ห่มรักเคียงดาว
เขียนโดย zusuran
วันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2564 เวลา 09.43 น.
แก้ไขเมื่อ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2565 15.58 น. โดย เจ้าของนิยาย
6) บอดี้การ์ดจำเป็น
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ผมเป็นคนร่างกายแข็งแรง ไข้สูงไม่นานก็หายและสิ่งที่ผมเรียกหาอย่างแรกก็คืองาน
“ส่งข้อมูลการประมูลมาให้ผม”
ผมใช้โทรศัพท์ในห้องโทรหาเลขาส่วนตัวไม่กี่ประโยคก่อนจะวางสายไป ไม่มีความจำเป็นต้องบอกอะไรมากมายแม้แต่อาการบาดเจ็บหรือตารางนัดพบแพทย์
“วันนี้ตอนบ่ายพี่ต้องไปโรงพยาบาล”
“อืม”
“ไว้จะมารับ”
ภูผาทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนจะออกไปทำงานเหมือนทุกวัน หนึ่งสัปดาห์ที่ผมอยู่ที่นี่ ผมเห็นภูผาออกไปทำงานแต่เช้าแล้วก็กลับมาบางวันก็เร็วบางวันก็ดึก แต่ทุกเช้าผมจะเห็นหมอนี่นอนอยู่บนเตียงข้างๆผมตลอด
แบบนี้ไม่ต่างจากการใช้ชีวิตของคู่รักเลยนี่นา
นี่ผมคิดไปไกลขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
ตั้งแต่วันนั้นภูผาก็ไม่ได้ทำอะไรผมอีก นอนเตียงเดียวกันก็จริงแต่เราก็นอนคนละฝั่งและเว้นระยะห่าง วันไหนที่ผมมีนัดพบหมอตามใบนัดภูผาก็จะกลับมารับผมไปด้วยตัวเอง ที่เหลือเราก็ใช้ชีวิตและทำงานของตัวเองไปตามปกติ
มันดูเหมือนจะปกติจนไม่มีอะไรจนน่าใจหาย
ผมใช้เวลาสองสัปดาห์ร่างกายเริ่มจะหายกลับมาเป็นปกติ
“นั่นพี่เก็บกระเป๋าจะไปไหนน่ะ”
ภูผาที่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียงถามผมที่กำลังจัดเสื้อผ้าลงกระเป๋า
“พรุ่งนี้ฉันจะขึ้นไปหมู่บ้านบนเขา แล้วก็ไปพักที่โรงแรมเลยน่ะ”
“โรงแรมเหรอ”
“ที่นี่นายเป็นคนเช่า จะให้ฉันพักอยู่กับผู้เช่าของตัวเองมันดูขี้โกงไปหน่อย ยังไงก็ขอบใจนายมากที่อุตส่าห์ช่วยดูแลฉันจนหายดี”
กึก!
“ว่าไปนั่น”
“อ๊ะ!”
จู่ๆภูผาก็ลุกมาและคว้าข้อมือผมให้ลุกขึ้นไปเผชิญหน้าด้วย
“อะไร”
“พี่ยังถูกหมายหัวอยู่นะ รนหาที่ตายจริงๆเลย”
“ช่างฉันสิ จะอยู่ที่ไหนมันก็เหมือนกันนั่นแหละน่า ปล่อยได้แล้วฉันจะจัดของ”
“ไม่ให้ไป”
“ว่าไงนะ”
“จนกว่าเรื่องคราวนี้จะจบพี่จะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น”
“ปัญญาอ่อนละ”
“ธารา”
“อะไร”
เข้มมาผมก็เข้มกลับ ผมไม่ใช่คนยอมใครและถ้าต้องการอะไรผมก็ต้องเอามันมาให้ได้ แต่กับคนคนนี้…
ฟึ่บ!
เรี่ยวแรงของผมสู้ภูผาไม่ได้ แค่หมอนี่เหวี่ยงนิดเดียวตัวผมก็ลอยหวือไปนอนแผ่เป็นปลาแห้งบนเตียงแล้ว
“ดื้อจริงๆเลย”
“ทำบ้าอะไรวะ ถอยไป”
ผมผลักภูผาที่ขึ้นมาคร่อมออกไปให้พ้นตัว ร่างสูงใหญ่ล้มเอียงไปนอนข้างๆแต่ก็ไม่วายจะคว้าตัวผมให้ขึ้นไปนอนทับบนตัวของมันด้วย
สองแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของมันกอดเอวผมเอาไว้เหมือนตั้งใจจะเอาให้หักสองท่อนยังไงอย่างนั้น
“ปล่อยนะ”
“ผมง่วงแล้ว”
“ง่วงก็ไปฝั่งนายสิ มายุ่งอะไรกับฉัน ปล่อยนะเว้ย”
ผมพยายามยันตัวลุกแต่ยิ่งดิ้นสองแขนที่ล็อกตัวผมอยู่ก็ยิ่งแน่นเข้าไปอีก และมันก็ยังจงใจให้ส่วนกลางกายเบียดเสียดกันจนผมรู้สึกผ่านเนื้อผ้าที่ขวางกันเราอยู่
“อ่ะ!”
“เห…”
“ไอ้บ้านี่ ปล่อยได้แล้ว”
ภูผากำลังแกล้งผมและมันก็ทำสำเร็จ ผมดิ้นพยายามดิ้นเบี่ยงกายหลบออกให้พ้นสถานการณ์ล่อแหลมนั้น แต่ก็ไม่เป็นผล ระยะใกล้ที่สัมผัสได้แม้ลมหายใจของอีกฝ่ายทำให้ผมเผลอสบตากับคนใต้ร่างอย่างไม่ได้ตั้งใจ
ภูผามองผม มันเป็นสายตาที่บอกได้หลากหลายอารมณ์จนน่าเวียนหัว และในระว่างที่กำลังลืมตัวจ้องนัยน์ตาของอีกฝ่าย ตัวผมก็ถูกกอดบังคับให้นั่งคร่อมทับความปรารถนาของอีกฝ่าย แรงปรารถนาที่ดุนดันผ่านเนื้อผ้าขึ้นมาจนผมต้องสะดุ้งโหย่งตัวหลบ
ภูผาลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงโดยที่สองแขนยังกอดเอวผมเอาไว้ ใบหน้าของเราอยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ และความเงียบก็ทำให้อารมณ์ของเราพลุ่งพล่าน
ผมหลบสายตาที่เหมือนจะเว้าวอนคู่นั้นสักพักก่อนจะหันกลับมาและยอมแพ้ให้กับอารมณ์ของตัวเอง
เราแลกจูบกันช้าๆ จากละเลียดผิวเผินค่อยๆดูดดื่ม
“แค่จูบ.......โอเค๊?”
ผมกระซิบเบาๆในขณะที่หน้าผากของผมยังแนบชิดอยู่กับหน้าผากของอีกฝ่าย ภูผาไม่พูดอะไรและประกบปิดปากผมและใช้มือละเลงรักจนผมคล้อยตามไปอีกหลายครั้ง
ผมตื่นมาด้วยอารมณ์ที่ยังบูดสนิท ภูผาเตรียมคนขับรถขึ้นเขาให้ ไม่ใช่ทหารไม่ใช่ตำรวจ แต่เป็นชาวเขาที่รู้จักกับภูผาเป็นอย่างดี และวันนี้หมอนี่ก็ไม่ได้สวมเครื่องแบบนอกจากเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์
“ถึงแล้ว”
เสียงภูผากระซิบเรียกให้ผมตื่น ผมเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย
“อืม”
ผมขยี้ตาสองสามทีและก้าวลงจากรถ หัวหน้าหมู่บ้านกับชาวบ้านบางส่วนเข้ามต้อนรับ ดูสีหน้าพวกเขาไม่ได้บูดบึ้งเหมือนตอนแรกที่ผมขึ้นมาแล้ว
“นายธารา เดินทางมาเหนื่อยไหม เข้าไปพักในบ้านก่อนเถอะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมอยากดูงานของชาวบ้านก่อน”
“ถ้าอย่างนั้นก็ตามมาทางนี้ครับ”
ชาวบ้านบางส่วนนอกจากทำสวนผักและไร่ชาแล้วก็มีกลุ่มทอผ้าเล็กๆที่ผมต้องการ
“ผ้าผืนนี้เพิ่งทอเสร็จเมื่อวานนี้ครับ”
ผมมองผ้าสีน้ำเงินเข้มที่ถูกทอมาจากเส้นใยย้อมสีธรรมชาติ เนื้อผ้าละเอียดและแน่นหนาไม่หลุดลุ่ยสมกับเป็นงานทอมือ นอกจากผ้าผืนนี้แล้วก็ยังมีอีกหลายผืนที่ถูกทอเสร็จและนำมาให้ผมดู
“สวยมากเลยครับ มีเท่าไหร่ผมเหมาหมดเลย”
“จริงเหรอครับ”
“ครับ ไม่ต้องลดราคานะครับ ส่งไปให้ร้านเคียงดาวให้หมดเลยนะครับ”
“รอให้ที่เหลือทอเสร็จแล้วเราจะส่งไปให้ทันทีครับ ภายในสามวันนี้แน่นอน”
“ขอบคุณครับ”
“ว่าแต่นายธารา คนคนนั้นคือ”
จะบอกว่าอะไรดีล่ะ คนติดสอยห้อยตาม หรือว่า….
“บอดี้การ์ดนะครับ”
“อ้อ อย่างนี้นี่เอง”
ภูผาเองก็ไม่ได้ว่าอะไรที่ผมตอบหัวหน้าหมู่บ้านไปแบบนั้น ผมดูงานของชาวบ้านจนบ่ายคล้อย อากาศบนเขาเย็นและมีหมอกคลุมจนถนนที่เป็นดินลูกรังชื้นแฉะอยู่ตลอด จะลงจากเขาก็ต้องเดินเท้าหรือไม่ก็...........
“อ้ายธารา มาๆ ขึ้นเลย”
เบิ้มเรียกผมขึ้นรถอิแต๋นสี่ล้อของชาวเขา กลิ่นเหล้าคลุ้งมาแต่หัววันเลยไอ้นี่
ผมมองหาภูผาแต่ก็ไม่เจอแม้เงา เอาเถอะ บางทีเขาอาจจะอยู่ที่บ้านพักรอแล้วก็ได้
ผมขึ้นรถกับเบิ้ม คิดว่ามันคงสะดวกกว่าจะเดินเอง แต่ว่า ห้านาทีต่อมาผมกลับรู้ว่าตัวเองคิดผิดมหันต์
“เห้ยๆๆๆๆ!!!เบรกสิ เบรก!!!”
“เหวออออ!!!!”
โครม!!!!
รถไถลลงข้างทางล้อชี้ฟ้า ส่วนตัวผมกับเบิ้มกลิ้งไปคนละทาง
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก กว่าผมจะได้สติกลับมาก็พบว่าตัวเองนอนหงายท้องขาชี้ฟ้าอยู่ในร่องเขา
นี่ผมกลิ้งลงมาลึกเอาเรื่องเลยนะเนี่ย รู้สึกเจ็บร้าวไปทั้งตัว ตอนนี้รอบๆตัวผมก็เริ่มมืดแล้วด้วย จะมีใครรู้ไหมว่าผมอยู่ตรงนี้
แปะ…
ฝนตกอีกแล้วเหรอ ให้ตายเถอะขยับตัวไม่ได้เลยพับผ่าสิ
แซ่กๆๆ…
เสียงเหมือนบางอย่างกำลังแหวกหญ้าเข้ามาใกล้ อย่าบอกนะว่าสัตว์ป่า นี่ผมต้องกลายเป็นอาหารสัตว์จริงๆแล้วเหรอ!
“เฮ้”
ภูผา!
“เป็นไรมากรึเปล่า”
“ไม่เป็นมั้ง”
ถามมาได้ เจ้าบ้านี่ นอนแอ้งแม้งขาชี้ฟ้าอยู่ขนาดนี้
“หึ”
มันหัวเราะ มันหัวเราะสินะ!
“มาเถอะ ค่ำแล้วจะนอนตากฝนอยู่ที่นี่รึไง”
“พูดอย่างกับฉันอยากมานอนอยู่ที่นี่งั้นล่ะ! อึ่ก!”
ถ้าทำได้ตอนนี้ผมอยากโดดขย้ำคอไอ้บ้านี่สักที แต่ติดที่ว่าตอนนี้ผมขยับตัวไม่ได้ แค่จะตะเบ็งเสียงก็รู้สึกเจ็บไปทั้งตัว
ภูผาถอนหายใจทิ้งเสียทีหนึ่งและยกตัวผมขึ้นพาดบนหลัง ผมกอดคอมันเอาไว้อัตโนมัติและมันก็เริ่ม…ปีน!
สองมือสองเท้าจับกอหญ้าเหยียบก้อนหินยันตัวขึ้นไปทีละน้อย ผมนึกว่ามันจะมีทางที่เดินได้ดีกว่านี้ซะอีก
แปะๆๆๆๆ ซ่า!!!!!
ฝนก็ยังมาตกอีก!!!!
“อึ่ก!”
“ไหวไหม”
“เจ็บ หนาว….”
ผมโอดครวญ สองมือกอดคอภูผาเอาไว้แน่นกว่าเดิม เป็นการปีนเขาที่ทุลักทุเลที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาเลย กว่าจะขึ้นมาได้ทั้งผมทั้งภูผาก็เปียกโชกและเต็มไปด้วยโคลน ภูผาแบกผมกลับมาบ้านพักที่หัวหน้าหมู่บ้านเตรียมเอาไว้ให้ ทุกคนช่วยกันกู้รถกับเจ้าเบิ้มขึ้นมาได้อย่างปลอดภัยแล้ว
“นายธารา โชคดีจริงๆที่ปลอดภัย”
หลังจากจัดการล้างตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ชาวบ้านเตรียมมาให้ก็ค่ำมืดจนมองไม่เห็นทาง แถมฝนยังตกหนักไม่มีท่าทีว่าจะหยุดง่ายๆ ผมกับภูผาก็เลยต้องพักอยู่ที่บ้านรับรองบนเขานี้ไปก่อน
ผมยืนมองฝนที่ยังตกไม่หยุด ละอองเบาบางลอยเข้ามาพร้อมกับอากาศเย็นๆให้พอได้ชื่นใจ
พรึ่บ!
ผ้าฝ้ายผืนใหญ่ห่อตัวผมมาจากด้านหลัง
“เดี๋ยวก็ไม่สบายเอาหรอก”
ผมกระชับผ้าที่ภูผานำมาคลุมให้และเดินกลับมานั่งบนเก้ากี้ไม้ไผ่และมองฝนที่ยังตกหนักอยู่ข้างนอก
“พี่ชอบที่นี่เหรอ”
“ก็…ไม่เชิงหรอก ว่าแต่นายเถอะ”
“อะไร”
“มาติดฝนอยู่บนเขาแบบนี้จะไม่กระทบกับงานรึไง”
“พรุ่งนี้เราก็กลับกันแล้ว สบายมาก”
“นั่นสินะ….” ผมยังมองออกไปด้านนอก อากาศเย็นๆกับเม็ดฝนที่ตกลงมาไม่ขาดสายทำให้ผมนึกถึงยายน้องของผมขึ้นมา
ถ้าเธอได้มาเห็นที่นี่ด้วยตัวเองก็คงจะดี เสียดายที่มันจะไม่มีทางเกิดขึ้น
“พี่อยากเล่าอะไรให้ผมฟังไหม ธารา”
“อะไรล่ะ”
“อะไรก็ได้ ถ้ามันทำให้พี่สบายใจขึ้น”
ผมหันไปมองภูผาที่ยังนั่งเอาศอกตั้งฉากกับหัวเข่าและมองไปทิศทางเดียวกับผม
“ไม่มีหรอก….สำหรับตอนนี้ละนะ”
“….งั้นเหรอ”
ผมสังเกตภูผาอยู่พักหนึ่ง ดูเหมือนเขาจะมีบางอย่างอยากพูดแต่สุดท้ายก็เก็บกลับเข้าไปและทำเหมือนไม่มีอะไร ผมเองก็ไม่ใช่คนเซ้าซี้คนอื่นขนาดนั้น และอีกอย่างมันคงไม่ใช่เรื่องของผม เพราะฉะนั้นไม่ยุ่งดีกว่า
ผมตื่นขึ้นมาในเช้าของอีกวัน ที่นอนข้างๆผมว่างเปล่า ภูผาตื่นเช้ากว่าผมอีก
ผมลุกขึ้นจัดการตัวเองก่อนจะออกไปจากที่พัก ก่อนลงเขาก็ได้แวะไปดูผ้าทอมือของชาวบ้านอีกครั้งและเช็คให้มั่นใจ
“อีกสามวันเราจะส่งไปที่ร้านให้นะครับนาย”
“ขอบคุณครับ”
“ว่าแต่นายครับ ผ้าผืนนั้น….”
หัวหน้าหมู่บ้านชี้มาที่ผ้าพันคอของผม มันดูจะไม่ใช่ผ้าพันคอแต่ผมก็ชอบมันและพกมันไปทุกที่
“สวยดีนะครับ เหมือนกำลังห่มดาวอยู่เลย”
“อ่า…นี่น่ะเหรอครับ มันคือผ้าไหมเคียงดาวน่ะ”
“ชื่อเหมือนน้องสาวนายเลยนะครับ”
“ครับ น้องสาวผมชอบผ้าไหมของพวกคุณมาก ผมแค่มาสานต่อเท่านั้นเอง”
“แล้วนายหญิงไปไหนแล้วล่ะครับ”
“….เธอเสียไปแล้วครับ” ผมไม่อยากนึกถึงแต่ไม่รู้เพราะอะไรเหตุการณ์ในวันที่ผมคุยโทรศัพท์ครั้งสุดท้ายกับยายน้องยังฝังอยู่ในความทรงจำของผมและมันก็ชัดเจนทุกครั้งที่ผมเอ่ยถึงเธอ
โครม!
ผมหันไปมองก็พบว่าภูผากำลังทรุดตัวกุมหน้าอกตัวเอง สีหน้าไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่
“เป็นอะไรรึเปล่า”
“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก”
ดูเหมือนท่าทางมันจะไม่ค่อยตรงกับคำตอบเท่าไหร่เลย
แล้วภูผาก็เดินออกไปจากห้องเก็บผ้า
เราเดินทางลงจากเขามาจนถึงคอนโดที่พัก ตลอดทางภูผาไม่พูดอะไรกับผมสักคำและเอาแต่นั่งเงียบเหมือนคนหลุดไปอยู่อีกมิติหนึ่งยังไงอย่างนั้น
ผมเปลี่ยนใจไม่ย้ายกลับโรงแรมแล้ว เพราะเริ่มจะรู้สึกเป็นห่วงหมอนี่ขึ้นมาตงิดๆ
“เป็นอะไรไป สีหน้าของนายไม่ดีเลยนะ”
ผมเดินเข้าไปยืนตรงหน้าภูผาที่เอาแต่นั่งก้มหน้าอยู่บนโซฟา
“ถ้าเจ็บหน้าอกจะไปหาหมอก็ได้นะ”
“ผม….”
“อย่าเอาแต่บอกว่าไม่เป็นไรสิ ถ้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมาจริงๆถึงจะอยู่ตรงนี้แต่ฉันก็ช่วยอะไรนายไม่ได้หรอกนะ”
“ธารา”
“อะไร”
หมับ!
สองแขนที่ทั้งยาวทั้งแกร่งคว้าตัวผมเข้าไปกอดเอาไว้ง่ายๆ ผมตกใจทีแรกแต่ก็ยอมโอนเอนไปกับแรงที่รั้งเข้าไปหาตัวของภูผา ผมกอดตอบทั้งที่ไม่รู้เหตุผล ไม่มีอารมณ์จะสรรหาคำพูดมาปลอบใจ ความเงียบยังกัดกินภายในห้องและเราก็ยังกอดกันอยู่อย่างนั้น
“ธารา”
“หืม”
ผมขานรับในขณะที่เรายังนอนอยู่บนโซฟาตัวเดิมในห้องที่ไม่ได้เปิดกระทั่งไฟ ภูผาที่นอนหงายอยู่เบื้องล่างและกอดเอวผมเอาไว้ ในขณะที่ผมเองก็นอนคว่ำพาดอยู่บนตัวมัน
“วันหนึ่งพี่จะเกลียดผมไหมนะ”
“หา เรื่องอะไร”
“ก็....หลายๆเรื่อง”
“ไปทำอะไรมาล่ะ”
“ไม่รู้สิ ตอนนี้บอกไม่ถูก”
“เฮ้ย”
“ไว้วันหลังจะบอกแล้วกัน”
“อะไรของนายวะ”
“ฮะๆๆ”
“ยังจะมาหัวเราะอีก ปล่อยได้แล้วฉันจะไปอาบน้ำ”
ผมว่าพร้อมกับหยัดกายลุกจากตัวภูผา แต่สองแขนเจ้ากรรมก็ยังรั้งเอวผมเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ฝ่ามือหนารั้งท้ายทอยผมลงไปรับสัมผัสของริมฝีปากจากคนเบื้องล่าง
จูบแลกน้ำลายเริ่มรุนแรงขึ้นพร้อมกันนั้นร่างกายส่วนอื่นก็เหมือนจะถูกกระตุ้นไปด้วย
เจ้าสัตว์ร้ายกลางกายตื่นขึ้นมาดุนดันเนื้อผ้าจนรู้สึกอึดอัด ผมหลงระเริงในวังวนของการเล้าโลมนั้นจนลืมความตั้งใจของตัวเองที่จะผละจากคนตรงหน้าไปจนหมดสิ้น
ตุ้บ!
ผมกับภูผากอดจูบเล้าโลมกันจนร่างกายท่อนบนไถลลงมาจากโซฟา แต่อารมณ์ที่ยังพลุ่งพล่านกลับไม่ได้ทำให้เราสนใจมันเลยแม้แต่น้อย แผ่นหลังผมแนบกับพื้นพรมในขณะที่สะโพกของผมยังค้างอยู่บนโซฟา เสื้อผ้าถูกถอดทิ้งไปคนละทาง ไม่กี่นาทีก็มารู้ว่าตัวเองเหลือแต่ตัวล่อนจ้อน
“อ่ะ!”
ความคับแน่นเข้ามาโจมตีช่องทางด้านหลังของผมโดยไม่มีการเปิดช่องทางใดๆ ความแสบร้อนเสียดสีเนื้อสัมผัสด้านหลังจนผมต้องแอ่นตัวเป็นสะพานโค้ง
“เจ็บ!”
“.....”
ภูผาไม่ได้ฟังเสียงทัดทานของผมเลยและดุนดันเจ้าสัตว์ร้ายอันแข็งขืนนั้นเข้ามาในตัวผมจนสุดลำ
ฟึ่บ!
“อ๊ากก!!!”
ผมพยายามร้องบอกเท่าที่เสียงจะเปล่งออกมาได้ ไม่เพียงคนตรงหน้าจะไม่รับฟัง ยังจับตัวผมหมุนคว้างพลิกให้นอนคว่ำทั้งที่สะโพกและขาของผมยังค้างอยู่บนโซฟา
และเพราะถูกจับหมุนคว้างไปทั้งที่ความคับแน่นยังสอดแทรกอยู่จึงทำให้ผมเสียวจนจุก
สองมือจิกทึ้งพรมระบายความเจ็บปวดที่กำลังแปรเปลี่ยนเป็นความเสียวซ่าน หน้าอกของผมครูดไปบนพรมตามจังหวะการโยกคลอนของร่างกาย
“บะ เบาๆหน่อย มันเจ็บ”
ผมร้องบอก ในขณะที่สายตามองเห็นเงาตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจกหน้าต่าง มันน่าอายจนอยากแทรกแผ่นดินหนี
ในขณะที่คิดแบบนั้นอยู่ตัวผมก็ถูกหมุนคว้างให้กลับมานอนหงายอีกรอบ และถูกยกขึ้นไปนั่งบนตัวของภูผาแทน
ทำให้ช่องทางด้านหลังของผมถูกทะลวงลึกเข้าไปยิ่งกว่าเดิม
“อะ ลึกเกินไปแล้ว”
“รู้สึกดีใช่ไหมล่ะ”
“อะ อื้ม”
ผมผวากอดคอภูผาเอาไว้แน่น ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตัวเองรู้สึกดีอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“ผมเข้าไปลึกถึงใจพี่ใช่ไหม”
“อะ อือ”
“พี่เป็นของผมใช่ไหม”
“อื้ม”
“อยู่กับผม ตลอดไปนะ ธารา”
ปึก!
“อื้ออออออออ!!!!!!!”
ในหัวผมขาวโพลน ไม่ว่าภูผาจะพูดอะไรผมก็ครางรับหมด
ร่างกายของเราเกร็งแน่นก่อนที่สัมผัสอุ่นๆจะอัดฉีดเข้าไปในช่องทางด้านหลังของผมจนล้นปริ่มออกมา พร้อมๆกับของเหลวจากเจ้าสัตว์ร้ายกลางกายผมพุ่งออกมาเลอะเต็มหน้าท้องของภูผาเช่นกัน
ผมหมดแรงซบหน้าลงบนอกแกร่งของคนตรงหน้า หากแต่พักได้ไม่นานก็รู้สึกถึงความคับแน่นในช่องทางด้านหลังที่มันกำลังขยายตัวขึ้นมาอีกรอบ
“พอแล้ว ฉันไม่ไหวแล้ว”
“ผมรู้ว่าพี่ยังไม่พอหรอก”
“เอาแต่ใจชะมัด”
“พี่เป็นของผมคนเดียวนะธารา ของผมคนเดียว”
พูดจบภูผาก็รั้งท้ายทอยผมเข้าไปจูบอีกครั้ง และครั้งนี้มันทั้งดุเดือดและถึงใจกว่าครั้งแรกในขณะที่ร่างกายท่อนล่างเริ่มขยับแรงขึ้นตามจังหวะที่บ้าระห่ำ
จากโซฟาห้องนั่งเล่น มายังพื้นพรม ต่อด้วยห้องน้ำและปิดท้ายด้วยบนเตียงนอน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ