไรก็มีเสียงของรถยนต์แล่นเข้ามาจอดที่หน้าประตูใหญ่ อินทรชิตทิ้งแก้วที่อยู่ในมือทันทีก่อนจะพุ่งตัวออกไป พงพีโคลงหัวดูพี่ชายที่มีท่าทางร้อนรนเกินเหตุและหันไปถามเอาจากป้าเมียมที่มีสีหน้าสงสัยไม่ต่างกัน
“พี่อินทร์เป็นอะไรอะครับ”
เธอส่ายหัวน้อย ๆ ตอบว่า
“ป้าก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ”
อินทรชิตถลาตัวออกมาหน้าประตูใหญ่ เห็นรถยนต์คันงามของคุณพฤกษ์ขับเข้ามาจอดก็พลันตื่นเต้นดีใจอดไม่อยู่ที่จะยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว ทว่ารอยยิ้มนั้นก็มลายหายไปเมื่อผู้ที่ออกมาจากรถเป็นคนแปลกหน้าไม่ใช่คนที่เขาเฝ้าคอยมาตลอดทั้งวัน
ผู้ชายหน้าตาสุภาพท่าทางมีอายุในชุดสูทปิดประตูรถ ขยับสาบเสื้อจัดท่าทีตนเองผ่านกระจกก่อนจะสังเกตเห็นเด็กหนุ่มที่ยืนหน้าอึมครึมอยู่ด้านหลัง
“อ้อ สวัสดีครับ” ชายหนุ่มทักทายด้วยรอยยิ้มแต่อินทรชิตกลับยืนนิ่ง ไม่แม้แต่จะยิ้มตอบหรือยกมือไหว้อย่างที่ผู้มีอายุน้อยพึงปฏิบัติ เด็กหนุ่มเพียงถามสวนไปด้วยน้ำเสียงกระด้างกระเดื่องว่า
“คุณพฤกษ์อยู่ไหน”
ชายหนุ่มผงะไปเล็กน้อยเพราะรู้สึกถึงความเย็นเยียบน่าขนลุกบางอย่างแฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้น เขากลับมาทำสีหน้าสุภาพปกติ ทว่าหัวคิ้วกลับมุ่นเข้าหากันแน่น
อะไรวะไอ้เด็กนี่..
“ไม่ทราบครับ คุณฉัตรแค่สั่งให้ผมขับรถของคุณพฤกษ์มาส่ง ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดเขาก็น่าจะอยู่ด้วยกัน”
อินทรชิตหน้ากระตุกโดยแรงกับประโยคหลัง เผลอกำหมัดแน่นจนข้อนิ้วขึ้นสีขาวซีด ‘เขาก็น่าจะอยู่ด้วยกัน’ นี่มันหมายความว่ายังไง!
ชายหนุ่มทำท่าจะพูดต่อแต่ไม่ทันที่จะอ้าปาก เด็กหนุ่มก็หมุนตัวกลับเข้าไปในบ้านด้วยท่าทีกระฟัดกระเฟียด อินทรชิตเดินกระแทกเท้าผ่านห้องโถงใหญ่เพื่อจะขึ้นบันได พงพีและมาลีวัลย์ที่เห็นพี่ชายเดินมาก็ทำท่าจะถามถึงเสียงรถที่จอดอยู่หน้าบ้านแต่พอเหลือบไปเห็นสีหน้าคร่ำเครียดและแววตาน่ากลัวของอีกฝ่ายแล้วเด็กชายก็พลันหนาวสะท้านขึ้นมาก่อนจะหยิบถั่วทอดในจานขึ้นมาเคี้ยวกร้วม ๆ ในปากเงียบ ๆ ไม่พูดอะไร
อินทรชิตเปิดและปิดประตูเสียงดังปึงปังจนต่ายที่ทำความสะอาดอยู่หน้าห้องถึงกับสะดุ้งเพราะไม่เคยเห็นเด็กหนุ่มที่มักจะอ่อนโยนและสุภาพมีอารมณ์รุนแรงแสดงออกให้เห็นเลยสักครั้ง
เขาเข้ามาในห้องของตนเองก่อนจะพุ่งไปกระชากโทรศัพท์ออกจากสายชาร์จแบตที่อยู่บนหัวเตียง เวลาที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอคือเวลาบ่ายสามโมงห้าสิบ เขากดไปที่รายชื่อผู้ติดต่อที่มีเพียงไม่กี่รายชื่อและรายชื่อที่เขาตั้งเป็นรายการโปรดก็มีเพียงรายชื่อเดียวนั่นก็คือคุณพฤกษ์ อินทรชิตไล่ดูประวัติการโทร ดูเหมือนเขาจะมีเบอร์โทรศัพท์ของคุณพฤกษ์อยู่นานแล้วแต่ไม่เคยกดโทรไปเลยสักครั้ง
สักครั้งเดียวก็ไม่มี..
เด็กหนุ่มจับจ้องตัวเลขทั้งสิบในจอโทรศัพท์ก่อนจะชั่งใจว่าควรทำอย่างไรดีถึงจะขจัดความว้าวุ่นที่อยู่ในใจออกไปได้ กระทั่งในที่สุด นิ้วหัวแม่มือข้างนั้นก็กดลงไปที่ปุ่มโทรออก
พฤกษ์คล้ายกับได้ยินเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ของตนดังขึ้นอยู่ไม่ไกลจึงค่อย ๆ พยายามขยับเปลือกตาสีอ่อนขึ้นอย่างยากลำบาก สิ่งแรกที่เห็นคือเพดานและเสาน้ำเกลือที่ห้อยอยู่ข้างตัว แม้ภาพจะเลือนลางเพราะอาการสายตาสั้นแต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาสักเท่าไหร่ พฤกษ์หันไปอีกด้าน เห็นฉัตรตะวันกำลังถือโทรศัพท์ของเขาอยู่ในมือพร้อมกับเสียงเรียกเข้าที่เงียบไป ดวงตาสีเข้มคล้ายกับกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ในหัวทว่าเมื่อเหลือบมาเห็นพฤกษ์ที่นอนจ้องตาแป๋วอยู่ก็ยิ้มออกมาโดยทันที
“ตื่นแล้วหรือครับ” ฉัตรตะวันวางโทรศัพท์ลง ลุกขึ้นยืนพร้อมกับช่วยปรับเตียงให้เขานั่งได้อย่างถนัดถนี่
“ผมหลับไปนานแค่ไหน เกิดอะไรขึ้นบ้างครับ”
ชายหนุ่มไม่ได้ตอบโดยทันทีที่ถาม ฉัตรตะวันเพียงแค่ยื่นน้ำเปล่าสะอาดให้เขาและส่งสายตาบอกแกมบังคับให้ดื่มเสีย พอเขารับมาดื่มได้ครึ่งแก้ว อีกฝ่ายจึงเริ่มเปิดปาก
“คุณหลับไปเกือบแปดชั่วโมงได้”
ฉัตรตะวันรับแก้วจากเขาไปเก็บก่อนจะเลื่อนเก้าอี้มานั่งใกล้ ๆ พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า
“รู้สึกยังไงบ้าง”
“มึนเล็กน้อยแต่ก็โอเค”
“อืม คุณหลับไปตอนมาถึงโรงพยาบาล กว่าจะตรวจเลือด ตรวจอะไรต่อมิอะไรก็เกือบเย็นแล้ว ก่อนหน้านี้ไข้ขึ้นสูงด้วยแต่หมอฉีดยาไปแล้วอาการเลยดีขึ้น”
พฤกษ์เอามือคลึงขมับ “ตรวจเลือด? ”
ชายหนุ่มยิ้ม “นอกจากแอลกอฮอล์ก็ไม่มีสารเสพติดอย่างอื่น คุณพฤกษ์ไม่ต้องกังวล”
เขาคิดอยู่ในใจว่าคนที่เป็นกังวลมากที่สุดไม่ใช่ตัวเขาแต่เป็นฉัตรตะวันต่างหาก
“เอ่อ แล้วยัง.. ยังเจ็บอยู่อีกไหมครับ”
พฤกษ์เหลือบตามอง อีกฝ่ายเบือนหน้าไปทางอื่นก่อนจะยกมือเกาแก้มกลบเกลื่อนริ้วสีแดงบนหน้า พฤกษ์หัวเราะ ตอบว่า
“ไม่เจ็บเท่าไหร่แล้ว”
พฤกษ์ขยับตัวเอนลงพิงกับเตียงที่ปรับจนเกือบตั้งฉาก ดวงตาคู่สวยกรอกขึ้นมองเพดานห้องก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้
“คุณฉัตร”
“หืม”
“เมื่อกี้ใครโทรมาหรือครับ”
ฉัตรตะวันดูคล้ายจะตกใจเล็กน้อยที่เขาถามถึงทว่าก็กลับมามีสีหน้าปกติ ชายหนุ่มยิ้มกว้างตอบอย่างไม่ยี่หระ
“ไม่มีอะไรหรอก แค่คนโทรผิดน่ะ”
“งั้นหรือ” พฤกษ์ยกมือลูบหน้า พอเห็นเข็มน้ำเกลือที่เสียบคาอยู่ที่หลังมือก็พลันหน้าซีดขาวในทันที ตั้งแต่เด็กมา เขาเป็นพวกกลัวเข็มกับเลือดเป็นที่สุด กลัวจนถึงขั้นขึ้นสมอง นั่นจึงเป็นเหตุให้ว่าทำไมเขาถึงพยายามไม่เจ็บป่วยมาโดยตลอดถึงแม้ว่าต้องทำงานหนัก แต่มันกลับเลวร้ายขึ้นไปอีกเมื่อพฤกษ์เหลือบไปเห็นข้อพับแขนของตนเองมีสำลีเปื้อนเลือดปิดเอาไว้ ใบหน้าซีดแล้วซีดอีกจนแทบไม่เห็นเลือดฝาด พฤกษ์กัดฟันค่อย ๆ ดึงสำลีก้อนนั้นออกเพราะไม่อยากเห็นสีของเลือด แต่นั่นเหมือนเป็นการทำผิดพลาดครั้งใหญ่ เมื่อไม่มีสำลีปิดเอาไว้ ผิวเนื้อส่วนแขนที่เคยขาวผ่องกลับมีรอยแทงของเข็มที่ช้ำจนเห็นเป็นสีเขียวบ้างสีม่วงบ้างปรากฏอยู่หลายจุด
พฤกษ์เบือนหน้าหนีแขนข้างนั้นของตนเอง เขาเห็นฉัตรตะวันกำลังมองมาจึงพูดเสียงสั่น ๆ ว่า
“ผมอยากกลับบ้าน”
ชายหนุ่มโคลงศีรษะ “เดี๋ยวก็ได้กลับ”
พฤกษ์ระบายยิ้มออกมาด้วยความโล่งใจ ทว่า..
“แต่ต้องให้น้ำเกลือหมดถุงก่อนนะ”
เขาหันไปมองเสาน้ำเกลืออีกครั้งก็เห็นว่าน้ำเกลือในถุงยังเต็มเหมือนเพิ่งเปลี่ยนใหม่ได้ไม่นาน พฤกษ์จ้องมันอยู่อย่างนั้นด้วยสายตาเหม่อลอย
อินทรชิตกำโทรศัพท์ในมือแน่นจนนิ้วมือขึ้นริ้วสีแดงก่ำจากการบีบรัด สีหน้าของเด็กหนุ่มย่ำแย่จนไม่สามารถอธิบายได้ว่ากำลังรู้สึกสิ่งใดอยู่ ร่างโปร่งสูดหายใจลึกพยายามระงับอารมณ์แปรปรวนที่ซุกซ่อนอยู่ในใจให้สงบลง แต่หากนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ก็พลันทำให้รู้สึกเดือดดาลขึ้นมาอีกครั้ง
(ฮัลโหล) เสียงทุ้มเอ่ยทันทีที่เขาโทรไป
‘คะ ครับ’ แม้จะไม่คุ้นเสียงแต่ในอกก็ดีดเด้งราวกับจะหลุดออกมาเสียให้ได้
(ใครครับ?)
‘เขี้ยวครับ คุณพฤกษ์ ขอผมคุยได้ไหม..’
ปลายสายเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะหัวเราะอยู่ในคอ อินทรชิตมุ่นคิ้ว รู้สึกคุ้นเคยกับวิธีการหัวเราะของปลายสายอย่างไรชอบกล
(อ้อ นึกว่าใครเสียอีก) เสียงทุ้มพูด (คุณพฤกษ์อยู่กับฉัน ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวจะพาไปส่งหลังจากเสร็จเรื่อง)
หลังจากพูดประโยคนั้นจบปลายสายก็ตัดไป อินทรชิตเพิ่งรู้ตอนนั้นเองว่าอีกฝ่ายคือฉัตรตะวัน! อารมณ์ที่ไม่สงบดีทำให้เขากำโทรศัพท์แน่นขึ้นไปอีก พลันประโยคชวนให้รู้สึกครุมเครือก็แว่บผ่านเข้ามาในห้วงความคิด อินทรชิตหน้ากระตุกไปครึ่งซีก ปาโทรศัพท์ราคาแพงในมือลงกับพื้นห้องอย่างไม่ใยดี
“ทั้งที่คิดว่าน่าจะตายไปแล้วแท้ ๆ ทำไมยังโผล่หัวมาอีก! ”
“ดื้อ”
ฉัตรตะวันพูดขึ้นหลังจากที่ขับรถออกมาจากโรงพยาบาลได้สักพัก เขาที่นอนมองทิวทัศน์ข้างทางทำท่าจะหลับแหล่มิหลับแหล่จึงค่อยได้สติ หันไปหยีตามองอีกฝ่ายด้วยความงุนงง
“คุณควรจะนอนโรงพยาบาลสักคืน”
“อ้อ” พฤกษ์นึกขึ้นได้ อันที่จริงแล้วกว่าน้ำเกลือจะหมดก็ใช้เวลาอย่างต่ำสิบถึงสิบสองชั่วโมงแต่ด้วยความดื้อแพ่งเอาแต่ใจไม่มีใครปรามลงได้ของเขาที่ไปโวยวายกับคุณหมอจนได้ออกจากโรงพยาบาลมาหลังอดทนนอนอยู่หลายชั่วโมงแต่น้ำเกลือก็ไม่หมดขวดเสียที
พฤกษ์ยกหลังมือที่มีสำลีปิดขึ้นมาดูพลางทำหน้าเหยเกขณะที่กำลังนึกภาพว่าหมอคงใช้เข็มเจาะเข้าไปในเส้นเลือดเพื่อต่อสายน้ำเกลือขึ้นในหัวเป็นฉาก ๆ ฉัตรตะวันที่ขับรถอยู่ก็พูดต่อไปว่า
“กลับไปต้องนอนเลยเข้าใจไหม ถ้าไม่ไหวก็หยุด”
พฤกษ์ที่ยังจับจ้องหลังมือตนเองก็พูดขึ้น
“จะหลับได้ไง ยังไม่ทานข้าวทานยาเลย”
“ก็หลังจากทานข้าวทานยาเสร็จไงครับ”
“หลังอาบน้ำด้วย” พฤกษ์ทิ้งศีรษะซบกับหน้าต่างรถ
“อาบไม่ได้” มือใหญ่ละจากพวงมาลัยมาจับหน้าผาก “ตัวยังร้อนอยู่ เช็ดตัวเอาแล้วกันครับ”
พฤกษ์ไม่ได้ตอบอะไรได้แต่เบะปากทำหน้าเบื่อหน่าย ฉัตรตะวันเห็นดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปขยี้เส้นผมนุ่มลื่นถึงแม้จะถูกอีกฝ่ายปัดออกในวินาทีต่อมาก็ตาม
ฉัตรตะวันพาเขามาส่งที่บ้านในเวลาเกือบสามทุ่มครึ่ง พฤกษ์ลงมาจากรถก่อนจะบิดขี้เกียจเล็กน้อยพร้อมกับนวดลูกตา ไฟในชั้นบนของบ้านปิดหมดยกเว้นชั้นล่างที่คงจะเปิดทิ้งเอาไว้เพื่อรอเขากลับมา พฤกษ์เหมือนจะเห็นป้าเมียมเดินลงบันไดโร่มาหาด้วยสีหน้าตื่น ๆ เธอมีท่าทีเป็นกังวลขณะที่กวาดสายตาไปทั่วร่างกายเขา หากไม่ติดว่าเกรงใจที่เป็นเพียงแม่บ้านก็คงจะจับเจ้านายหนุ่มมาพลิกไปพลิกมาเพื่อตรวจดูให้แต่ใจว่าไม่มีตรงไหนสึกหรอแล้วแน่ ๆ
“ไปไหนกันมาคะทั้งสองคน ติดต่อก็ไม่ได้ ป้าเป็นห่วงนะคะ”
พฤกษ์กระอักกระอ่วนที่จะตอบความจริงเรื่องเข้าโรงพยาบาลเพราะกลัวไฟจะลามไปถึงเรื่องที่เขากับฉัตรตะวันพลาดไปมีอะไรด้วยกันเมื่อคืน เขายิ้มอ่อนหวานพลางพูดแก้ตัวอย่างลื่นไหล
“พอดีมีงานกลุ่มเลยต้องค้างที่ห้องเขาน่ะครับ” พฤกษ์พยักพเยิดหน้าไปทางเขาที่พูดถึง ฉัตรตะวันยิ้มรับทันทีอย่างรู้งาน
“ครับ พอดีงานหนักเลยต้องอยู่กันยาว”
เพล้ง!
คล้ายกับมีบางอย่างหล่นกระแทกกับพื้นจนแหลกเป็นเสี่ยง ทั้งสามหันขวับมองเข้าไปในบ้านโดยพร้อมเพรียง จากนั้นป้าเมียมจึงขอตัวเข้าไปดูว่ามีของมีค่าอะไรเสียหายหรือเปล่า พฤกษ์เห็นอย่างนั้นก็รู้สึกเหนื่อยล้าอยากจะขึ้นห้องไปพักผ่อนเร็ว ๆ จึงหันมาร่ำลาฉัตรตะวัน
“แล้วเจอกันครับ ขับรถดี ๆ ด้วยล่ะ”
ฉัตรตะวันฉวยมือข้างหนึ่งของพฤกษ์จับเอาไว้หลวม ๆ ดวงตาเรียวสวยก้มมองมือของตนด้วยความฉงนแต่ก่อนจะได้พูดอะไร อีกฝ่ายก็ยื่นถุงยาส่งให้
“กินยาให้ครบตามเวลาด้วยนะครับ มียาทาภายนอก คุณต้องทาจนกว่าจะหายโอเคไหม? ”
เขารับถุงยานั่นมาพร้อมพยักหน้าหงึกหงักด้วยท่าทีอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด ฉัตรตะวันจึงทั้งอ่อนใจทั้งสงสารจนไม่กล้าจะเร้าหรืออะไรอีกฝ่ายได้อีก เขาปล่อยมือที่จับออก ยิ้มให้อีกครั้งก่อนจะยืนมองแผ่นหลังเหยียดตรงเดินเฉื่อยเข้าไปในบ้านแล้วจึงค่อยขับรถออกมา
พฤกษ์เดินเข้ามาภายในบ้านแต่ยังไม่ทันพ้นประตูไปได้ไกลเท่าไหร่ก็พลันรู้สึกหน้ามืดจนต้องเลี้ยวมานั่งพักที่โซฟากลางห้องโถง ทว่ากลับไม่ได้มีเขาที่อยู่ในห้องโถงคนเดียว พฤกษ์คล้ายกับเห็นร่างอันเลือนลางของใครบางคนนั่งอยู่ก่อน เมื่อหรี่ตาลงจนแทบเป็นเส้นตรงก็พอจะเห็นว่าเป็นอินทรชิตที่นั่งนิ่งอยู่ เขานั่งลงข้าง ๆ ทันทีเพราะขืนยืนอยู่นานกว่านี้คงจะล้มพับลงไปกองกับพื้นให้อายเด็กมันแน่
“แกยังไม่นอนอีกหรือ” พฤกษ์เปิดปากถามเพราะเห็นว่าเด็กหนุ่มนั่งเงียบจนผิดวิสัย ทั้งที่ปกติมันจะปรี่เข้ามาทักเขาก่อนแท้ ๆ
“ผมลงมาห้องครัวแต่ดันซุ่มซ่ามทำแจกันแตก” เสียงทุ้มแบบเด็ก ๆ เอ่ยตอบพร้อมกับชูนิ้วชี้ที่ชุ่มไปด้วยเลือดสีแดงสดให้เขาดู พฤกษ์พลันหน้าซีดอีกครั้งเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ของวันก่อนจะเบือนหน้าหนี
“เอามันออกไปห่าง ๆ ฉัน”
“ลืมไปเลย” อินทรชิตลดนิ้วลง พูดด้วยสีหน้ายิ้ม ๆ “คุณพฤกษ์กลัวเลือด”
พฤกษ์ขยับตัวพิงพนักโซฟา เท้าแขนขึ้นก่อนจะเริ่มนวดคลึงขมับตนเองโดยไม่ได้เอะใจหรือใคร่รู้เลยสักนิดว่าทำไมอินทรชิตถึงสังเกตและรู้เรื่องที่เขากลัวเลือด
คนทั้งสองนั่งเงียบอยู่อย่างนั้นราวสามนาทีเห็นจะได้ ไม่นานนักป้าเมียมก็เดินมาพร้อมกับกล่องปฐมพยาบาลในมือก่อนจะนั่งลงตรงหน้าอินทรชิตและเริ่มทำแผลที่นิ้วอย่างใจเย็น ป้าเมียมพูดว่า
“คุณอินทร์ไปทำยังไงแจกันถึงตกแตกได้คะเนี่ย”
“กำลังเดินไปห้องครัวครับ ได้ยินเสียงรถเลยหันไปดู ไม่ทันมองว่ามีแจกันอยู่เลยชนเข้า” อินทรชิตโกหก ทั้งที่ความจริงเขายืนอยู่ที่หลังประตูบานใหญ่แอบดูเขาคุยกันตั้งนานสองนาน ที่แจกันแตกก็เป็นเพียงแค่การสร้างสถานการณ์เพื่อเรียกร้องความสนใจจากใครบางก็เท่านั้น ..
เท่านั้นจริง ๆ
“ก็ให้มันแตกไปสิคะ ไม่เห็นต้องไปเก็บเลยนี่ ดูสิเนี่ย เลือดตกยางออกจนได้ ทีหลังไม่ต้องไปเก็บนะคะ ปล่อยให้เป็นหน้าที่คนอื่น”
“ผมกลัวว่าคุณพฤกษ์จะมาเหยียบเข้าเลยรีบเก็บเองดีกว่า แต่ไม่ทันระวังเองเลยถูกบาดเข้า”
อินทรชิตเหลือบมองพฤกษ์ พูดเสียงหงอย ๆ ว่า “เจ็บมากเลยครับ..”
พฤกษ์หันมามอง ส่งเสียงเหอะในลำคอ
“ทำมาเป็นห่วงฉัน แกห่วงสภาพตัวเองก่อนเถอะ แล้วเลือดนั่นมันจะไม่หยุดไหลเลยหรือยังไง ป้าเมียมทำอะไรสักอย่างสิ ไม่มีสำลีอุดหรือไง เดี๋ยวเลือดมันก็หมดตัวหรอก”
ป้าเมียมเห็นท่าทีเขาพูดรัวไม่หยุดจึงนึกขัน
“โถ่.. คุณพฤกษ์ขา เลือดแค่นี้เอง ทำอย่างกับมันออกมามากขนาดนั้นเชียว แจกันบาดหรอกนะคะคุณ ไม่ใช่นิ้วขาด”
พฤกษ์คร้านจะเถียงต่อจึงนั่งเงียบไป ผ่านไปสักพักเขาก็เริ่มรู้สึกดีขึ้นกว่าเมื่อครู่ประจวบเหมาะกับป้าเมียมที่ทำแผลให้เด็กหนุ่มเสร็จพอดี ป้าเมียมปิดกล่องปฐมพยาบาลและอุ้มไว้แนบอก
“ดึกแล้ว คุณ ๆ ขึ้นห้องนอนเถอะ คุณพฤกษ์ทานอะไรมาหรือยังคะ”
พฤกษ์ลุกขึ้นยืน เหลือบมองถุงยาที่ตั้งอยู่บนโซฟาก็พลันนึกได้ว่าต้องทานยาจึงพูดว่า
“ยังเลยครับ วานป้าเมียมช่วยเอาไปให้ที่ห้องหน่อยนะครับ”
“ได้ค่ะ”
ป้าเมียมเดินหายลับออกไปจากบริเวณแล้ว คาดว่าคงไปเตรียมอาหารอยู่ในครัว ตอนนี้จึงเหลือเพียงเขาและอินทรชิตอยู่ในห้องโถงแห่งนี้ พฤกษ์หันกลับมาเพื่อจะหยิบถุงยาแต่ก็ต้องพบว่าอินทรชิตกำลังจ้องมาที่เขาอย่างไม่ละสายตา
“มองอะไร”
อินทรชิตกระพริบตาปริบ ๆ สองที พูดว่า
“คุณพฤกษ์ไม่สบายหรือครับ” เด็กหนุ่มมองหน้าเขาสลับกับถุงยาในมือ พฤกษ์กรอกตาไปมาอย่างใช้ความคิด สุดท้ายจึงพยักพเยิดหน้าตอบให้เด็กมันหายข้องใจไปแบบส่ง ๆ เมื่อพฤกษ์ก้าวเดินเพื่อจะขึ้นบันได อินทรชิตก็ปรี่เข้ามาประชิดทำเป็นเดินเลียบ ๆ เคียง ๆ รักษาระยะห่างแต่ก็ไม่ห่างหรือไม่ใกล้ชิดเกินไปจนทำให้รู้สึกอึดอัด
“ทำไมถึงไม่สบายหรือครับ เมื่อวานตอนเช้าก็ยังดี ๆ อยู่เลย”
เสียงนุ่ม ๆ เร้าหรืออยู่ด้านข้าง พฤกษ์ถอนหายใจทีหนึ่ง พูดว่า
“จะไปรู้หรือ นึกจะเป็นมันก็เป็น ของแบบนี้มันห้ามหันได้ด้วยหรือไง”
“อ๋อ” เด็กหนุ่มร้อง “แล้ว..”
พฤกษ์หยุดยืนก่อนจะหันมาทั้งตัว น้ำเสียงเริ่มหงุดหงิด
“แกอย่าถามอะไรมากได้ไหม ฉันปวดหัว” เขาพูดพลางปลดกระดุมเสื้อลงมาอีกเม็ดเพราะเริ่มรู้ว่าอุณหภูมิในร่างกายมันร้อนรุ่มจนอยู่ไม่สุข อินทรชิตที่ได้ยินอย่างนั้นจึงหางลู่หูตกไปตามระเบียบ ทว่าในตอนที่กำลังทำตัวเป็นเด็กดีไม่ถามอะไรให้คุณเขารำคาญใจอีกก็ดันไปเห็นรอยจ้ำสีแดงบนซอกคอด้านหนึ่ง
อินทรชิตไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองรู้สึกอย่างไรที่เห็นร่องรอยนั้นบนตัวของพฤกษ์ ไม่รู้ตัวอีกเหมือนกันว่าตนเองได้คว้าแขนเรียวของอีกฝ่ายไว้แน่นแค่ไหน
“เจ็บนะ! นี่แกทำอะไร!? ” พฤกษ์ร้องเมื่ออยู่ ๆ อินทรชิตก็คว้าแขนเขาแน่นราวกับคีมคีบเหล็ก แรงของอีกฝ่ายมันมากมายมหาศาลราวกับไม่ใช่แรงของเด็กอายุสิบห้าเสียด้วยซ้ำ พฤกษ์สะบัดแขน ทว่าสะบัดอย่างไรเด็กหนุ่มก็ไม่ยอมปล่อย
“ไอ้เขี้ยว!! ”
อินทรชิตคล้ายกลับมามีสติรู้คิดอีกครั้ง เด็กหนุ่มรีบปล่อยมือออกจากแขนเรียวทันทีแต่ก็พบว่าบนผิวขาวผ่องมีรอยนิ้วมือแดงเป็นปื้นของตนปรากฏอยู่ เมื่อมองขึ้นไป เด็กหนุ่มถึงกับผงะ เพราะพฤกษ์มองมาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ดวงตามีน้ำตารื้นอยู่เล็กน้อยคงเพราะความเจ็บจากแรงบีบเมื่อครู่ของตน อินทรชิตหน้าซีดเผือด ไม่รู้จะทำอย่างไรดีเพื่อคลายสถานการณ์ตรงหน้าให้ดีขึ้น เขาเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างเงอะ ๆ งะ ๆ พยามนึกหาคำพูดดี ๆ ที่ฟังแล้วรื่นหูเพื่อแก้ไขในสิ่งที่ทำลงไป แต่พออินทรชิตก้าวไปหา พฤกษ์ก็ผงะถอยออกห่าง เดินดุ่ม ๆ หนีขึ้นบันไดไปในทันที
เด็กหนุ่มขบกรามแน่นอย่างนึกเจ็บใจ ความรู้สึกจุกเสียดบีบรัดที่กลางอกในขณะที่เฝ้ามองแผ่นหลังเหยียดตรงเดินห่างออกไป..
ห่างออกไปไกลแสนไกลอีกครั้ง
อินทรชิตยังคงนั่งอยู่บนโซฟา เขาครุ่นคิดถึงร่องรอยบนตัวของคุณพฤกษ์ราวกับคนหมกมุ่น เด็กหนุ่มมีคำตอบในใจอยู่แล้วมันคือรอยอะไร เขากำหมัดแน่น หลับตาก่อนจะจินตนาการว่ากำลังรัวหมัดระบายอารมณ์โดยใช้ใบหน้าหล่อเหลาของฉัตรตะวันเป็นเป้าอย่างสะอกสะใจ เมื่อลืมตาขึ้น ความคั่งแค้นที่สะสมอยู่ในอกก็พลันเบาลงแต่มันก็แค่เล็กน้อยเท่านั้น ความรู้สึกดำมืดยังคงตกตะกอนอยู่ภายในใจของเขาไม่ได้หายไปไหนเลย
เด็กหนุ่มลุกขึ้นเมื่อเห็นป้าเมียมถืออาหารออกมาจากห้องครัวและกำลังผ่านขึ้นไปยังบันได อินทรชิตปรี่เข้าไปหาด้วยใบหน้าที่แสร้งยิ้มแย้มต่างกับเมื่อครู่ราวกับคนละคน
“คุณอินทร์ยังไม่นอนอีกหรือคะ” ป้าเมียมว่า
อินทรชิตพูดเสียงหงอย “เป็นห่วงคุณพฤกษ์ครับ”
ป้าเมียมได้ยินอย่างนั้นจึงระบายยิ้ม พูดว่า
“คุณอินทร์นี่เป็นคนดีนะคะ ถูกคุณพฤกษ์เธอร้ายใส่สารพัดก็ยังเป็นห่วงเป็นใยอยู่ตลอด บางทีป้าก็เคยคิดว่าคุณโกรธใครไม่เป็น”
เด็กหนุ่มไม่ตอบอะไรได้แต่ยิ้มสุภาพ ทว่าดวงตากลับมีแต่ความราบเรียบจนแทบจนกลายเป็นความว่างเปล่าเสียอย่างนั้น
อินทรชิตเดินตามป้าเมียมมาจนถึงชั้นสาม ชั้นนี้เป็นเพียงสถานที่เดียวในคฤหาสน์ที่เขาไม่ค่อยได้มีโอกาสขึ้นมายุ่มย่ามเท่าไหร่นัก อนึ่งด้วยเพราะเป็นพื้นที่ส่วนตัวของคุณเขา และสมาชิกในบ้านแยกชั้นกันอยู่อย่างชัดเจน เด็ก ๆ ทั้งสามครอบครองพื้นที่ชั้นสอง ส่วนชั้นสามแบ่งซีกได้สองฝั่ง ฝั่งหนึ่งของคุณพนา อีกฝั่งเป็นของคุณพฤกษ์ แต่ช่วงหลังมานี้คุณพนาไม่เคยอยู่ติดบ้านสักที เดินทางไปไหนมาไหนบ่อยทั้งทำงานทำเที่ยว จนกลายเป็นว่าพื้นที่ชั้นสามทั้งชั้นเป็นอาณาเขตของคุณพฤกษ์ไปโดยปริยาย
ก๊อก ๆ
ป้าเมียมเคาะประตูอยู่สองครั้งก่อนจะถือวิสาสะเปิดเข้าไปในห้อง ทันทีที่เท้าก้าวเข้ามาพ้นขอบประตูก็เกือบทำถาดอาหารที่ถืออยู่ในมือล้มคะมำ อินทรชิตลมหายใจเกือบหยุดรีบถลาไปหาคุณพฤกษ์ที่นอนคว่ำอยู่บนพื้น
“คุณพฤกษ์ ..คุณพฤกษ์” เสียงของเด็กหนุ่มสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว คุณพฤกษ์นอนนิ่งไม่ไหวติง ใบหน้าดูซีดเซียวและทรมานจนเขารู้สึกเจ็บปวดไปหมด พอเอื้อมไปสัมผัสร่างกายก็พบว่าคุณพฤกษ์ตัวร้อนลวกราวกับไฟ
“ป้า ..ป้าไปเอาน้ำมาเช็ดตัวคุณพฤกษ์ก่อนนะคะ” ป้าเมียมรีบวางถาดอาหารลงกับโต๊ะก่อนจะละล้าละลังออกไปจากห้อง
อินทรชิตรู้สึกว่าขอบตาของตนร้อนผ่าวขึ้นมาเสียดื้อ ๆ หากอีกฝ่ายยังคงนอนนิ่งอยู่แบบนี้คาดว่าอีกไม่นานตนคงไม่พ้นที่จะร้องไห้ออกมาอย่างแน่นอน
“คุณ .. คุณพฤกษ์” เขาตบเบา ๆ ที่แก้มนุ่มของคุณเขาอยู่หลายทีเพื่อเรียกสติ ในที่สุด ดูเหมือนว่าคุณพฤกษ์จะเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมาบ้างแล้ว
“ร้อน..” อินทรชิตหายใจโล่ง พูดว่า
“ไหวไหมครับ ขึ้นไปนอนบนเตียงนะครับ” เด็กหนุ่มพยุงร่างโปร่งขึ้นทว่าก็ถูกอีกฝ่ายสะบัดแขนใส่
“ร้อน.. ฉันร้อน ปวดไปหมด”
“ไปที่เตียงนะครับ ได้โปรดเถอะ”
จะด้วยพิษไข้หรืออะไรดลบันดาล พออินทรชิตพูดอ้อนวอนเข้าหน่อย คุณพฤกษ์ก็เบะปากน้ำตาเอ่อดูน่าสงสารโดยทันที ริมฝีปากที่แดงเรื่อพูดว่า
“เจ็บ.. ลุกไม่ไหวหรอก”
“ให้ผมช่วยนะครับ”
คุณเขาพยักหน้าตอบที น้ำตาเม็ดโตก็ร่วงเผาะลงมาที หากในยามปกติอินทรชิตคงดีใจจนแทบคลั่งที่เห็นคุณพฤกษ์อยู่ในสภาพเสียเปรียบตนแบบนี้ ทว่าในเวลานี้เด็กหนุ่มกลับคิดแค่ว่าจะทำอย่างไรให้คุณพฤกษ์รู้สึกดีขึ้นจากอาการที่เป็นอยู่เท่านั้น อินทรชิตค่อย ๆ โอบประคองร่างโปร่งไปนอนที่เตียงได้ในที่สุดก่อนจะจัดท่านอนให้คุณเขานอนได้อย่างถนัดถนี่ จากนั้นจึงค่อย ๆ ย้ายไปถอดสลีปเปอร์และถุงเท้าข้อสั้นออกให้เสร็จสรรพ
อินทรชิตกำลังคิดที่จะจัดการกับเสื้อผ้าที่อยู่บนตัว ทว่าเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น ป้าเมียมก็กลับมาพร้อมกับกะละมัง น้ำและผ้าสะอาดเสียแล้ว
“เดี๋ยวป้าจัดการต่อเองค่ะ” ป้าเมียมวางกะละมังบนโต๊ะข้างเตียงก่อนจะลงมือจัดการเช็ดเนื้อเช็ดตัวคุณพฤกษ์ที่นอนอยู่ทันที อินทรชิตย้ายมานั่งอีกฝั่งของเตียงและช่วยป้าเมียมถอดเสื้อเชิ้ตของคนป่วยออก
ผิวกายขาวผ่องนวลเนียนปรากฏสู่สายตาอีกครั้ง กลางหน้าอกแบบราบยังคงปรากฏรอยแผลเป็นรอยนั้นเหมือนกับตอนที่อินทรชิตได้เห็นเมื่อคราวก่อนในห้องหนังสือ เด็กหนุ่มจับจ้องอยู่บนรอยแผลเป็นนั้นด้วยสีหน้านิ่งเงียบ แววตากลับวูบไหวประกายความเจ็บปวดอย่างลึกซึ้งออกมา
“อึ่ก..”
ในอกของเขารู้สึกเจ็บแปลบราวกับจะตายให้ได้เหมือนเมื่อวันนั้นไม่มีผิด เขาข่มใจกัดฟันอยู่สักพักทว่าความเจ็บปวดก็ทวีเพิ่มพูนมากขึ้นจนเด็กหนุ่มรู้สึกหายใจไม่ออก
“คุณอินทร์ไหวไหมคะ สีหน้าคุณดูแปลก ๆ ”
อินทรชิตลุกขึ้นพรวด พูดเสียงสั่น ๆ
“เดี๋ยว ..เดี๋ยวผมไปเอาเจลลดไข้นะครับ”
tbc.
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ