ภูผาคอยตะวัน : My Sweet Sunshine [แต่จบแล้ว]

-

เขียนโดย พร่างพระพาย

วันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2563 เวลา 20.00 น.

  15 ตอน
  0 วิจารณ์
  10.02K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2563 05.20 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

บทนำ

อารัมภบท

"ตะวัน..นี่!! ...เราอยู่ทางนี้!"

เสียงร้องบอกกล่าวผ่านทางมือถือเป็นของชายหนุ่มหน้าสวยสะอาดสะอ้าน เกินไปกว่าที่ผู้ชายส่วนใหญ่ทั่วไปจะใส่ใจในเรื่องนี้ แถมผู้นัดแนะทักทายยังโบกไม้โบกมือเพื่อส่งสัญญาณบอกตำแหน่งที่เขายืนอยู่ให้หญิงสาวที่แต่งกายในชุดเดินทางแบบเรียบหรูสีน้ำเงินเข้มเกือบดำ ที่ขับผิวผ่องให้ยิ่งขาวใสละออตาและยังช่วยส่งให้ร่างสูงระหงแลดูขรึม สง่า โดดเด่น น่ามองยิ่งขึ้นได้ในท่ามกลางความสับสนขวักไขว่แกมวุ่นวายขนัดแน่นของผู้เดินทาง ทั้งกรุ๊ฟทัวร์คนไทยและชาวต่างชาติ ซึ่งอยู่ภายในอาคารชั้นผู้โดยสารขาเข้าของสนามบินนานาชาติกลางกรุงฯ ทำให้เจ้าของร่างที่กำลังลากกระเป๋าเดินทางใบย่อมจะเดินไปต่อคิวรอตรวจเอกสารต้องชะงักฝีเท้าที่ก้าวเดินด้วยความมั่นใจ ก่อนเจ้าของใบหน้าสวยหวานจะหันมาโบกมือตอบกลับพร้อมแย้มยิ้มสดใสจนนัยน์ตาหยี บ่งบอกถึงความดีใจที่ไม่แพ้กันนัก

ร้อยตะวัน ...

หญิงสาววัยยี่สิบตอนปลาย เจ้าของร่างสูงบางระหงและผมหยิกสลวยเป็นลอน สีอมน้ำตาลไหม้โดยธรรมชาติ ที่มิได้ดำขลับเข้มเฉกเช่นหญิงไทยทั่วไป ถูกปล่อยสยายเพื่อลดความเคร่งขรึมให้กับใบหน้าที่มองดูเผิน ๆ แล้วมักเย็นชาแกมเหย่อหยิ่งอยู่ในตัวเสมอ ส่วนผิวอันละเอียดอ่อนของหญิงสาวขาวจัด บ่งฟ้องถึงระยะเวลาการอาศัยอยู่ต่างบ้านต่างแดนได้เป็นอย่างดี

รอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากอิ่มเต็มได้รูปเรียวสวยของผู้ที่เพิ่งก้าวพ้นช่องตรวจคนเข้าเมืองอีกครั้ง ซึ่งสุดท้ายเสียงหวานใสก็ยังไม่ลืมที่จะกล่าวขอบคุณอย่างสุภาพ ให้กับเจ้าพนักงานสาวที่ทำหน้าที่ตรวจเอกสารให้เธอเป็นที่เรียบร้อย ก่อนจะเร่งจังหวะการก้าวเดินให้เร็วขึ้นเพื่อตรงไปยังชายหนุ่มหล่อสะอ้าน ร่างสูงบาง ผู้ที่มายืนรอรับด้วยรอยยิ้มระบายบนใบหน้าสดใส

"ตะวัน....เราคิดถึงจังเลย"

ชายหนุ่มฉวยโอกาสดึงสาวสวยร่างสูงเข้ามากอด ... ด้วยความสนิทสนม คิดถึง

"ดีใจอะไรนักหนาอะ!" เสียงต่อว่าราวหมั่นไส้ดังอู้อี้ ปกปิดรอยชื้นที่ปลายตา 

"กวินเพิ่งบินไปหาเราเมื่อต้นเดือนที่แล้วเองนะ ... หลอกกอดเราป่ะเนี่ย!"

เสียงบ่นปนหัวเราะ ๆ ใส ๆ แต่อีกฝ่ายสนใจที่ไหนกัน มีแต่จะกลับแกล้งกดแรงกอดให้แน่นขึ้นอีกเพื่อเป็นการแก้แค้นเสียด้วยซ้ำ

"ชิ! ก็ต้องเสี่ยงเอาสิ!!" ตอบรับหน้าตาเฉย "ก็เราดีใจนี่นา"

ประโยคถัดมาทำเสียงอ่อนเสียงหวาน แต่ดวงตาบนใบหน้าขาวกลับพราวระยับ

"แหมะ! .. หวงตัวจนคนเค้าร่ำลือไกลมาจากต่างแดนซะขนาดนั้น .. คิดหรือว่าเราจะไม่ได้ยินกิติศัพท์ความโหดของสาวไทยมือตบ ที่ตบหนุ่มฝรั่งจนหน้าหันในงานพรอมของมหาลัยที่ตะวันเรียนอยู่น่ะ .. ไม่รู้หรือไงว่าเราแอบวางสายข่าวไว้ทั่วมั่วไปหมดแหละ ถามว่า จะหวงตัวไว้ให้คุณหลวงที่ไหนหรือเปล่านี่"

ตอนท้ายเพื่อนชายคงอดไม่ได้ ที่จะหยอกย้ำความเป็นคนหัวโบราณของเพื่อนรัก เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายนั้นตั้งมั่นแค่ไหนที่จะไม่ยอมปล่อยตัวไปตามสมัย แม้ขนาดที่ต้องไปอยู่ในดินแดนที่ขึ้นชื่อในความอิสระเสรีขนาดนั้นก็ตาม ก่อนที่มือขาวเรียวสวยจะเอื้อมมาคว้ากระเป๋าเดินทางติดล้อลากได้ของเพื่อนสาว เพื่อพาเดินเคียงออกไปด้วยกัน

"ตั้งตัวเป็นเจ้ากรมการข่าวตลอดเลยสิ ขอถามบ้างว่า ทำไมไม่ไปเป็นนักข่าวให้รู้แล้วรู้รอดไปน่ะ จะมาเปิดบริษัทฯออกแบบตกแต่งภายในให้เสียดายศักยภาพที่มีทำไมกันล่ะนี่" หญิงสาวส่ายหัว แกล้งทำเสียงจิ๊กจั๊กประกอบ

"ก็เรากลัวว่าจะตกเป็นข่าวเสียเองมากกว่าน่ะสิ ข่าวฉาวของเรามันมีเยอะแยะเสียด้วย" คนตอบหันมาหลิ่วตาใส่ก่อนวกกลับมาตั้งกระทู้ใส่ที่เพื่อนสาวอีก "ว่าแต่เรา .. ตะวันเองก็เหอะ ปิดเทอมก็ไม่ยอมกลับมาบ้าน เอาแต่เที่ยวตะลอนดูไร่ บุกสวนของฝรั่งปรุไปจนทั่วยุโรปเลยไหมนี่ เพราะพอปีท้าย ๆ ก็อ้างเอาอีกว่าต้องเรียนหนัก จบแล้วก็ดันอ้างได้ว่าเหนื่อย ขออยู่เที่ยวก่อน นี่ถ้าเรากับคุณพ่อคุณแม่ของตะวันไม่บินไปหา จ้างให้ก็ไม่มีทางเห็นหน้าเห็นตากันสินะ" บ่นได้อีกยาวเหยียด

"ที่นี่บ้านเรานะ .. ยังไรเสียเราก็ต้องกลับมาซิ"

คนตอบที่คราวนี้ใช้น้ำเสียงอ่อนโยนจริงจังขึ้น 

"ครอบครัวที่รักของเรา ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงส่วนใหญ่ของเราก็อยู่นี่ .. เมืองฝรั่งในฝันอะไรนั่นน่ะ ต่อให้เราไปอยู่มานานสักแค่ไหน แต่พอเรากลับมาที่นี่แล้ว มันก็กลายเป็นแค่เรื่องเล่าในเงาของอดีตอยู่ดี .. เป็นเพียง..ลมปาก ที่ใครหรือเราเองก็จับต้องมันไม่ได้อยู่ดี ฉะนั้นก่อนตื่นจากความฝัน เราเก๊าะเลยต้องรีบโกยรีบเก็บกลับไปใส่กล่องแพนโดร่าซะให้เต็มที่เลยไง"

ดวงตาคมหวาน ... ที่มองเพื่อนผ่านขนตางอนยาวราวตากวางมีรอยยิ้มระยับแฝงอยู่ในรอยเงาของสาวน้อยที่ขี้เล่น เฉกเช่นคนเก่าในวัยเยาว์

"รูปถ่ายเซลฟี่ไง .. บอกให้รู้ได้ว่าเราไปเหยียบมันมาแล้วนั่นไง" ยังจะสนุกเถียงเพื่อนได้

"ก็แค่จุดสีที่มาอยู่รวมกันจนเป็นภาพ ซึ่งนั้นมันก็คือภาพของอดีตเก่า ๆ ของเราอยู่ดี จะมีใครสักกี่คนกันที่สามารถมารับรู้ลึกซึ้งร่วมไปกับมัน .. อย่างมากก็แค่ภาพ ๆ หนึ่ง..ที่ถ้าสวย คนมองอาจประทับใจนานเพียงแค่เศษเสี้ยววินาทีเดียวก็ได้ .. แต่ถ้าไม่สวยคงแอบนึกด่าเราในใจ .. เสียสายตา เปลืองไฟเปลืองเน็ต หรือซวยอะไรแต่เช้าที่ต้องมาเห็นอะไรแบบนี้ บางภาพก็หลอนตา หรือดูน่าขบขันกันไปนานแสนนาน"

"เขาถึงมีแอพแต่งภาพมาช่วยแล้วไง" ยังจะเย้า

หากเพื่อนสาวผู้ที่นึกถึงทฤษฏี 'ภาพไม่ตรงปก' จนบางประเทศถึงกับเกิดคดีทำร้ายตบตีกันในวันที่นัดเจอตัวจริงแล้วอีกฝ่ายผิดหวังรุนแรง เธอก็แอบอดขำขันกับข่าวนี้ไม่ได้หรอก .. ส่วนอีกกรณีก็แบบพิสดาร ยืดหน้า ดึงแขนต่อขา ทำอกจนฟู ๆ ที่มองมาจากดาวพลูโตก็ยังเห็น จนกลายจะไม่ใช่มนุษย์ไปแล้ว

"ใช่ .. แอพช่วยคนมีฝีมือแต่งภาพเก่ง ๆ ได้เยอะเลย" 

คำตอบขัดกับแววตา ทำไมเพื่อนสนิทจะไม่รู้ความหมายนี้ดีล่ะ

"เขาว่าเถียงผู้หญิงอย่างไรก็แพ้ เอาเถอะ เชื่อว่าคงเรียนหนักแหง ๆ ถึงขนาดเปรียบเรื่องเล่นเรื่องเรียนให้เป็นฝันร้ายที่ต้องรีบเก็บลงกล่องแพนโดร่าซะขนาดนั้นน่ะ ..ว่าแต่ว่า.. ปิดกล่องไว้แน่นเลยหรือเปล่าล่ะ?" ชายหนุ่มขำขันคนช่างเปรียบเทียบ

"ไม่แน่นหร๊อก!...." ตอบหน้าตาเฉย

"อ้าว?..." เพื่อนอุทาน …ทำหน้าสงสัย

"เรากลัวกวินจะหายใจไม่ออกน่ะสิ" ลากเสียงได้อ่อนโยนสุด ๆ

"เดี๋ยวปั๊ด!! o///o ..แจกมะเหงกเลยนิ..มาว่าเราเป็นฝันร้ายได้ไง?" 

จากเพื่อน 'รัก' จะกลายมาเป็นเพื่อน...'รบ' กันล่ะคราวนี้ หากแต่พอดีที่อีกฝ่ายรีบลูบแขนปลอบใจเสียก่อน

"โอ๋ ๆ ... ไม่โกรธเน๊อะ...ไม่โกรธ .. เป่าเพี้ยง!......หาย!" ^^

"เอ๊า!...เราแค่งอนเองนะ ไม่ได้หกขะล้มเข่าแตกแบบตอนเด็ก ๆ" กวินแก้ให้

จากจะแค่แกล้งงอน จึงเปลี่ยนเป็นขำกับกิริยาคนตัวบางกว่าที่ชอบทำเวลาเขาเริ่มจะงอนใส่ … ซึ่งอันที่จริงเขาไม่เคยจะงอนเธอได้สำเร็จเลยสักครั้ง เพราะให้สุดท้ายจริง ๆ แล้ว คนที่พลิกสถานการณ์กลับมาโกรธเขาได้ก่อนก็มักจะเป็นคนตรงหน้าเขานี้ ...ทุกที!!..

"เรารับกระเป๋าที่เหลือมาให้ครบแล้ว ไปกันเถอะ ป่านนี้คุณพ่อคุณแม่ของตะวันคงรอกันแย่แล้ว เมื่อกี้ก็โทรฯมาสั่งหนักสั่งหนาแล้วว่า ..ห้าม!.. พากันเถลไถล"  

ผู้กลับมาจากแดนไกลไม่ได้ตอบอะไรอีก เพียงแต่ยิ้มรับ ก่อนจะแตะแขนเดินตามร่างสูงขาวสะโอดสะอง..

สำหรับใครที่มองผ่านตามายังคนทั้งคู่ ส่วนใหญ่ก็มักคิดเช่นเดียวกันเสมอว่า 'กิ่งทองใบหยก' เชียวนะนี่ .. คู่นี้

"แก้มนุ่ม เธอเสียไป...เกือบจะสองปีแล้ว..."

จู่ ๆ กวินก็เอ่ยโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย แบบที่เจ้าตัวแทบจะกัดลิ้นตัวเองให้ขาดเสียในทันทีที่พูดจบ เพราะไม่เข้าใจตัวเองเอาเสียจริง ๆ ว่าอะไรกันนะที่มาดลใจให้เขาพูดมันออกมาทำบ้าอะไร!! ... รีบปรายตาไปมองก็พบเพียงสายตานิ่งตรงของคนที่นั่งข้าง ๆ ที่ยังคงทอดสายตามองออกไปภายนอกรถ มองเผิน ๆ ก็เหมือนคนที่กำลังเฝ้ามองดูสิ่งที่แปลกตา ตามประสาผู้ที่ทิ้งบ้านไปนานปี

"น่าสงสารนะ อายุยังน้อยอยู่เลย..." 

ไม่มีร่องรอยใด ๆ ให้กวินจับความรู้สึกได้หรอก ... แต่เขาก็ยังอยากกัดลิ้นตัวเองอยู่ดี ... ดังนั้น ความเงียบชวนอึดอัดจึงเกิดกับเขาเอง ทั้งที่เจ้าตัวก็อยากจะพยายามหาเรื่องอื่นคุยอย่างเร่งด่วน

"เมืองไทยเปลี่ยนไปเยอะเหมือนกันนะนี่" 

ถ้อยคำที่ตอบกลับมานิ่งใส ... ไม่ได้บ่งบอกความรู้สึกใดอีกเช่นเคย ราวกับรับรู้ความอึดอัดใจของเพื่อนได้ดีเช่นกัน

"ฮือ ... แต่ที่ไม่เปลี่ยนก็คือ ... ฝนตก น้ำท่วม รถติด อ้อ...แล้วก็อากาศร๊อน...ร้อนที่สุดในฤดูหนาว" เขาเสริมความจริง

"อย่างไร ร้อนก็ดีกว่าหนาว เพราะยังสามารถไปไหนต่อไหนได้ เมืองนอกน่ะ .. ถ้าหิมะตกหนักมาก ๆ จะไม่สามารถออกไปไหนได้เลย เพราะถ้าหิมะท่วมสูงมากสูงน้อย เราก็ยังต้องรอโกยมันออกก่อนอย่างเดียว ..คงต้องยอมรับนะ.. ที่สภาพอากาศเค้ารุนแรงขึ้นน่ะก็เพราะพวกเราเองนั่นแหละ" ดูท่าทางคนพูดจะเริ่มปลง ๆ

"...ปล่อยไปเถอะนะ ปล่อยไป 

อะไรที่อยากอยากจะเกิด .. ก็คงต้องให้มันเกิดเถิดไป

อนาคต..ไม่ใช่สิ่งที่เราจะมองเห็นมันได้ซะเมื่อไร

อย่างนั้นมันก็คงต้องปล่อยให้เกิดเถิดไป..." 

เขาร้องเป็นทำนอง 'Bossa' ให้ฟังซะเลย ก่อนจะถอนหายใจยาว 

"มนุษย์เราเดี๋ยวนี้น่าสงสารน่ะ .. วิ่งวนกันไป ไหลตามกันไปราวกับสายน้ำเชี่ยวแห่งกระแสธารนิยมกันหมดแล้ว ..มนุษย์กลัวตกยุคตกสมัย.. ทำอะไรก็แค่ ‘ตามกระแส’ .. พริบตาเดียว เดี๋ยวก็มีกระแสใหม่เข้ามา ดูเถอะ ก่อนหน้านั่นร้อนตัวโฮละเลกันแทบจะเป็นจะตายเรื่องโลกร้อน .. มาวันนี้หรือ" คนพูดราวทำเสียง 'หึ' ในลำคอ "กลับวิ่งแล่นไล่ตามเรื่องกิน เรื่องเที่ยว เรื่องดาราเตียงหักสนุกสนานลั่นโซเชียลกันไป ... ส่วนเรื่องเก่าเรื่องเดิมน่ะหรือ? ..เก๊าะ.. ไม่รู้สินะ!... ถึงไหนแล้วอะ?... อะไรนะ? เฮ้ย! ..เด๋วดิ!!.. อย่าเพิ่งกิน!! ขอ up รูปลงเฟซ ไอจีแพร่บนุง นะฮ๊าฟฟฟ" 

ประโยคสุดท้ายเธอมองเห็นภาพเชฟชาวฝรั่งเศสพร้อมผ้ากันเปื้อน ที่ออกมายืนส่ายหัวด๊อกแด๊กขัดใจใน 'มโน' ความคิดได้แทบจะในทันที

'อาหารบางอย่างมันต้องกินทันทีที่เสริฟ ไม่งั้นรสชาติอาจเพี้ยนไป ถึงแม้จะเพียงเล็กน้อย..คนลิ้นไม่ถึง..ย่อมไม่มีวันสังเกตได้ แต่ความตั้งใจของคนที่บรรจงทำมันล่ะ? คุณภาพของวัตถุดิบที่ตั้งใจและอุตส่าห์สรรหาเลือกเฟ้นมาล่ะ? ผมกำลังทำอาหารที่อร่อยที่สุด ..ดีที่สุด.. ให้พวกคุณกินอยู่นะ!!'

"อ้อ! .. ต้องรวมถึงคำศัพท์ใหม่ ๆ เช่น 'แถ แชร์ ไลค์ .. มโน' ด้วยนะ ที่ตะวันต้องตามให้ทันน่ะ ไม่งั้นคงได้กลายเป็น 'มนุษย์ป้า' ไปโดยไม่รู้ตัว" 

กวินเริ่มรวบลัด.. เปิดคอร์สติวเข้มให้เพื่อนรักกันละ!

"ทันสิ! ทำไมจะไม่ทัน! ไม่รู้หรอกหรือว่าเราก็เปิดอินเทอร์เน็ตเป็น .. แฟะบุ๊คหรือเฟคบุ๊คเราก็มี .. ยู๋ตูบ อากู๋เราก็จิกขึ้นมาใช้มาดูอยู่บ่อย ๆ" 

ร้อยตะวันตอบขำ ๆ … แกล้งอำเพื่อนกลับไปตามเรื่อง

"อ้าว! เห็นหวงตัวเป็นสาวโบราณ .. เราก็เลยนึกว่าจะไม่สนใจความเป็นไปของโลกแล้วซะอีก" 

กวิน..แถ..กระปอดกระแปด

"อาจเป็นเพราะโลกเราหมุนไวขึ้น เหวี่ยงแรงขึ้นสินะที่ทำให้โลกมันร้อน เราก็เลยต้องร้อน ต้องเหวี่ยง ต้องไวไปตามโลก .. ใครที่มัวงุ่มง่ามหมุนตามไม่ทัน .. เดี๋ยวก็ได้ตกโลกไปคอหักตายกันพอดีซิ!"

ถ้อยคำที่พูด คนฟังย่อมรู้ เพราะทิ้งรอยประชดไว้ชัด

ร้อยตะวันคลี่ยิ้มแบบปลง ๆ 

โลกใบนี้ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่ฝุ่นผง ... เล็กจิ๋วยิ่งสำหรับจักรวาล 

หากแต่มันก็ยังดูใหญ่แสนใหญ่ยิ่ง จนมันเกินกว่ากำลังของมนุษย์ตัวเล็ก ๆ เพียงไม่กี่หยิบมือจะลงมือหรือร้องขอความเห็นใจให้กับโลกใบนี้บ้างแม้สักนิดเดียว

กิน..... 

กาม.....

เกียรติ....

นี่ล่ะมั้ง! .. คือเรื่องสำคัญ

"เราว่าจะกลับมาเปิดบริษัทรับออกแบบและตกแต่งสวน กวินจะให้เราลงหุ้นร่วมกันกับบริษัทออกแบบตกแต่งภายในด้วยหรือเปล่า" 

ถอนใจเบา..ก่อนวกไปเปลี่ยนเรื่องคุย

"ก็ทำไมจะไม่ล่ะ ก็นั่นมันไม่ใช่เรื่องที่เราสองคนตกลงสัญญากันไว้ก่อนตะวันจะติดปีกบินปร๋อไปเรียนไกลถึงฝรั่งเศสหรอกหรือ"

กวินแอบลอบถอนหายใจบ้าง บอกตนเองไม่ถูกว่าควรโล่งใจกับน้ำเสียงเรียบ ๆ ที่ทำราวไม่ได้สนใจฟังสิ่งที่เขาเอ่ยก่อนหน้าได้หรือไม่ หรือควรหนักใจดี .. เพราะรู้ดีว่าสิ่งที่เขาพูดออกไปจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่ไปกระทบใจคนที่ได้ยิน

และมันคงจะดีกว่าหากเขาจะไม่พูดถึงอีกเลย … ตลอดชีวิต

ความเป็นเพื่อนรักที่คบกันมาตั้งแต่เล็กจนโต มีหรือที่เขาจะไม่รู้ดีว่าภายใต้ท่าทีที่ไม่อาทรร้อนใจหรือดูเรียบเรื่อยเฉยเมยกับสิ่งรอบข้าง มีบ่อยครั้งไป ที่เจ้าตัวพยายามจะไม่แสดงความอ่อนแอให้คนรอบข้างได้รับรู้เลย ซึ่งมันคงเป็นความหยิ่งทะนงอันเป็นนิสัยแอบแฝงของร้อยตะวันนั่นเอง

และแม้แต่เขาเองก็แทบไม่เคยคิดด้วยช้ำ ว่าผู้ที่เพียบพร้อมแทบทุกอย่างมาตั้งแต่เกิด เช่นเธอคนนี้ จะมีวันผิดหวังในสิ่งใด จนกระทั่งวันหนึ่ง ซึ่งเขาไม่อาจตอบได้ไม่เต็มปากหรอกว่ามันเป็นเรื่องที่จะลืมกันอย่างง่ายดายเช่นที่หญิงสาวแสดง … หากแต่ลึกลงไปในใจเขาผู้เป็นเพื่อนย่อมรู้ดี!

ร้อยตะวันน่ะหรือ

เห็นบอบบาง...อ่อนแอ...จนบางคราวดูเหมือนราวคนอ่อนไหวอ่อนไหว .. 

แต่หัวใจของเธอมั่นคงยิ่งกว่า...ที่เจ้าตัวอาจจะไม่รู้ตัวเองเสียด้วยซ้ำ!

 

♡ นิยายแต่งจบ กดอ่านฉบับสมบูรณ์ได้ที่ eBook เลยนะคะ สู้ๆ ♡

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา