ซ่อนเกมร้ายเผลอรักนักการเมือง

-

เขียนโดย ปากกาทองแดง

วันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 เวลา 11.42 น.

  1 ตอน
  2 วิจารณ์
  2,117 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 มกราคม พ.ศ. 2564 12.38 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) ตอนที่ 1 ปัญหาลงตัว

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ณ ห้องประชุมสภาแห่งหนึ่ง สถานที่กว้างขวางที่มีผู้คนเพียงแค่ไม่กี่คนเข้ามาร่วมประชุมในครั้งนี้ เพราะพรรคอื่นๆต่างเห็นว่าเรื่องที่กำลังถกเถียงกันไม่ใช่ประเด็นสำคัญในการช่วยเหลือประเทศบ้านเมือง มีเพียงแค่พรรคไทยเป็นหนึ่งกับพรรคใจรวมไทยเท่านั้นที่ต้องการจะเอาชนะกันด้วยเรื่องนี้เพียงเรื่องเดียว

ในบรรยากาศที่ตึงเครียด แอร์ในห้องประชุมเย็นฉ่ำแสงไฟเปิดสว่างทั่ว ทำให้เห็นใบหน้าของแต่ละฝ่ายได้ชัดเจน พรรคใจรวมไทยนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับพรรคไทยเป็นหนึ่ง ทั้งสองฝ่ายกำลังถกเถียงกันเรื่องที่จะเปิดให้มีการค้าขายหน้าสภา ในขณะที่พรรคไทยเป็นหนึ่งที่มีหัวหน้าพรรคคือคุณทินกรซึ่งนั่งด้านหน้าคุณนิภา ต้องการให้มีพ่อค้าแม่ค้ามาค้าขาย แต่พรรคใจรวมไทยซึ่งมีคุณอาทิตย์เป็นหน้าพรรคและคุณภูษิตานั่งอยู่ด้านหลัง ไม่อยากให้พื้นที่รอบๆสภาวุ่นวายโดยพ่อค้าแม่ค้าที่มาทำการค้าขายกัน ในขณะที่สมาชิกท่านอื่นๆในพรรคต่างก็เบื่อหน่ายเต็มทีที่จะต้องมาถกเถียงเรื่องเดียวอยู่เป็นเดือนๆ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ในเมื่อคุณอาทิตย์และคุณทินกรหัวหน้าพรรคทั้งสองฝ่ายยังเห็นว่านี่คือเรื่องสำคัญที่ควรพิจารณาให้รอบคอบ

"ผมคิดว่าถ้าเราเปิดโอกาสให้พ่อค้าแม่ค้าได้มีโอกาสทำมาหากิน เราอาจจะเข้าถึงพวกเขาได้มากขึ้นนะครับ" คุณทินกรหัวหน้าพรรคไทยเป็นหนึ่งกล่าวท่ามกลางความเงียบในสภาในขณะที่สส.ท่านอื่นต่างก็ลุ้นกันว่าอยากให้พรรคใจรวมไทยเห็นด้วยเสียที

"ไม่ได้นะคะคุณอาทิตย์ จะยอมให้มันเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้ามีการค้าขายหน้าสภา ความวุ่นวายอาจจะเกิดขึ้นได้" คุณภูษิตากระซิบบอกคุณอาทิตย์หัวหน้าพรรคของเธอจากด้านหลัง เพราะเห็นว่าเขาเริ่มจะคล้อยตามด้วยเนื่องจากปัญหานี้ผ่านมาร่วมเดือนแล้วคุณอาทิตย์เองก็เริ่มจะเบื่อหน่ายตามสมาชิกท่านอื่นแล้วเหมือนกัน

คุณอาทิตย์หันมากระซิบกลับคุณภูษิตาด้วยน้ำเสียงจริงจังแบบไม่ได้มองหน้าเธอแบบชัดๆ

"แต่เรื่องนี้เราถกเถียงกันมาเป็นเดือนแล้วนะครับ ผมว่าถ้ามีของมาขายแถวนี้ บรรยากาศแถวสภาอาจจะไม่ตึงเครียดเกินไปก็ได้นะครับ" คุณอาทิตย์เริ่มเห็นข้อดีของการมีพ่อค้าแม่ค้ามาขายในบริเวณรอบๆสภา เขาทั้งเห็นข้อดีและอยากให้เรื่องนี้จบได้เสียที

"ถ้าไม่มีใครคัดค้าน งั้นผมขอจบ...." ท่านประธานรีบตัดจบเพราะเห็นว่าทั้งสองฝ่ายเงียบไปเป็นเวลานาน เลยตัดสินใจว่าพรรคใจรวมไทยมีความคิดเดียวกันกับพรรคไทยเป็นหนึ่งแล้วหลังจากที่ผ่านมาเป็นเดือนๆ แต่ท่านประธานยังพูดไม่จบ

จู่ๆคุณภูษิตาก็ยกมือขึ้น ท่ามกลางความงุนงงของคุณอาทิตย์และสมาชิกในพรรคต่างก็ตกใจกันยกใหญ่

"ดิฉันขอค้านไม่ให้มีการค้าขายเกิดขึ้นหน้าสภาค่ะ! ไหนจะเรื่องความปลอดภัย ความวุ่นวาย เรื่องความสะอาด ท่านประธานไม่ฉุกคิดเรื่องนี้บ้างหรือคะ!!" คุณภูษิตาทักท้วงขึ้นมาด้วยความใจร้อนเมื่อเธอเห็นว่าสมาชิคในพรรคเริ่มเห็นด้วยกับพรรคไทยเป็นหนึ่ง เธอก็ยิ่งควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่

คุณนิภายกมือเปิดไมค์บ้าง

"ใจเย็นๆก่อนดีมั้ยคะคุณภูษิตา คุณควรให้เกียรติท่านประธานหน่อย ไม่ใช่ตะคอกใส่ท่านแบบเด็กไม่มีมารยาทแบบนั้น" คุณนิภากล่าวแบบเสียดสีปนๆกับสั่งสอนคุณภูษิตาไปด้วย

คุณภูษิตาเริ่มรู้ตัวว่าตัวเองใจร้อนเกินไปในขณะที่สมาชิกท่านอื่นในพรรคต่างก็หันมามองเธอด้วยสายเดียวกันคือเธอไม่เคารพท่านประธานเลย เธอจึงหันไปน้อมตัวลงให้ท่านประธานและเบาเสียงลง

"ขอโทษค่ะท่านประธาน ดิฉันใจร้อนเกินไป"

ท่านประธานพยักหน้า หงึกๆ ด้วยสีหน้าเหนื่อยใจแต่ก็ไม่ได้ถือสาอะไรเพราะท่านเองก็เจอเหตุการณ์แบบนี้มาหลายครั้งหลายคราแล้ว

คุณภูษิตาหันมาตอบโต้คุณนิภาต่อ

"แต่ดิฉันเพียงแค่ออกความคิดเห็นเท่านั้น และเหตุผลของดิฉันได้คิดรอบคอบมาดีแล้ว คุณควรจะไตร่ตรองเหตุผลของดิฉันดูนะคะ ว่ามันจะวุ่นวายขนาดไหนหากมีการค้าขายเกิดขึ้นที่นี่" คุณนิภาเลือดขึ้นหน้าเมื่อมีคนที่อายุน้อยกว่ามาพูดจาเหมือนสั่งสอนเธอ สมาชิกท่านอื่นในพรรคต่างก็พูดกันเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘อย่าไปยอมเธอ’

"เสียมารยาทที่สุด! ฉันไม่เคยเห็นสส.คนไหนที่พูดจาแบบนี้กับรุ่นพี่มาก่อน ไม่รู้ว่าโตมายังไง!"

คุณภูษิตากำลังเปิดไมค์และลุกขึ้นด้วยท่าทางโมโหสุดขีดเพื่อโต้ตอบกลับคุณนิภาอีกครั้ง แต่ท่านประธานปิดไมค์ไว้ได้ทัน ในขณะเดียวกันนั้น คุณอาทิตย์หัวหน้าพรรคใจรวมไทยยกมือเปิดไมค์ขึ้น เพื่อที่จะขอเวลานอกให้ได้คุยกับคุณภูษิตาให้เข้าใจ

"ผมขอเวลานอก5นาทีนะครับท่านประธาน"

ท่านประธานกุมขมับพร้อมพยักหน้าด้วยใบหน้าที่เบื่อหน่ายเต็มที

"ใจเย็นๆก่อนนะครับคุณภูษิตา ผมว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย แต่มันเลยมาเป็นเดือนแล้ว" คุณอาทิตย์หันไปโน้มน้าวคุณภูษิตาพร้อมกับกุมมือเธอไปด้วย สมาชิกท่านอื่นหันมามองและแซวผ่านทางสายตา อย่างกับว่าทั่งคู่เป็นคู่รักกัน

"แต่เรื่องความปลอดภัยไม่มีใครรับประกันได้นะคะ จะให้คนนอกแบบนั้นมาอยู่รอบๆสภาได้ยังไง ยิ่งเฉพาะพ่อค้าแม่ค้าพวกนั้น.." คุณภูษิตาพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนหวังจะให้คุณอาทิตย์เห็นด้วยกับเธอ

"ถ้าเป็นเรื่องนั้น ควรมีตำรวจสภาเพิ่มขึ้นมั้ยครับคุณอาทิตย์คุณภูษิตา เพื่อรองรับความปลอดภัย" สมาชิกท่านหนึ่งที่นั่งห่างออกไปเพียงโต๊ะเดียวออกความคิดเห็นเพราะอยากให้เรื่องนี้จบโดยเร็ว

"นั่นสิครับ ถ้ามีตำรวจสภารอบด้าน คงจะเกิดเหตุฉุกเฉินได้ยาก คุณว่ายังไงครับ" คุณอาทิตย์พึ่งจะฉุกคิดขึ้นได้และถามคุณภูษิตา

คุณภูษิตายกมือขึ้นท้าวคาง ทำท่าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งด้วยใบหน้าเคร่งเครียด

"อืม......แบบนั้นก็โอเคนะคะ แต่ฉันว่าให้มีถึง20ร้านค้านั้นมันเยอะเกินไป ควรจะลดให้เหลือแค่5ร้านค้าก็พอนะคะ เผื่อเกิดเหตุอะไร ตำรวจสภาจะได้รับมือทัน" คุณภูษิตาเริ่มเห็นด้วย แต่ถึงอย่างนั้นเงื่อนไขของเธอก็ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลย

"โห 5ร้าน! จาก20จะให้เหลือ5ร้านเลยหรอครับ ผมเกรงว่าฝั่งนู้นจะมีปัญหาขึ้นมาอีก"

คุณอาทิตย์ตกใจในคำตอบ เขาหันหน้าไปยังสมาชิกท่านอื่นที่กำลังพยักหน้าเพื่อบอกเป็นนัยๆว่าให้ลองเสนอดู แต่เมื่อเห็นว่าเวลาเริ่มเหลือน้อย เขาจึงได้แต่ถอนหายใจและพูดว่า

"งั้นเราลองเสนอเงื่อนไขนี้ดูนะครับ"

เมื่อครบ5นาที ท่านประธานเปิดไมค์ขึ้น

"หมดเวลาแล้วนะครับ ทางฝั่งพรรคใจรวมไทยว่ายังไงบ้างครับ"

ท่านประธานกล่าวถามหาคำตอบ

"ผมเห็นด้วยกับอีกฝั่งนะครับที่จะให้มีการค้าขายเกิดขึ้น" คุณอาทิตย์ยืนขึ้นตอบท่านประธานด้วยความเคารพ

คุณภูษิตานั่งนิ่งเงียบสายตามองไปยังคุณนิภา ในขณะที่คุณนิภามองไปยังเธอด้วยสีหน้าเยาะเย้ย อย่างกับฉันเป็นผู้ชนะ

"แต่ผมอยากให้มีตำรวจสภารอบด้านมากกว่านี้ และลดจำนวนร้านค้าลงให้เหลือเพียง5ร้านครับ" คุณอาทิตย์กล่าวถึงเงื่อนไขหวังจะให้พรรคไทยเป็นหนึ่งยอมรับข้อเสนอ

ในขณะเดียวกันพรรคไทยเป็นหนึ่งก็เริ่มมีเสียงแตกอีกครั้ง สมาชิกท่านอื่นหันมามองหน้ากันด้วยสีหน้าที่บอกเป็นนัยๆว่า เป็นไปไม่ได้หรอก โดยเฉพาะคุณนิภา

"นี่น่าจะเป็นความเห็นของคุณภูษิตาอีกสินะคะ" คุณนิภากล่าวแบบเสียดสีในขณะที่คุณภูษิตามีสีหน้าเรียบเฉย

"ใช่ค่ะ ดิฉันยืดหยุ่นให้ได้เท่านี้ แล้วแต่พวกคุณนะคะว่ายอมรับเงื่อนไขตรงนี้หรือไม่ หรือจะปล่อยให้ปัญหานี้มันล่วงเลยไปถึงปีหน้า" คุณภูษิตากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ในขณะที่สมาชิกท่านอื่นในพรรคชูนิ้วโป้งขึ้นมาเพื่อแสดงความพอใจในสิ่งที่คุณภูษิตาพูด

คุณนิภาเจ็บใจพูดไม่ออก เธอกำมือแน่น ริมฝีปากบนล่างกระทบกันเธออยากจะเถียงกลับแต่ก็คิดอะไรไม่ออก

"แบบนั้นก็ได้ครับ ผมยอมรับข้อเสนอนี้" คุณทินกรหัวหน้าพรรคไทยเป็นหนึ่งกล่าว

"งั้นผมขอจบการประชุมเท่านี้นะครับ ส่วนเรื่องการรับสมัครร้านค้า ผมจะให้เจ้าหน้าที่ด้านโซเชียลเน็ตเวิร์คเป็นฝ่ายจัดการ" ท่านประธานกล่าวจบประชุม ทุกคนต่างก็มีเสียงเฮกันออกมาเพราะดีใจที่เรื่องนี้ได้ข้อสรุปเสียที และทุกคนก็เริ่มทยอยเดินออกมาจากห้องประชุมสภา

คุณภูษิตาและคุณอาทิตย์เดินออกจากห้องประชุมพร้อมกัน เธอค่อนข้างพอใจกับข้อสรุปนี้ เพราะห่วงความปลอดภัยของตัวเองและสมาชิกท่านอื่น แต่เมื่อมีการรองรับเหตุฉุกเฉินไว้ได้ เธอจึงสบายใจขึ้น

ในขณะที่คุณภูษิตาเดินออกมายังที่รถเพื่อที่จะไปรอรับลูกจากโรงเรียน คุณอาทิตย์ได้เดินเข้ามาทักทายชวนเธอพูดคุยด้วยจากเรื่องอื่นที่นอกเหนือการทำงาน

"คุณภูษิตาครับ” คุณอาทิตย์เรียกคุณภูษิตาจากด้านหลัง “ไหนๆเรื่องร้านค้าก็ได้ข้อสรุปแล้ว เราไปรับน้องจ้ะจ๋าไปทานเสต็กด้วยกันมั้ยครับ ได้ข่าวว่ามีร้านเสต็กเปิดใหม่หน้าโรงเรียน"

คุณภูษิตาหันมาตอบคุณอาทิตย์ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มดีใจแทนลูกสาว "ได้สิคะ จ๊ะจ๋าชอบทานเสต็กมาก นางต้องดีใจแน่เลยค่ะ"

ในขณะเดียวกันนั้น คุณนิภาก็ได้เดินเข้ามามีทีท่าไม่พอใจกับข้อสรุปที่เกิดขึ้น และพูดแทรกขึ้น "แหมๆ กำลังจะไปฉลองกันเหรอคะ คงดีใจน่าดูที่ข้อเสนอในสภาจบลงด้วยดี ว่าแต่..ถ้าฉันขอร่วมแจมด้วยจะเป็นการขัดจังหวะของคู่รักรึเปล่าคะ" คุณนิภาพูดจาและทำสีหน้าประชดเพราะเธอไม่พอใจที่ทุกคนยอมรับเงื่อนไขของคุณภูษิตา

"ฉันว่าคุณควรเอาเวลานี้ไปดูแลลูกชายดีกว่ามั้ยคะ ได้ข่าวว่าโดนเรียกผู้ปกครองหลายครั้งแล้ว" คุณภูษิตาพูดด้วยใบหน้าเรียบเฉย พร้อมกับเดินไปเปิดประตูและขึ้นรถทันทีด้วยความโมโห เพราะกลัวจะทะเลาะกันบานปลายอีก

คุณภูษิตาขับรถออกมาในขณะที่คุณนิภาด่าเธอตามหลัง เธอหันมามองคุณอาทิตย์แว็บหนึ่ง และกลับไปขึ้นรถของตัวเองทันที คุณอาทิตย์ที่ยืนอยู่ตรงนั้นยังยืนอยู่ที่เดิมด้วยใบหน้าเซ็งๆ ในขณะที่รถของสมาชิกท่านอื่นๆกำลังทยอยขับออกไปจนหมด

หลังจากที่มีมติเป็นเอกฉันท์แล้วว่าจะให้มีการค้าขายเกิดหน้าสภา ทางฝั่งคุณภูษิตาที่ในตอนแรกไม่สนับสนุนให้เกิดขึ้น แต่หลังจากที่ทุกคนยอมรับเงื่อนไข เธอก็สบายใจมากขึ้นที่อย่างน้อยทางสภาสามารถยืนยันการรับรองความปลอดภัยได้ แต่ถึงอย่างนั้นเธอกลับไม่มีเวลาดูแลลูกสาวตัวน้อยยิ่งกว่าเดิมเพราะงานภาระหน้าที่ที่เพิ่มพูนขึ้น

ในเย็นวันนี้คุณภูษิตารับน้องจ้ะจ๋าลูกสาวของเธอกลับมาจากโรงเรียน

"จ้ะจ๋าลูก ไปอาบน้ำทำการบ้านแล้วเข้าห้องนอนนะ แม่ขอทำงานก่อน การบ้านไม่เยอะใช่มั้ย?"

คุณภูษิตาถามลูกสาว

"ไม่เยอะค่ะคุณแม่ งั้นหนูไปอาบน้ำก่อนนะคะ" น้องจ้ะจ๋าตอบคุณแม่ด้วยน้ำเสียงน้อยใจเล็กน้อย

"ถ้าหิวก็หาอะไรทานในตู้เย็นนะลูก" คุณภูษิตาตะโกนบอกลูกสาวในขณะที่เธอเดินหันหลังไปแล้ว

หลังจากนั้นคุณภูษิตาได้เข้าไปยังห้องทำงานของเธอเพื่อที่จะจัดการเอกสารเกี่ยวกับสิทธิการดูแลลูกที่ค้างไว้ให้เสร็จ หลังจากที่เธอได้ฟ้องหย่ากับสามี ระหว่างนั้นเธอได้เปิดฟังข่าวในช่องINW ซึ่งกำลังออกข่าวของเธออยู่

"ต้องบอกเลยนะครับว่าคุณภูษิตาเป็นสส.ที่กำลังมาแรงที่สุดในตอนนี้ เพราะเธอได้ใจพ่อค้าแม่ค้าไปเต็มๆ!!" ผู้ประกาศข่าวชายกล่าว

"ใช่แล้วล่ะค่ะ ทั้งๆที่เรื่องนี้ผ่านล่วงเลยมาเป็นเดือน แต่ข้อสรุปจบลงได้เพราะคุณภูษิตาเลย เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้เธอเลยนะคะ" ผู้ประกาศข่าวหญิงกล่าวด้วยน้ำเสียงดีใจแทนพ่อค้าแม่ค้า คุณภูษิตาที่ได้ฟังข่าวก็ถอนหายใจเบาๆ 'อะไรกัน แค่เปิดพื้นที่ให้ขายของ จะเอามาทำข่าวทำไมไร้สาระ!!' เธอพึมพำเบาๆ

แต่ไม่ว่าจะเลื่อนไปช่องไหนก็มีแต่ข่าวของเธอ อย่างกับว่าตอนนี้เธอได้กลายเป็นฮีโร่ของพ่อค้าแม่ค้าไปแล้วอย่างนั้น

ทางฝั่งคุณนิภาเมื่อได้เปิดดูข่าว เธอกลับไม่พอใจ 'ทำไมถึงยกความดีความชอบให้ยัยนั่น ทั้งๆที่ฉันเป็นคนเสนอเรื่องนี้แท้ๆ'

คุณนิภาไม่พอใจอย่างมากที่ทุกคนต่างก็ชื่นชมคุณภูษิตา เธอจึงหาวิธีต่างๆที่จะทำให้ผู้หญิงเสียชื่อเสียง แต่เธอก็พยายามมาหลายเดือนก็ยังไม่พบข้อเสียของคุณภูษิตาซักที นั่นยิ่งทำให้เธอหงุดหงิดกว่าเดิม ในขณะเดียวกันคุณนิภาได้กดโทรศัพท์ไปหาปลายสาย

"ฮัลโหล... คุณ ช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง ยัยนั่นมีอะไรคืบหน้าบ้างมั้ย เห็นหายเงียบไปเลยนะ ไม่ใช่ว่าชอบยัยนั่นไปแล้วนะ!"

ปลายสายตอบกลับพร้อมหัวเราะ

"ฮ่า ฮ่า ฮ่า คุณจะบ้าหรอ! ผมจะชอบยัยนั่นได้ไง ไม่รู้คนหรือหุ่นยนต์ สู้คุณไม่ได้ซักนิด แต่ว่าช่วงนี้ผมไม่ค่อยได้ไปไหนมาไหนกับษิตาเท่าไหร่ เพราะดูเหมือนเธอจะยุ่งๆเรื่องเอกสาร แต่จะพยายามหาละกันว่ายัยนั่นมีเรื่องอะไรเสียๆบ้าง"

"อืมๆโอเคค่ะ งั้นคุณพักผ่อนเถอะ ฉันเองก็ต้องตื่นแต่เช้าต้องไปพบคุณครูประจำชั้นของเจ้าสุริยะอีก เฮ้ออ ลูกของเรานี่ก่อเรื่องได้ทุกวี่ทุกวัน" พูดจบคุณนิภาก็ตัดสาย

จริงๆแล้วประวัติของสามีคุณนิภาไม่มีใครทราบว่าเขาคือใคร มีเพียงคุณนิภาเท่านั้นที่รู้ดี เธอให้สามีของเธอตั้งพรรคขึ้นมา จนเขาได้เป็นหัวหน้าพรรคที่คุณภูษิตาเป็นสมาชิกสส.อยู่

ซึ่งนั่นจะเป็นใครไปได้ เขาคือคุณอาทิตย์คู่จิ้นของคุณภูษิตานั่นเอง

ภาพตัดมายังมหาลัยแห่งหนึ่ง ในเช้าวันหนึ่งกำลังมีการสอบไฟนอล

"แห่กๆ จะทันมั้ยเนี่ย ไม่น่าลืมปากกาเล้ยยยชั้น" ดอกบัวรีบวิ่งสุดฤทธิ์ เพื่อจะไปเข้าห้องสอบได้ทันเวลา เธอตื่นสายทุกวันเพราะต้องไปขายขนมหวานที่ตลาดทุกวันหลังเลิกเรียนจนดึก บางวันก็โต้รุ่งกันไปเลย

"เอ้าๆ รีบๆหาที่ที่นั่งของตัวเองซะนางสาวดอกบัว มาเกือบสายตลอด" อาจารย์กล่าวต่อว่าดอกบัว

--1ชั่วโมงผ่านไป--

'ทำไมข้อสอบออกยากทุกเทอมเลยนะ ใครเป็นคนออกข้อสอบเนี่ยยย' ดอกบัวบ่นพึมพำกับตัวเอง

"พี่บัววว เป็นไงบ้าง วันนี้มาเกือบสายอีกแล้ว แต่ยังดีเนอะที่มาทัน ฮ่าๆๆ" ขวัญ รุ่นน้องที่เรียนด้วยกันเข้ามาแซว

"เดี๋ยวเถอะยัยขวัญ ฉันยิ่งเครียดๆอยู่ ทำข้อสอบไม่ได้ซักข้อ!" ดอกบัวตอบรุ่นน้องด้วยน้ำเสียงโมโหปนเสียใจ

"โถ่ จะไม่ยากได้ไงล่ะพี่บัว พี่ดันขายของในตลาดไม่รู้กี่ตลาดต่อวัน หามรุ่งหามค่ำขนาดนั้น หนูก็เตือนแล้วเตือนอีกว่าจะสอบไฟนอลแล้วให้พักก่อน ก็ไม่ฟัง หนูอยากให้พี่บัวจบพร้อมพวกหนูนะ" ขวัญพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน เพราะเธอเป็นห่วงดอกบัวที่ไม่รู้ว่าเรียนจบเมื่อไหร่ ขายของหาเงินมาได้แต่ละวันก็ต้องส่งน้องที่บ้านเรียน แต่เธอก็นับถือในตัวรุ่นพี่คนนี้ ที่ถึงแม้ทางบ้านจะยากจน เธอก็ยังไม่ละทิ้งความฝันของเธอที่อยากจะเรียนให้จบป.ตรี

"เห้ยยยย!! พี่บัวๆๆๆ" สปาย รุ่นน้องอีกคนที่เรียนด้วยกันรีบวิ่งเข้ามาหาอย่างกับเจอล๊อตเตอรี่รางวัลที่1ตกอยู่

"อะไรอีกล่ะ จะมาแขวะอะไรฉันอีกฮะ!" ดอกบัวตอบ

"พี่ดูข่าวยัง หน้าสภาเค้าเปิดให้แม่ค้าขายของได้แล้วนะ" สปายรีบยื่นโทรศัพท์ให้ดอกบัวดู ดอกบัวสตั๊นไป10วิ เธอไม่คิดว่าในที่สุดพื้นที่ตรงนี้ก็เปิดให้ขายของได้ซักหลังจากที่รอมานาน เธอเข้าไปอ่านรายละเอียด ถึงกับต้องตกใจ พื้นที่ตรงนี้ไม่มีค่าเช่า!! รับแค่5ร้าน!!

"เห้ย! แบบนี้ต้องรีบแล้ว ขอบใจมากนะสปาย แล้วแกรู้มั้ยต้องไปสมัครที่ไหน"

"ไปยื่นเอกสารพร้อมกรอกข้อมูลด้านหน้าสภาได้เลยพี่ สปายเห็นมีคนไปยื่นเยอะมาก แต่ก็แล้วแต่คนที่จัดการเรื่องนี้ว่าเขาจะเลือกร้านค้าไหนมาลง"

สปายตอบ

"โอเค! วันนี่น่าจะยังทัน งั้นฉันไปละ ขอบใจมากนะ" ดอกบัวตอบ และกำลังจะลุกขึ้นเดินออกจากห้องไป แต่ขวัญรั้งไว้เสียก่อน

"เดี๋ยวดิพี่บัว แล้วที่นัดติวกันล่ะ"

"เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะ ยังไงสอบไฟนอลก็ผ่านมาแล้ว เดี๋ยวรอลงเรียนใหม่ปีหน้าก็ได้ ไปก่อนนะทุกคนน!" ดอกบัวรีบตอบและรีบมุ่งหน้าไปยังสภาทันที

ในขณะที่เธอเดินออกมาหน้ามหาลัยตรงป้ายรถเมล์ได้ซักระยะ เธอได้เดินชนเด็กคนนึงเข้าอย่างจัง!

"โอ๊ยย!!" เด็กน้อยคนนั้นอุทานด้วยความเจ็บ

เมื่อเด็กผู้หญิงคนนั้นโดนดอกบัววิ่งชนเข้าอย่างจัง จนล้มลงไปนอนกับพื้น เธอร้องไห้เสียงดังออกมาด้วยมาความเจ็บปวด ตามข้อศอกมีแผลและเลือดไหล

ดอกบัวทำอะไรไม่ถูก เธอเองก็รีบมาก แต่ก็สู้สายตาคนแถวนั้นไม่ไหว เหมือนกับว่าเธอต้องรับผิดชอบเด็กคนนี้

“เห้ยหนู! มาเดินอยู่ตรงนี้ได้ไง พ่อแม่อยู่ไหน” ดอกบัวเอ่ยถาม

เด็กผู้หญิงยังนั่งร้องไห้อยู่กับพื้น มือเธอกุมแผลไว้แน่นไม่พูดจาซักคำเพราะความเจ็บ “ฮืออๆๆ หนูเจ็บ ฮือๆๆ”

ดอกบัวไม่มีทางเลือก สายตาของคนแถวนั้นกดดันเธอเหลือเกิน เธอจึงรีบพาเด็กคนนั้นไปโรงพยาบาล “ไป เดี๋ยวพี่พาไปทำแผลนะ แล้วไปหาพ่อแม่กัน”

เด็กคนนั้นเงยหน้าขึ้นมองดอกบัว และยอมไปแต่โดยดี

----ขณะนั่งแท็กซี่-----

เด็กผู้หญิงเริ่มหยุดร้องไห้แล้ว ดอกบัวเห็นอย่างนั้นจึงชวนพูดคุย “พี่ชื่อบัวนะ พี่ขอโทษนะ พี่ผิดเองที่รีบจนไม่ทันได้ดูทาง เดี๋ยวทำแผลเสร็จ พี่จะพาไปทานไอศครีมนะ” ดอกบัวพูดด้วยน้ำเสียงเอ็นดูพลางลูบหัวเธอไปด้วย

เด็กผู้หญิงเมื่อได้ยินอย่างนั้น เธอจึงยิ้มออกมาด้วยความดีใจ “จริงๆนะคะ หนูอยากกินไอติมๆๆ เย้ๆๆได้กินไอติมแล้ววว”

ดอกบัวเห็นท่าทีเด็กผู้หญิงจึงนึกแปลกใจ ‘แค่ไอติมทำไมต้องดีใจขนาดนี้เนี่ย’ เธอพึมพำในใจ

“แหม อย่างกับไม่เคยกินเลยน๊าเด็กน้อย”ดอกบัวแซว

เด็กผู้หญิงหันมาตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเพราะกำลังดีใจที่จะได้ทานไอศครีม “ไม่เคยเลยค่ะ แม่หนูทำงานทั้งวัน ตั้งแต่หนูเรียนป.1หนูก็ต้องกลับบ้านเองตลอด แม่บอกว่าของหวานๆจะทำให้เราตายเร็วขึ้น”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า คิดได้ไงเนี่ย”ดอกบัวเผลอหัวเราะและอุทานออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ใช่ค่ะ แต่หนูไม่เชื่อหร๊อก เห็นเพื่อนๆกินกันออกจะเยอะแยะไป แต่ไม่เห็นมีใครตายเลย แต่..หนูก็ไม่กล้าขัดคำสั่งแม่อยู่ดี”เด็กน้อยตอบเสียงใส

ดอกบัวลูบหัวเด็กน้อยอีกครั้งด้วยความเอ็นดู “แล้วพ่อหนูล่ะ พ่อให้หนูกินไอติมได้รึเปล่า” ดอกบัวถามด้วยความสงสัย

เด็กน้อยทำหน้าหงอยและตอบด้วยความไร้เดียงสาว่า “พ่อไปอยู่บ้านที่อื่นแล้วค่ะพ่อไม่ได้อยู่กับแม่แล้ว”

ดอกบัวได้ยินอย่างนั้นก็เข้าใจทันที เธอจึงเปลี่ยนเรื่อง “ไม่เป็นไรนะ ถ้าพี่เจอแม่หนู พี่จะขอให้ ว่าจะพาหนูไปกินไอติมทุกเย็นเลย ดีมั้ย?”

เด็กน้อยยิ้มระรื่น “จริงๆนะคะพี่ดอกบัว เย้ๆๆๆ”

----เมื่อถึงโรงพยาบาล----

ดอกบัวพาเด็กน้อยเข้าไปทำแผล เธอไม่ร้องซักแอะ เพราะดอกบัวจับมือเธอไว้แน่น เด็กน้อยรู้สึกเหมือนไม่เคยได้รับความอบอุ่นแบบนี้จากใครมาก่อนไม่ว่าจะจากพ่อหรือแม่ของเธอ

เมื่อทำแผลเสร็จดอกบัวก็ได้พาเด็กน้อยไปยังร้านไอศครีมที่อยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลมากนัก

เมื่อทั้งสองเลือกโต๊ะได้พร้อมกับสั่งไอศครีมเรียบร้อยแล้ว ระหว่างรอนั้น ดอกบัวก็ได้ถามขึ้น “เอ้อ พี่ยังไม่รู้จักชื่อหนูเลย”

เด็กน้อยตอบ “หนูชื่อจ้ะจ๋าค่ะ”

“โอเคจ่ะน้องจ๊ะจ๋า งั้นต่อจากวันนี้เราเป็นเพื่อนกันนะ” ดอกบัวตอบพร้อมยื่นนิ้วก้อยออกมา คล้ายๆการสัญญาว่าจะเป็นเพื่อนกัน

น้องจ๊ะจ๋าเกี่ยวก้อยกับดอกบัวด้วยความดีใจที่เธอกำลังจะได้มีเพื่อน แถมจะได้ทานไอศครีมทุกวันอีกด้วย

เมื่อทั้งคู่ทานไอศครีมกันเสร็จในเวลา 19.20น. ดอกบัวจึงไปส่งน้องจ้ะจ๋ากลับบ้าน “เดี๋ยวพี่นั่งแท๊กซี่ไปส่งที่บ้านนะเพราะนี่ก็ค่ำแล้วมันอันตราย” เด็กน้อยพยักหน้าพร้อมจูงมือดอกบัวขึ้นรถแท๊กซี่

เมื่อทั้งสองมาถึงหน้าบ้านน้องจ้ะจ๋า

‘โอ้โห! บ้านหรือคฤหาสเนี่ย อย่างกะอยู่กันเป็นสิบคน’ ดอกบัวอุทานในใจด้วยความตกใจ

“ถึงแล้วค่ะบ้านหนู” จ้ะจ๋าบอกดอกบัวพร้อมกับเขย่งเท่าขึ้นไปกดกริ่งหน้าบ้านเพื่อให้คุณแม่มาเปิดประตูให้

แม่ของจ๊ะจ๋าก็คือคุณภูษิตานั่นเอง เธอได้ยินเสียงกริ่งหน้าบ้านก็รีบเดินออกมาด้วยความร้อนรน ผมก็ไม่ได้หวี หน้าไม่ได้แต่ง ดอกบัวจึงจำเธอไม่ได้ว่าเธอคือสส.ยอดนิยมที่สุดในตอนนี้ “จ้ะจ๋า!ไปไหนมาห้ะ แม่เป็นห่วงรู้มั้ย ทำไมถึงเวลาแล้วไม่กลับบ้าน ถ้าเป็นแบบนี้พรุ่งนี้ไม่ต้องกินข้าวเช้าไปนะ แม่จะลงโทษ!!!”

น้องจ้ะจ๋าก้มหน้าลง เสียใจที่โดนคุณแม่ของเธอต่อว่า

“แล้วนี่แขนไปโดนอะไรมา ทำไมไม่รู้จักดูแลตัวเอง แม่บอกแล้วใช่มั้ย!!!” คุณภูษิตายังตะคอกใส่ลูกสาวเธอไม่หยุดหย่อน ดอกบัวทนฟังไม่ไหวจึงต้องพูดแทรกขึ้นมา

“ใจเย็นๆก่อนนะคะคุณ น้องยืนรอรถเมล์อยู่ แล้วหนูเดินไปชนเข้าค่ะ หนูไม่ระวังเอง ขอโทษด้วยนะคะ แล้วที่น้องมาถึงบ้านค่ำเพราะพาน้องไปทานไอศครีมอยู่ค่ะ” ดอกบัวพูดด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด พร้อมกับยกมือขึ้นไหว้เพื่อขอโทษ

คุณภูษิตาได้ยินแบบนั้นเธอก็ค่อยๆใจเย็นลง เธอเหลือบไปเห็นผ้าปิดแผลที่ข้อศอกของลูกสาว เธอจึงคิดว่าเด็กคนนี้ไม่ไดเเลวร้ายอะไร แล้วยังพาจ๊ะจ๋าไปทำแผลอีก ถ้าเป็นคนอื่นคงพาไปไหนต่อไหนแล้ว

“อืมๆ ชั่งมันเถอะ ยังไงก็ขอบใจเธอมากนะ ที่พาจ้ะจ๋ามาส่งบ้าน” คุณภูษิตาพูดขอบคุณดอกบัวด้วยความรู้สึกขอบคุณจริงๆ ถึงแม้น้ำเสียงเธอจะตรงกันข้าม เพราะยังปรับอารมณ์ไม่ทัน

ดอกบัวยิ้มรับคำขอบคุณ และตอบไปว่า “ไม่เป็นไรเลยค่ะ งั้นหนูขอตัวกลับก่อนนะคะนี่ก็ค่ำมากแล้ว” ดอกบัวทำท่าจะเดินออกมาจากตรงนั้น แต่คุณภูษิตารั้งไว้เสียก่อน

“รอแปปนึงนะ เดี๋ยวฉันไปส่งเอง เข้ามาเล่นกับจ้ะจ๋าก่อนก็ได้นะ”

ดอกบัวกำลังจะปฏิเสธด้วยความเกรงใจ แต่คุณภูษิตาพูดจบไม่ทันไรก็เดินหันหลังกลับเข้าบ้านเพื่อไปแต่งตัวทันที

น้องจ้ะจ๋าที่หน้าเศร้าจากการโดนคุณแม่ต่อว่า เธอยิ้มด้วยความดีใจและจูงมือพาดอกบัวเข้าบ้าน

เมื่อดอกบัวเข้ามาในบ้านของน้องจ้ะจ๋า เธอถึงกับต้องตาลุกวาว ‘อะไรจะใหญ่โตขนาดนี้ อยู่กันกี่คนเนี่ยอยากรู้จริงๆ แต่เค้าก็เลิกกับสามีแล้วหนิ คงมีใหม่แล้วมั้ง’ ดอกบัวแอบนินทาในใจ

เมื่อดอกบัวนั่งเล่นกับน้องจ้ะจ๋าได้ซักพัก คุณภูษิตาก็เดินลงมาจากห้องของเธอด้วยใบหน้าที่สดใสและเสื้อผ้าที่ดูสง่างามเหมือนตอนที่ดอกบัวเคยเห็นในจอทีวี

ดอกบัวถึงกับต้องตะลึงอีกครั้ง เธอจำได้ในทันที “คุณภูษิตา!!! ขวัญใจชาวค้าขายนี่!!!”

“ก็ใช่น่ะสิ ฉันเอง ในบ้านนี้ไม่มีใครแล้วนะ”คุณภูษิตาตอบด้วยน้ำเสียงแปลกใจที่ดอกบัวพึ่งจะจำเธอได้

“ขอโทษทีค่ะ หนูพึ่งจำคุณได้ พอแต่งหน้าแล้วดูเป็นอีกคนไปเลย” ดอกบัวตอบและยิ้มแห้งๆเพราะอายที่จำสส.ขวัญใจแม่ค้าไม่ได้ในครั้งแรก

“ว่าแต่..เธอไปตั้งฉายานี้ให้ฉันมาจากไหน?” คุณภูษิตาถามด้วยความแปลกใจ

“ก็จากพ่อค้าแม่ค้าที่ขายของด้วยกันในตลาดน่ะค่ะ” ดอกบัวตอบ พร้อมกับสะดุ้งขึ้นมาเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออก

“จริงด้วย! ลืมไปเลยว่าวันนี้กำลังจะลงทะเบียนร้านค้าที่สภา โอ้ยยยยย” ดอกบัวเผลอพูดออกมาเสียงดังเพราะเธอลืมไปซะสนิทว่ากำลังจะทำอะไร

คุณภูษิตาได้ยินแบบนั้นเธอจึงยิ้มเบาๆกับความเซ่อซ่าของดอกบัว “ไม่เป็นไรหรอก ยังมีพรุ่งนี้อีกวันนะวันสุดท้ายแล้ว”

“ดีจังเลยค่ะ ค่อยโล่งใจหน่อย” ดอกบัวตอบด้วยความโล่งใจพร้อมปาดเหงื่อที่กำลังไหลจากความตกใจ

“งั้นเราไปกันเถอะ” คุณภูษิตาก็ได้ชวนดอกบัวไปที่รถเพื่อจะพาเธอไปส่งบ้าน และได้หันไปบอกลูกสาวตัวน้อยของเธอ

“จ้ะจ๋าขึ้นไปอาบน้ำนอนนะลูก เดี๋ยวแม่กลับมา”

“ไม่เอาๆๆ หนูจะไปด้วย” จ้ะจ๋างอแงยกใหญ่

“ให้น้องไปด้วยเถอะค่ะ หอพักยู่ห่างจากนี่ไม่ไกลมาก อีกอย่างน้องอยู่บ้านคนเดียวมันอันตรายนะคะ” ดอกบัวตอบด้วยความเป็นห่วงเด็กน้อย

คุณภูษิตาลืมนึกถึงข้อนี้ไปเลย เพราะถ้าเป็นแต่ก่อน หากเธอไม่อยู่บ้านก็จะมีสามีคอยอยู่เป็นเพื่อนลูกสาว แต่ตอนนี้เธออยู่ตัวคนเดียวแล้ว คนดูแลบ้านหรือคนทำความสะอาดเธอก็จ้างมาเป็นครั้งคราวเท่านั้น

เธอครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งและได้ตอบดอกบัวไปว่า “โอเค ถ้าไม่ไกลมากงั้นพาจ้ะจ๋าไปด้วยละกัน”

“เย้ๆๆ ไปกันเถอะพี่บัว” น้องจ้ะจ๋าดีใจพร้อมจูงมือดอกบัวไปขึ้นรถของคุณภูษิตา

เมื่อทั้งสองเดินหันหลังไป คุณภูษิตาเห็นภาพนั้นก็อดยิ้มไม่ได้ เธอไม่เคยเห็นลูกสาวยิ้มหน้าบานแบบนี้มาก่อน เธอฉุกคิดขึ้นมาว่าที่ผ่านมาเธอต้องปล่อยให้ลูกสาวตัวน้อยโดดเดี่ยวแค่ไหน แค่ไอศครีมยังไม่มีเวลาพาไปทาน และยังตั้งกฏข้อห้ามสารพัดอย่าง

“ไปกันเถอะค่ะคุณแม่” น้องจ้ะจ๋าหันมาตะโกนบอกคุณแม่ที่กำลังยืนเหม่ออยู่

หลังจากนั้นทั้งสามคนก็ขึ้นรถกันเพื่อที่จะไปส่งดอกบัว

…….โปรดติดตามตอนต่อไป………

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา