#เพราะรักมันบิดเบี้ยว

10.0

เขียนโดย ViSuthYAMA_

วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลา 10.06 น.

  4 ตอน
  0 วิจารณ์
  4,614 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 10.13 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

บทนำ

“เพราะว่ารักของเรานั้นมันก็เป็นได้เพียงแค่ Bad scene”

- Bad Scene โดย The Enchantra Alcazar เปิดม่านมนตรา มายาตลาดสด -

 

นนทบุรี 2563

               ภาพความประทับใจสูงสุดของนักแสดงคือเสียงปรบมือโห่ร้องด้วยความพึงพอใจของผู้ชมการแสดง มันบ่งบอกถึงการประสบความสำเร็จของพวกเขา ‘พวกเขาทำได้แล้ว’

               โรงละครขนาดย่อมกลางแจ้งแห่งนี้เป็นอีกหนึ่งความน่าสนใจของงานลอยกระทงประจำปีของวัดไทรนครเป็นอย่างมาก ผู้คนกว่าร้อยคนมารวมกันที่นี่จนทำให้พ่อค้าแม่ขายบริเวณใกล้เคียงขายดีกันเทน้ำเทท่าพลอยทำร้านค้ารอบนอกเงียบเหงาไปพอสมควร

               อีกด้านของงานจะเป็นในส่วนของการทำบุญในรูปแบบที่ต่างกันไป แต่จุดที่พอปพิวลาร์ที่สุดของงานก็คงไม่หนีซุ้มขายกระทงการกุศลของทางวัดที่มีให้เลือกสรรหลากหลายแบบ

               ผู้คนต่างสนุกสนานกับกิจกรรมต่าง ๆ ภายในงานเป็นอย่างมาก แต่ความสุขมักมีอายุสั้นเสมอ...

 

               เปรี้ยง!

               ลำแสงสว่างได้พาดผ่าลงมาที่หลังคาโบสถ์พร้อมกันกับเสียงที่ดังราวระเบิดถูกทิ้งลงจากเครื่องบินรบในสงคราม ส่งผลทำให้ช่อฟ้าขนาดใหญ่หักและร่วงหล่นลงมาทับร่างของชายหนุ่มจนเสียชีวิต ผู้คนต่างตกอยู่ในความหวาดกลัวแล้วเสียสติ พากันวิ่งหนีเอาตัวรอดออกจาสถานที่เกิดเหตุ แต่ดูเหมือนว่าระเบิดมัจจุราชนั่นไม่ยอมที่จะพรากชีวิตของชายหนุ่มไปเพียงคนเดียว

สายฟ้ายังผ่าลงมาอย่างต่อเนื่อง และทุกครั้งมันได้พรากชีวิตของผู้คนไปมากขึ้นเรื่อย ๆ และยังไม่มีท่าทีว่าจะหยุดลงโดยง่าย ศพมากมายกองกันเกลื่อนทางเดินวัด

               ไฟไหม้ลุกลามไปทั่วบริเวณจนไปถึงโรงละคร ไฟพุ่งลุกครอกผู้คนที่อยู่ภายในราวไฟนรกที่แผดเผาเหล่าสัตว์นรกอย่างไร้ความปราณี เสียงกรีดร้องอันโหยหวนดังระงมไปทั่วบริเวณอย่างต้องการความช่วยเหลือที่ไร้ความหวังนั่น ชวนกระชากจิตใจของผู้เป็นต้นเหตุของโศกนาฏกรรมนี้เป็นอย่างมาก

               “ฟอนด์! หนีเร็ว มันจะตามมาทันแล้ว!”

               เด็กหนุ่มสองคนที่วิ่งฉุดกระชากกันฝ่าวงล้อมความโกลาหลนี้ออกมาได้วิ่งตรงไปยังลานอเนกประสงค์ที่หากจากตัววัดมาครึ่งกิโลเมตร พวกเขาวิ่งไปหาที่ซ้อนที่สิ่งก่อสร้างสองชั้นซึ่งเป็นที่ตั้งของฟิตเนสสาธารณะชุมชน

               คุณเคยวิ่งหนีอะไรไหม?

เสียงหัวใจของผมเต้นไม่เป็นจังหวะด้วยความกลัวและเหนื่อยหอบหลังจากที่วิ่งหนีฝ่าความตายมากับคนข้าง ๆ มือหนาของมันยังคงกุมมือผมเอาไว้แน่น

               “แหวนจะเป็นอะไรไหมเก้า กูเป็นห่วงมัน” เสียงที่เล็ดลอดออกไปของผมเต็มไปด้วยความกังวลใจอยู่มาก

               “กูก็ไม่รู้ แต่ตอนนี้มึงต้องห่วงตัวเองก่อนฟอนด์” เก้าหันมาสบตาของผม แววตาของมันเต็มไปด้วยความกลัวไม่แพ้กับผม แต่มันต้องข่มมันเอาไว้เพราะในสถานการณ์อันเลวร้ายนี้ มีมันคนเดียวที่จะต้องเป็นผู้นำเพื่อปกป้อง..ผม

 

               สำหรับเก้า มันคือการวิ่งหนีความตาย

แต่สำหรับผมมันคือการวิ่งหนีความจริง!

 

               1 ปีก่อนหน้านี้

"ชาติภพนี้พรากผัวไปจากกู ดอกซ่อนชู้ทัดหูหรือแม่ศรี หรือชบาแดงชาติโสเภณี แต่งเนินศรีฟุ้งเรียกกามารมณ์ หรือกำเนิดเฉิดฉายอยู่ในซ่อง นั่งป่าวร้องเรียกหาชายสู่สม เป็นนางแพศย์บำเรอในโรงโลม อวดอึงโฉมโสมมผีลากดึง กูจะจองเวรมึงไปทุกชาติ! กูจะตามอาฆาตชีวิตมึง กูจะตอกย้ำความเจ็บให้ลึกซึ้ง ต่อให้ถึงขุมโลกันต์กูก็ไป ชีวิตมึงขออย่าได้มีความสุข ต้องทนทุกข์ค่ำเช้าทั้งบ่ายสาย จงวินาศเสียเถิดอีจัญไร! ขออย่าได้ผุดเกิดอีอัปรีย์!"

 

 สิ้นเสียงคำสาปแช่ง สายฟ้าก็ผ่าลงที่ผู้หญิงคนนั้นผนึกวิญญาณของเธอให้จมดินชดใช้กรรมตามที่ผู้พิพากษาวิญญาณอย่างท้าวยมราชตัดสิน โดยการกักบริเวณไว้ด้วยความทุกข์ของตน หากละซึ่งความทุกข์นั้นจึงจะเป็นอิสระจนหมดอายุขัย

ภาพเหล่านี้เวียนซ้ำหลายรอบราวกับดูหนังม้วนเดิมซ้ำไปซ้ำมาจนฟอนด์จำมันได้ดี โดยเฉพาะสายตาของผู้หญิงต้องโทษคนนั้นที่มองมาก่อนเธอจะถูกผนึกวิญญาณ มันเต็มไปด้วยความเคียดแค้นจนเส้นเลือดตาปูดราวกับจะแตกเดี๋ยวนั้น มันน่ากลัว หดหู่ ถ้าเลือกได้ก็ไม่มีใครอยากมองมัน แต่ก็เหมือนภาพแทนตาในหนังที่มักจะซูมให้เห็นเสมอ

“ไอฟอนด์ ตื่นได้แล้ว”

“เห้ยตื่นดิ หมดคาบแล้วนะเว้ย”

เสียงเรียกนั่นทำหน้าที่เปรียบเสมือนเป็นกรรไกรที่ตัดเรื่องราวเหล่านั้นออกไปทั้งหมด

ผมเงยหน้าขึ้นจากที่ตกอยู่ในภวังค์ของความฝัน ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสามกว่า เลิกเรียนแล้วสินะ ผมคิดอย่างนั้น ก่อนจะลงมือเก็บของใส่กระเป๋านักเรียน พลางสายตาเหลือบไปมองที่ข้าง ๆ ตัวที่ตอนนี้ไร้เจ้าของที่ ทิ้งไว้แค่เพียงกระเป๋านักเรียนกับสมุดโล่งที่กางอยู่บนโต๊ะเรียนพร้อมปากกาอีกสองถึงสามด้าม เก้าหายไปไหน

“บาส ไอเก้าอะ” ผมสะกิดถามเพื่อนที่นั่งข้างหน้าผมที่กำลังเก็บของอยู่เหมือนกัน

“เห็นว่าขอครูไปห้องน้ำนะ แต่ไปสักพักแล้วแหละไม่มาสักที” พูดเสร็จเด็กหนุ่มตรงหน้าก็ลุกขึ้นก่อนจะเดินออกนอกประตูไป “กูกลับละนะ”

“เออ กลับดี ๆ มึง”

               หลังจากโบกมือลาเพื่อนเสร็จ ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมารัวนิ้วพิมพ์ข้อความส่งไปหาเก้า เพียงไม่ถึงนาทีก็มีข้อความตอบกลับมาที่ดูแล้วเหตุผลของมันไม่น่าฟังขึ้นสักเท่าไร

ผมรีบลุกขึ้นกวาดเอาของบนโต๊ะเก้าใส่กระเป๋านักเรียนของมันก่อนจะหยิบเอามาออกจากห้อง มุ่งหน้าตรงไปยังหลังโรงเรียน

เพียงไม่นานผมก็มาถึงที่หมาย เส้นธรรมชาติของทางเดินได้นำสายตาของผมไปตกกระทบกับอาคารเก่ารกหลังหนึ่ง มันเคยเป็นสถานที่ในการรวมตัวของสภานักเรียนรุ่นก่อน ๆ แต่ตอนนี้กลายเป็นที่เก็บของเก่า ๆ ที่โรงเรียนมีแผนจะทุบทิ้งแล้วทำเป็นที่จอดรถของคุณครู และผอ.

น่าเสียดายเหมือนกันที่อาคารชั้นเดียวหลังนี้จะต้องถูกทุบทิ้ง เพราะมันมีความทรงจำมากมายและเป็นที่มาของความสนิทกับระหว่างผมกับเก้า

วันนั้นเป็นวันแรกของชีวิตมัธยมศึกษาตอนปลายของผมในโรงเรียนเก่า ในเวลาตอนเย็นของวันนั้นผมได้เดินมาที่นี่คนเดียวด้วยความเคยชิน ทิศทางของลมที่พาดผ่าท้องฟ้าสีส้มมาลู่กับกิ่งไม้บนหัวของผมจนขยับ ฝูงนกทั้งหลายเริ่มสยายขนปีกของมันกระพือไปกับอากาศพากันบินกลับรังของพวกมัน สายตาเหม่อลอยของผมได้ไปสะดุดเข้ากับเพื่อนร่วมห้องของผมคนนึงที่นั่งอยู่ตรงแนวระเบียงของอาคารเก่านั่น

มันเป็นเด็กใหม่ที่พึ่งย้ายเข้ามาจากกรุงเทพฯ ชื่อวิพัชร สยามไชย หรือเก้า ดูเป็นคนเงียบ ๆ ไม่ค่อยเข้ากับเพื่อนในห้องเท่าไร หากจะว่าเพราะเป็นวันแรกยังไม่รู้จักใครก็ตามที แต่มันก็ไม่เคยที่จะเข้าหาใคร ถึงจะมีเพื่อนนักเรียนในห้องหลายคนพยายามเข้าหาเพราะมันหน้าตาดี ผิวขาว ร่างสูงโปร่ง ดูแข็งแรง หากใบหน้าไร้ซึ่งความเป็นมิตร และอารมณ์อยู่ทั้งวัน หรือจะเป็นเด็กมีปัญหา? ผมคิด แต่ทุกคนก็มีปัญหาของตัวเองกันทั้งนั้น อยู่ที่ว่าจะมีวิธีการจัดการปัญหาของเขาอย่างไรก็เท่านั้น

ผมเลือกที่จะเดินเลี่ยงออกมาจากตรงนั้นเพราะไม่ค่อยอยากจะยุ่งเรื่องของใคร และเป็นการรบกวนเขา แต่ไม่ทันที่ผมจะหันกลับออกมาดีนั้น

“นี่นาย หัวหน้าห้องใช่ไหม”

เสียงใสจังวะ คิดพลางหันหลังกลับไป เก้าลุกขึ้นก่อนจะค่อย ๆ เดินมาหาผม ท่างทางของเก้าดูราวกับงูจงอางเลื้อยที่ถึงแม้ช่วงก้าวที่สาวมาจะดูปราดเปรียว คล่องแคล่ว แต่กับดูอ่อนพลิ้ว ไม่หนักไม่เบาจนเกินไป ช่วงคอถึงไหล่ตั้งตรงเป็นสง่ารับกับใบหน้าคมอย่างชายไทยแท้อย่างลงตัว

“รีบกลับบ้านไหม” เก้าตอบหลังจากที่เดินมาถึงตัวผม จะว่าไปแล้วมันก็ยังสูงไล่เลี่ยกับผม ทั้งที่ด้วยลักษณะของมันถ้าสูงกว่าผมกว่านี้สักนิด ฉากที่เห็นคงจะเหมือนนิยายวายสักเรื่องเป็นแน่ ก็บรรยากาศมันช่างถอดบทมาจากละครรักโรแมนติกขนาดนี้

“ไม่นะ มีอะไรหรือเปล่า”

“นั่งเป็นเพื่อนหน่อยดิ นั่งคนเดียวมันเหงา” มันพูดพร้อมแสดงสีหน้าที่ทำนองนั้นเพื่อเป็นหลักฐานให้กับคำพูดที่ไม่น่าเชื่อของมัน เหงา? อย่างมึงเนี่ยนะ นึกว่าชอบอยู่คนเดียวซะอีก

ผมพยักหน้าตอบ มันยิ้มเล็กน้อยแล้วเดินนำผมกลับไปที่อาคารเก่านั่น เชี่ย ดูดีฉิบหาย เสียงก็ใส ถ้าเป็นนักร้อง นักแสดงนี่ดังได้เลยนะเนี่ย

“ชื่อฟอนด์ใช่ปะ?”

“อา..ใช่" ผมรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่เก้ามันจำชื่อผมได้ เพราะด้วยท่าทีของมันในตลอดวันนั้นไม่น่าที่จะสนใจใครเลยนอกจากตัวเอง แต่อาจเป็นเพราะผมเป็นหัวหน้าห้องมั้ง

“แปลกดี แปลว่าไรอะ” ถามเก่งจังวะ? ทีในห้องไม่เห็นพูดอย่างนี้ เก้ามันพูดเก่งกว่าที่ผมคิดว่ามันเป็นอยู่มากจนทำให้ผมรู้สึกเปิดรับในตัวมันมากขึ้น

“ด้วยความรักอะ พ่อเป็นคนตั้งให้ เขาบอกว่าเราเกิดจากความรักของเขาที่มีให้แม่ เสี่ยวปะ”

“ไม่นะ เราว่าน่ารักดี”

เนี่ยยิ้มอีกแล้ว มันยิ้มให้ผมอย่างเป็นมิตรอีกครั้ง คราวนี้ผมได้เห็นแววตาของมันชัดขึ้นซึ่งมันทำให้ผมประหลาดใจ เหมือน.. เหมือนใครวะ? “ดูอบอุ่น ดูลึกซึ้งดี” มันตอบท้ายให้คำพูดดูสมบูรณ์

 “สุภเวชร.. ชื่อแปลว่าไรอะ” ถามอีกแล้ว มึงจะเอาชื่อกูไปบูชาขึ้นหิ้งหรอวะ ผมคิด

“เพชรที่ดี เพชรที่งามมั้ง ว่าแต่ถามทำไมอะ” มันนิ่งคิดชั่วครู่ก่อนจะตอบผมด้วยรอยยิ้มมุมปากที่ดูเป็นเอกลักษณ์ รอยยิ้มแบบนี้ เคยเห็นที่ไหนวะ

“ก็เคยได้ยินมาว่าถ้าเราอยากรู้จักใครจริง ๆ เราต้องรู้จักความหมายของชื่อเขาด้วย เพราะมันจะสื่อถึงตัวของคน ๆ นั้น หรือสิ่งที่ครอบครัวของคนนั้นอยากจะเห็น”

“จริงดิ ไม่เคยได้ยินเลยอะ” ผมพูดพรางมองมันด้วยความสนใจ จะว่าไปมันคงต้องใช้เวลาสักหน่อยในการทำความรู้จักกับคนอื่นด้วยสินะ “แล้วนายล่ะวิพัชรแปลว่าไร”

“ก็คงแปลว่าปราศจากเพชร ที่แปลว่าไม่มีเล่ห์เหลี่ยมเหมือนเพชรอีกทีแหละ” รอยยิ้มเอกลักษณ์นั่นผุดขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้มันดูเป็นคนที่มีเสน่ห์มาก ๆ ดูเป็นตัวของตัวเอง ทำอย่างกับว่าคุยกันกับเพื่อนที่สนิทกันมาตั้งแต่วัยเด็ก

“คนดี คนซื่อว่างั้นเถอะ” ผมยิ้มหยันให้มัน มันกระตุกไหล่เล็กน้อยอย่างอารมณ์ดี “แล้วชื่อเก้าอะ ลูกคนที่เก้างี้หรอ”

“ไม่ใช่ เราเกิดมาแล้วเดินได้เก้าก้าวเลยต่างหาก” มันพูดพรางยืดตัวขึ้นแสดงความยิ่งใหญ่ กระตุกคิ้วหนาไปมาจนผมหมั่นไส้ กวนตีนฉิบหาย

“โห เก่งกว่าพระพุทธเจ้าอีกหรอ สุดยอดอะ” ผมลุกขึ้นปรบมือประชดให้มันรัวด้วยอย่างอารมณ์ดี ขี้โม้เหมือนกันนะไอนี่

“หยุดเล่นเถอะ รู้สึกร้อนขึ้นมาแปลกๆ” มันหัวเราะออกมาเล็กน้อย ใบหน้าดูสดใสผิดกับตอนกลางวันจริง ๆ เป็นคนขี้อายหรือเปล่านะ

 “แล้วบ้านอยู่แถวไหนอะ” สีหน้าของมันเรียบเฉย สายตาจดจ้องมาที่ผม

 “กลับด้วยกันปะ”

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา