โลกอมตะ

-

เขียนโดย silversoul

วันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 เวลา 21.51 น.

  6 ตอน
  0 วิจารณ์
  4,813 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 21.54 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) แท่นพิธีสู่ความตาย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

เลือดสาดกระจายไปทั่วแท่นหยกจนเป็นสีแดงฉาน เมฆที่เคยปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าสลายหายไปอย่างรวดเร็ว ดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าคล้ายจะขยายใหญ่ขึ้นสิบเท่าเหมือนจะแผดเผาทุกอย่าง

 

เด็กชายที่นอนอยู่บนแท่นมีควันสีดำลอยออกมาปกคลุมตัวอย่างรวดเร็ว มีเสียงกรีดร้องออกมาจำกลุ่มควันนั้น

 

“พวกนักพรตชั่ว จงหยุดเดียวนี้” 

 

เสียงปิศาจโหยหวนไม่หยุด

 

“เลือดเทพหลั่งไหล” เสียงเจ้าอารามบริกรรมคาถา

 

“ขจัดมารดับสูญ”

 

“อัญเชิญสุริยัน”

 

“เผาผลาญมารร้าย”

 

“ข้าบอกให้หยุด รู้ไหมว่าข้าผู้นี้เป็นใคร” เสียงปิศาจตะโกนออกมาด้วยความแค้น

 

“เลือดเทพหลั่งไหล” เสียงเจ้าอารามยังคงบริกรรมคาถาไม่หยุด

 

“ขจัดมารดับสูญ”

 

“อัญเชิญสุริยัน”

 

“เผาผลาญมารร้าย”

 

“ถ้าใครช่วยข้า ข้าจะมอบพลังให้มันผู้นั้น เป็นอมตะเหมือนข้า คงอยู่ชั่วฟ้าดิน” เสียงปิศาจเต็มไปด้วยการล่อลวง 

 

ลูกศิษย์ที่มีจิตไม่เข้มแข็งหลายคนมีหน้าเปลี่ยนไป

 

“อย่าไปฟังมัน ขนาดมันยังเอาตัวเองไม่รอดแล้วมันจะช่วยผู้อื่นได้อย่างไร” เจ้าอารามพูดพร้อมกับท่องคาถาต่อ 

 

“เลือดเทพหลั่งไหล” 

 

“ขจัดมารดับสูญ”

 

“อัญเชิญสุริยัน”

 

“เผาผลาญมารร้าย”

 

หลังจากท่องจบเจ้าอารามก็เอาง้าวโบราณฟันไปทางควันสีดำอย่างรวดเร็ว

 

“อ้าก….จำเอาไว้ สักวันข้าจะมาแก้แค้น”

 

เสียงปิศาจกรีดร้องโหยหวน แล้วค่อย ๆ เงียบลงไป

 

แม้เสียงปิศาจจะเงียบไปเเล้วเจ้าอารามก็ไม่ลดความระมัดระวังลงเขากลับเคร่งขรึมขึ้นด้วยซ้ำ เพราะต่อจากนี้จะเป็นพิธีกรรมที่สำคัญที่สุด

 

“อัญเชิญธงศักดิ์สิทธิ์” เสียงผู้ดำเนินพิธีประกาศต่อ

 

นักบวชอายุน้อยเดินออกมาจากวิหารหลักพร้อมกับถือธงขาวดำเอาไว้ เขาเดินมาอย่างไม่เร่งรีบ แล้วมอบให้เจ้าอาราม

 

“ภูติผีร่ำไห้”

 

“วิญญาณโหยหวน”

 

“บดบังสวรรค์”

 

“เซียนเทพหลีกหนี”

 

“ธงศักดิ์สิทธิ์สำแดง”

 

“แบ่งแยกหยินหยาง”

 

เจ้าอารามท่องคาถาพร้อมกับกางธงขาวดำออก หลังจากที่ธงปรากฏโดยสมบูรณ์ พระอาทิตย์ที่เคยร้อนแรงก็ดูเหมือนหดเล็กลงมาก เมฆหมอกกลับมาชุมนุมอยู่เหนือแท่นพิธีจนท้องฟ้ามืดลงอย่างถนัดตา

 

“อัญเชิญกระดิ่งดึงวิญญาณ และเทียนเชื่อมจิต” 

 

สิ้นเสียงผู้ดำเนินพิธีดังออกมานักพรตน้อยสองคนก็เดินออกมาจากวิหารหลักบนคนหนึ่งถือเบาะรองสีแดงที่มีกระดิ่งสำริดโบราณวางอยู่ด้านบน อีกคนถือเชิงเทียนทองแดงที่มีเทียนสีเขียวติดไว้

 

เจ้าอารามรับเอาเชิงเทียนมาก่อนแล้วว่างไว้ปลายหัวนอนของเด็ดชายที่อยู่บนแท่นหยก 

 

“ฟ้าดินมีวัฏจักร”

 

“นรกอเวจีแผดเผา”

 

“แล้วแต่บุญกรรม”

 

“ข้าขอน้อมนำ”

 

“ไปอเวจีสถิตเทิญ”

 

เจ้าอารามท่องคาถาจบเทียนไขก็ติดไฟขึ้นทันที แต่ไฟนี้มีสีเขียวนวล ไม่เกิดความร้อมกลับทำให้ผู้คนรู้สึกหนาวเย็นแทน

 

จากนั้นเจ้าอารามหยิบเอากระดิ่งสำริดขึ้นมา เขาถือไว้บริเวณเหนือศรีษะของเด็กชายแล้วสั่นเบา ๆ พร้อมกับท่องคาถา

 

“จิตใจเที่ยงแท้”

 

“สังขารหมุนเปลี่ยน”

 

“จิตเจ้าเปลี่ยนกาย”

 

“กายเจ้าเปลี่ยนจิด”

 

“วิถีนรกสับเปลี่ยนวิญญาณ”

 

เสียงกระดิ่งเบาลงเรื่อย ๆ คล้ายกับว่ามีเพียงวิญญาณที่จะฟังเสียงนี้ได้ แต่เปลวไฟบนเทียนกลับลุกไหม้อย่างรุนแรง 

 

ขณะเดียวกันบนกระท่อมที่ห่างไกลบนอารามขณะนี้ลมหายใจของชายชราได้หยุดลงอย่างแท้จริง หยกที่อยู่กลางหน้าอกของเขาแตกสลายไปแล้ว

 

บนแท่นหยกเปลวไฟบนเทียนยังคงลุกไหม้อย่างรวดเร็ว ร่างของเด็กชายชักกระตุกด้วยความทุกข์ทรมานก่อนจะหยุดลง

 

ทุกอย่างเงียบสนิท

 

แค่ก ๆ

 

เสียงไอมาจากร่างของเด็กชาย

 

“อาจารย์” เจ้าอารามกระซิบเบา ๆ

 

ไม่มีเสียงตอบรับจากร่างนั้น

 

“อาจารย์” เจ้าอารามกระซิบอีกครั้ง

 

เด็กชายค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองเจ้าอาราม

 

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ในที่สุด ในที่สุด ข้าก็ไม่ต้องนอนเป็นผักอีกต่อไป ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เด็กชายลุกขึ้นหัวเราะอย่างอารมดี

 

แต่ก่อนที่เขาจะอารมณ์ดีไปกว่านี้เสียงเยาะเย้ยก็ยังออกมาจากปากของเขาเอง “ได้แก่นี่เหรอที่คิดจะมายึดร่างนี้แทนข้า”

 

“เจ้าเป็นใคร” อีกเสียงหนึ่งในร่างเด็กชายถามกลับอย่างแปลกใจ

 

“ลูกศิษย์เจ้าไม่ได้บอกเจ้าเหรอ งั้นข้าจะบอกเจ้าเอง ข้าคือ เทพปิศาจตัดสินชะตา” เสียงหนึ่งตอบกลับอย่างอารมณ์ดี “เดิมทีข้าจะยึดครองร่างนี้อย่างรวดเร็วแต่ไม่คิดเลยว่าวิญญาณของเขาจะมีความมุ่งมั่นถึงขนาดปิดผนึกข้ามาได้ถึงสิบปี ถ้าเป็นเมื่อก่อนข้าคงจัดการกับเจ้าได้ไม่ยากนัก แต่ตอนนี้ระหว่างเราคงยากจะตัดสิน และหากยืดเยื้อต่อไปศิษย์เจ้าก็คงจะช่วยเจ้ากำราบข้า ดังนั้นข้างจำทำได้เพียงให้เราตายไปด้วยกัน ฮ่า ๆ ๆ ใช่ไหมเจ้าหนู” 

 

ในความว่างเปล่าภายในดวงจิตยังปิศาจสีดำหันไปมองด้านข้าง ตรงนั้นเมีเด็กชายในชุดขาวดำยืนอยู่เขาพยักหน้าให้ปิศาจเล็กน้อย แล้วมองไปยังชายชราที่อยู่ฝั่งตรงข้าม “ผนึกพลัง” เสียงของเขาดังสะท้อนไปทั่วความว่างเปล่าในจิตใจ

 

“ในเมื่อเราหนีไปไหนไม่รอดแล้วก็จงตายไปพร้อมกันเสียเถอะ” ปิศาจมองไปยังชายชราที่โดนผนึกพลังด้วยใบหน้ายิ้มเยาะ

 

“ไม่ ๆ” ชายชรากรีดร้องอย่างสิ้นหวัง เขารอวันนี้มานานทำไมเขาต้องมาตายวันนี้ด้วย

 

ตู้ม ดวงจิตของเด็กชายค่อยหายไปในความว่างเปล่าอย่างรวดเร็ว เหมือนมนุษย์คนอื่น ๆ ที่เสียชีวิตไป ดวงจิตทั้งสองก็ถูกผนึกติดไปกับเขาด้วย

 

บนแท่นพิธีเจ้าอารามเห็นเพียงร่างเด็กชายที่อาจารย์ของเขามาสถิตได้สำเร็จกำลังหัวเราะแล้วหยุดชงักไป แล้วล้มลงกับแท่นพิธี เขารีบไปตรวจดูสภาพแล้วพบว่าร่างนี้เป็นร่างเปล่าไร้วิญญาณไปแล้ว

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา