กลับมา..หารัก

-

เขียนโดย wangruk

วันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 เวลา 21.55 น.

  3 ตอน
  0 วิจารณ์
  3,056 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 00.50 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) จุดเริ่มต้น

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

แสงแดดที่ร้อนจัดในช่วงบ่ายของวัน ดูจะยิ่งร้อนมากขึ้นไปอีก เมื่อสองข้างทางของถนนลูกรัง ไม่มีแม้แต่เงาของต้นไม้ หรือสิ่งก่อสร้างใดๆ มีแต่ทุ่งโล่งๆ และหลังคาบ้านที่อยู่ไกลออกไปสุดลูกหูลูกตา ระยะเวลาที่เดินจากโรงพยาบาลมาถึงตรงนี้ ราวๆ ครึ่งชั่วโมงก็ยังไม่มีวี่แววของรถซักคัน

หญิงสาวร่างบางในเสื้อคลุมแขนยาวสีเข้มกับกางเกงยีนที่ดูทะมัดทะแมง สวมหมวกปิดผมดำยาวที่ถูกม้วนเก็บไว้อย่างเรียบร้อย พร้อมกับสะพายเป้ใบใหญ่ ดูจะเหนื่อยหอบจากอากาศที่ร้อนจัด ใบหน้าที่ขาวนวลกลายเป็นสีแดงเรื่อพร้อมกับเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้น ทำให้สลิลต้องหยุดนั่งพักข้างทาง หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับพร้อมกับขวดนํ้าที่เหน็บอยู่ข้างกระเป๋าขึ้นมาดื่ม หญิงสาวได้แต่บ่นกับตัวเองว่าไม่น่าปฏิเสธให้ลุงผู้ใหญ่บ้านไปส่งที่สนามบินเลยจริงๆ ใครจะคิดว่าวันนี้รถ 2 แถวที่เธอใช้เดินทางไปในเมืองเหมือนทุกครั้งจะมาช้าขนาดนี้ ปกติเดินจากโรงพยาบาลมาไม่ถึง 10 นาที ก็จะมีผ่านมาสักคัน แต่วันนี้กลับไม่มีเลยแม้แต่คันเดียว

เมื่อวานเป็นวันสุดท้ายของการทำงานที่นี่ ช่วงแรกทุกอย่างดูจะลำบากไปหมด ทั้งความเป็นอยู่ การเดินทาง รวมถึงงานที่ดูจะหนักหนา เพราะที่นี่ไม่มีบุคลากรมากนัก เนื่องจากโรงพยาบาลค่อนข้างห่างไกลและกันดารจึงไม่ค่อยมีใครอยากมาทำงานที่นี่ แต่สำหรับเธอ เธอเลือกที่นี่เป็นแรก เหตุผลเพราะเธอไม่อยากไปแย่งโรงพยาบาลในเมืองกับใคร

ผู้ป่วยส่วนใหญ่ของที่นี่เป็นแค่ชาวบ้านที่หาเช้ากินค่ำ ไม่ได้มีความรู้มากมาย เธอจึงต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการสื่อสารกับผู้ป่วย อธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจอาการของตัวเองด้วยภาษาที่ง่ายที่สุด ครั้งหนึ่งเธอต้องวาดรูปอธิบายกับคุณยาย ที่ถามอาการเธอทุกครั้งที่เจอกัน แล้วไหนจะผู้ป่วยที่มีญาติเป็นผู้พิการทางการได้ยิน เธอถึงกับต้องศึกษาภาษามือในอินเทอร์เน็ตเพื่อสื่อสารกับเขา เพราะเขาอ่านหนังสือไม่ออก

สำหรับสลิล ที่นี่ให้ประสบการณ์ที่มีค่าแก่เธอมากมาย และที่นี่ก็ยังทำให้เธอตอบตัวเองได้ว่า หมอแบบไหนที่เธออยากจะเป็นและความสำเร็จแบบไหนที่เธอต้องการจริงๆ ในฐานะหมอ

หลังจากนั่งพักอยู่ 10 นาที ในที่สุดรถ 2 แถว ก็ผ่านมาเสียที หญิงสาวรีบลุกขึ้นโบกรถด้วยท่าทางดีใจสุดขีด

"หมอลิล รอรถนานมั้ย ขอโทษทีนะ พอดีวันนี้ที่อู่มีปัญหานิดหน่อย" ลุงคนขับเรียกทักเธออย่างสนิทสนม

"ไม่เป็นไรค่ะ" เธอพูดพร้อมยิ้มให้คุณลุงคนขับที่เคยเป็นหนึ่งในคนไข้ของเธอ

"งั้นมานั่งข้างหน้าเลย เดี๋ยวลุงรีบซิ่งไปส่ง"

หญิงสาวเปิดประตูขึ้นไปนั่งฝั่งข้างคนขับ พร้อมกระเป๋าเป้วางไว้บนตัก

"แบกกระเป๋าใบใหญ่ จะไปไหนล่ะหมอ"

"ไปกรุงเทพค่ะ"

"ไปเที่ยวหรอ หรือว่าไปหาแฟน" ลุงคนขับมักจะแซวเธอเรื่องแฟนเสมอ เพราะตั้งแต่ที่เขามาเป็นคนไข้ของเธอ เขาก็มักจะเชียร์ลูกชายของตนให้หมอสาวตลอด แต่เธอก็ปฏิเสธอย่างสุภาพปนตลกทุกครั้ง

‘ลิลเหมาะเป็นหมอของลุงมากกว่าเป็นลูกสะใภ้นะคะ ขืนเป็นลูกสะใภ้ ลิลจะบ่นลุงเรื่องดื่มเหล้าทั้งเช้ากลางวันเย็นเลย’

ความจริงสมัยเรียนก็มีคนมาเสนอตัวเป็นแฟนเธออยู่หลายคน เพราะหน้าตาที่สะสวย รูปหน้าเรียวรับกับจมูกและปากที่บางได้รูป ดวงตาสีน้ำตาลกลมโตที่ล้อมด้วยแพขนตายาวงอนนั้นช่างโดดเด่นและชวนมอง ไม่แปลกที่จะมีหนุ่มๆ มาเสนอตัวไม่ขาด

"โธ่ ลุงอ่ะ พูดเรื่องแฟนอีกแล้ว" หญิงสาวมักจะขบขันกับหัวข้อสนทนานี้เสมอ เพราะลำพังอาชีพของเธอก็แทบไม่มีเวลานอน แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปมีแฟน อีกอย่างตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีแฟนสักคน นึกไม่ออกจริงๆ ว่าเวลามีแฟนเขาทำกันยังไง

"เอ้า ก็เห็นหมอลิลไม่สนใจลูกลุงสักที ไอ้ยักษ์ลูกลุงนี่หล่อที่สุดในตำบลเลยนะ" เธอได้แต่นั่งฟังและหัวเราะกับความพยายามยัดเหยียดลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของคุณลุง

"แล้วหมอลิลจะไปกี่วัน เดี๋ยววันกลับลุงจะไปรอรับ จะได้ไม่ต้องรอรถนาน" คำพูดนี้ทำให้หญิงสาวชะงักไปครู่ ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่มีแววเศร้า

"ครั้งนี้ลิลกลับไปทำงานที่กรุงเทพยาวเลย คงไม่ได้กลับมาแล้วค่ะ"

"อ้าว อย่างนี้ก็ขาดหมอไปอีกคนแล้วซิ" นํ้าเสียงที่ดูผิดหวังนั้น เธอรู้ดี ผู้ป่วยที่ต้องรอคิวกันเป็นวัน เพราะหมอไม่เพียงพอกับผู้ป่วย

ทั้งผู้ป่วยในผู้ป่วยนอก ผู้ป่วยบางคนต้องเดินทางเป็นชั่วโมง มารอตรวจครึ่งค่อนวัน แล้วก็นั่งรถกลับอย่างยากลำบาก

"เดี๋ยวอาทิตย์หน้าก็คงมีหมอใหม่มาค่ะ" หญิงสาวพยายามฝืนยิ้ม ทั้งๆ ที่เธอเองก็กังวลอยู่ไม่น้อย

หลังจากใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาที เธอก็มาถึงสนามบินในตัวเมือง หญิงสาวยกแขนขึ้นดูนาฬิกา ก็โล่งใจที่ตนยังไม่ตกเครื่อง

รถ 2 แถวที่รับผู้โดยสารมาแค่คนเดียว ถูกเทียบจอดอยู่ข้างหน้าทางเข้าผู้โดยสารขาออก

"ขอบคุณมากนะคะ" หญิงสาวยกมือไหว้พร้อมยิ้มกว้างอย่างเคย

"เดินทางปลอดภัยนะหมอลิล ว่างๆ ก็กลับไปเที่ยวหากันบ้าง"

"ค่ะ ลุงเองก็อย่าดื่มหนักมากนะคะ หมอคนใหม่คงไม่ใจดีเท่าลิลหรอกนะ" ลุงคนขับถึงกับหัวเราะออกมาเพราะหมอสาวคนนี้นั้นช่างเข้มงวดกับเขาเสียจริง

"เห้อ แค่ไม่ขี้บ่นก็พอ" หญิงสาวอดขำไม่ได้ เพราะคนไข้ของเธอคนนี้มักจะชอบบอกว่าเธอขี้บ่นยิ่งกว่าแม่ซะอีก

“รีบไปเถอะหมอ เดี๋ยวจะตกเครื่อง”

"งั้นลิลไปนะคะ"

"อื้อ โชคดีนะหมอลิล" หญิงสาวก้มหัวและยกมือไหว้อีกครั้ง ก่อนจะเปิดประตูลงและเดินเข้าไปในตัวอาคารผู้โดยสาร

 

เวลาผ่านไปไม่ถึง 2 ชั่วโมง สลิลก็ถึงที่หมาย เธอเดินออกมายังหน้าสนามบินพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อเปิดเครื่อง แต่ไม่ทันไร เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เมื่อหน้าจอแสดงชื่อผู้ที่โทรมา หญิงสาวก็คลี่ยิ้มออกมาก่อนจะกดรับ

"นี่พ่อมีญาณทิพย์หรือป่าวคะ โทรมาถูกเวลาเป๊ะ" หญิงสาวเย้าแหย่ผู้เป็นพ่อ

"ถ้ามีก็ดีน่ะซิ แล้วนี่ลูกถึงดอนเมืองหรือยัง"

"ค่ะ เครื่องเพิ่งลงเมื่อกี้ ถึงถามไงคะ ว่าพ่อมีญาณทิพย์หรือป่าว" คำพูดของลูกสาว ทำให้ผู้เป็นพ่อหัวเราะออกมา

"ถ้างั้นเดี๋ยวพ่อไปรับนะ"

"ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวลิลกลับเอง มีกระเป๋าแค่ใบเดียว ไม่ลำบากหรอกค่ะ" ลูกสาวรีบปฏิเสธ เพราะรู้ดีว่าเวลานี้ผู้เป็นพ่อคงยังอยู่ที่โรงพยาบาล

หญิงสาวรู้ดีว่า ตำแหน่งที่ผู้เป็นพ่อกำลังรับผิดชอบอยู่นั้นหนักหนามาก หลายปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ที่พ่อเข้าไปทำงานในตำแหน่งประธานของโรงพยาบาลธิติเวชเต็มตัว พ่อก็แทบไม่มีเวลาพัก

ความจริงเธอไม่ชอบที่พ่อต้องทำงานนี้ เพราะคำพูดถากถางมากมายจากคนรอบข้าง ที่ต่างพูดกันว่าพ่อของเธอได้ตำแหน่งนี้มาเพราะโชคช่วยที่ลูกชายคนเดียวของประธานคนก่อนไม่ยอมรับช่วงต่อ เธอไม่ชอบที่มีคนพูดถึงพ่อในทางไม่ดี เธอรู้ดีว่าพ่อไม่เคยต้องการมันเลย แต่ที่ทำอยู่ก็เพื่อรักษาตำแหน่งไว้ให้เจ้าของตัวจริงกลับมารับไปต่างหาก

"เอางั้นหรอลูก"

"ค่ะ เจอกันที่บ้านนะคะ" พูดจบหญิงสาวก็กดวางสาย ก่อนจะรีบเดินไปยังจุดเรียกแท็กซี่

เพราะนี่เป็นเวลาเลิกงาน ทำให้หญิงสาวต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าจะมาถึงบ้าน

ประตูรั้วถูกเปิดออก เหมือนกำลังรอการกลับมาของเธอ

ขายาวก้าวลงจากแท็กซี่พร้อมกระเป๋าใบเดิม สลิลหยุดยืนอยู่ที่หน้าบ้านเพียงครู่ ก่อนจะเดินเข้าไป

พื้นที่ส่วนใหญ่ของบ้านเป็นสนามหญ้า ทั้งลานหน้าบ้านและหลังบ้าน มีพุ่มไม้ที่ถูกตัดแต่งอย่างดีรอบล้อม ส่วนตัวบ้านตั้งอยู่กลางพื้นที่ บ้าน 2 ชั้นสีขาวขนาดกะทัดรัดที่ดูสะอาดสะอ้าน บ่งบอกว่าเจ้าของบ้านดูแลอย่างดี

หญิงสาวค่อยๆ เยื้องย่าง และมองไปยังบริเวณบ้านที่เธอคุ้นเคย ความทรงจำต่างๆ มากมาย ค่อยๆ หลั่งไหลเข้ามาเป็นสาย

ม้าหินอ่อนตรงลานหน้าบ้านที่เธอเคยนั่งทำขนมกับแม่ แปลงผักที่เธอกับแม่เคยปลูกด้วยกัน ที่ถึงแม้ตอนนี้มันจะถูกทับด้วยพื้นสนามหญ้า แต่ภาพในความทรงจำของเธอมันยังชัดเจนเสมอ หญิงสาวได้แต่คิดว่า ถ้าแม่ยังอยู่ บ้านคงเต็มไปด้วยแปลงผัก

ใบหน้าหวาน ที่มักแต่งเติมด้วยรอยยิ้มเสมอ บัดนี้กลับดูเศร้า และหม่นหมอง นํ้าตาที่เอ่อขึ้นมาตั้งแต่ที่หญิงสาวยืนอยู่หน้าบ้านกำลังรินไหลออกมาจากดวงตาคู่สวย

"คุณหนูลิล" เสียงของหญิงสูงวัยที่ดังมาจากข้างหลัง ทำให้หญิงสาวสะดุ้งรีบยกมือเช็ดนํ้าตาอย่างลวกๆ

"ป้านวล สวัสดีค่ะ" หญิงสาวรีบหันไปยิ้มทักพร้อมกับยกมือไหว้

"โอ้ย ป้านวลคิดถึงจังเลยค่ะ" หญิงสูงวัยรีบเดินเข้ามากอดหญิงสาวทั้งที่ในมือยังถือของพะรุงพะรังด้วยความคิดถึงเต็มอก หญิงสูงวัยร่างท้วมผู้นี้เปรียบเสมือนแม่คนที่ 2 ของสลิล

"ลิลก็คิดถึงป้านวลค่ะ" ทั้ง 2 คลายอ้อมกอด ก่อนที่นวลจะสังเกตว่าใบหน้าของหญิงสาวมีคราบนํ้าตา

"คุณหนูร้องไห้ทำไมคะ" นวลถามด้วยความเป็นห่วง

"อ๋อ ลิลคิดถึงพ่อ คิดถึงป้านวลไงคะ เลยร้องไห้เพราะดีใจ" หญิงสาวรีบอธิบายพร้อมกับยิ้มกลบเกลื่อน

"แล้วคุณพ่อกลับมารึยังคะ" สลิลรีบเปลี่ยนเรื่อง เพราะไม่เห็นรถของผู้เป็นพ่อจอดอยู่ จึงเอ่ยถาม

"มาแล้วค่ะ ชัยมาส่งได้สักพักแล้ว" นวลยังพูดไม่ทันจบดี ชายที่ถูกถามถึงก็เดินออกมาจากบ้านในชุดลำลอง

"พ่อคะ" หญิงสาวกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปหาผู้เป็นพ่อ

"ลิล มาแล้วหรอลูก" เจ้าของเสียงทุ่ม อ้าแขนสวมกอดลูกสาวด้วยความคิดถึงสุดหัวใจ

ร่างหนาที่ดูน่าเกรงขาม นั้นช่างขัดกับรอยยิ้มใจดี และถึงแม้จะมีริ้วรอยบนใบหน้ากับ

ผมที่ถูกแทรกด้วยสีขาวแต่ก็ยังดูดี ดูภูมิฐานตามวัย

"เดินทางเหนื่อยหรือป่าวลูก" วิทย์พูดพร้อมเอื้อมมือแตะหัวลูกสาว

"ไม่เหนื่อยค่ะ" รอยยิ้มของหญิงสาวนั้นช่างทำให้ผู้เป็นพ่อมีความสุขเหลือเกิน

"งั้นพ่อว่า หนูเข้าบ้านไปอาบนํ้าอาบท่า แล้วเราค่อยมากินข้าวกันดีกว่า"

"ใช่ค่ะ ป้าเพิ่งออกไปซื้อของมาทำกับข้าวเพิ่ม รอแป๊บนึงนะคะ" นวลรีบนำหน้าเดินเข้าบ้าน ตรงดิ่งไปยังห้องครัวที่อยู่หลังบ้าน

 

 

ห้องนอนของหญิงสาว อยู่บนชั้น 2 ทางฝั่งขวาสุดของตัวบ้าน ห้องนอนที่ยังคงสภาพเดิมไว้อย่างดี และคงจะถูกทำความสะอาดทุกอาทิตย์แม้ผู้เป็นเจ้าของห้องจะไม่อยู่

มือบางถอดหมวกพร้อมกับวางกระเป๋าลงบนเตียงที่อยู่กลางห้อง และเอนตัวลงนอนบนเตียงด้วยความเมื่อยล้า สักพักจึงลุกขึ้นจัดแจงเอาเสื้อผ้าและข้าวของในกระเป๋าออกมาจัดเก็บให้เข้าที่เข้าทาง ก่อนจะเดินเข้าห้องนํ้าไป

หลังจากอาบนํ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย หญิงสาวในชุดเสื้อยืดสีขาวตัวโคร่งกับกางเกงวอร์มตัวเก่ง จึงเดินลงมาที่ชั้นล่างและตรงไปที่ห้องครัว

"มีอะไรให้ลิลช่วยมั้ย" หญิงสาวเดินเข้าไปหาป้านวลที่กำลังวุ่นอยู่หน้าเตา

"คุณหนูเข้ามาทำไมคะ มันร้อน ออกไปรอข้างนอกดีกว่า" ป้านวลพูดพร้อมจูงแขนหญิงสาวให้ห่างเตา

"แค่นี้เอง ไม่ร้อนหรอกค่ะ"

"นะคะ ออกไปนั่งคุยกับคุณพ่อเถอะค่ะ ท่านอยู่ในห้องรับแขกน่ะ" สลิลรู้ดี ไม่ว่าจะยังไง เธอก็ขัดป้านวลไม่ได้ จึงยอมแต่โดยดี

ตั้งแต่เล็กจนโต ป้านวลมักคอยประคบประหงมเธออย่างดี เรียกได้ว่ายุงไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอมของจริง หญิงสาวแทบจะไม่ต้องหยิบจับทำอะไรเองเลย ซึ่งต่างจากผู้เป็นแม่ที่มักสอนให้เธอทำทุกอย่างด้วยตัวเอง

สลิลเดินออกมาจากห้องครัว ตรงไปที่ห้องรับแขก ที่ผู้เป็นพ่อกำลังนั่งคุยโทรศัพท์กับใครสักคนอยู่ ยังไม่ทันที่สลิลจะได้ยินรายละเอียด บทสนทนาก็จบลง

"คุยงานหรอคะ" หญิงสาวเอ่ยและนั่งลงข้างๆ ผู้เป็นพ่อ

"จ๊ะ พอดีมีเรื่องด่วน"

"ต้องเป็นเรื่องดีแน่เลย พ่อถึงยิ้มกว้างขนาดนี้"

"อือ หมอที่พ่อขอให้เขามาช่วยงานที่ศูนย์มะเร็ง เขาตอบรับร่วมงานแล้ว"

"หมอคนไหนหรอคะ เท่าที่รู้ หมอทุกคนที่อยู่ในรายชื่อ ตอบรับหมดแล้วนี่ ยังเหลือใครอีกหรอคะ"

"อ๋อ เขาเป็นหมออยู่ที่อเมริกา เก่งแล้วก็มีประสบการณ์มาก พ่อกับอาจารย์หมอเลยอยากให้เขามาร่วมงานเป็นกรณีพิเศษ เขาจะมาเป็นหัวหน้าทีมแพทย์น่ะ"

"อ้าว แต่หัวหน้าทีมแพทย์คือพี่ภาคย์ไม่ใช่หรอคะ”

"พ่ออยากให้ทีมแพทย์แบ่งการทำงานเป็น 2 ทีม เพราะตอนนี้เคสที่รอรับการรักษามีเข้ามามาก เราเลยต้องวางแผนใหม่ แล้วลูกอยากอยู่ทีมไหนล่ะ" ผู้เป็นพ่อเย้าแหย่ลูกสาว

"ไหนบอกว่าไม่ใช้เส้นไงคะ จะให้ลิลเลือกได้ยังไง" สลิลทำหน้านิ่วใส่ผู้เป็นพ่อ

"พ่อล้อเล่น เรื่องแบ่งทีมไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของพ่อ หัวหน้าทีมแพทย์จะเป็นคนพิจารณาเอง เพราะฉะนั้นลูกสบายใจได้"

ศูนย์มะเร็งของโรงพยาบาลธิติเวช หญิงสาวมีโอกาสได้ฟังจากพ่อของเธออยู่หลายครั้ง ตั้งแต่ยังไม่เริ่มทำ จนตอนนี้มีกำหนดเปิดอย่างเป็นทางการในอีกไม่ถึง 2 เดือน ซึ่งแน่นอนว่าสลิลเป็นหนึ่งในแพทย์ที่ถูกเลือกให้มาร่วมงานด้วย

ในตอนแรกหญิงสาวปฏิเสธอย่างเด็ดขาด เธอคิดว่าที่ถูกเลือกเป็นเพราะนามสกุลวัฒนกิตติของเธอ แต่อาจารย์หมอที่เป็นคนเสนอชื่อเธอ ยืนยันว่าเหล่าคณะศาสตราจารย์แพทย์และคณะกรรมการฝ่ายบริหาร เลือกบุคลากรจากความสามารถและประสบการณ์เท่านั้น อีกทั้งพ่อของเธอก็ไม่ทราบเรื่องที่มีอาจารย์หมอเสนอชื่อสลิล จนมีการคัดเลือกรอบแรก เขาถึงรู้ว่าลูกสาวตนถูกเสนอชื่อเข้ามา

สลิลคิดหนักอยู่หลายวัน ว่าควรตัดสินใจอย่างไร จนวันหนึ่งมีคนไข้มะเร็งตับระยะสุดท้าย เข้ามารักษากับเธอ สลิลจำได้ดีว่าคุณป้าท่าทางใจดีคนนั้นเข้ามาพบเธอพร้อมกับญาติที่ดูเหมือนจะเป็นลูกชาย เพื่อฟังผลการตรวจ หมอสาวสูดหายใจเข้าเต็มปอด เพื่อทำสมาธิ เพราะการบอกข่าวร้ายนี้ไม่ง่ายเลยสำหรับเธอ ทันทีที่แพทย์สาวเริ่มอธิบายอาการของคนไข้ ลูกชายที่กำลังนั่งฟังเธออย่างตั้งใจ ก็เริ่มมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันที ทำให้แพทย์สาวต้องข่มอารมณ์ตัวเองไม่ให้อ่อนไหวจนเกินไป

"แม่ผมเหลือเวลาอีกเท่าไหร่ครับหมอ" ลูกชายที่นั่งฟังมาตลอดถามขึ้นด้วยนํ้าเสียงที่สั่นเครือ

สลิลไม่ชอบคำถามนี้เลยจริงๆ มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะบอกคนไข้ว่าเหลือเวลาชีวิตอีกนานแค่ไหน

"ประมาณ 3 เดือนค่ะ" หญิงสาวพยายามพูดด้วยน้ำเสียงปกติ ถึงแม้ว่าภายในใจจะอ่อนไหวเต็มที

อีกด้านของเธอคือหญิงสูงวัยที่ยังคงนิ่ง และตั้งใจฟังตั้งแต่เดินเข้ามา

หมอสาวเอื้อมมือไปจับมือของผู้ซึ่งเป็นคนไข้ เธอรู้สึกได้ว่ามันกำลังสั่น

"ระยะเวลาเป็นแค่การคาดการณ์ของหมอเท่านั้น ถ้าคุณป้าทานยาสมํ่าเสมอ ไม่เครียด พักผ่อนมากๆ แล้วก็มาพบหมอตามนัดทุกครั้ง ระยะเวลาที่หมอบอกอาจจะผิดก็ได้นะคะ" หมอสาวยิ้มน้อยๆ ให้คนไข้ของเธอ

"แม่ ผมขอโทษ ถ้าผมพาแม่มาหาหมอเร็วกว่านี้ ก็คงไปเป็นแบบนี้" ลูกชายเริ่มร้องไห้โฮออกมา หลังจากที่กลั้นเอาไว้อยู่นาน ผู้เป็นแม่เอื้อมมือเล็กที่ดูเหมือนจะถูกใช้งานมาอย่างหนักลูบหลังปลอบลูกชาย

"จะขอโทษทำไม รู้เร็วรู้ช้า ยังไงแม่ก็ไม่รักษาหรอก แค่นี้แกก็ต้องทำงานหาเงินจนไม่มีเวลานอนแล้วยังจะมาเสียเงินเสียทองรักษาแม่อีก"

หมอสาวเข้าใจกับสถานการณ์ของพวกเขาดี มีหลายครั้งที่คนไข้ของสลิลไม่มาตามนัด จนเธอต้องไปตามถึงบ้านด้วยความเป็นห่วง จึงได้รู้ว่าคนไข้ของเธอไม่มีเงินจ่ายค่ายาเลยไม่ได้ไปโรงพยาบาล เพราะเหตุนี้ทำให้เธอตระหนักได้ว่า ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้ และถึงแม้โรงพยาบาลจะมีทุนสำหรับผู้ป่วยขาดแคลน แต่มันก็ไม่เพียงพอสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคร้ายแรง เพราะค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง ทำให้ผู้ป่วยเหล่านี้ต้องยอมกับสภาพ

คนรวยเท่านั้นหรือที่มีโอกาสหายจากโรคร้าย แล้วชาวบ้านที่หาเช้ากินคํ่า พวกเขาทำได้แค่จำนนกับมันเท่านั้นหรือ สลิลรู้ว่าศูนย์มะเร็งของโรงพยาบาลธิติเวชมีเป้าหมายแบบเดียวกับเธอ เป้าหมายที่อยากจะให้การรักษามะเร็งเป็นเรื่องที่ผู้ป่วยทุกคนสามารถเข้าถึงได้ ทางโรงพยาบาลมีการจัดตั้งกองทุนเงินช่วยเหลือ ทั้งภายในและภายนอกองค์กร ด้วยเหตุผลนี้ทำให้สลิลตัดสินใจตอบตกลงร่วมงานกับโรงพยาบาลธิติเวช

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา