Knight of the dawn: The Awakening of Nephilim อัศวิน แห่ง รุ่งอรุณ ตอน อุบัติการณ์ แห่ง เนฟีลิม
เขียนโดย The_Emperor
วันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2563 เวลา 08.50 น.
แก้ไขเมื่อ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2563 09.25 น. โดย เจ้าของนิยาย
6) ค่ำคืนยังมีแสงดาว
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความKnight of the dawn: The Awakening of Nephilim
บทที่ 6 : ค่ำคืนยังมีแสงดาว
แม้ว่าอาเชอร์และทุกคนจะกลับเข้ามาในโรงแรมแล้วสักพัก แต่อาเชอร์ก็รู้สึกแสบ ๆ บริเวณติ่งหูด้านขวาอยู่ดี แม้ว่าจะแสบน้อยลงกว่าตอนเจาะใหม่ ๆ ก็ตาม ทุกคนที่เห็นเขาต่างก็ชมว่าเขาเหมาะกับสไตล์แบบนี้จริงๆ ดูแล้วเหมือนวัยรุ่นทั่วไปในเมืองนี้
ทุกคนชมเขาว่าเหมาะสมดี แต่เขารู้สึกไม่แน่ใจเท่าไหร่นัก เพราะตั้งแต่ที่ออกจากร้านปรับเปลี่ยนโฉมคนอื่น ๆ ที่เขาไม่รู้จักหันมามองกันหมดเลย ถึงจะไม่ได้โจ่งแจ้งอะไร ทว่าเขารู้สึกได้ถึงสายตาที่มองมาทางเขาตลอดเวลา เลยไม่แน่ใจว่าที่เขาชมอันนี้มันดีกับจริงหรือเปล่า
เลออสและเมเทียที่เข้ารับการปรับเปลี่ยนโฉมด้วยกันแน่นอนว่าออกมาดูดีด้วยกันทั้งคู่ ผมของเลออสนั้นตัดสั้นลงเช่นกัน เพียงแต่ผมของเขาดูยาวกว่า และไม่ได้ไถข้างแบบเด็กหนุ่ม ซึ่งผมของเลออสนั้นก็เสยขึ้นเช่นเดียวกันกับอาเชอร์ และหนวดเคราที่เล็มจนเห็นเป็นเคราบาง ๆ ไม่รกรุกรังเป็นที่ เคยเป็น ดูสะอาดสะอ้านกว่าเดิมเยอะเลย
ส่วนเมเทียที่เข้ารับการปรับเปลี่ยนนานกว่าใครเพื่อน เพราะเธอทั้งบำรุงเส้นผม บำรุงผิวหน้า และอื่น ๆ อีกมาก แต่ผลที่ออกมาก็เป็นที่น่าพึงพอใจยิ่งนัก เพราะเธอเป็นแม่บ้านที่ทำงานบ้านมาหนักตลอดหลายปี ถ้าเธอไม่แบ่งพลังส่วนหนึ่งมารักษาความงามเอาไว้ ป่านนี้เธอก็คงผิวกร้านแดดไปแล้ว
ผมสีม่วงเข้มมันเงาของเธอยังคงเกล้าผมเช่นเดิม แต่การเกล้าผมรอบนี้ดูอลังการกว่าตอนที่อยู่ในหมู่บ้าน เพราะรอบนี้ช่างทำผมถักเปียให้เธอก่อนที่จะเกล้าผมเอาที่ด้านหลัง ปิ่นปักผมของเธอเป็น รูปดวงดาว ซึ่งอาเชอร์คิดว่ามันเข้ากันกับนางดี เพราะเมเทียเป็นนักเวทที่อาศัยพลังจากดวงดาว และถ้าเด็กหนุ่มไม่ได้คิดไปเอง ผมของเมเทียดูเหมือนจะเปล่งประกายเหมือนแสงดาวยาวค่ำคืนด้วย
ทั้งคู่ยังคงเอกลักษณ์ดั้งเดิมเอาไว้คือความเป็นนักรบ และความเป็นนักเวท ซึ่งเลออสนั้นสวมชุดที่ออกแนวกึ่งเกราะปกป้องของพวกนักรบ ส่วนเมเทียก็แต่งตัวแบบนักเวทคือชุดที่ดูกรุยกราย และมีชายผ้ายาวลงเกือบถึงพื้น ต่างจากเขาที่เลือกที่จะแต่งตัวแหวกแนวออกไปจากเดิม
“เอกสารพวกนี้ผมไปดำเนินการมาให้แล้วนะครับ ทั้งเรื่องข้อมูลต่าง ๆ ที่ไม่ต้องใช้รูปถ่าย ละก็ตั๋วของเรือเหาะบินตรงไปที่ลินโด้ครับ” ในระหว่างที่รอเมเทียปรับเปลี่ยนโฉมให้เสร็จในช่วงบ่าย เดวิดจึงขอแยกตัวไปจัดการเรื่องเอกสารพวกนี้ให้แล้วเสร็จ แน่นอนว่าเป็นคนที่มาดามอาโซมิติดต่อเอาไว้แล้วทั้งนั้น
“แล้วเอกสารขอพกพาอาวุธในเมืองละเดวิด พอไม่ได้ถือดาบแล้วรู้สึกไม่ปลอดภัยยังไงก็ไม่รู้” เลออสกล่าวด้วยความดีใจ สารภาพตามตรงเขาไม่ค่อยชอบเท่าไหร่เวลาที่ไม่มีอาวุธติดตัว
“เอกสารขอพกพาอาวุธในเมืองคงต้องรอรูปภาพก่อนน่ะครับท่านองครักษ์ คิดว่าพรุ่งนี้ไม่น่าจะใช้เวลานานเท่าไหร่นัก”
“แล้วตั๋วเรือเหาะได้ของวันไหนมาเหรอเดวิด?”
“อีกสองวันช่วงเช้าครับท่านนักเวท เพราะยังไงซะ เราต้องรอเอกสารที่ใช้รูปถ่ายเสียก่อนครับ”
“อีกสองวันก็ไม่เป็นไร ขอแค่ระหว่างนี้เราไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็พอ” เลออสบอกกับเมเทีย โชคดีที่วันนี้ก็ไม่มีหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นอีก หวังว่ามันจะไม่มีจนไปถึงวันที่ต้องเดินทาง
“ขอโทษที่ให้รอนานนะคะ ฉันตามช่างภาพมาให้แล้วค่ะ” มาดามอาโซมิที่เพิ่งเสร็จธุระจากในราชวังเดินมาพร้อมกับคนที่คาดว่าน่าจะเป็นช่างถ่ายรูปและผู้ช่วยของเขาเป็นชายหนึ่งคนและหญิงหนึ่งคน เขาเป็นช่างภาพชาวโชซอนที่มีนามว่าคิมยงวอน ซึ่งช่างถ่ายภาพผู้เองก็เพิ่งเดินทางเข้าพระราชวังเพื่อไปถ่ายรูปให้เชื้อพระวงศ์มา และมาดามอาโซมิก็เลยก็ให้เขามาถ่ายรูปแก่แขกพิเศษของเธอ
“ดูเหมือนทุกคนจะเลือกสไตล์ได้เหมาะกับตัวเองดีนะคะ” ว่าแล้วเธอใช้พัดปิดปากแล้วอมยิ้มเล็ก ๆ
“เอกสารทั้งหมดเรียบร้อยดีใช่ไหมคะดอกเตอร์?”
“เรียบร้อยดีครับ เหลือแค่เอกสารที่จะต้องใช้รูปถ่ายด้วยเท่านั้นครับ” เดวิดยื่นเอกสารที่ไปทำเรื่องมาแล้วแก่มาดามอาโซมิ
“ดีเลยค่ะ ถ้าอย่างนั้นเรามาเริ่มถ่ายรูปกันเลยนะคะ คุณคิมคะ รบกวนด้วยนะคะ” คิมยงวอนผู้เป็นช่างภาพโค้งคำนับเล็กน้อยก่อนที่จะเริ่มหยิบกล้องถ่ายรูปของตนออกมา โดยมีลูกน้องทั้งสองแบกอุปกรณ์สำหรับถ่ายรูปอย่างพะรุงพะรัง
“เราไปที่ห้องด้านข้างกันเถอะค่ะ ฉันให้ลูกน้องของฉันเตรียมไว้ให้แล้วค่ะ”
ทุกคนเคลื่อนย้ายมายังห้องอีกห้องที่ทำการขึงฉากหลังสีขาวเอาไว้ คิมยงวอนผู้ช่างถ่ายภาพใช้เวลาในการเซตกล้องและอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้พร้อม โดยมีผู้ช่วยของเขาอีกคนที่กำลังจัดแสงไฟสำหรับการถ่ายรูปและอีกคนก็เตรียมอุปกรณ์สำหรับปริ้นท์รูปออกมาหลังจากที่ถ่ายภาพ
ซึ่งท่าทางของเขาก็ดูเป็นคนที่ไม่สู่สิงกับเขา และไม่น่าจะเสวนาด้วยเท่าไหร่นัก ทุกคนจึงให้คนทำงานของเขาไปเงียบ ๆ โดยมีคิมยงวอนคอยพูดคุยกับเรื่องงานอยู่ตลอด ต่างจากผู้ช่วยหญิงของเขาที่ดูร่าเริงสดใส แต่ทว่าเวลาทำงานเธอก็ตั้งใจทำงานอย่างจริงจัง ต่างจากผู้ช่วยชายลิบลับ
คนแรกที่เข้าไปถ่ายรูปคือเลออส เขานั่งตรงเก้าอี้ที่อยู่กลางฉากขาว แล้วมองไปยังกล้องถ่ายรูป แสงไฟจากด้านหลังช่างภาพสาดส่องมายังคนที่นั่งตรงเก้าอี้
“ขยับทางซ้ายนิดนึงนะครับ” คิมยงวอนกล่าวกับเลออสเป็นภาษาบริเตน พอเลออสอยู่ในตำแหน่งที่พอดีแล้ว เขาจึงกดชัตเตอร์
แสงชัตเตอร์จากกล้องถ่ายรูปทำเอาอาเชอร์รู้สึกแสบตาไปชั่วขณะ นั้นไม่น่าจะต่างจากระเบิด ที่เลออสเคยฝึกให้เขาเท่าไหร่นัก
การถ่ายรูปของเลออสผ่านไปการรวดเร็ว ผู้ช่วยชายที่ดูแลเรื่องปริ้นท์รูปถ่ายทำงานออกมาอย่างรวดเร็ว เขาดันแว่นตาของเขาในระหว่างที่กำลังจ้องหน้าจอโฮโลแกรมนั้น ไม่นานนักรูปถ่ายของเลออสก็ ปริ้นท์ออกมาเรียบร้อย เดวิดที่ได้รับรูปถ่ายมา เขาก็รีบลงมือแปะรูปในเอกสารที่จำเป็นต้องยื่นให้ทางราชการทั้งหลาย
ต่อมาเป็นคิวของเมเทีย ซึ่งก็ไม่มีอะไรนัก เพราะว่าทั้งคู่ตอนอยู่ตะวันตกก็คุ้นเคยกับอุปกรณ์พวกนี้ดีอยู่แล้ว แต่สำหรับอาเชอร์ที่อยู่ที่นี่มาตั้งแต่เด็กรู้สึกประหม่าอย่างไรไม่รู้ กล้องถ่ายรูปเพิ่งเข้ามาในโชซอนไม่ถึงสิบปี แถมในหมู่บ้านนั้นก็ไม่มีใช้บริการถ่ายรูปเท่าไหร่นัก
“ท่านต่อไปเชิญเลยครับ”
อาเชอร์ที่กำลังคิดอะไรในหัวเรื่อยเปื่อยหันไปตามเสียง นี้ท่านลุง ท่านป้าเขาถ่ายรูปเสร็จแล้วเหรอ ทำไมไวจังเลย
เด็กหนุ่มเดินไปนั่งที่เก้าอี้กลางฉากหลังสีขาว และเขาว่าเขาน่าจะเกร็งเกินไป จนช่างถ่ายรูปบอกเขาว่าผ่อนคลายลงหน่อย เพราะเดี๋ยวรูปของเขาจะออกมาไม่ดูดี
อาเชอร์หายใจเข้า แล้วผ่อนลมหายใจออกมายาว ๆ เขาจ้องมองไปยังเลนส์กล้อง และพยายามให้อยู่ในท่าที่สบายที่สุด ช่างภาพทำการนับถอยหลังเตรียมตัวกดชัตเตอร์
แชะ!
เสียงชัตเตอร์ดังขึ้นพร้อมกับแสงแฟลชที่วาบขึ้นจนตาของอาเชอร์ไม่เห็นสิ่งรอบข้างไปชั่วขณะ
อ้าก...
เอ๊ะ นั้นเสียงใครร้อง ไม่มีล่ะมั้ง เขาคงหูฝาดไปเอง
“อีกรูปนะครับ” ช่างถ่ายภาพให้สัญญาณเตรียมที่จะถ่ายรูปอีกครั้ง
แชะ!
เสียงชัตเตอร์ดังขึ้น พร้อมกับแสงแฟลชเช่นเคย แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมคือ ภาพเหตุการณ์บางอย่างที่เข้ามาในหัวอาเชอร์อย่างกะทันหัน
มันคือภาพของเด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้าของเสียงร้องขอความช่วยเหลือที่เขาเคยได้ยินในความฝันกำลังร้องทรมานด้วยความเจ็บปวดอยู่
เด็กหนุ่มคนนั้นถูกโซ่ล่ามติดอยู่กับผนังห้องทึบ ๆ ตามเนื้อตัวมีแต่บาดแผล และทันใดนั้นประตูห้องก็เปิดออกพร้อมกับกลุ่มคนที่เข้ามาพร้อมกับถือขวดอะไรบางอย่างในมือด้วย
“ไม่...เอามันออกไป...เอามันออกไป!” เด็กหนุ่มคนนั้นร้องขอคนกลุ่มนั้นอย่างอ่อนแรง แต่พวกเขาก็ไม่ฟัง และยังจับเด็กหนุ่มคนนั้นกรอกของเหลวบางอย่างเข้าปาก
พอกรอกของเหลวนั้นเสร็จ เด็กหนุ่มคนนั้นก็ลงไปชักดิ้นชักงอบนพื้นอย่างทรมาน แม้ว่าเขาว่าจะทรมานจนต้องร้องออกมา ทว่าอนิจจาเสียงร้องทรมานจากเขา มันแทบไม่มีเสียงอะไรออกมาแล้ว
“เสร็จแล้วครับ” เสียงช่างภาพเรียกสติของอาเชอร์ให้กลับคืนมา หน้าของเด็กหนุ่มซีดลงอย่างเห็นได้ชัด เหงื่อของเขาผุดก็ขึ้นมาเต็มใบหน้าไปหมด
“อาเชอร์...เป็นอะไรหรือเปล่า?” เมเทียเห็นอาการผิดปกติของเด็กหนุ่มจึงเข้าหาเด็กหนุ่มทันทีที่เขาเดินออกมาจากหน้าเซต
“อ...อ๋อ ไม่มีอะไรครับ ผมแค่หายใจไม่สะดวกน่ะครับ ในนี้มันร้อน ๆ ยังไงไม่รู้ แหะ ๆ” อาเชอร์แสร้งทำเป็นว่าร้อน โดยการเอามือพัดตัวเองตลอดเวลา
“งั้นลองไปสูดอากาศด้านนอกหน่อยไหม ตอนนี้แค่รอรูปติดเอกสารเท่านั้น”
“อ่อ...ได้ครับ งั้นข้าไปก่อนนะครับป้าเมเทีย” เท่านั้นเองอาเชอร์ก็รีบเดินจ้ำอ้าวออกจากห้องที่ใช้ถ่ายรูปทันที โดยที่เลออสเองก็เห็นความผิดปกติของอาเชอร์เช่นเดียวกัน
“เขาเป็นอะไรน่ะ?”
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่น่าจะมีเรื่องไม่สบายอีกแน่ ๆ” เมเทียกล่าวกับคู่หูด้วยความกังวลเช่นเดียวกัน
“งั้นเดี๋ยวฉันตามเขาไปนะ”
“เลออส ไม่เป็นไร ฉันปักเข็มเวทมนตร์ติดตามตัวไว้ที่หลังของเขาแล้ว ถ้าเขาหายไปฉันจะรู้ได้ทันที”
“เธอแน่ใจใช่ไหมเมเทีย?”
“อืม เขาเป็นคนที่ไม่พูดอะไรออกมาง่าย ๆ อยู่แล้ว เธอก็น่าจะรู้นิเลออส” ทำไมจะไม่รู้ละ ก็พวกเขาเลี้ยงอาเชอร์มาตั้งแต่เด็ก เลออสมองหลังของอาเชอร์ที่ออกจากห้องไป ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“นั้นสินะ อาจจะต้องให้เวลาเขาอยู่กับตัวเองสักพัก”
ฝ่ายเด็กหนุ่มที่เดินออกมาจากห้องถ่าย เขาตัดสินใจเดินออกไปหน้าโรงแรม เพื่อสูดอากาศด้านนอกอย่างเมเทียแนะนำ ทำไมกันนะ ทำไมเขาถึงเห็นภาพของเด็กหนุ่มคนนั้นถูกทรมานเช่นนี้
จะเป็นฝีมือของพวกบูชาเชตันที่คาดว่าน่าจะเป็นกลุ่มที่ตามล่าพวกเขาหรือเปล่านะ? ถ้าเกิดไม่ใช่ขึ้นมา แล้วพวกมันเป็นใครกันแน่?
แล้วตอนนี้เด็กหนุ่มคนนั้นอยู่ที่ไหน จะพอมีทางช่วยเหลือเขาได้บ้างไหมนะ?
หลากหลายความคิดถาโถมเข้ามาในหัวของอาเชอร์เต็มไปหมด คิดวนไปวนมาก็มีแต่จะปวดหัวมากกว่าเดิม เขาจึงเลือกที่จะมองบนท้องฟ้าดังเช่นที่เคยทำ
ท้องฟ้าในยามนี้ยังไม่มีดวงดาวปรากฏเพราะยังอยู่ในช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ตกดิน แสงพระอาทิตย์ที่อยู่ตรงขอบฟ้ากำลังจะจางหายไป เป็นทิวทัศน์ที่ดีมาก ๆ อีกทิวทัศน์ในความเห็นของอาเชอร์
เขาอยากจะช่วยเด็กหนุ่มคนนั้น ทายาทของตระกูลอควารีอัส...ตอนนี้เด็กหนุ่มคนนั้นกำลังตกอยู่ในความทนทุกข์ทรมาน ระหว่างที่จะเดินทางมาฮันยาง เขาเคยถามเมเทียไปเรื่องของเด็กคนอื่น ๆ นอกจากเขาและทายาทตระกูลอควารีอัสผู้นี้ ซึ่งนางเองก็ตอบไม่ได้เช่นกันว่าคนที่เหลือเป็นอย่างไรกันบ้าง
แต่ที่นางจำได้ค่อนข้างแม่นก็คือ มีนายหญิงของตระกูลอื่น ๆ อีก ที่ตั้งครรภ์ในเวลาเดียวกันกับแม่ของเขาและนายหญิงแห่งอควารีอัส
หวังว่าคนที่เหลือจะปลอดภัยกันนะ...
ถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มจะไม่เคยเห็นหน้าคนอื่น ๆ มาก่อน แต่ตอนนี้เขารู้สึกห่วงใยขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แม้กระทั่งคนที่เขาเห็นในหัวของเขาเอง อย่างทายาทตระกูลอควารีอัสผู้นี้
จะมีใครไปช่วยเขาไหมหนอ...
“เฮ้ย! ไม่รู้หรือไงว่าห้ามขายของตรงนี้”
เสียงดังเอะอะโวยวายด้านเด็กหนุ่มก็ทำให้เขากลับมามองเหตุการณ์ตรงหน้า มันเกิดขึ้นห่างจากหน้าโรงแรมไปประมาณสองสามบล็อก เป็นภาพของเด็กหนุ่มประมาณสิบเจ็ดสิบแปดขอโทษคุกเข่าขอโทษขอโพยกลุ่มคนที่กำลังยืนคุมเชิงเด็กหนุ่มคนนั้น
“แต่...แต่ข้าติดต่อทางการไปแล้วนะ แล้วพวกเขาก็ไม่ได้ว่าอะไรด้วย” เด็กหนุ่มคนนั้นแย้งพวกเขาขึ้นมา และนั้นก็ทำให้พวกเขาระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น
“นี้ไอ้หนู ทางการมันก็ส่วนทางการโว้ย แถวนี้ลูกพี่ของพวกข้าคุมโว้ย”
เห้อ กลุ่มพวกนักเลงเรียกเก็บค่าส่วยนี้เอง ไม่น่าเชื่อเลยว่าแม้กระทั่งในเมืองใหญ่ ๆ อย่างฮันยางจะยังมีกลุ่มสวะพวกนี้อยู่ เจ้าคนพวกนี้น่าจะโดนทางการจับไปเสียให้หมดจริง ๆ อาเชอร์ไม่ชอบขี้หน้าของกลุ่มคนที่ชอบใช้กำลังข่มเขงชาวบ้านเท่าไหร่นัก แต่เขาก็ตัดสินใจว่าจะไม่ยื่นมือเข้าไปด้วยใครแล้ว เพราะผลที่เคยได้รับมาจากความช่วยเหลือมันไม่ดีต่อตัวเขาเลยแม้แต่นิดเดียว
เด็กหนุ่มกำลังจะหันหลังกลับเข้าโรงแรม แต่เขาก็สะดุดใจขึ้นมาว่าเด็กหนุ่มคนนั้นหน้าตาคุ้น ๆ จังเลย เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
“ถ้าอยากจะขายของตรงนี้ ก็จ่ายค่าคุ้มครองมาซะ แล้วพวกข้าจะไม่ยุ่งด้วย”
“แต่ แม่ของข้าป่วยอยู่ ข้าต้องเอาเงินนี้ไปรักษาแม่ของข้า”
“ถ้างั้นก็ไสหัวไปซะ!”
“ขอร้องละขอรับ ให้ข้าได้ของตรงนี้เพื่อที่จะนำเงินไปรักษาแม่ของข้าเถอะนะขอรับ” เมื่อเด็กหนุ่มคนนั้นกำลังร้องขอพวกนักเลง เสียงขอร้องอ้อนวอนนั้นมันทำให้อาเชอร์เขานึกออกทันทีว่าเขาเคยเห็นเด็กหนุ่มคนนี้ที่ไหน
เพราะคนคนนั้นคือเด็กหนุ่มที่เขาเคยพยายามช่วยจากพวกลูกขุนนางในหมู่บ้านนั้นเอง...
กี แจ...นั้นนายเหรอ?
ไม่มีรู้ว่าเด็กหนุ่มที่ชื่อกีแจเข้ามาในเมืองฮันยางได้ยังไง แต่แน่ ๆ คือตอนนี้กีแจกำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบากแน่นอน
“โว๊ะ พูดไมรู้เรื่องหรือไงกันฮะ บอกให้ไสหัวไปไง” ไม่พูดเปล่า หนึ่งในนักเลงนั้นใช้เท้าขอตนยันไหล่ของกีแจจนเขาล้มลงไป
“เพราะของ ๆ เจ้ายังขายไม่หมดสินะ ได้ เดี๋ยวพวกข้าจะทำให้ของ ๆ เจ้าหมดไว ๆ จะได้รีบไปสักที” พูดเสร็จพวกเขาก็ลงมือทำลายข้าวของ ๆ กีแจทันที
“ไม่ ไม่! พวกท่านไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้นะ” กีแจร้องห่มร้องไห้พยายามห้ามไปไม่ให้พวกนักเลงทำลายข้าวของ ๆ เขา
“ข้าบอกให้ไสหัวไปไง!” ในหนึ่งกลุ่มนักเลงนั้นก็ถีบกีแจออกไป และพวกเขาก็ลงมือทำลายข้าวของต่อไป
อาเชอร์ที่มองอยู่ไกล ๆ กำลังสองจิตสองใจว่าจะเข้าไปช่วยหรืออย่างไรดี เหตุการณ์นี้มันไม่ต่างอะไรกับตอนที่อยู่ในหมู่บ้าน เขายืนคิดอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเขานึกถึงภาพที่ทายาทอควารีอัสถูกทรมานและไร้ซึ่งความช่วยเหลือ มันช่างหดหู่และสิ้นหวังเหลือสำหรับคนคนหนึ่งที่กำลังรอความช่วยเหลืออยู่อย่างนั้น
ทั้งสองคนนี้แทบไม่แตกต่างกันเลยจริง ๆ
เมื่อคิดได้ดังนั้น อาเชอร์ก็ตัดสินใจได้ว่า ตอนนี้เขายังไม่อาจจะช่วยทายาทอควารีอัสได้ แต่ ณ ตอนนี้เขาไม่ใช่กุงซูที่ไม่มีทางสู้แบบเมื่อก่อนอีกแล้ว
และถ้าคิดจะช่วยเหลือใครสักคน ก็ต้องเริ่มต้นช่วยเหลือคนก่อน เอากีแจนี้แหละเป็นคนแรก!
เด็กหนุ่มรีบวิ่งสวนทางกับพวกเมเลออสจนพวกเขางงว่าเด็กหนุ่มวิ่งไปไหน เขาวิ่งกลับมาที่ห้องพัก แล้วหยิบธนูของตนออกมาเตรียม แล้ววิ่งออกมาหน้าโรงแรมทันที โดยไม่ฟังเสียงทักท้วงอะไรของท่านลุงท่านป้าของเขา
อาเชอร์ง้างลูกธนูหนึ่ง แล้วยิงออกไป ลูกปักลงใกล้ ๆ กับเท้าของพวกนักเลงนั้น จนพวกเขาสะดุ้งไป
“เฮ้ย! เขายิงมาวะ”
“ถอยห่างจากเขาไปซะ!” อาเชอร์ตะโกนออกไปเป็นภาษาโชซอน ทำก็ให้เขาพวกนักเลงงงเป็นไก่ตาแตกว่าเหตุใดชาวตะวันตกตัวสูงใหญ่ผู้นี้ถึงพูดจาภาษาพวกเขาได้ด้วย
“จ...เจ้าเป็นกัน!”
“เป็นใครไม่สำคัญ แต่ถ้าพวกแกแตะต้องตัวเขาอีกครั้งละก็ รับรองว่าลูกต่อไปอยู่บนหัวพวกแกแน่!” อาเชอร์ไม่พูดเปล่าเขาง้างธนูเตรียมเอาไว้ พร้อมที่จะปล่อยมันตลอดเวลา
“เหอะ! อย่ามาทำเป็นคนดีไปหน่อยเลย พวกเรา! อย่าไปกลัวมัน ลุย!”
เอ้า! ผิดแผนซะแล้ว นึกว่าพวกมันจะกลัวซะอีก
อาเชอร์กวาดสายตาอย่างรวดเร็ว จะทำยังไงถึงจะหยุดการเคลื่อนไหวของพวกนักเลงนี้ได้ และทันใดนั้นเขาก็เห็นระฆังขนาดใหญ่ที่พวกคนงานก่อสร้างกำลังดึงขึ้นไปยังอาคารที่กำลังก่อสร้างแถว ๆ นั้นพอดี
เขามองระฆังนั้นกับพวกนักเลงที่กำลังวิ่งมา เร็วกว่าที่เขาคาดคิด เขาเล็งลูกธนูของไปยังเชือกที่ห้อยระฆังนั้น แล้วยิงธนูลูกนั้นออกไป ลูกธนูปาดเชือกที่ห้อยระฆังนั้นจนขาด ส่งผลให้ระฆังนั้นร่วงลงมาตรงจุดที่พวกนักเลงพวกนั้นวิ่งมาหาเขาจนพวกนักเลงกระโจนตัวออกห่างจากจุดนั้นแทบไม่ทัน ดีสังเคราะห์ที่ไม่โดนระฆังนั้นทับตายเอาเสียก่อน
ในระหว่างที่กำลังชุลมุนกันอยู่นั้น อาเชอร์รีบวิ่งเข้าไปหาเด็กหนุ่มที่ชื่งกีแจ และฉุดให้เขารีบวิ่งหนี
“เร็วเข้า หนี!”
กีแจที่กำลังงง ๆ อยู่รีบวิ่งตามแรงฉุดข้อมือของชาวตะวันตกตรงหน้าไป เมื่อว่าระฆังที่ตกลงมาจะช่วยถ่วงเวลาไปได้บ้าง พวกนักเลงก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไรมาก พวกมันจึงวิ่งไล่พวกเขาต่อ
“เฮ้ย อย่าหนีนะโว้ยยยย” พวกนักเลงวิ่งไปแบบไม่ลืมหูลืมตา จนไม่ทันได้สังเกตว่าทั้งอาเชอร์และ กีแจแอบอยู่ในซอบแคบ ๆ แถวนั่นแหละ โชคดีที่มันมีคลังสินค้าของโรงแรมแถวนั้นกำบังให้พวกเขารอดพ้นสายตาพวกอันธพานกลุ่มนี้
พอพวกนักเลงวิ่งไปจนลับสายตาแล้วอาเชอร์จึงพากีแจออกมาจากที่ซ่อน
“น่าจะไปกันไกลแล้วแหละ พวกเราไปกันเถอะ” กีแจรีบโค้งคำนับเขาทันทีที่รู้ว่าพวกตนปลอดภัยแล้วปลอดภัย
“ขอพระคุณมากนะขอรับ ที่ช่วยคนไร้ค่าอย่างกระผมเอาไว้”
“เฮ้ย ไม่เป็นไร ๆ เรื่องแค่นี้เอง ไม่ต้องกังวลไปหรอก”
กีแจรีบตรงไปยังจุดที่พวกนักเลงกลุ่มนั้นกระทบข้าวของสินค้าจนเสียหายไปหมด แบบนี้ยังไงก็เอาไปขายต่อไม่ได้แล้ว
“บ้าเอ๊ย” กีแจพยายามจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ และก้มลงเก็บซากสินค้าพวกนี้ต่อไป
“มาเดี๋ยวข้าช่วยนะ” อาเชอร์ก้มลงที่จะช่วยกีแจเก็บซากสินค้า นั้นทำให้เขาโดนกีแจปฏิเสธออกมา
“มิเป็นไรขอรับ ให้ข้าเป็นคนทำเถอะ”
“ข้าเต็มใจช่วย ไม่เป็นไรหรอก” อาเชอร์เองก็เป็นคนดื้อดึงอยู่ประมาณหนึ่ง เขาจึงยืนยันที่จะช่วยเหลือกีแจ จนพวกเขาเก็บเศษซากที่อยู่บนพื้นจนหมด
“ขอบคุณมาก ๆ นะขอรับ ท่าน...”
“อ๋อ เรียกข้าว่าอาเชอร์ก็ได้”
“อ่า ขอรับท่านอาเชอร์” กีแจโค้งคำนับขอบคุณเขาอีกครั้ง ก่อนที่จะมองของในแผงของตัวเองอย่างสิ้นหวัง
“ถ้าข้าไม่เดินมาแถวนี้ก็ดีสิ...” เด็กหนุ่มเมื่อเห็นดังนั้นจึงพูดปลอบกีแจว่ามันยังพอมีของที่ไม่ได้เสียหายเท่าไหร่นัก
“เอ่อ...ข้าว่ามันยังพอมีของบางอย่างที่ยังไม่เสียหายนะ น่าจะขายได้บางส่วนอยู่นะ”
“นั้นสินะขอรับ ถึงวันนี้จะไม่ได้ตามยอด แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย” กีแจถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ก่อนที่จะเห็นอาเชอร์ยิ้มให้กำลังใจเขาอยู่
“พอเห็นดวงตาท่านแบบนี้แล้ว ทำให้เขานึกถึงใครบางคนเลยนะขอรับ...” น้ำเสียงของกีแจนั้นเศร้าหมองลงไปอย่างเห็นได้ชัด
“เอ๋? เจ้านึกถึงใครงั้นเหรอ” หวังว่าคงไม่ใช่ตัวเขาหรอกมั้งนะ เรื่องมันก็ผ่านมานานแล้วด้วย
“ไม่มีอะไรหรอกขอรับ เขาเป็นคนในหมู่บ้านที่ข้าจากมาน่ะขอรับ” นั้นไงชัดเจน คนที่มีดวงตาสีน้ำเงินมันจะมีซักกี่คนเชียว
“อ่อ งั้นเหรอ อย่างนี้นี่เอง ฮ่าๆๆ” อาเชอร์ได้แต่แสร้งทำเป็นหัวเราะไม่รู้ไม่ชี้กับสิ่งที่กีแจกล่าวมา ทั้ง ๆ คนที่กีแจนึกถึงยืนอยู่ตรงหน้านี้ได้ แต่ตอนนี้หน้าตาเขาเปลี่ยนไปจากเดิม นั้นจึงไม่แปลกที่กีแจจะไม่รู้
“ตอนนี้ท่านเข้ามาช่วยข้าจากพวกนักเลงนั้น มันทำให้ข้านึกถึงเขาน่ะครับ”
“ยังไงเหรอ?” อาเชอร์ยังคงตามน้ำเรื่อย ๆ ในขณะพวกเขาเดินแยกออกมาจากบริเวณนั้น เพราะตอนนี้ทุกคนกำลังให้ความสนใจกับระฆังยักษ์ที่เขาสอยร่วงลงมา และแน่นอนว่าอีกไม่นานต้องมีพวกมือปราบปรามตามมาแน่นอน เพราะฉะนั้นรีบเผ่นตั้งแต่ตอนนี้ดีกว่า
“ตอนที่ข้ายังเป็นเด็ก ข้าเองก็เจอเหตุการณ์คล้าย ๆ กันกับแบบนี้เลยขอรับ...” อาเชอร์เงียบลงเพื่อให้กีแจได้พูดอะไรบางอย่าง นั้นเพราะว่าเขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าเขาคิดยังไงกับเหตุการณ์ในครั้งนั้น
“เพียงแต่ว่าตอนนั้นคนที่ถูกรังแกเป็นท่านพ่อ ท่านแม่ของข้าน่ะขอรับ ท่านพ่อของข้าเป็นเพียงคนฆ่าสัตว์ เลยถูกชาวบ้านรังเกียจ” กีแจปาดน้ำตาของตัวเองออกไป แล้วเล่าเรื่องราวต่อ “ตอนนั้นพวกเราถูกพวกลูกขุนนางในหมู่บ้านรุมรังแกพวกเราอยู่ ไม่มีใครหันมาสนใจ หรือหันมาช่วยพวกเราสักคน มีเพียงคนคนหนึ่งที่ยื่นมือมาช่วยพวกเรา” อาเชอร์พยักหน้าตามน้ำไป เขาเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าทำไมตอนนั้นถึงยื่นมือเข้าไปช่วย
“แล้วยังไงต่อล่ะ”
“เขาพยายามห้ามพวกลูกขุนนางพวกนั้นครับ จนเขาเองก็ต้องเจ็บตัว หลังจากนั้นข้าเองก็จำอะไรไม่เลยได้ รู้แค่ว่าเขาคนนั้นทำพวกลูกขุนนางกระเด็นกระดอนกันไปคนละที่” มาถึงตรงนี้ อาเชอร์ก็แอบกลืนน้ำลายตัวเองเบา ๆ เพราะหลังจากเหตุการณ์นี้ มันไม่ค่อยสวยเท่าไหร่นัก
“ในเวลานั้นทุกคนกลัวเขากันหมดเลย ไม่เว้นแม้แต่กระทั่งท่านพ่อ ท่านแม่”
“แล้วเจ้าละกลัวเขาไหม?” เด็กหนุ่มตัดสินใจถามคำถามที่ตัวเองกลัวคำตอบมาโดยตลอดหลายปีที่ผ่านมา
“กลัวหรือเปล่า? ข้าเองก็ไม่แน่ใจหรอกขอรับ ข้ารู้แค่ว่าเขาช่วยให้พวกเรารอดจากการถูกรังแกนั้น” อาเชอร์โล่งใจอย่างเห็นได้ชัด อย่างน้อยกีแจผู้นี้ก็ไม่ได้หวาดกลัวตัวเขา ตอนนี้พวกเขาเดินมาหยุดตรงสวนสาธารณะหน้าโรงแรมของเขา และพวกเขาก็ยืนคุยกันตรงนั้นต่อ
“แต่หลังจากนั้นมันทำให้ข้ารู้สึกผิดในใจมาตลอด เพราะครอบครัวของพวกข้าทำให้เขาต้องถูกเนรเทศไปจากหมู่บ้าน เท่าที่ข้ารู้ คือครอบครัวของเขาย้ายไปอยู่ใกล้ ๆ โบสถ์ของพวกมิชชั่นนารี ข้าเคยพยายามจะออกหมู่บ้านไปขอบคุณเขาอยู่ตลอด แต่ข้าถูกท่านพ่อห้ามเอาไว้ ท่านไม่อยากใครเห็นว่าเราเกี่ยวข้องกับเขาผู้นั้น ไม่อย่างนั้นแล้วพวกเราอาจจะซวยอีก”
อาเชอร์แหงนหน้ามองบนท้องฟ้าอีกครั้ง ซึ่งตอนนี้เป็นเวลาค่ำโดยสมบรูณ์แล้ว เขาพิจารณาจากที่พ่อของกีแจห้ามเอาไว้ ก็นับว่ามันสมเหตุสมผล ถ้าพวกเขาหวาดกลัวจนทำอะไร “กุงซู” ไม่ได้ พวกเขาก็ต้องหาตัวแทนมาระบายความโกรธแทน ซึ่งก็เป็นใครไปไม่ได้อีกนอกจากครอบครัวของกีแจที่เป็นชนชั้น ซอนมิน ที่ไม่มีปากมีเสียงกับใครเขา
“เอ่อ...แล้วเจ้าทำยังไงต่อล่ะ?”
“ก็ไม่ได้ทำอะไรต่อเลยขอรับ แต่พอเป็นแบบนี้ มันก็เหมือนมีอะไรที่ติดค้างในใจข้ามาตลอด มันเป็นเพราะพวกข้าที่เกิดมาต้อยต่ำ และทำให้คนบริสุทธิ์คนหนึ่งต้องลำบากเพราะพวกข้าด้วย...” น้ำเสียงของกีแจรู้สึกผิดจนอาเชอร์เองก็รับรู้ได้ เมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ตัวเขาก็อยากจะบอกกีแจว่า เขาไม่ได้โกรธเคืองพวกกีแจอะไรแล้ว...
“จริงสิ เจ้าบอกว่ามาจากที่อื่น แล้วเจ้ามาอยู่ที่ฮันยางได้ยังไงล่ะ?” อาเชอร์พยายามเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อไม่ให้กีแจรู้สึกผิดไปมากกว่านี้
“อ๋อ พอตอนที่ท่าพ่อของข้าเสีย ท่านแม่ใช้เงินก้อนสุดท้ายที่เก็บไว้พาข้ากับน้องสาวออกจากหมู่บ้านมาจ้างพวกลักลอบเข้าเมืองน่ะขอรับ”
เอ้า กรรม...ดันไปรื้อฟื้นเรื่องเสียใจของเขาขึ้นมาอีก
“เอ่อ ข้าไม่รู้ว่าพ่อเจ้าเสียแล้ว เสียใจด้วยนะ”
“ไม่เป็นหรอกครับท่านอาเชอร์ ท่านพ่อน่ะเจ็บออด ๆ แอด ๆ มาหลายปีแล้ว มันคงถึงเวลาของท่านพ่อแล้วจริง ๆ” ปากบอกไม่เป็นไร แต่อาเชอร์ก็เห็นนะว่ากีแจน้ำคลออยู่นิด ๆ
“พอเข้าเมืองฮันยางมา ข้าก็หวังแค่ว่าจะสร้างเนื้อสร้างตัวใหม่ที่นี่ แต่เขาจะไปคิดว่าข้าจะมาเจออะไรแบบนี้” กีแจกำมือในความน้อยใจของโชคชะตาตัวเอง “ทำข้าถึงต้องเจออะไรแบบนี้อยู่ตลอดเลย สงสัยเบื้องบนคงเกลียดชังข้า...” เมื่อเห็นดังนั้นอาเชอร์ก็อดจะให้กำลังเขาไม่ได้
“ข้าเองก็ไม่รู้ว่า เบื้องบนเกลียดเจ้าจริง ๆ หรือเปล่านะ แต่มันอาจจะเป็นอะไรพวกเราจำเป็นต้องเจอก็ได้”
“จำเป็นต้องเจอ?”
“ใช่ บางครั้งข้าก็เคยแอบคิดนะว่าทำไมมันถึงต้องเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกับตัวเอง แต่พอมานั่งคิด ๆ แล้ว มันอาจจะดีก็ได้”
“เจอเรื่องแบบนี้มันจะไปดีได้ยังไงน่ะขอรับ” กีแจยังคงมองไม่ออกด้วยซ้ำว่าการที่เจอเรื่องเฮงซวยพวกนี้จะดียังไง
“ก็...เรื่องไม่ดีพวกนั้นมันทำให้ข้าได้ออกมาจากที่ที่ข้าไม่อยากอยู่ไง แถมไวกว่าที่ข้าเคยคิดเอาไว้ด้วย” ใช่ ตลอดเวลาทั้งวัน เขาผ่านมาคิดได้ว่า ถ้าเขาไม่ถูกศัตรูพบตัว เขาอาจจะยังต้องอยู่ในที่ที่ ไม่แน่ที่ของเขาแน่ ๆ
“ฉะนั้นแล้ว ถ้ามันเกิดเรื่องที่มันเฮงซวยขึ้นมา บางทีมันอาจจะมีเรื่องราวดี ๆ เกิดขึ้นตามมาหลังจากก็ได้นะ เหมือนกลางวันกลางคืนไงละ”
เมื่อได้ยินดังนั้นกีแจก็มองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวเช่นเดียวกันกับอาเชอร์
“กลางวัน กลางคืน?”
“ใช่แล้วล่ะ ถ้าเปรียบเรื่องดี ๆ เป็นกลางวัน แล้วเปรียบเรื่องราวไม่ดีเป็นกลางคืน ยังไงซะมันก็ไม่มีทางที่เราจะอยู่ในเวลากลางคืนไปตลอดนิ ใช่ไหม?” เมื่อได้ยินดังนั้นกีแจก็พรึมพรำกับตัวเอง
“แล้วเมื่อไหร่จะเช้าซะทีล่ะขอรับ?” นี่คือคำถามที่เขาอยากรู้ที่สุด เพราะเขานั้นรู้สึกว่า เขาอยู่ในเวลากลางคืนมานานมากเหลือเกิน
“เรื่องนั้นก็ตอบไม่ได้เหมือนกันนะ แต่ข้ามั่นใจว่ายังไงวันรุ่งขึ้นก็ต้องมาเยือนอยู่ดี”
กีแจเข้าใจในสิ่งที่อาเชอร์จะสื่อถึงทันที มันไม่มีใครที่จะโชคร้ายอยู่ร่ำไป และไม่มีใครจะโชคดีไปตลอดกาล ทุกคนก็ต้องประสบพบเจอเหตุการณ์เหล่านี้ด้วยกันทั้งนั้น
“อีกอย่างนะ ในเวลากลางคืนก็ยังแสงจันทร์ แสงดาวนะ ถ้าเปรียบโชคร้ายเป็นกลางคืน และแสงจันทร์แสงดาวเป็นโชคดีละก็ ฉะนั้นในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีซ่อนอยู่ในนั้น ข้าคิดว่านะ”
กีแจยิ้มออกมากับคำพูดของอาเชอร์
“ถ้าข้าไม่เห็นท่านยิงธนูเมื่อสักครู่ ข้าคงนึกว่าท่านเป็นนักเขียนนะขอรับ”
“ฮ่าๆ นักเขียนเหรอ ถ้าไม่มีสิ่งที่ต้องทำข้าก็อยากจะเป็นอยู่หรอกนะ” ใช่ นักเขียนที่เขียนเรื่องราวผจญภัยทั่วโลก เป็นทั้งนักสำรวจ เป็นทั้งนักเขียน ได้ตั้งสองอาชีพแน่ะ แต่เขารู้รู้ว่าตอนนี้เขาจำเป็นต้องไปสอบเข้าเป็นอัศวินแห่งรุ่งอรุณให้ได้เสียก่อน หลังจากนั้นอนาคตค่อยว่ากันอีกที
“งั้นข้าไปก่อนนะ นี้ก็ค่ำแล้วด้วย”
“ขอรับ ขอบพระคุณอีกทีนะขอรับ ท่านอาเชอร์”
“ไม่เป็นไร แล้วเจอกันนะกีแจ!” อาเชอร์รีบวิ่งไปที่โรงแรมพร้อมกับโบกมือตะโกนบอกลากีแจ นั้นเป็นเพราะว่าตอนนี้มันค่ำแล้วด้วย เดี๋ยวท่านลุงท่าป้าของเขาจะเป็นห่วงเอา
ส่วนกีแจที่ยังยืนอยู่ที่เดิม เกิดอาการมึนงงเล็กน้อย ถ้าเขาจำไม่ผิดเขาไม่ได้บอกชื่อตัวเองให้นักธนูผู้ฟังเสียหน่อย เหตุใดเขาถึงรู้จักชื่อของกีแจกันนะ?
ในระหว่างที่เขากำลังยืนงงอยู่นั้น กีแจก็สังเกตเห็นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่ยืนถัดจากเขาไปกำลังบ่นออกด้วยความอ่อนล้า
“เอ้อ ให้ตายสิไม่มีสนใจศาสตร์ของแพทย์ตะวันตกกับพวกเราเลยหรือไงนะ”
เอ๋? แพทย์ตะวันตก ได้ยินคำว่าแพทย์หูของกีแจก็ผึ่งทันที ตอนนี้ท่านแม่ของเขาก็กำลังเจ็บป่วยอยู่ ถ้าเป็นไปได้ เขาก็ไม่อยากเสียท่านแม่ไปอีกคน
“นี้ขนาดเราเสนอทุนให้เปล่าขนาดนี้ ยังไม่มีใครมาสมัครเลย แบบนี้คุณพ่อแดเนียลฆ่าพวกเราแน่ๆ”
“ทำยังไงได้ละ ถึงจะมีทุนให้เปล่า แต่ต้องเข้ารีตด้วย คนเขาก็เลยไม่กล้าไงละ”
ได้ยินกลุ่มที่คาดว่าน่าจะเป็นนักศึกษาแพทย์กลุ่มบ่นกัน กีแจก็อดนึกถึงคำพูดของอาเชอร์ขึ้นมา ในเวลากลางคืนยังมีแสงดาวอยู่ ใช่แล้วละ ถึงแม้ว่าเขาจะเจอพวกนักเลงเจ้าถิ่นรังแกมา มันก็ทำให้เขาเจอคนที่มาช่วยเขา แถมถ้าไม่ได้คุยกับท่านอาเชอร์ ตัวเขาเองก็คงยังไม่เจอพวกนักศึกษาแพทย์แผนตะวันตกที่กำลังหาคนเรียนแพทย์พวกนี้แน่ ๆ ในเมื่อดวงดาวเดินมาหาเขาขนาดนี้แล้ว ทำไมเขาจะไม่คว้าดาวเอาไว้ละ!
เมื่อคิดได้ดังนั้นกีแจก็เดิมดุ่ม ๆ ไปหาพวกนักศึกษาแพทย์กลุ่มนั้นและเอ่ยปากกับพวกเขาไป
“ทุกท่าน ข้าสนใจที่จะเรียนแพทย์แผนตะวันตกขอรับ”
to be continued.....................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ