และนี่คือ!!! วิญญาณคุณชายสุดเฮี้ยนกับนายนักเขียนสยองขวัญ
-
เขียนโดย BennieRule
วันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 เวลา 15.01 น.
12 ตอน
0 วิจารณ์
12.00K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 15.07 น. โดย เจ้าของนิยาย
10) บทที่ 10 เสียงดนตรีไทยในคอนโด
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความสองหนุ่มหัวดำหัวแดงเดินดุ่ยขึ้นบันไดไปจากชั้นที่ 12 ไปยังชั้น 14 และในระหว่างที่เดินก้าวเท้าฉับ ๆ ไปไว ๆ สายตาของคิดก็หันไปสบกับเสื้อที่เวิร์คสวมใส่อยู่ มันเป็นเสื้อยืดสีดำสกรีนโลโก้หนังสยองขวัญด้วยอักษรภาษาไทยเหมือนแบบหนังสือการ์ตูนผีเล่มละไม่กี่บาท
เวิร์คยิ้มเล็ก ๆ อย่างภูมิใจเมื่อเห็นคิดหันมามองเสื้อของตนก่อนเอ่ยขึ้นว่า “เสื้อใหม่เพิ่งได้มาน่ะครับ กำลังเห่อ”
เวิร์คพูดพลางถกขอบเสื้อให้ตึงเพื่อแสดงลวดลายเสื้อผ้าให้คิดเห็นชัด ๆ
“รู้ไหมคุณคิด เสื้อตัวนี้นี่มาจากหนังเรื่อง ‘ค่ำคืนสะพรึงกลัว’ หนังสยองขวัญจากผลงานนวนิยายชื่อเดียวกัน ผมชิงโชคได้มาจากแฟนเพจหนัง จำนวนจำกัดหายากนะเนี่ย”
คิดรู้ดีว่าผลงานเรื่องนี้ชื่ออะไร เพราะตนครุ่นคิดอยู่นานกว่าจะได้ชื่อนี้ และตัดสินใจตั้งชื่อในนาทีสุดท้ายของเดดไลน์โรงพิม แม้ว่าจะตีพิมพ์ทัน แต่ท้ายที่สุดก็โดนบรรณาธิการเสือดุขนานหนักไปหลายวัน
ด้านเสื้อรางวัลชิงโชคเป็นของค่ายหนังที่ซื้อลิขสิทธิ์ไป แม้แต่คิดเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อนเหมือนกัน ดังนั้นเขาจึงมองดูด้วยความสนใจและตื่นเต้นเมื่อเห็นผลงานตนเองอยู่บนเสื้อเป็นครั้งแรก
“โห สุดยอดเลยครับ แล้วคุณเวิร์คชอบนิยายเรื่องนี้หรือเปล่าครับ?” เขาถามด้วยความอยากรู้ความเห็นนักอ่าน
“เรียกคลั่งไคล้ได้เลยคุณคิด เล่มนี้อ่านซ้ำแล้วซ้ำอีกจนกระดาษเปื่อย ผมซื้อมาสามเล่ม เล่มนึงบูชา เล่นนึงอ่าน เล่มหนึ่งโชว์ มันโคตรสนุก กลิ่นอายเอย มีเสน่ห์มนตร์ขลังเอย ความระทึกขวัญแบบนี้หายากมากนะในบ้านเรา ไว้เจอเจ้าตัว ผมจะเข้าไปขอลายเซ็นหนังสือกับเสื้อนี้ให้ได้เลย”
“เอ๊ะ ไปขอลายเซ็นนักเขียนหรือครับ?”
“เดี๋ยวหนังจะฉายเร็ว ๆ นี้ เว็บชมรมเล่าสู่กันฟังของผมก็ได้บัตรเชิญรอบสื่อด้วยครับ ผมว่านักเขียนเรื่องนี้ต้องมาอยู่แล้วล่ะ”
เขาไม่ยักจะได้ข่าวเชื้อเชิญนี้เลย คิดได้แต่นึก
อาจเพราะพี่เสือกำลังให้เขาครุ่นคิดพล็อตนิยายเรื่องใหม่จึงยังไม่แจ้งอะไรให้ทราบก็เป็นได้
เมื่อนึกดังนั้นแล้วเจ้าตัวก็เริ่มสองจิตสองใจว่าจะเปิดเผยความลับเรื่องนักเขียนออกไปเลยดีหรือไม่ เพราะไม่ช้าก็เร็วเวิร์คน่าจะรู้ความจริงอยู่ดี
แต่สุดท้ายเขาก็สละความคิดที่จะบอกออกไป เขารอเซอร์ไพส์ให้ฝ่ายหนุ่มผมแดงประหลาดใจในวันงานน่าจะดีกว่า
“จะว่าไป ชื่อนักเขียนก็ชื่อเหมือนคุณคิดด้วยนะครับเนี่ย” เวิร์คพูดขึ้น
“โห จริงหรือครับเนี่ย บังเอิญสุด ๆ ” คิดยิ้มขบขันในใจรอวันที่จะเฉลยความจริงคราวหลัง “แล้วน้องมิวที่อยู่ชั้น 14 นี่เป็นคนแบบไหนหรือครับ” นักเขียนหนุ่มเปลี่ยนประเด็น
“น้องเขาเป็นลูกครึ่งครับ พ่อเป็นคนต่างชาติแม่เป็นคนไทย ยังเป็นเด็กมัธยม อายุนี่ห่างกันผมสองเท่าแน่ะ บอกเองก็รู้สึกแก่” เวิร์คเล่าระหว่างเดินขึ้นบันได “พอดีคุยกันในบอร์ดด้วยกันบ่อย ๆ เลยรู้ตอนหลังว่าอยู่คอนโดเดียวกัน น้องเขาอยู่กับแม่สองคนน่ะครับ”
“แล้วคุณพ่อ…”
“ได้ยินว่าเป็นทหารทำสงครามอยู่ต่างประเทศหลายปีแล้วครับ”
“โห”
“ใช่ม่ะ ฟังแล้วอย่างกับซีรี่ย์อเมริกา”
“นั่นสิครับ”
แอ๊ดดด! อี่แอ้….แอ๊….อี๋…..
“!”
“สะ เสียงดนตรีไทย? มีเสียงดนตรีไทยในคอนโด?” คิดเอ่ย
เสียงดนตรีแหลมเล็กดังบาดแว่วลอยตามสายลม จนสองหนุ่มชะงักอยู่ตรงกลางบันไดระหว่างชั้นที่สิบสาม ทั้งสองสบตัวประสานกันก่อนนิ่งไปครู่หนึ่ง
“…”
“คุณเวิร์ค นี่หรือจะเป็นคุณวิญญาณในห้องผม!” คิดเอ่ยอย่างรวดเร็วด้วยเสียงกระซิบ เขาตื่นเต้นเพราะเป็นครั้งแรกที่ตนสัมผัสได้ถึงเรื่องราวขนหัวลุกกับตัวเองเช่นนี้
“ไปห้องผมกันไหมครับ?” นักเขียนหนุ่มเชิญชวน “จะได้รู้ดำรู้แดงกันเลย”
“อา คุณคิดครับ ผมว่าวิญญาณห้องคุณคิดไม่น่ามากับเพลงประกอบหรอกครับ ปรกติเฮี้ยนหนักอยู่แล้ว ดนตรีเปิดตัวไม่ต้องก็ได้” เวิร์คพูดด้วยสีหน้าปรกติท่ามกลางเสียงดนตรีที่ดังโหยหวนน่ากลัวตอนเช้าตรู่
“แล้ว…เสียงนี้มาจากไหนล่ะครับ?” คิดถามจนคิ้วแทบขมวดเป็นปม “หรือมีวิญญาณตนอื่นอยู่ในคอนโดนี่หรือครับ?”
เวิร์คส่ายหน้าก่อนจะตอบมา
“บางที…คงเป็นเสียงจากจิตวิญญาณชั้นด้านบนมากกว่าครับ”
ณ ชั้น 14 หน้าห้อง 713 สองหนุ่มผมดำผมแดงมาถึงหน้าบานประตู พร้อมด้วยเสียงดนตรีไทยที่คลอจังหวะไปด้วยจนถึงเวลานี้
“เสียงดนตรีไทยมาจากห้องนี้จริง ๆ ด้วย?” คิดกล่าว
“ว่าแล้วเชียว” เวิร์คเอ่ยก่อนเคาะประตูสามทีดัง ๆ “น้องมิว พี่เวิร์คเอง เปิดประตูหน่อย”
“อ้าว? เวิร์ค สวัสดีจ้ะ”
หญิงงามผู้เปิดประตูออกมาเป็นสาววัยสามสิบปลาย ๆ ผมยาวสลวย ใบหน้าแจ่มใส ผิวสีแทนน้ำผึ้ง รูปร่างสมส่วนไม่สูงหรือตัวเล็กจนเกินไป ท่าทีนุ่มนวลอ่อนหวาน
“โอ้ะ คุณแม่วิมล สวัสดีครับ” เวิร์คยกมือขึ้นไหว้ “น้องมิวอยู่ด้านในใช่ไหมครับ”
“ใช่ มาเล่นกับน้องอีกแล้วหรือ? แล้วคนนั้น...” เธอถามพลางหันมองไปทางคิด ชายหนุ่มรีบก้มสวัสดีทันที
“เพื่อนร่วมบอร์ดเล่าสู่กันฟัง เพื่อนบ้านร่วมคอนโด และเพื่อนร่วมอุดมการณ์ซี้ยำปึกของผมเองครับ ชื่อคุณคิดครับ” เวิร์คแนะนำตัวให้
“สวัสดีครับ ผมคิดครับ”
“สวัสดีค่ะคุณคิด พี่ชื่อวิมล เป็นแม่น้องมิวค่ะ”
วิมลเป็นชื่อที่ตรงกับป้าอนงค์ให้แก่คิดไว้ ทว่าในระหว่างที่จะตั้งสมมุติฐาน หูของคิดก็ยังโดนขัดด้วยเสียงหนึ่งจนไม่มีสมาธิ
เสียงเครื่องดนตรีนั่นเอง
“เอ่อ เสียงดนตรีไทยนี่…”
“อ้อ ลูกมิวซ้อมซอด้วงอยู่ด้านในค่ะ” วิมลกล่าว “ลูกมิวมานี้สิลูก”
เสียงดนตรีไทยค่อย ๆ เงียบลง ก่อนที่ร่างของมิวจะปรากฏกาย เขาเป็นเด็กชายอายุประมาณสิบสอง สิบสามปี เส้นผมสีทองแวววาว ดวงตาสีฟ้า จมูกเป็นสัน ท่าทางงามเหมือนรูปปั้นกรีกเดินได้ เจ้าตัวเดินออกมาด้วยมัธยมเสื้อขาวกางเกงขาสั้นสีน้ำเงินประเทศไทย
“พี่เวิร์ค’ สวัสดีครับ” มิวทักทายด้วยเสียงไทยดังฟังชัด ใบหน้านิ่งขรึม
“สวัสดีจิตวิญญาณแห่งดนตรีไทย” เวิร์ครับไหว้ปั้นหน้ากวนใส่อีกฝ่ายด้วยความสนิทสนม
“จิตอะไร? มุกทักทายใหม่หรือครับ?” มิวเอนคอสงสัย “แล้วมานี่มีธุระอะไรหรือครับ”
“พี่พาคุณคิดมาคุย เพื่อนร่วมก๊วนคนใหม่ของบอร์ดเรา!”
วิมลพาคิดและเวิร์คมานั่งที่ห้องนั่งเล่นในห้องของเธอกับลูกชาย ภายในตกแต่งด้วยโทนสีเทา มีรูปภาพครอบครัวแปะอยู่มากมาย ส่วนใหญ่เป็นภาพของสองแม่ลูก มีน้อยรูปที่ประดับเป็นรูปนายทหารคนหนึ่งผมทอง ซึ่งคาดว่าเป็นพ่อของมิว
นอกจากอุปกรณ์ข้าวของในบ้านทั่วไป ก็มีเครื่องดนตรีซอคันหนึ่งวางอยู่โดดเด่น ล้อมไปด้วยถ้วยรางวัลมากมาย
ผู้เป็นแม่เดินเข้าไปในครัว ส่วนสามหนุ่มคละวัยก็อยู่ที่ห้องนั่งเล่น มิวผายมือไปทางโซฟาเพื่อให้สองแขกเข้ามานั่ง คิดก็เอ่ยขึ้น
“น้องเล่นซอเก่งจัง” คิดพูดขณะนั่งบนโซฟาพร้อมเวิร์ค
“นี่มือซอด้วงระดับเตรียมไปแข่งกระทรวงวัฒนธรรมเลยนะคุณคิด ธรรมดาซะที่ไหน” เวิร์คกล่าวอย่างภาคภูมิใจราวกับเป็นคนในครอบครัว “เอ้า พ่อคุณขอสักเพลงให้ชาวบอร์ดเล่าสู่กันฟังเรื่องสยองขวัญหน่อยดิ”
มิวพยักหน้านิ่ง ๆ เขาเดินไปที่เครื่องซอด้วง ยกมือไหว้ครูบาอาจารย์ นั่งท่ามาตรฐานก่อนจะเริ่มเล่นเพลงหนึ่งให้ฟัง
“เอ่อ...” คิดพึมพำขณะได้ยินเพลง
“ไอ้ตาน้ำข้าว ตลกหน้าตายนี่เดี๋ยวปั๊ด! มาเป็นธรณีกันแสง!” เวิร์คแซะ
“เข้าธีมสยองขวัญพอไหมพี่” มิวถามกลับใบหน้านิ่ง
“ขนลุก ดูแขนนี่เด่ะ ดูดิ! ดู! ชูชันระดับโมเลกุล!!” เวิร์คพูดพลางชี้แขนตนเอง
“คนมันต้องซ้อมแข่งนี่ครับ ต้องเข้าถึงอารมณ์เพลงไม่อย่างนั้นจะถ่ายทอดออกมาได้ยังไง จริงไหมครับ” ลูกชายเจ้าของห้องกล่าว
“ก็จริงของน้องมิว ถ้าพี่ได้ยินตอนอยู่ในห้องคงตื่นเต้นพิลึก”
“พี่อยู่คอนโดนี่หรือ ห้องไหนล่ะครับ” มิวถาม
“ห้องนั้นไง ห้องนั้น” เวิร์คตอบ
และแม้ไม่บอกเลขห้อง มิวก็ทราบทันทีว่าคิดอยู่ที่ห้องไหน
“พี่ก็พิลึกคนชะมัดไปอยู่ห้องนั้นนะพี่” เด็กมัธยมหันมองไปทางคิด “คนปรกติไม่ไปอยู่หรอก…หรือพี่เป็นพวกเพี้ยนแบบพี่เวิร์ค?”
“เฮ้ ๆ เรามีความจำเป็นต้องใช้เพราะงานหรอกนะ”
“พี่ก็แค่โอตาคุเรื่องสยองขวัญ ห้องนั้นมันมีผีนะครับ จะทำงานได้ไง”
เวิร์คใช้ศอกถองมิวเสียทีสองที คิดมองอย่างติดตลกว่าทั้งสองสนิทกันดีเหมือนพี่น้องก็ไม่ปาน
“แต่ได้ยินว่าครอบครัวน้องก็เคยอยู่ห้องนั้นนี่” คิดกล่าว พลันสีหน้านิ่งของมิวก็เปลี่ยนไปในทันที เขาดูตกใจมากแล้วเอ่ย
“พี่ไปได้ยินมาจากไหน?” ร่างผมทองธรรมชาติถาม
“เอ่อ”
“ป้าอนงค์แน่ ๆ ป้าอนงค์ชอบช่วยคนในห้องนั้นประจำ”
“เห ป้าแม่บ้านไม่ยักเล่าให้พี่ฟัง” เวิร์คเสริม
มิวกอดอกเล็กน้อยพลางชักสีหน้าไม่พอใจ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงปรกติดั้งเดิม “เอาเถอะครับ ก็ไม่ใช่ความลับอะไรหรอก” ผู้อายุน้อยที่สุดกล่าวก่อนมองไปทางแขกทั้งสอง “แล้วพวกพี่อยากรู้เรื่องอะไรล่ะครับ ถึงได้มาหาผมถึงบ้าน”
“น้องมิวพอจะรู้เบาะแสวิญญาณในห้องนั้นหรือเปล่า?” คิดถามพลางหยิบสมุดจดขึ้นมา
“ผมไม่รู้หรอกครับพี่ ไม่รู้เลยว่าผู้ชายหรือผู้หญิง มีกี่ตนก็ไม่รู้ เผลอ ๆ ก็เป็นประตูนรกนั่นแหละพี่ ห้องนั้นน่ะ” เด็กชายตอบ “ตอนย้ายเข้ามาผมเพิ่งประถมเอง จำได้แค่คุณแม่พาไปห้องนั้นวันสองวันก็ย้ายออกมานี่แหละครับ”
“ถามคุณแม่น่าจะได้เรื่องกว่าสินะ” เวิร์คกระซิบ
“สามคนทานแอปเปิลไหม แม่ปอกมาให้”
ผู้เป็นแม่ปรากฏกายออกมาจากในครัวพร้อมด้วยจานใส่แอปเปิลที่ปอกไว้เสร็จสรรพเป็นรูปกระต่ายน่ารับประทาน
“ขอบคุณครับ” คิดและเวิร์คยกมือไหว้ คิดไม่ได้ทานแต่เวิร์คนั้นหยิบมาใส่เข้าปากแล้วสองชิ้น
“แล้วนี่มีเรื่องกันหรือเปล่า?” วิมลถามไถ่แขก “เดี๋ยวต้องเตรียมไปโรงเรียนแล้ว มิวทานอะไรลูก คนอื่นล่ะ เดี๋ยวแม่ทำให้ทาน” คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวพูดพลางหันมองบุตรชาย
“เบอเกอร์ชีส” มิวพูดสั้นๆ ห้วนๆ
“ข้าวไข่เจียวซอสมะเขือเทศกับแม็กกี้เหมือนเดิมครับ” เวิร์คกล่าวเสียงใส
“ไม่เป็นไรครับ ผมเกรงใจ” คิดตอบ
และในจังหวะที่วิมลหันหลังจะไปยังครัวอีกครั้ง เวิร์คก็โพล่งขึ้น
“เอ่อ คือว่าคุณแม่ครับ มีเรื่องอยากรู้นิดนึง สมัยก่อนคุณแม่ย้ายมาคอนโดนี้ ไม่ได้อยู่ที่ห้องนี้ใช่ไหมครับ”
วิมลนิ่งชะงัก เธอไม่ได้หันกลับมาทางคนถาม ร่างของเธอนิ่งสงสัยครุ่นคิดชั่วขณะ…
“อ้อ ใช่จ้ะ ตอนนั้นอยู่อีกชั้น” วิมลตอบ
“ชั้นที่ว่าชั้น 13 ใช่ไหมครับแม่” เวิร์คหาเบาะแสต่อ
“ใช่” เธอหันหน้ากลับมาทางเวิร์คและคิด สีหน้านึกหลับตา “…ตอนนั้นก็วุ่นวายมากเลยน่า”
“วุ่นวายหรือครับ?” คิดทวนสิ่งที่ได้ยิน “เกิดอะไรขึ้นหรือครับ?”
“ผ่านมานานแล้วมันก็น่าอายสักหน่อย พวกเธอเคยเห็นกล้องวงจรปิดชั้นล่างนั่นไหม”
ภาพรอยแปลกประหลาดบนชั้นสิบสามที่ยังติดตาของคิดลอยขึ้นมาในทันทีที่วิมลเอ่ยถึง คิดพยักหน้าหงึก ๆ ทันที
“ผมเคยครับ ได้ยินว่าเคยมีคนแกะมันไป…”
“นั่นน่ะนะ ฝีมือแม่เองแหละจ้ะ”
“หา!”
สองหนุ่มร้องอุทานเมื่อได้ยินเรื่องราวที่ตนไม่เคยทราบมาก่อน
“ตอนนั้นเพิ่งย้ายมาจากอเมริกา แถมแม่ก็ดันฝันว่าพ่อที่ไปรบโดนยิง ตายน่ะจ้ะ ตื่นมาร้องไห้เลยนะ ลูกก็ยังเล็กแท้ๆ พอจะติดต่อไปก็ติดต่อไม่ได้ ประจำเดือนก็มาอีก อารมณ์แม่ตอนนั้นแย่มากเลยล่ะ พอย้ายมาอยู่ห้องนั้นก็เจาะเจอวิญญาณในห้องพอดี แม่เลยนึกว่าเป็นพ่อเค้ามาน่ะจ้ะ” เธออธิบายด้วยสีหน้าเคอะเขิน “เพราะอยากเจอพ่อมาก ก็ตะโกนให้ออกมา ๆ พอวิ่งออกมาจากห้องจะไปขอให้คนช่วยก็กลัวว่าคนอื่นไม่เชื่อ ก็เลยพยายามปีนไปแกะกล้องเอาเป็นหลักฐานว่าเจอวิญญาณจริง ๆ แม่ก็นะ แกะได้แล้วก็นึกได้ว่าไปขอไฟล์ภาพคุณธวัชชัยก็ได้นี่น่า ลืมไปเลย แม่นี่โก๊ะจังเลยนะ ฮุฮุฮุ”
สีหน้าสองหนุ่ม รวมถึงบุตรชายนั่งฟังเรื่องราวมหากาพย์หน้าตะลึงอึ้งจังงัง ก่อนที่คิดจะถามต่อ “แล้วคุณพ่อ…”
“พ่อโทรกลับมาตอนเช้าจ้ะ พอดีไปต่างเมืองเลยไม่ได้ติดต่อมา โอ๊ย! ร้องไห้นานเลย คุณป้าอนงค์กับคุณเจ้าของมาช่วยกันยกใหญ่ พอแม่รู้ว่าโดนผีหลอกก็ไม่ได้คิดอะไรนะ แม่ว่าเขามาดีมาปลอบแม่ด้วยซ้ำ แม่ก็ย้ายมาชั้นนี้แหละจ้ะ”
“ไม่ยักเล่าให้ฟัง” ผู้เป็นลูกเอ่ย
“แหม น่าอายออก นี่ก็เห็นว่าเออ พวกลูกอยากลูกเลยเล่าให้ฟังนะเนี่ย”
“แล้วตอนนั้นผมเป็นไงหรือ?” มิวถาม
“มิวหลับสนิทเลยจ้ะ พลาดเรื่องเด็ดนะเรา” วิมลตอบพลางหัวเราะก่อนเดินเข้าครัวไป “แม่ทำกับข้าวก่อน เป็นเด็กดีกันล่ะเด็ก ๆ เดี๋ยวมิวก็เตรียมไปเรียนนะลูก”
“เรื่องอะไรแต่เช้ากันเนี่ย…เอาธรณีกันแสงสักยกไหมพวกพี่ ระหว่างรอ” มิวกล่าวขณะจับซอด้วงคู่ใจมาเตรียมบรรเลงอีกครั้ง ทว่าสองหนุ่มไม่ตอบเขา เจ้าตัวจึงเล่นเพลงใหม่ทันที
“มิว มิว รู้อะไรเรื่องนี้มาก่อนจริง ๆ หรือเปล่า” เวิร์คถาม
แต่เด็กชายไม่ตอบราวกับเอาคืน ได้แต่เล่นซอด้วงต่อไปอย่างเข้าถึงอารมณ์ต่อ
ทิ้งเพียงสองหนุ่มงุนงงจนนั่งแทบไม่ติด
“เหมือนทิ้งระเบิดแล้วจากไป คุณแม่เล่นเล่าซะค้างเลยครับ เพิ่งรู้นะเนี่ยเรื่องนี้”
เวิร์คตัดพ้อ ส่วนคิดก็พยักหน้าเห็นด้วยงก ๆ ท่ามกลางเสียงซอด้วงที่เล่นไปอย่างแช่มช้า
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ