จากบูรพาสู่โพ้นทะเล

7.0

เขียนโดย HIMARAYA

วันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 เวลา 15.17 น.

  6 ตอน
  2 วิจารณ์
  6,299 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 16.36 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) ผ้าแพรสีน้ำตาล

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ตอนที่ 6

 

ผ้าแพรสีน้ำตาล

 

 

ในบ้านร้างหลังหนึ่งห่างจากบ้านเฒ่าฮกไปไม่ไกล เป็นที่กบดานของเป็งฮวดและเกาย้ง ทั้งคู่แอบย้ายมาอาศัยอยู่ที่นี่โดยไม่ให้ใครรู้ ที่นี่มีหนังสือหลายเล่มที่เป็งฮวดขนเอามาสอนให้เกาย้งฝึกอ่าน มีทั้งหนังสือฝึกเขียนภาษาจีน และหนังสือเผยแพร่แนวความคิดแบบมาซ์กเกี่ยว และแนวทางการเคลื่อนไหวของพรรคบอลเซวิคก่อนการปฏิวัติรัสเซีย

 

แม้จะหนีมากลับดานในท้องถิ่นบ้านเกิด แต่เป็งฮวดยังคงติดกับภาพหลอนที่ถูกไล่ล่ากวาดล้างในปักกิ่งเมื่อเดือนเมษายน

 

ระหว่างปฏิบัติงานอยู่ที่ปักกิ่งเป็งฮวดมีหญิงสาวร่วมอุดมการณ์ชื่อจางจื้อ ทั้งคู่พบกันบนถนนสายหนึ่งเซี่ยงไฮ้ เป็งฮวดรับใบปลิวรณรงค์การเคลื่อนไหวจากมือจางจื้อ “เห็นความไม่เป็นธรรมในสังคมมั้ย? มาร่วมเปลี่ยนแปลงมันด้วยกันเถอะ” เพียงประโยคเดียวที่จางจื้อกล่าวขณะยัดใบปลิวใส่มือเป็งฮวด เป็งฮวดก็ไม่อาจลืมใบหน้าและเสียงนั้นได้เลย

 

เป็งฮวดตกหลุมรักจางจื้อโดยไม่ต้องใช้เวลา นางเป็นหญิงสาวตัวเล็ก ผมสั้น ดูอ่อนโยนยามยิ้ม แต่ไม่เคยแสดงความอ่อนแอต่อความไม่เป็นธรรม ช่วงเวลาหลายเดือนในปักกิ่งที่ทั้งสอง รวมติดใบปลิว ดูแลกกรรมกรแรงงาน และเคลื่อนในรณรงค์ในปักกิ่งด้วยกัน เป็นช่วงเวลาที่เป็งฮวดเหน็ดเหนื่อย ทั้งงานประจำและงานด้านมวลชนทำให้แทบไม่มีเวลาพักผ่อน แต่ความสุขที่ได้พานพบหญิงสาวร่วมอุดมการณ์ผู้รักความเสมอภาค นางเป็นแรงบันดาลใจที่อบอุ่นแก่โลกของเป็งฮวด ทุกวันดูมีชีวิตชีวาแม้อยู่ท่ามกลางความขัดแย้ง

 

ตอนนั้นเป็นช่วงไม่ถึงสัปดาห์ก่อนพายุในปักกิ่งก่อตัว ข่าวการสังหารชาวตะวันตกในนานกิงเดินทางมาถึงปักกิ่ง เป็งฮวดได้ยินสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์หลายคนกล่าวชื่นชม ยกย่อง การโจมตีชาวต่างชาติครั้งนี้ว่าเป็นสิ่งถูกต้อง ชาติมหาอำนาจต่างๆ รุมรังแก และเหยียบย่ำศักดิ์ศรีชาวจีนมานานเกินไป แต่จางจื้อกลับเงียบ นางดูเป็นกังวลและหวาดกลัว นางบอกกับเป็งฮวดยามอยู่กันสองต่อสองว่าเหตุการณ์จะเลวร้ายลง จางจื้อเชื่อว่าสถานการณ์นี้ อาจจะเข้าทางพวกคณะชาติที่อยากจะหาทางกำจัดพวกคอมมิวนิสต์มานาน

 

“ดร.ซุน เสียชีวิตไม่ทันไร สองฝ่ายก็ต่อกันไม่ติดเสียแล้ว” เป็งฮวดเอ่ยขึ้นลอยๆ

 

“น้องว่าเหตุการณ์ในปักกิ่งกำลังรุกลามเกินควบคุมไปแล้ว บางกลุ่มในสหภาพแรงงานเป็นนิยมความรุนแรง ปลุกระดมให้พวกกรรมกรยึดและเผาสถานที่ราชการหลายแห่ง” ร่างอรชรที่นอนซบชายหนุ่มสั่นเทา “น้องกลัวว่ารัฐบาลอาจจะใช้ความรุนแรงกับพวกมวลชน รวมถึงพวกเร็วๆ นี้ก็ได้” นางหาได้รักตัวกลัวตายแต่อย่างใด เพียงแต่นางไม่ได้นิยมความสุดโต่ง นางไม่เชื่อว่าปัญญาชนกับความรุนแรงจะเป็นสิ่งเดียวกัน

 

หนุ่มภูธรจากซัวเถาลูบหัวหญิงสาวด้วยความเอ็นดู “น้องไม่ต้องกลัว พวกคณะชาติไม่กล้าทำอะไรรุนแรงหรอก ทั้งคณะชาติและพรรคคอมมิวนิสต์ก็ล้วนเป็นสมาชิกพรรคก๊กมินตั๋ง และเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์กันมา เรื่องจะใช้ความรุนแรงต่อด้วยกันคงไม่มีใครกล้า”

 

“ถึงแม้เป็นศิษย์ร่วมอาจารย์ก็จริง แต่แม่ทัพเจียงไคเช็คที่เป็นครูใหญ่โรงเรียนวิชาการปกครองและการทหารก็แสดงออกชัดเจนว่าจงเกียจจงชังลัทธิมาซ์ก ที่ผ่านมายังเกรงใจ ดร.ซุนยัตเซ็นที่เป็นผู้อำนวยการโรงเรียน แต่ตอนนี้ ดร.ซุนยัตเซ็นก็ตายไปหลายปี นายพลเจียงไคเช็คที่ปราบพวกขุนศึกทางเหนือจนราบคาบหมดแล้วยังต้องเกรงใจใครอีก” จางจื้อทัดท้วง

 

“ในกองทัพที่ปราบพวกขุนศึกทางเหนือ ก็มีสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ร่วมอยู่ด้วยไม่น้อย หาใช่ความดีความชอบของนายพลเจียงไคเช็กแต่เพียงผู้เดียว ส่วนเรื่องที่บุกเข้าไปสังหารชาวตะวันตกในนานกิงอาจไม่ใช่ฝีมือคนของพรรคคอมมิวนิสต์ทั้งหมดก็ได้ ทหารน่ะ เมื่ออกรบอยู่ในสมรภูมิ ต้องห่างจากครอบครัวนานๆ ก็อาจกลายเป็นสติแตกได้ น้องอย่าเป็นกังวลมากไปเลย” เป็งฮวดปลอบโยนจางจื้อ แต่นางกลับพล่อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลียตอนไหนไม่รู้ เป็งฮวดลูบไล้เส้นผมของนางอย่างเบามือด้วยกลัวหญิงคนรักตื่น เขาอยากหยุดเวลาไว้แบบนี้แต่รู้ดีว่าไม่มีทาง สิ่งที่จะทำได้คือให้นางได้พักผ่อนให้ได้นานที่สุด หัวใจหนุ่ม-สาวในวัยแสวงหาแนบชิดกันใต้ท้องฟ้าสีดำที่ห่อคลุมปักกิ่ง

 

สามวันต่อมา ฝ่ายรัฐบาลกลางส่งกำลังเข้าปราบปรามผู้ก่อการประท้วงในปักกิ่งด้วยความรุนแรง เกิดเป็นจลาจลกลางเมือง เสียงปืนดังขึ้นเป็นชุด กระจกโรงพิมพ์แตกกระจายไปหลายบาน เป็งฮวดมองไปนอกหน้าต่างเห็นควันลอยขึ้นจากหลายจุด เป็งฮวดรีบออกจากโรงพิมพ์ตั้งใจไปหาจางจื้อที่ทำการสหภาพแรงงาน วันนี้มีการนัดประชุมย่อยร่วมกับตัวแทนมวลชนที่นั่น ระหว่างทางไปที่ทำการพรรคถนนสายหลักทุกสายถูกปิดโดยเจ้าหน้าที่รัฐ เป็งฮวดรู้ทางทางตรอกในปักกิ่งเป็นอย่างดี เพราะลงพื้นที่ในชุมชนแออัดเป็นประจำ เป็งฮวดวิ่งไม่คิดชีวิตขณะเสียงปืนยังคงดังประปราย เมื่อถึงที่ทำการฯ กลับพบแต่ โต๊ะ-เก้าอี้ ที่ล้มระเนระนาด เป็งฮวดมาถึงช้าเกินไป คนในสำนักงานถูกทางการจับไปหมดแล้ว ขณะที่เป็งฮวดยืนนิ่งด้วยตกตะลึงทำอะไรไม่ถูก ก็มีเสียงตะโกนว่าไฟไหม้ เป็งฮวดหันไปเห็นเพื่อนสมาชิกพรรคคนหนึ่ง วิ่งเข้ามากระชากเสื้อเป็งฮวด “หนีเร็ว พวกมันจุดไฟเผาห้องเก็บเอกสาร ไฟกำลังลุกไหม้ใหญ่แล้ว!!” ตอนเข้ามาเป็งฮวดมัวแต่ตกใจจนไม่ได้สนใจกลิ่นไหม้ ควันเริ่มก่อตัวพวยพุ่งออกมาจากประตูห้องหนึ่ง ทั้งคู่จึงรีบวิ่งหนีออกมา

 

เมื่อหนีออกมาได้ เป็งฮวดซักถามชายคนนั้นถึงสมาชิกคนอื่นๆ ชายที่หลบบนฝ้าเล่าให้เป็งฮวดฟังทั้งน้ำตาว่า เจ้าหน้าที่บุกเข้ามา ขณะที่เขาทำธุระอยู่ในห้องน้ำ จึงปีนขึ้นหลบบนฝ้า ซ่อนตัวอยู่บนฝ้า แอบมองผ่านช่องระแนงออกไปเห็นทุกคนถูกจับตัวขึ้นรถไป ยกเว้นจางจื้อที่ถูกเจ้าหน้าที่สามคนลากตัวไปเข้าไปในตรอกฝั่งตรงข้ามเยื้องกับที่ทำการของพรรค ...

แม้เป็งฮวดหลบหนีจากการปราบปรามในปักกิ่งมาได้ แต่ไม่เคยลืมภาพหญิงสาวคนรักนอนนิ่งไร้วิญญาณท่อนล่างเปลือยเปล่าในตรอกเน่าเหม็นได้เลย

 

ทั้งภาพสุดท้ายของหญิงคนรัก และข่าวการประหารชีวิตแกนนำผู้ก่อการในปักกิ่ง เปลี่ยนเป็งฮวดเป็นคนล่ะคน การกลับมาที่เตี่ยเอี๊ยไม่ใช่การถอดใจยอมแพ้แต่เป็นเพียงการกบดาน ชีวิตที่หลุดลอยของจางจื้อเป็นคือพิสูจน์ว่าทางสายกลางไม่ใช่คำตอบ การต่อสู้ทางอุดมการณ์ต้องไม่มีคำว่าปราณี เป็งฮวดตั้งใจศึกษาทฤษฏี และเผยแพร่แนวทางของลัทธิคอมมิวนิสต์ให้แก่เกาย้ง โดยหมายมั่นให้เกาย้งเป็นแกนนำ ออกไปเชิญชวนคนรุ่นใหม่มาร่วมขบวน เพื่อวางรากฐานลัทธิคอมมิวนิสต์ในพื้นที่ในภูมิภาค

 

ส่วนเกาย้งนั้น แม้อาศัยหลับนอนที่ศาลเจ้าจนโตเป็นหนุ่ม แต่กลับไม่มีความนิยมชมชอบในศาสนาหรือลัทธิขงจื้อโบราณ เป็งฮวดสอนเกาย้งว่า “ลัทธิขงจื้อสอนให้ผู้คนยอมรับเรื่องชนชั้นและศักดินา” จึงต้องต่อต้าน เป็งฮวดเห็นแววนักปฏิวัติในตัวเกาย้งตั้งแต่ก่อนไปทำงานที่ปักกิ่ง เมื่อกลับมาที่เตี่ยเอี๊ยจึงเชิญชวนเกาย้งมาช่วยกันเปลี่ยนประเทศ

 

ใช่แล้ว เกาย้งมีเชื่อว่ามันถูกต้องแล้วที่เพื่อนทุกคนควรเข้าร่วมช่วยกันเปลี่ยนประเทศนี้ ให้เป็นระบอบไร้ศักดินา แต่ยี่เก้าเพื่อนที่สนิทที่สุดกลับปฏิเสธเป็นคนแรก..

 

“เจ๊กเป็ง อั๊วไม่คิดเลยนะว่ายี่เก้ามันจะเป็นคนเห็นแก่ตัวแบบนี้ คิดถึงแต่ความสบายส่วนตน ไม่อยากจะนับว่าเป็นคนที่โตมาด้วยกัน” บ่ายวันหนึ่ง เกาย้งตัดพ้อให้เป็งฮวดให้ฟังเรื่องที่ไปดักเจอยี่เก้า “ครอบครัวยี่เก้าขายหมูมาหลายรุ่น ยังไงก็ยังเป็นพวกกฎุมพี นับเป็นชนชั้นกลาง คนพวกนี้น่ะ ดีแต่หาผลกำไร ไม่มาสนใจชนชั้นรากหญ้าหรอก พวกนี้ไม่เห็นโรงศพไม่หลั่งน้ำตา” เป็งฮวดกล่าวสีหน้านิ่งเฉย

 

“แล้วเพื่อนลื้อไปทำอะไรที่บ้านผู้อาวุโสฮก?” เป็งฮวดสงสัย 

 

“ยี่เก้าคงไปฟังเรื่องเล่าของเฒ่าฮกน่ะ เคยคุยกันไว้ว่าจะไปด้วยกัน แต่อั๊วเปลี่ยนใจจึงยังไม่เคยไป” อาย้งตอบตามความจริง

 

“อืม ผู้เฒ่าคนนี้ หายจากหมู่บ้านไปหลายสิบปี กลับมาที่นี่ก็ไม่ยอมย้ายเข้าไปรวมอยู่กับคนอื่นๆ ในหมู่บ้าน ทั้งยังเก็บตัวเงียบ อั๊วมีความรู้สึกว่าตาแก่คนนี้มีอะไรน่าสงสัยนัก อาจจะเป็นสายลับให้ทางการ” เป็งฮวดหรี่เสียง หันมองหน้าเกาย้ง

 

“อืม.. อั๊วไม่แน่ใจเรื่องนี้นัก แต่จะว่าไป ตอนชวนยี่เก้าให้มาเข้าร่วมกับเรา ตอนที่อั๊วพูดถึงลัทธิมาซ์ก ยี่เก้าก็รีบปฏิเสธทันทีว่าไม่ต้องการร่วมขบวนการคอมมิวนิสต์ และยังพูดใส่หน้าอั๊วด้วยว่า ระวังจะโดนหลอกใช้” เกาย้งกล่าวด้วยน้ำเสียงโมโห

 

“ยี่เก้าพูดอย่างงั้นหรือ? ลัทธิมาซ์ก และพรรคคอมมิวนิสต์ถือเป็นเรื่องใหม่สำหรับชาวบ้านในพื้นที่นี้ หากไม่ได้เป็นคนที่ติดตามความเคลื่อนไหวทางการเมืองแล้ว ไม่น่าจะไม่รู้เรื่องอะไร” เป็งฮวดเงียบชั่วขณะก่อนหันไปถามเกาย้ง “ที่ผ่านมาลื้อเคยได้ยินยี่เก้าพูดถึงเรื่องการเมืองบ้างหรือไม่?”

 

“ไม่ อั๊วกับยี่เก้าเราไม่เคยคุยกันเรื่องนี้ ยี่เก้าดูไม่เคยสนใจเรื่องการเมืองด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้กลับทำเหมือนรู้ดี หรือว่า..ตอนนี้ยี่เก้าแอบร่วมมือกับตาเฒ่า เคลื่อนไหวบางอย่างทางการเมือง?” เกาย้งกล่าวถามสหายรุ่นใหญ่ด้วยน้ำเสียงตระหนก

 

“อาจเป็นไปได้ การที่ยี่เก้าปฏิเสธคำชวนลื้อและบอกให้ระวังถูกหลอกใช้ หมายความว่าเพื่อนลื้ออาจเข้ากับฝ่ายตรงข้ามไปแล้ว” เป็งฮวดยืนกัดฟันกรอดๆ “การช่วงชิงมวลชนในพื้นที่เริ่มขึ้นแล้วหรือนี่ และไอ้เฒ่าสารเลวนั่นมันชิงลงมือก่อน พวกมันเป็นศัตรูกับพรรดิคอมมิวนิสต์จีน!” เสียงเป็งฮวดแข็งกร้าว ภาพจางจื้อนอนอยู่ในตรอกผุดเข้ามาในหัว เป็งฮวดสะกดอารมณ์หันมากล่าวกับสหาย “เกาย้ง ในฐานะคนรุ่นใหม่ผู้ร่วมอุดมการณ์คนแรกของภูมิภาค อั๊วขอมอบภารกิจให้ลื้อ...”

 

 คืนดึกสงัด พระจันทร์เสี้ยวทอดแสงว้าเหว่ลงมาเบื้องล่าง นกกลางคืนส่งเสียงร้องมาจากความมืด ณ บริเวณบ้านปูนหลังเก่าแก่ของผู้เฒ่า เกาย้งอาศัยความมืดของราตรี ปีนต้นไม้ริมรั้วบ้านฝั่งหนึ่ง ด้วยความระมัดระวังไม่ให้เกิดเสียง เกาย้งค่อยๆ ทิ้งน้ำหนักเท้าลงแผ่นกระเบื้องแผ่วเบาก่อนข้ามเข้าไปในเขตลานหน้าบ้าน

 

เกาย้งคอยอยู่นิ่งๆ จนแน่ใจว่าเฒ่าฮกหลับแล้ว ตะเกียงในบ้านดับสนิทมีเพียงความมืด เกาย้งลอบเข้ามาในบ้านเฒ่าฮกหวังว่าจะพบเอกสาร อาวุธหรือเบาะแสอย่างใดอย่างหนึ่งของทางการ ในแสงสลัวของเสี้ยวจันทร์ เกาย้งลอบเข้าไปในห้องเก็บของอย่างเงียบเฉียบ เกาย้งแปลกใจว่าห้องเก็บของมีแต่ความว่างเปล่า แสงจันทร์สลัวส่งผ่านลูกกรงหน้าต่างเข้ามา เกาย้งเห็นรูปคนจีนสองคนยืนอยู่ข้างหมอฝรั่งที่นั่งเก้าอี้เอาแขนเท้าไว้บนโต๊ะ ข้างรูปภาพเป็นสร้อยไม้กางเขนแขวนห้อย..

 

 

“เป็นอย่างที่อั๊วคิดไว้ไม่ผิด ไอ้เฒ่าขายชาตินั่นคบหากับพวกตะวันตก!” เป็งฮวดตัวสั่นกำหมัดแน่น

“ไม่อยากจะเชื่อว่าผู้อาวุโสจะขายชาติได้เยี่ยงนั้น” เกาย้งกล่าวออกมาแผ่วเบา “แล้วเราจะทำอย่างไรกันดี หากเฒ่าฮกรู้ว่ามีคนของพรรคคอมมิวนิสต์เคลื่อนไหวในพื้นที่ ต้องแจ้งทางการให้มาจับตัวพวกเราแน่ๆ” เกาย้งพยายามสะกดอารมณ์ตื่นตระหนก

 

“เราต้องชิงลงมือก่อน” น้ำเสียงเป็งฮวดหนักแน่น

 

“ยังไงหรือ?” เกาย้งไม่เข้าใจ

 

“เอาเถอะ รอให้ถึงคืนพระจันทร์มืดสนิทซะก่อน ลื้อก็จะรู้เอง วันนี้เราต้องกลับเข้าไปในหมู่บ้าน ลื้อต้องเอาผักไปแลกข้าวสาร ส่วนอั๊วจะกลับไปเยี่ยมอาเป็งหลานอั๊วซักหน่อย รีบไปกันดีกว่า มิเช่นนั้นอาจจะกลับมาไม่ทันคืนนี้” เป็งฮวดพูดตัดบท ก่อนลุกขึ้นเตรียมตัวเข้าหมู่บ้าน

 

ท้องฟ้าวันนี้เป็นสีเทาอากาศอบอ้าว ตลอดทางเดินเข้าหมู่บ้าน ระหว่างเป็งฮวดกับเกาย้งมีแต่ความเงียบจนเกาย้งรู้สึกอึดอัด เมื่อทั้งสองเดินเท้ามาได้กว่าครึ่งทาง ณ ชายป่าโปร่งตรงที่มีก้อนหินก้อนใหญ่สงบนิ่งอยู่ริมทาง เกาย้งก็หยุดเดินและทำลายความเงียบขึ้นด้วยคำถามที่ค้างคาในใจ “เจ๊กเป็ง ลื้อคิดจะฆ่าเฒ่าอาวุโสจริงๆหรือ?”

 

 เป็งฮวดสืบเท้าเดินต่อราวกับไม่ได้ยินคำถาม “อั๊วเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงย่อมต้องมีการเสียสละ แต่ถ้าชาวบ้านรู้ว่าเราฆ่าเฒ่าฮกจะไม่เป็นปัญหาใหญ่หรือ ดีไม่ดีชาวบ้านแจ้งทางการเราก็จะโดนจับกันหมด” เกาย้งน้ำเสียงไม่สู้ดีนัก

 

เป็งฮวดหยุดเท้า “คนแก่ขนาดนั้น ถ้าตายโดยที่ไม่มีบาดแผลก็ไม่มีใครสงสัยหรอก ที่ชนบทห่างไกลขนาดนี้ ถ้าไม่มีเหตุการณ์สำคัญจริงๆ ทางการไม่ลงทุนเดินทางมาพิสูจน์หรอก ที่สำคัญนะ ถ้าลื้อยังยึดติดกับความคิดที่ว่าตาแก่ฮกเป็นผู้อาวุโสแสดงว่าลื้อยังไม่เข้าใจแก่นแท้ของการปฏิวัติ ยังไงก็ตามฝ่ายตรงข้ามมันไม่ปล่อยเราไว้อยู่แล้ว ถ้าเราไม่ชิงลงมือก่อนเราก็ตาย” เป็งฮวดหันกลับมาพูดเสียงเย็น “ถึงอั๊วจะเป็นคอมมิวนิสต์หรือไม่ได้เป็นคอมมิวนิสต์ อั๊วก็จะทำทุกอย่าง ยอมตกนรกทุกขุม เพื่อให้ชาติจีนของเรากลับมายิ่งใหญ่ไม่ต้องโดนห่มเหงอีก!!”

 

เกาย้งก้มหน้าไม่สบตาเขม็งของเป็งฮวด ทั้งคู่ออกเดินเท้าต่อไปโดยไม่ได้พูดอะไรกันอีก บทสนทนาของทั้งคู่จบลง ณ ชายป่าแห่งนั้น โดยไม่รู้ว่ามีชายวัยกลางคนนอนพักอยู่หลังหินก้อนใหญ่ที่ตั้งสงบนิ่งอยู่ริมทาง

 

กวงเม้งออกมาหาสมุนไพรตั้งแต่เช้า หลังการประชุมหมู่บ้านไม่กี่วัน เมียของเขาก็ให้กำเนิดบุตรชาย เป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งนัก หากไม่นับความอดอยากที่คนเป็นพ่อ-แม่ก็แทบไม่เคยได้อิ่มท้อง กวงเม้งเดินเลาะหาสมุนไพรตามชายป่า เพื่อนำไปต้มเป็นยาให้เมียที่เพิ่งคลอดดื่มเพื่อบำรุงร่างกาย พักหลังนี้ ตั้งแต่มีปากเสียงกับคนอื่นๆ เรื่องแบ่งน้ำในที่ประชุมหมู่บ้านวันนั้น กวงเม้งก็ไม่อยากออกไปพบสมาคมกับใคร กวงเม้งรู้สึกถูกหักหน้าและเจ็บแค้นเมื่อถูกเป็งฮวดที่อายุคราวลูก ต่อว่าในที่ชุมชนว่าเป็นคนขี้ขลาด

 

หลังให้กำเนิดบุตรชายเมียของเขาก็ดูระโหยอ่อนแรงลงเรื่อยๆ เขาจึงต้องทำทุกทางเพื่อหาทางต่อชีวิตให้แม่ของลูกชาย กวงเม้งตามหาสมุนไพรจนถึงชายป่าฝั่งท้ายหมู่บ้าน ก็หิวจนหน้ามืดวิงเวียน จำต้องหามุมหลบแดดนอนพักหลังก้อนหินใหญ่ ตรงชายป่า กวงเม้งไม่รู้ตัวว่างีบหลับไปเมื่อไหร่ แต่ในกึ่งหลับกึ่งตื่นได้ยินเสียงชายสองคนคุยกัน ตอนแรกคิดไปว่าตนคงหิวจนหูแว่ว แต่เมื่อเป็นเสียงที่คุ้นแค้นในหู จึงตั้งใจเงี่ยหูฟังดีๆ....

 

แรมสิบสี่ค่ำ ท้องฟ้ามืดสนิทโปรยละอองน้ำค้างเปียกชื้นยอดไม้ หน้าบ้านปูนเก่าแก่ เกาย้งข่มร่างกายไม่ให้สั่น ยกมือกำหมัดค้าง ความลังเลปรากฎในมโนสำนึกชั่วอึดใจ เกาย้งกัดริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว รวบรวมความกล้าทั้งหมดเคาะหลังมือกับประตูไม้ พร้อมส่งเสียงเรียกหน้าบ้านผู้เฒ่าฮก เป็นเวลาสักพักหนึ่งประตูไม้บ้านเฒ่าฮกแง้มออกช้าๆ เห็นแสงตะเกียงในมือเฒ่าฮกส่องสลัว “มาดึกๆดื่นๆ มีอะไรเร่งด่วนหรืออาย้ง?” เฒ่าฮกถามด้วยน้ำสงสัย

 

“ขอโทษผู้อาวุโสที่มารบกวนตอนดึก อั๊วย้ายออกจากหมู่บ้านมาอยู่บริเวณนี้กับอาเจ็กเป็งฮวด ช่วงหัวค่ำที่ผ่านมา อยู่ดีๆ อาเจ๊กเป็งฮวดก็อาเจียนเป็นเลือด อั๊วคิดว่าเดี๋ยวสักพักก็คงดีขึ้น แต่กลับยิ่งดิ้นทุรนทุราย ผู้อาวุโสผ่านประสบกรณ์โชกโชน อาจจะบอกได้ว่าอาเจ๊กเป็งป่วยเป็นอะไร ขอผู้อาวุโสช่วยไปดูอาการให้ได้หรือไม่?” เกาย้งเสียงสั่น ก้มไม่มองหน้าเฒ่าอาวุโส

 

“เกาย้ง ทำไมลื้อตัวสั่นขนาดนั้นล่ะ?” เฒ่าอาวุโสถามเสียงเย็นเยียบ อาย้งก้มหน้าไม่ตอบคำ พยายามสั่งร่างกายไม่ให้สั่นแต่ร่างกายไม่ยอมฟัง “ลื้อ คงเคารพนับถือเป็งฮวดมากสินะ เอาเถอะ ลื้อไม่ต้องกังวลไปหรอก” เกาย้งเงยหน้ามองเฒ่าฮก ไม่เข้าใจว่าเฒ่าชราพูดเรื่องอะไร?

 

“ไม่ต้องให้อั๊วเดินไปไหนไกลๆ หรอก เป็งฮวดหลบอยู่หลังประตูไม้ใช่มั้ย? เข้ามาสิ อั๊วทิ้งบ้านมานานเกินไปแล้ว ถ้าจะตายคืนนี้ อั๊วขอตายที่บ้านของครอบครัว คงไม่เป็นการขอเกินไปใช่ไหม ออกมาเถอะเป็งฮวด” เฒ่าฮกเชิดหน้าพูดเสียงกังวาน

 

เป็งฮวดปรากฏตัวออกจากเงามืดหลังประตูไม้ พร้อมผ้าแพรสีน้ำตาลในมือ

 

“ลื้อให้เกาย้งมาเรียกออกไปข้างนอก เมื่ออั๊วก้าวเท้าพ้นประตู ลื้อก็จะใช้ผ้าแพรรัดคออั๊วจากด้านหลัง เลือกใช้ผ้าแพรแทนเชือกเพราะไม่ทิ้งร่อยรอยไว้ที่ศพ คนแก่อยู่ในบ้านคนเดียวในที่ไกลๆ เป็นอะไรไป คนก็คิดว่าอั๊วแก่ตาย” น้ำเสียงเฒ่าฮกฟังเป็นธรรมชาติ ไม่มีตื่นกลัว “อั๊วถามหน่อยเถอะ ลื้อไปเรียนวิชาฆ่าคนแบบนี้มาจากไหน?” เฒ่าฮกถามเป็งฮวดที่ยืนตาขวางหน้าประตู

 

“เป็งฮวด อั๊วใช้ชีวิตนาน พบเห็นอะไรมากมายเกินไป ลูกหลานก็ไม่มี คนรู้จักก็จากไปหมดแล้ว ถ้าจะต้องมาตายคืนนี้อั๊วไม่มีอะไรต้องเสียดาย อั๊วแค่สงสัยว่าทำไมคอมมิวนิสต์ถึงต้องการเอาชีวิตคนแก่อย่างอั๊ว”

 

“เพราะลื้อเป็นสายลับขายชาติให้พวกตะวันตก!!” เป็งฮวดตะคอกพร้อมก้าวเท้าเข้ามาเขตบ้าน“ภาพถ่ายกับฝรั่ง และไม้กางเขนในห้องเก็บของลื้อเป็นเครื่องยืนยัน!!” เป็งฮวดพร้อมสืบเท้าช้าๆ เข้าหาเฒ่าฮก

 

เฒ่าชรานิ่งไปชั่วอึดใจ แผงเคราสีขาวขยับไหว เมื่อเฒ่าฮกพยักหน้าช้าๆ พอจะเดาเรื่องที่เกิดได้แล้ว ทั้งสองคนเข้าใจผิดว่าตนเป็นสายลับให้พวกตะวันตก เพราะเห็นไม้กางเขนและภาพถ่ายกับหมอฝรั่ง เหตุการณ์บานปลายขนาดนี้ทั้งสองคงไม่ยอมฟังอะไรเป็นแน่ เฒ่าฮกถอนหายใจเฮือกใหญ่

 

เฒ่าชราพร้อมเผชิญหน้ากับความตายมานานแล้ว อันที่จริง เตียวฮกคนนี้ ตายแล้วเกิดใหม่มาหลายครั้ง มีเพียงแต่ร่างกายผุพังที่ยังอยู่ เฒ่าฮกไม่ได้บอกใครว่า กวงเม้ง แอบมาเตือนตั้งแต่สี่วันก่อน ว่าให้ระวังตัว เป็งฮวดเป็นคอมมิวนิสต์และวางแผนจะมาเอาชีวิตตน

 

“อั๊วเข้าใจแล้ว แต่เกาย้งยังเด็ก ไม่ควรต้องมารู้เห็นความเกลียดชังของโลกสกปรกใบนี้” เฒ่าฮกพูดขณะปรายตามองเกาย้งที่ยังไม่หายตัวสั่น “ให้เกาย้งออกไปก่อนเถอะ” เฒ่าฮกบอกเป็งฮวดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง

 

“หึ ผู้เฒ่าเข้าใจผิดแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องความเกลียดชังแม้แต่นิดเดียวเพราะอั๊วไม่ได้มีปัญหาส่วนตัวกับลื้อ แต่อั๊วต้องทำเพราะความรักชาติต่างหาก นี่คือสิ่งเยาวชนต้องเรียนรู้เพราะหลังจากนี้ จะต้องมีการสละชีวิตกันอีกมาก อั๊วเชื่อว่าในท้ายที่สุด คนรุ่นใหม่จะสร้างชาติจีนให้กลับมายิ่งใหญ่ได้อีกแน่นอน” เป็งฮวดกล่าวโดยไม่ได้หันไปมองเกาย้งที่หน้าตาเหมือนกำลังจะร้องไห้

 

เฒ่าผู้ผ่านเรื่องร้ายๆมาโชกโชนส่ายหัว “ลื้อจะทำเพื่ออุดมการณ์ใดๆ ก็ตาม อั๊วไม่ขัดขวางวีถีชีวิตใครทั้งนั้น แต่ลื้อกำลังเข้าใจผิดว่า ว่าเราจะสร้างสังคมที่ดีกว่าได้ด้วยการฆ่า และลื้อยิ่งเข้าใจผิดไปมาก ที่เรียกสิ่งนี้ว่าความรักชาติ”

 

“ผู้หญิงคนหนึ่งที่อั๊วรู้จัก เคยบอกว่าการปฏิวัติที่มีพื้นฐานมาจากความเห็นใจเพื่อนมนุษย์เป็นที่สุดของการปฏิวัติ แต่สุดท้ายนางก็ตายอย่างไร้ค่าในตรอกเน่าเหม็น ด้วยฝีมือของพวกคณะชาติ นางได้พิสูจน์ความเชื่อนี้ด้วยชีวิตตัวเองแล้ว” เป็งฮวดเสียงสั่น “อั๊วไม่สนความคิดของคนแก่ใกล้ตายอย่างลื้อ เพราะคนรุ่นเก่าๆ อย่างลื้อนี่แหละ ประเทศจีนถึงได้ตกต่ำเพียงนี้ จากนี้ลื้อรอดูความรุ่งโรจน์ของเมืองจีนจากปรโลกซะ คนขายชาติอย่างลื้อมีชีวิตอยู่มานานเกินไปแล้วจริงๆ คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายในชีวิตลื้อ!” เป็งฮวดขยับเข้าใกล้เฒ่าฮกที่ยืนนิ่งไม่หลบตา เกาย้งยังคงยืนตัวสั่นงั่กอยู่ที่เดิม

 

ดวงตาเป็งฮวดเขม็งกร้าว สองมือกำปลายผ้าแพรสีน้ำตาลไว้แน่น ย่างสามขุมมาหาเฒ่าฮก ผู้เฒ่าสังเกตเห็นด้ามมีดเหน็บอยู่ที่พุงเป็งฮวด ภาพตอนถูกมีดพาดคอบนอยู่ริมถนนเมื่อหลายสิบปีก่อนหวนกลับมาหลอกหลอน นัยตาฝ้าขุ่นมองเห็นเป็งฮวดที่กำลังเดินเข้ามาใกล้เป็นคนในบังคับอังกฤษสติแตกคนนั้น โสตประสาทแว่วได้ยินเสียงคนกรีดร้อง จังหวะที่เป็งฮวดพุ่งเข้ามาหมายจะรวบตัวเฒ่าฮก เฒ่าชราอดีตพลทหารพิทักษ์ชาติตั้งศอกขึ้นมาโดยสัญชาตญาณ หน้าของเป็งฮวดที่พุ่งเข้ามาปะทะกับดุ้นศอกถึงกับผงะ เฒ่าฮกเตะกวาดขาปัดข้อเท้ากวงเม้งที่กำลังเสียหลักลงไปนั่งกับพื้น เกาย้งยังยืนตัวสั่นอยู่ที่เดิม

 

เป็งฮวดลุกขึ้นได้ก็พุ่งตัวเอาหัวไหล่กระแทกร่างของผู้เฒ่าล้มลง มือสองข้างจับข้อมือเฒ่าฮกกับขึงกดกับพื้น “เกาย้ง ลื้อเอาผ้ามารัดคอมันไว้!” เกาย้งสะดุ้งตื่นจากภวังค์พุ่งตัวไปหยิบผ้าแพรบนพื้นตามคำสั่ง  

 

เฒ่าฮกพยายามดิ้นเพื่อสะบัดให้หลุดจากแรงกด สายตาจับจ้องมองเกาย้งที่กำลังหยิบผ้าแพรขึ้นมา ร่างกายชราเกินสู้แรงฉกรรจ์ของเป็งฮวดจึงไม่สามารถดิ้นหลุดไปได้ เฒ่าฮกหมดแรงจึงหยุดดิ้น ปิดดวงตาทั้งคู่ยอมรับชะตากรรม ภาพเรื่องราวในชีวิตไหลผ่านเข้าหัวในเสี้ยววินาที ภาพหมอฝรั่ง หย่งเส็ง ลูก-เมีย คณะมิชชันนารี กองทัพพิทักษ์ชาติ แต่ที่แจ่มชัดที่สุดกลับเป็นภาพแม่ กำลังนั่งรอลูกชายที่หายตัวไปจากบ้านปีแล้วปีเล่า น้ำตาหยดแรกไหลรินจากหางตาจังหวะเดียวกับที่เกาย้งกำลังก้มลงจากด้านหัวพาดผ้าแพรไว้กับคอ เกาย้งชะงักมือพลันสะอื้นไห้ออกมา

 

“เฮ้ย ลงมือซะที ร้องไห้หาอะไรวะ!!” เป็งฮวดตะคอก แต่เกาย้งกลับปล่อยโฮออกมาก เป็งฮวดเห็นตาเฒ่าหยุดดิ้น แล้วจึงส่งหมัดชกลงไปที่ท้องผู้เฒ่าเต็มแรง ร่างชราสะดุ้งงอด้วยความจุกปวด เป็งฮวดผละออกมาแย่งผ้าแพรจากมือเกาย้ง ก่อนผลักเกาย้งกระเด็นออกไปพ้นทาง

 

เป็งฮวดแสยะยิ้ม จับปลายผ้าแพรทั้งสองฝั่งชูขึ้น ตะโกนก้อง “จางจื้อ อั๊วจะล้างแค้นให้ลื้อเดี๋ยวนี้แหละ!!” 

เป็งฮวดกำลังออกแรงมัดผ้าเข้ากับก้านคอของเฒ่าฮกที่หมดแรงขัดขืนเต็มแรง ร่างแก่ชราจิกเกร็งด้วยทุรนทุราย พลันมีเสียงกระแทกจากประตูหน้าบ้าน เป็งฮวดเงยหน้าขึ้นมอง แสบตาจากประกายไฟวาบตาม ด้วยเสียงปืนดังขึ้นสามนัด...

 

เมื่อเสียงปืนสงบ เฒ่าฮกที่ใกล้หมดสติเห็นผู้ชายในชุดเจ้าหน้าที่รัฐสี่คนพร้อมปืนในมือ ด้านหลังของเจ้าหน้าที่ สายตาชายชราเห็นกวงเม้งเดินผ่านประตูไม้ตามเจ้าหน้าที่เข้ามา แล้วภาพก็ตัดไป..

 

คืนนั้น ลูกตะกั่วลูกหนึ่งทะลวงลำคอเป็งฮวด อีกสองนัดทะลุหัวไหล่และแขนซ้าย เป็งฮวดทรุดลงเสียชีวิตทันที นัยตาเบิกกว้างของเป็งฮวดสะท้อนภาพจางจื้อนอนนิ่งในตรอกเน่าเหม็น

 

เกาย้งเห็นเป็งฮวดถูกเจ้าหน้าที่ยิง ก็วิ่งไปเข้าไปในบ้าน หนีออกหน้าต่างก่อนปีนรั้วหนีหายไปในความมืดพร้อมกับกางเกงที่เปียกแฉะด้วยฉี่ตัวเอง

 

กวงเม้งไม่เคยรู้จักว่าคอมมิวนิสต์คืออะไร แต่จากที่ได้ยินทั้งสองคุยกันที่ชายป่าวันนั้น ก็เดาได้ว่าเป็นพวกคนกลุ่มหนึ่งที่ต่อต้านรัฐบาล ด้วยแค้นฝังใจที่มีต่อเป็งฮวดเป็นทุนเดิมตั้งแต่วันที่ประชุมหมู่บ้าน จึงนำเรื่องไปบอกเฒ่าฮกให้ระวังตัว ก่อนเข้าไปแจ้งนายอำเภอในซัวเถา

 

เมื่อแรกเจ้าหน้าที่ยังไม่รู้ที่กบดานของเป็งฮวดกับเกาย้ง แต่เมื่อได้เบาะแสว่าทั้งสองจะลงมือวันแรมสิบห้าที่มืดที่สุด เจ้าหน้าที่จึงปลอมตัวมาอยู่ในพื้นที่ตั้งแต่เย็นของวันแรมสิบสี่ค่ำ เจ้าหน้าที่รัฐซุ่มรอในป่าห่างจากบ้านเฒ่าฮกไปไม่ไกล เมื่อได้ยินเสียงดังเอะอะมาจากในบ้านจึงบุกเข้ามา ทำให้ชีวิตใกล้ฝั่งของเฒ่าฮกยังไม่ถึงคราวดับสลายในคืนไร้จันทร์

 

หนึ่งเดือนต่อมา

“ตอนนี้ลื้อเป็นอย่างไรบ้าง มีภรรยาแล้วรู้สึกชีวิตสมบูรณ์ขึ้นไหม?” เฒ่าฮกถามอาเบ๊เสียงสดใส พร้อมรินน้ำชาให้แขกที่มาเยี่ยม

 

 “อั๊วมีความสุขดี ท่านผู้เฒ่า แต๊สีดูแลอั๊วดี” อาเบ๊ตอบตามความจริง สายตามองไปที่กอไผ่อาวุโสหน้าบ้านผู้เฒ่า “ว่าแต่ผู้เฒ่าเองหายดีแล้วหรือ?”

 

“ร่างกายอั๊วก็แก่เฒ่าขนาดนี้ คงไม่มีอะไรหายดีหรอก แค่ยังหายใจได้ เดินเหินได้ก็ถือว่าโชคดีแล้ว” น้ำเสียงผู้เฒ่ากลั้วหัวเราะในที “ลื้อได้ข่าวเพื่อนลื้อบ้างหรือไม่?” ยี่เก้าส่ายหัวขณะระบายควันบุหรี่ในอากาศ เขาไม่ได้พบเพื่อนที่โตมาด้วยกันอีกเลย

 

“อั๊วเป็นห่วงว่าเกาย้งจะเดินทางผิดเหมือนเป็งฮวด.. ถ้าคืนนั้นอาย้งไม่ลังเลอั๊วคงตายไปแล้วจริงๆ” เฒ่าชราเหม่อมองไปภายนอก เห็นนกบินอยู่ไกลๆ

 

“ผู้อาวุโสโกรธแค้นเจ็กเป็งฮวดกับเกาย้งหรือไม่?”

 

ผู้เฒ่าอาวุโสส่ายหัว “ทั้งสองคนเชื่อว่าตัวเองทำสิ่งที่ถูกต้องเพราะเหตุการณ์ที่เคยผ่าน กลายเป็นปมในชีวิต ถึงแม้ทั้งสองเลือกที่จะใช้ความรุนแรงก็จริง แต่เป็งฮวดนั้นถูกชะตาชีวิตผลักดันให้เหลือความคิดแค่สองทาง คือเป็นฝ่ายฆ่า-หรือฝ่ายถูกฆ่า ส่วนเกาย้งที่ไม่มีสิ่งใดแม้แต่ครอบครัวย่อมมองหาที่ทางให้ความรู้สึกตัวเอง เพื่อที่จะได้มีตัวตนและคุณค่าในโลกบิดเบี้ยวใบนี้ ยิ่งเป็นคนหนุ่มก็ยิ่งมีโอกาสอาจจะหลุดออกจากวิถีที่ถูกที่ควรได้ง่าย” อาเบ๊สัมผัสบางอย่างได้จากน้ำเสียงผู้เฒ่า

 

“กระแสของโลกส่งผลต่อชีวิตคนเราไม่มากก็น้อย ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม หลายๆ ครั้ง ที่สิ่งนี้ได้สร้างปีศาจขึ้นมา อั๊วจึงไม่ถือโทษว่าเป็นความผิดของสองคนนั้นทั้งหมด แท้จริงแล้วทั้งคู่ต่างเป็นจำเลยของยุคสมัย ช่างเป็นชีวิตที่อาภัพ ไม่ต่างกลับชีวิตของอั๊วเท่าไหร่นัก” เฒ่ามองหน้ายี่เก้า รู้ว่ายี่เก้าเป็นห่วงเพื่อน

 

ระหว่างทางเดินกลับหมู่บ้าน ยี่เก้านึกถึงคำสอนสุดท้ายของผู้เฒ่าก่อนขอลากลับบ้าน “จงให้ความรักที่มีต่อครอบครัวนำทางชีวิตลื้อ จงจำข้อนี้ไว้ให้ดีๆ....”

 

เสียงกอไผ่เอนไหวเสียดสีดังเข้ามาในบ้าน มีกลิ่นหอมจางๆ ในสายลมที่พัดโชย ผู้เฒ่าอาวุโสทิ้งก้นบุหรี่มวนสุดท้ายลงกระโถน ลุกเดินเชื่องช้าเข้าไปห้องเก็บของที่ว่างเปล่า เฒ่าชราแหงนมองภาพถ่ายกับไม้กางเขนบนผนัง สายตาขุ่นฝ้ามากขึ้นแต่ภาพในทรงจำแจ่มชัดไม่เคยเลือน ฤดูอันแห้งแล้งได้พ้นผ่านไปแล้ว ลมแห่งฤดูกาลพัดพาเอาฟ้าสวยใส ไร้ก้อนเมฆมาถึงบ้านเตี่ยเอี๊ย

 

มันก็เหมือนทุกๆ ปี ที่มีชีวิตใหม่กำเนิดขึ้น ขณะชีวิตเก่าก็ผลัดใบจากลา อย่างที่เคยเป็นเสมอมา..

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา