_ERROR_
เขียนโดย CharP
วันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 เวลา 09.15 น.
แก้ไขเมื่อ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 09.50 น. โดย เจ้าของนิยาย
9) สำนักงานใหญ่
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความผมเลือกที่จะพาA14มาลบความทรงจำวันนี้ เพราะวันนี้คือวันหยุดครั้งแรกของเด็กปี1 ฉะนั้นแล้ววันนี้ทั้งวันจะไม่มีคาบเรียน แต่ถ้าอยากไปชุมนุมก็ไปได้นะ
ตอนนี้ผมกับA14กำลังขึ้นลิฟต์แก้วไปที่สำนักงานใหญ่อยู่ เนื่องจากผมติดต่อไปแล้วว่าจะพาเธอมาลบความทรงจำ ก็เลยมีคนมารับจากหน้าหอคอยกลาง โดยเขาพาพวกเราเข้าไปในห้องลับห้องหนึ่งในหอคอยกลาง ซึ่งห้องนี้ก็มีลิฟต์ไปที่สำนักงานเช่นกัน
‘ฉันไม่เคยรู้ว่ามีห้องลับแบบนี้ที่หอคอยกลางด้วยนะเนี่ย’
A14พูดด้วยความตื่นเต้น
‘ถ้าเธอไม่ได้กำลังไปลบความทรงจำ เธอก็คงไม่มีทางได้รู้หรอก’
ผมบอก
‘ความจริงตอนแรกที่ฉันอ่านจดหมาย ฉันไม่คิดว่า สุดท้ายตัวฉันจะเลือกแบบนี้หรอกนะ’
A14 พูด
‘จดหมายฉบับแรกน่ะ สำหรับฉัน มันเหมือนกับเทวดาลงมาโปรดเลยล่ะ เพราะฉะนั้น ฉันก็เลยคาดหวังเรื่องความช่วยเหลือที่ว่ามากเกินไปหน่อย ฉันคิดว่าถ้านายได้ฟังเรื่องราวของฉันแล้ว นายจะเห็นใจฉัน แล้วก็จะช่วยฉันปกปิดความลับน่ะ ฉันเลยเลือกที่จะบอกทุกอย่างไป แต่จดหมายฉบับล่าสุด มันเหมือนขอร้องกึ่งบังคับให้ฉันไปลบความทรงจำ ตอนแรกฉันก็เลยโกรธนายมากๆเลยน่ะ’
เธอเล่าให้ผมฟัง
‘มันเหมือนกับว่าฉันเผลอไปพูดสิ่งที่ไม่ควรพูด กับคนที่ช่วยอะไรไม่ได้ แถมยังอาจจะทำให้ฉันถูกจับไปเร็วขึ้นอีก’
จริงๆ ผมก็ไม่ควรจะทำอย่างนี้กับคนที่ต้องการความช่วยเหลือหรอก เพราะมันเหมือนเป็นการบีบให้ทางเลือกของเธอน้อยลงไปอีก แถมยังไปให้ความหวังปลอมๆกับเธออีก
แต่มันช่วยไม่ได้นี่นา มันเพราะเป็นหน้าที่ ทำให้ผมต้องทำแบบนี้
จดหมายฉบับสุดท้ายที่ส่งให้เธอ มีเนื้อหาประมาณนี้
ถึง เจ้าของภาพคนจมน้ำ
ขอโทษนะที่ฉันช่วยเธอไม่ได้
ฉันสงสารเธอจากใจจริง
แต่สิ่งที่เธอต้องการ มันเกินความสามารถของฉัน
เป็นไปได้ไหม ถ้าเราจะยอมถอยกันคนละก้าว
ฉันสามารถช่วยให้เธอส่งข้อความไปหาตัวเธอในอนาคตได้
ฉันหมายถึงตัวเธอที่ลืมทุกอย่างไปแล้วน่ะ
ถ้าเธอสามารถส่งต่อแรงบันดาลใจและความฝันของเธอ
ไปให้ตัวเธออีกคนหนึ่งได้
เธอจะโอเคหรือเปล่า
ถึงแม้เมื่อเธอเสียความทรงจำไปแล้ว
เธอจะไม่มีทางรู้ว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น
แต่ฉันขอสัญญาว่า
ฉันจะส่งต่อทุกอย่างที่เธอบอกกับฉัน
ให้ตัวเธออีกคนหนึ่งอย่างแน่นอน
เชื่อใจฉันเถอะนะ
ปล. ขอโทษที่ต้องพูดแบบนี้ แต่ส่วนกลางมีข้อมูลคร่าวๆเกี่ยวกับเธอแล้ว ถ้าเธอไม่ยอมรับข้อเสนอนี้ ฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะยื้อส่วนกลางได้อีกนานแค่ไหน
ขอโทษจริงๆนะ
จาก เจ้าของจดหมายฉบับนี้
ข้อความในปล.มันโหดร้ายจริงๆแหละ แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะผมเคยบอกเรื่องA14ไปกับสำนักงานแล้วจริงๆนี่นา
‘ขอโทษนะ ที่ผมช่วยอะไรเธอไม่ได้’
ผมรู้สึกผิดจริงๆ ดังนั้นผมก็ควรจะพูดคำนี้ต่อหน้าเธออีกครั้ง
‘ไม่เป็นไรหรอก ฉันเข้าใจ นายคงเป็นเจ้าหน้าที่ของที่นี่ใช่ไหม ถ้าเป็นแบบนั้นมันก็ช่วยไม่ได้จริงๆแหละ ฉันผิดเองที่คิดไปเองแบบนั้น แถมยังยอมบอกเรื่องแบบนี้กับคนอื่นง่ายๆ โดยไม่ทันได้ระวัง ถ้าฉันยังเป็นคนแบบนี้อยู่ ต่อให้นายไม่บอกใคร ไม่ช้าก็เร็วเดี๋ยวก็มีคนรู้เรื่องฉันแล้วล่ะ’
เธอพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ
‘แต่ฉันก็รู้สึกงงกับตัวเองเหมือนกันนะ ตอนแรกฉันไม่คิดว่าจะยอมไปลบความทรงจำแน่ๆ แถมฉันยังคิดแผนการหาทางหนีทีไล่ไว้เรียบร้อยแล้วด้วย แต่พอฉันกลับไปอ่านจดหมายใหม่ ฉันดันคิดว่าข้อเสนอนี้ก็โอเคนะ พอฉันอ่านจดหมายนี้หลายๆรอบ จากที่ฉันไม่มั่นใจในตัวนาย มันกลายเป็นว่าตอนนี้ฉันคิดว่าสิ่งฉันที่เลือกวันนี้มันดีที่สุดแล้ว’
A14พูดโดยที่ยังดูสับสนอยู่เล็กน้อย
ดูเหมือนว่าเธอเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงเลือกที่จะทำแบบนี้
แต่จริงๆมันมีเหตุผลอยู่น่ะ และผมมั่นใจว่าต่อให้เธอทบทวนตัวเองอีกกี่รอบก็ไม่รู้หรอก
‘เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ยังไงตอนนี้เธอก็มั่นใจในสิ่งที่เธอเลือกแล้วนี่ เข้าไปในสำนักงานกันได้แล้วล่ะ’
ผมพูด พร้อมกับพาเธอเข้าไปในสำนักงาน
‘คนนี้ คือคนที่นายบอกไว้ใช่ไหม’
‘ผมไม่รู้เลยนะว่าคนที่มารับเรื่องจะเป็นเธอ’
‘ต่อจากนี้จะมีประชุมนะ รีบไปกันเถอะ’
คนที่คุย(!?)กับผมอยู่ตอนนี้คือ อิงค์ เพื่อนที่สนิทกันที่สำนักงาน
‘ฉันชื่ออิงค์นะ ยินดีที่ได้รู้จัก’
อิงค์บอกกับA14
‘A14 …ไม่สิ ชื่อแองจี้ค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักเหมือนกันค่ะ’
แองจี้คงเป็นชื่อเก่าของเธอสินะ
หลังจากนั้นพวกเราก็เดินไปที่ห้องปฏิบัติการด้วยกัน แล้วอิงค์ก็ยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้กับA14
‘เธอเขียนทุกอย่างที่อยากบอกกับตัวเองในนี้นะ เดี๋ยวฉันจะช่วยเช็คเองว่าเรื่องไหนที่เขียนไม่ได้’
อิงค์พูด
‘ขอบคุณค่ะ ขอบคุณB45ด้วยนะคะ ที่ช่วยให้โอกาสให้ฉันได้ทำแบบนี้’
A14บอก และรับกระดาษไปเขียน
‘เรียกเบสท์ก็ได้ มันเป็นชื่อจริงๆของผมน่ะ’
ต่อจากนี้ผมจะพยายามเรียกเธอว่าแองจี้ด้วย เพราะอีกเดี๋ยวแองจี้ก็จะไม่มีตัวตนอีกต่อไปแล้ว
‘อืม เบสท์สินะ ขอบคุณที่บอกชื่อจริงกับฉันนะ’
แองจี้พูดโดยที่ยังก้มหน้าก้มตาเขียนอยู่
เธอดูเหมือนใส่จิตวิญญาณลงไปในบทความนี้เลยทีเดียว สิ่งที่เขียนอยู่นี้คงเป็นสิ่งสำคัญของเธอจริงๆ
หลังจากที่แองจี้เขียนจนเต็มหน้ากระดาษ เธอก็พูดขึ้นมาว่า
‘ถ้าฉันจะขอกระดาษอีกแผ่นนึง แล้วก็สีน้ำด้วยน่ะ จะได้หรือเปล่า’
‘อ่า ได้สิ จะเอาไปทำอะไรหรอ’
‘วาดรูปครั้งสุดท้ายน่ะ’
พอได้กระดาษมาเธอก็เริ่มลงมือวาดรูปทันที เธอคิดจะวาดอะไรกันนะ
‘ทำไมอยู่ๆ ก็อยากวาดรูปหรอ’
อิงค์ถาม
‘ฉันอยากบอกกับตัวฉันว่า “ฉันน่ะเคยวาดรูปได้สวยขนาดนี้เลยนะ รีบตามมาให้ทันล่ะ” ก็เลยคิดจะวาดรูปนี้ส่งไปคู่กับจดหมายน่ะ’
แองจี้บอกด้วยความภูมิใจ
‘ถ้าได้ทำอย่างงี้ ฉันคงไม่เสียดายอะไรแล้วล่ะ ขอบคุณนะทุกคน’
พอมันเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ผมก็เลยรู้ว่า ภาพที่เธอวาดคือ เกาะแห่งนี้นั่นเอง
‘ฉันจำมาจากที่เห็นในลิฟต์แก้วเมื่อกี้น่ะ ถ้าเป็นภาพนี้คงไม่เป็นไรใช่ไหม’
แองจี้พูด
‘อือ ไม่มีปัญหาหรอก ว่าแต่ทำไมเป็นภาพนี้ล่ะ’
รอบนี้ผมเป็นคนถาม
‘เพราะถึงจะแค่ไม่กี่วัน แต่ที่นี่ให้ทั้งความหวัง แล้วก็สีสันให้กับชีวิตของฉัน มากกว่าที่ชีวิตที่น่าเบื่อก่อนหน้านี้ของฉันหลายเท่าเลยล่ะ ฉันก็เลยเลือกภาพนี้เป็นจุดเริ่มต้นใหม่ของชีวิตฉันน่ะ’
แองจี้บอก หลังจากนั้นเธอก็ลงมือวาดรูปต่อ
.
.
.
.
ภาพ creating gift center ที่เสร็จแล้วของแองจี้ มีท้องฟ้าสีสันสดใสเป็นฉากหลัง เธอยื่นภาพวาดภาพนี้และจดหมายให้กับผม และพูดว่า
‘ฝากด้วยนะ’
แล้วเธอก็ก้าวเข้าห้องที่จะทำการลบความทรงจำไปด้วยรอยยิ้ม ผมคิดว่าเธอคงจะมีความสุขกับสิ่งที่เลือกนี้นะ
ระหว่างที่อุปกรณ์ลบความทรงจำกำลังทำงาน ผมกับอิงค์ก็ถูกเรียกไปที่ห้องประชุม
มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกันนะ หรือพวกเขารู้ตัวคนร้ายที่มายุ่งกับระบบแล้ว?
.
.
.
ห้องประชุมที่พวกเรามากัน เป็นห้องประชุมใหญ่ของสำนักงาน เป็นห้องเล่นระดับ ที่จุคนได้ประมาณ100คน
รู้สึกว่าผอ.จะไม่ได้เรียกมาแค่พวกเรา แต่เขาเรียกผู้ดูแลที่ปลอมตัวเป็นนักเรียนทุกคน มารวมตัวกันที่นี่หมดเลย
‘ที่เรียกทุกคนมาประชุมในวันนี้ เพราะพวกเราพบเบาะแสบางอย่างเกี่ยวกับตัวคนร้ายแล้ว’
ผอ.พูดขึ้นมากลางที่ประชุม
‘เนื่องจากทุกคนไม่ได้มีเวลามากนัก เพราะฉะนั้นผมจะพยายามสรุปสั้นๆ’
หลังจากนั้นผอ. ก็ไปหยิบเอกสารกองหนึ่งมา
ดูจากปริมาณเอกสารนั่นแล้ว มันจะพูดสั้นๆได้จริงๆหรือเนี่ย
‘จากที่เราให้เจ้าหน้าที่ของเราตรวจสอบ เราพบว่ามีคนไปยุ่งกับระบบการทำงานของอุปกรณ์ที่ใช้ตั้งค่าความสามารถของนักเรียน และพวกเราสันนิษฐานว่ามีผู้ลงมือน่าจะเป็นคนใน ที่รู้จักการทำงานของระบบเป็นอย่างดี’
ผอ.อธิบายให้ฟัง
คนในงั้นหรอ ถ้ารู้ขนาดนี้แล้วก็น่าจะสืบไม่ยากหรือเปล่า
‘แต่เราสอบปากคำทุกคนไปแล้ว ยกเว้นคนที่ถูกส่งไปสืบเรื่องในฐานะนักเรียน ไม่มีใครที่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ขนาดว่าพวกเราใช้เครื่องจับโกหกแล้วนะ ดังนั้นทุกคนที่ปลอมตัวเป็นนักเรียนอยู่ หลังจากที่จบประชุม ช่วยไปสอบปากคำกันซักครู่นะ’
เอ๋~ ต่อจากนี้ผมยังมีเรื่องให้ทำอีกนะ จะใช้งานกันหนักไปหน่อยไหม
‘เพราะตอนนั้นพวกเรายุ่งๆ ก็เลยใช้การสุ่มเจ้าหน้าที่มาปลอมตัวเป็นนักเรียน เพื่อไปช่วยหาerror โดยไม่ตรวจสอบให้ดีก่อน ตรงนั้นผมต้องขออภัยด้วยจริงๆ’
สุ่มหรอ? ที่บังคับมาทำงานที่หนักกว่าปกติหลายเท่าเนี่ย เกิดจากการสุ่มเรอะ!? ถึงจะได้เงินเดือนพิเศษก็เถอะ แต่เป็นนักเรียนแบบนี้ก็ไม่ได้ใช้เงินอยู่ดี ผมขอปฏิเสธงานทันไหม?
‘แต่จนกว่าพวกเราจะหาคนร้ายเจอ ต้องขอให้ทุกคนช่วยตั้งใจทำงานกันไปก่อน เพราะการสลับตัวโดยไม่ให้เด็กๆรู้ตัว ค่อนข้างจะเป็นเรื่องยาก’
เขาคงไม่ได้ยินที่ผมคิดใช่ไหมเนี่ย? สรุปคือผมไม่มีทางเลือกแล้วสินะ
‘ตอนนี้พวกเราเริ่มเคลียร์error กันได้ที่ระดับนึงแล้ว มีเด็กบางคนที่อาจจะต้องใช้เวลาในการจัดการ ดังนั้นเราจะส่งเจ้าหน้าที่บางส่วนไปแทนที่เด็กพวกนั้น ไปช่วยพวกเธออีกแรงละกันนะ’
ทำไมทีแบบนี้ดันสลับได้ล่ะ! ถึงผมจะคิดอย่างนั้น แต่ผมไม่กล้าพูดออกมาหรอก มีคนมาช่วยเพิ่มมันก็เป็นเรื่องที่ดีนั่นแหละ
‘แล้วก็ใครพบเบาะแสเพิ่มเติมให้แจ้งมาทางโฟนเลยนะ บางทีคนร้ายอาจจะแฝงตัวอยู่ในกลุ่มนักเรียนนี่แหละ ตอนนี้เราเสียเวลามามากพอแล้ว ผมขอปิดการประชุมเลยละกัน’
ผอ.กล่าว แล้วทุกคนก็ทยอยออกจากห้องกัน ผมก็ต้องไปสอบปากคำต่อสินะ ขี้เกียจจริงๆเลย
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ