ปริศนาดาววิมุตติ

-

เขียนโดย อิงสรวง

วันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 เวลา 16.31 น.

  4 ตอน
  0 วิจารณ์
  3,663 อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

บทนำ

 

          แฮ็มกะแป็งค่อย ๆ แกะห่อผ้าสีน้ำตาลเข้มที่ตนห่อกลับไปเมื่อวันเสาร์ เมื่อห่อผ้าทั้งสามชั้นถูกเปิดออกมา ทุกคนก็เห็นสมุดโบราณเล่มนั้นเต็มตา ที่ปกเขียนว่า “บันทึกขรัวตาปลั่ง”

 

          “นี่มันสมุดบันทึกนี่นา ไม่ใช่หนังสือหรอก” หวันบอก สายตาเพ่งไปที่สมุดข่อยเล่มนั้นอย่างไม่กระพริบ “เขาเรียกว่าสมุดข่อยน่ะ ลายมือใครเขียนนะ สวยจัง”

 

          “บันทึกขรัวตาปลั่ง คืออะไรน่ะ?” กระปุกถามขึ้นลอย ๆ

 

          “ก็เห็นพร้อมกัน ใครจะไปรู้?” บุ๋นยังไม่วายจะพูดยั่วโทสะของกระปุก

 

          ยังไม่ต้องให้กระปุกพูดอะไรขึ้นมาซัดใส่บุ๋น หวันรีบพูดตอบคำถามนั้น 

          “ขรัวตา คงหมายถึง หลวงตาหรือเปล่า ดูจากห่อผ้าแล้วน่าจะเป็นจีวรพระสมัยก่อนนะ”

 

          อาเธอร์จ้องมองดู รู้สึกถูกใจลวดลายที่ปรากฏอยู่บนปกสมุดข่อยนั้น เขาเอื้อมเอามือเล็กหนา ใช้นิ้วสั้น ๆ อวบ ๆ ของเขาสัมผัสไปที่สมุดข่อยนั้นเบาๆ 

          “เหมือ..น ผ้า..ห่อ...ปก..” 

 

          แฮ็มกะแป็งสัมผัสไปที่ปกสมุดนั้น ปกสมุดห่อด้วยผ้าทออย่างที่อาเธอร์บอก อักษรที่ปักชื่อ “บันทึกขรัวตาปลั่ง” ใช้ไหมปักเป็นตัวอักษรแบบสมัยต้นรัตนโกสินทร์ ปักได้ละเอียดเหมือนลายมือเขียน 

 

          แฮ็มกะแป็งหยิบสมุดเล่มนั้นออกมาดูหน้าดูหลังด้วยความระมัดระวัง รู้สึกว่าผ้าที่ห่อปกนั้นหนาเป็นพิเศษ

 

          “ลองเปิดดูไหมแฮ็มกะแป็ง? ว่าข้างในเขาบันทึกอะไรไว้” หวันบอก

 

          แฮ็มกะแป็งพยักหน้าเป็นคำตอบ ค่อยๆ เปิดสมุดข่อยออก สมุดเมื่อถูกคลี่ออกจากพับ เห็นชัดว่ามีอยู่เพียงสี่ทบ ตัวปกที่ทำด้วยผ้าจึงดูหนากว่ามากเมื่อเทียบกับจำนวนเนื้อในสมุดซึ่งมีอยู่เพียงสี่พับกระดาษ ข้อความที่ปรากฏนั้นมีเพียงสองหน้ากระดาษ ที่เหลือปล่อยกระดาษว่างไว้  บันทึกเป็นคำร้อยกรอง เขียนด้วยลายมือภาษาไทยที่วิจิตรบรรจงยิ่ง

 

          “เป็นกาพย์น่ะ” แฮ็มกะแป็งบอก “กาพย์ยานีสิบเอ็ด มีสองหน้า หน้าละสี่บท รวมเป็นกาพย์แปดบท”     

 

          “เขาเขียนว่าอะไรนะ? อ่านสิบุ๋น” 

 

          หวันสั่งบุ๋นที่ยืนอยู่ตรงหน้าสมุด บุ๋นนั่งลงบนเก้าอื้ แล้วยื่นหน้าไปอ่าน อ่านเท่าไรก็อ่านอักษรลายโบราณนั้นไม่ออก พยายามอยู่สักครู่ ก็ยอมแพ้ 

          “อะไรวะ ตัวอักษรอะไรนี่? ทำไมบุ๋นอ่านไม่ออกอ่ะพี่หวัน?”

 

          กระปุกร้องเสียงฮึ “เห็นยืนดูอยู่นานสองนาน ที่แท้ก็อ่านไม่ออก”

 

          บุ๋นเคืองขึ้นมาทันที “เอ้า เธอเก่งนัก ก็มาอ่านเองสิ”           

 

          บุ๋นลุกขึ้นยืน แล้วเดินเลี่ยงไปยืนกับญาติผู้พี่ของตน ส่วนกระปุกเดินเข้ามาดูและตั้งใจจะอ่านให้ฟัง เพื่อแสดงความสามารถให้เพื่อนๆ เห็น ปรากฏว่ายืนดูอยู่พักใหญ่ ก็อ่านไม่ออก

 

          “ไง จะดูอีกนานแค่ไหน? อ่านสิ” บุ๋นประชดอย่างสะใจ เมื่อแน่ใจแล้วว่ากระปุกเองก็อ่านตัวอักษรนั้นไม่ออก

 

          “เอ ตัวอักษรอะไรนี่? ยึกยือ ๆ อ่านไม่รู้เรื่อง ไม่เห็นเหมือนหน้าปกเลย” 

กระปุกบ่นอย่างอารมณ์เสีย ด้วยรู้สึกเสียหน้าอายบุ๋นที่ตนเองก็อ่านข้อความในสมุดข่อยโบราณนั้นไม่ออกเหมือนกัน

 

          หวันที่ยืนอยู่ด้านตรงข้ามหนังสือ เห็นเพื่อนอ่านตัวอักษรนั้นไม่ออกถึงสองคน เกิดวามฉงนสนเท่ห์ขึ้น จึงเดินมาดูเอง ปรากฏว่าพยายามอ่านเท่าไร ก็อ่านไม่ถนัดสักที สุดท้ายก็เงยหน้าไปที่แฮ็มกะแป็ง 

 

          “แฮ็มกะแป็งลองมาช่วยดูหน่อยสิ เราก็อ่านไม่ออกเหมือนกัน ไม่ชินกับตัวอักษรแบบโบราณอย่างนี้เลย” หวันบอก

 

          แฮ็มกะแป็งเดินมาดู รู้สึกแปลกใจเหมือนกันที่เพื่อนๆ ไม่มีใครอ่านออก เหลืออาเธอร์อีกคน ก็ไม่อยากทำให้อาเธอร์เสียความมั่นใจไปอีกหนึ่งเรื่อง ก็เดินเข้ามาดู แล้วอ่านทันที

 

          แฮ็มกะแป็งกลับไม่มีความลำบากในการอ่านกาพย์แปดบทนั้น

 

“     ลู่ไหลละลิ่วร่วง                     ในห้วงหว่างมิติ

จงจิตสมาธิ                                    ตั้งสติรู้กายใจ

 

       ดาววิมุตติส่องสว่าง                จักนำทางคืนมาใหม่

แสงธรรมิกต้องสดใส                    แปดแฉกไขอานุภาพ

 

       ภพแดนแต่ละทิศ                     แสงศักดิ์สิทธิ์หนึ่งแสงฉาบ

แปดทิศแปดแสงซาบ                     อานุภาพวิมุตตา

 

       แปดแดนแปดทุกข์ภัย              จงนำชัยด้วยปัญญา

มีสติธรรมะเมตตา                           พบมรรคผลพ้นทุกข์กรรม

 

       เปรโตถิ่นหม่นมัว                     เหลืองสลัวบุษราคัม

เมืองปัจฉิมนครกรรม                      แสงแดงก่ำโกเมนฉาย

 

       ท้องน้ำไตรศุลา                         แฉกสีฟ้าพลอยเพทาย

นิลกาฬแฉกแสงใต้                          พิภพอาตมัน

 

       แสงมรกตคือผืนป่า                   พรรณบุปผาพฤกษ์เทวัญ

น่านฟ้าขาวกายทิพย์นั้น                   สู่แดนสวรรค์ชมพูมณี

 

       สุญญตาแดนสุดท้าย                  ส่องประกายเพชรไร้สี

แสงธรรมิกส่องระวี                          วัฏสงสารนี้มีความนัยฯ ”

                                                                                                                         

          พอแฮ็มกะแป็งอ่านจบ นอกจากหวัน แล้วทุกคนต่างมองหน้ากันไปมา

 

          บุ๋นบ่นอุบขึ้นมา “ไม่เห็นเข้าใจเลย กลอนอะไรไม่รู้เรื่อง” 

 

          กระปุกกล่าวขึ้นว่า “เออ ไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร? ไม่รู้บันทึกนี้เขาเขียนไปเพื่ออะไร? ช่างเถอะ คงไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องลึกลับอะไรหรอก เก็บกลับไปเถอะ” 

 

          “กาพย์แปดบทที่แฮ็มกะแป็งอ่านมา เราจับความได้แค่ แปดทิศแปดแสง แปดแดนแปดทุกข์ อะไรนี้แหละ” หวันที่สมองไวที่สุด กล่าวขึ้น

 

          แต่แฮ็มกะแป็งยังคงพยายามคิดถอดความหมายที่ซ่อนอยู่นั้น หวันเห็นแฮ็มกะแป็งพยายามอย่างมาก ก็คิดวิธีช่วย หวันหยิบมือถือขึ้นมา ถ่ายรูปกาพย์สองหน้านั้นไว้ 

 

          “เอาไว้ค่อย ๆ ดูทีหลังก็แล้วกัน เดี๋ยวเราจะส่งให้ในไลน์นะ” หวันบอกพลางเก็บมือถือไว้ในกระเป๋า

 

          แฮ็มกะแป็งนึกอายที่คิดไม่ทัน มัวแต่พยายามดูพยายามแปลก็ไม่ได้ความมากกว่านี้ เสียเวลาไปเปล่า ๆ หวันถ่ายรูปทีเดียวก็ได้เรื่อง 

 

          แฮ็มกะแป็งพับสมุดข่อยเล่มนั้นกลับ แล้วห่อคืนกลับไปวางที่ชั้น ทันใด ก็มีเงาวูบขึ้นมาอีก แฮ็มกะแป็งเงยหน้าขึ้นมาทันที มองไปที่บันไดทางขึ้นไปบนหอคอยที่ไม่เคยคิดว่าจะมีใครขึ้นไป

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา