Oh, My Baby Doll

-

เขียนโดย IamRanya

วันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 20.04 น.

  4 ตอน
  1 วิจารณ์
  4,933 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 30 เมษายน พ.ศ. 2563 20.12 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) ตอนที่ ๓, เสียงสะท้อนของตะพดบนพื้นกระเบื้อง (The Cane's Echo)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
หลังเลิกเป็นอันธพาลหัวไม้ข้างถนน และได้รับการศึกษาที่ถูกต้อง เกรกอรี เมอร์เซอร์ก็เป็นแมงดามาสักพักใหญ่ ๆ แล้ว เป็นนายหน้าควบคุมธุรกิจของหญิงขายบริการในเขตของนอร์ธเวกัสที่ติดกับตัวเมืองเวกัส ลางทีก็ล้ำเขตไปบ้างเพราะจุดสนใจของนักท่องเที่ยวผู้มาหาความสุขสำราญอันฉาบฉวยทุกประการบนส่วนนี้ของโลกย่อมมีเป้าหมายแรกที่ตัวเมืองซึ่งรวบรวมอิฏฐารมณ์ และความสวยงามจอมล่อลวงทั้งหมดไว้ จึงหาลูกค้ากระเป๋าหนักได้มากกว่าเขตที่เป็นบ้านเรือนผู้พักอาศัยถาวร แต่ก็เล็กน้อยอย่างอภัยให้ได้ มันอาจไม่ได้ทำให้เขาร่ำรวย แต่ก็เหลือกินเหลือใช้สำหรับตัวคนเดียว การแสวงหาความสุขทางกามอย่างสม่ำเสมอ และพี่สาวอีกคนหนึ่งผู้ดูจะไม่เต็มใจรับการเลี้ยงดูจากเขานัก เขาเพิ่งเริ่มนำเข้ายาเสพติดเมื่อเร็ว ๆ นี้ โคเคน, เอกสตาซี และเฮโรอีน แต่ก็สำหรับนักท่องเที่ยวเท่านั้นเพราะเจ้าชายไม่อนุญาตให้เขาเอาสิ่งเหล่านี้มามอมเมา และลดคุณภาพประชากรในราชอาณาจักรของพระองค์ นั่นรวมถึงเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ปล่อยหนี้นอกระบบซึ่งดูเหมือนไม่มีใครที่นี่จะต้องการอยู่แล้วเพราะหากเงินขาดมือก็ยังมีกองทุนนักบุญฟลอเรียน ค่าคุ้มครองก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เก็บ เพราะแหงล่ะ นี่มันดินแดนของเจ้าขายผู้ทรงการุณย์
ทว่าพักหลังมานี้เขาไม่ได้เชื่อฟังพระราชบัณฑูรของพระองค์โดยเคร่งครัดนัก เพราะหลังไม่กี่ปีที่ได้รู้จักพระองค์มา พระองค์ดูจะมีอำนาจเพราะทรงคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด อาจมีสายสัมพันธ์กับตระกูลลัซซาโร สักประการหนึ่งถึงได้ทรงอยู่ในจุดนี้ได้ ทรงเป็นบุรุษหนุ่มผู้สูงส่งและไร้ความรู้ซึ้งบนท้องถนนอย่างแท้จริง เท่าที่เกรกอรีได้เห็น พระองค์ทรงไม่เคยทำสิ่งใดที่ดูเป็นภัยต่อผู้คนไปกว่าการใช้พระวาทศิลป์อันนุ่มละไมสั่งการผู้คนเลย ยิ่งหน้าร้อนที่พระองค์มักเสด็จประพาสตากอากาศด้วยแล้ว ตอนนี้แหละ ที่นอร์ธเวกัสจะเป็นของเขาโดยสมบูรณ์ เขาไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไมไม่เคยมีใครนึกยึดอำนาจการปกครองเขตนี้ไปจากอ้ายหนุ่มนั่นสักที ยิ่งพวกนักเลงสูงวัยวุฒิดูจะยิ่งเกรงพระองค์กันมากการได้เห็นและรู้ว่าว่าพระธํามรงค์สลักตราประจำตระกูลลัซซาโรที่เจ้าชายเอาห้อยคออยู่ตลอดเวลานั้นได้มาอย่างไรคงจะคลายข้อกังขาของเขาได้บ้าง แต่น่าเสียดายที่เขาไม่เคยเห็น หรือรู้เรื่องที่ว่า อันนำไปสู่การตัดสินใจผิดมหันต์ที่คร่าชีวิตเขา
 
 
แบรดลีย์ จิมมิเนซวางหูโทรศัพท์ด้วยมือที่เป็นโรคก้ามปูของเขาอย่างสั่นเทาก่อนจะรีบวิ่งตามทุกคนไปที่โกดัง หัวใจเต้นแรงด้วยความตึงเครียด เขาไม่ควรมีเอี่ยวกับเรื่องนี้เลย แต่ถ้าอย่างนั้นทุกคนก็จะมองเขาว่าขี้ขลาดซึ่งเป็นความจริงที่เขาไม่เคยอยากยอมรับ โทรศัพท์ดังขึ้นตอนที่เขา, คุณเมอร์เซอร์ และพี่ ๆ ในที่ซ่องสุมสามสี่คนกำลังนั่งเล่นไพ่แบล็กแจ็กอยู่ในห้องหลังร้านเหล้าและร้านอาหารคอร์เซตติ ซึ่งเป็นที่ที่เมอร์เซอร์ได้เติบโตมาหลังหนีออกจากบ้าน ฮูสตันชอบกินส้มมาก ดูเหมือนมีดพับที่เขาพกจะมีจุดประสงค์หลักเพื่อปอกส้ม ส่วนการใช้แทงคนที่ทำให้เขาโมโหนั้นเป็นเหตุผลรอง เขาไม่ชอบสุงสิงเท่าไหร่และมักจะนั่งอยู่ที่โต๊ะวางโทรศัพท์ถ้าคนอื่น ๆ ใช้โต๊ะกลางอยู่ เพราะนั่นเป็นที่เดียวที่เหมาะกับการนั่งนอกเหนือจากลังของที่มักมีเสี้ยนและหัวตะปู โทรศัพท์หลังร้านเลยเหนียวเหนอะ และมีกลิ่นส้มเพราะเขามักเป็นคนรับโทรศัพท์ ครั้งนี้ก็เช่นกัน มีคนแจ้งว่ามีตำรวจเข้าไปในโกดังที่คุณเมอร์เซอร์ใช้เก็บยา ตามหลักการแล้ว ในการจัดการเรื่องเกี่ยวกับตำรวจอย่างนี้ หากคุณเบอร์ตัน ยังไม่อยู่ ก็ให้คุณนายโอเด็ต จิมมิเนซ แม่ของจิมมิเนซน้อยจัดการ แต่ไม่ คุณเมอร์เซอร์ประกาศว่าเขาจะจัดการเองแล้วรุดออกมาพร้อมสั่งคนอื่น ๆ ที่ร่วมวงอยู่ด้วยให้ตามมา แบรดลีย์พยายามท้วงเตือน แต่ไม่มีใครฟัง เขาก็เลยตัดสินใจมาด้วย หวังว่าตนจะคุมให้เรื่องไม่ออกนอกลู่นอกทางเกินไปได้ หากเบอร์ตันทราบว่าเขาอยู่ในเหตุการณ์โดยไม่ทำอะไร ความน่าไว้วางใจทั้งหมดที่เขาสั่งสมมาตลอดชีวิตคงได้ป่นปี้ไม่เหลือชิ้นดีแน่
เขาถูกใช้ให้ขับรถตามเคย ทันทีที่มันจอด ทุกคนเดินเข้าไปในโกดัง ส่วนเขาแกล้งทำกุญแจรถตกลงไปในฝาตะแกรงระบายน้ำข้างทาง เพื่อสร้างข้ออ้างให้ทุกคนไปให้พ้น ก่อนที่เขาจะแจ้นไปที่ตู้โทรศัพท์ที่ใกล้ที่สุดแล้วโทร.หาผู้อยู่เหนือหัวของตน สจ๊วต โปรแกรมตอบโทรศัพท์อัตโนมัติบอกให้เขาถ่วงเวลาไว้ เบอร์ตันได้กลับมาก่อนกำหนดด้วยธุระ มันได้ติดต่อเบอร์ตันผ่านอุปกรณ์ที่ดูเหมือนหลุดมาจากหนังสายลับบนหูของเขาให้แล้ว และเขาจะไปถึงที่นั่นภายในสิบนาทีเพื่อจัดการ ก่อนหน้านั้น ขอฝากแบรดลีย์ดูแลไม่ให้มีใครเสียชีวิต
 
     แบรดลีย์ถอดหมวก เอามือเสยผมที่ชื้นเหงื่อของตน จัดเสื้อผ้าให้ดูดี แล้วเปิดประตูด้านในโกดังที่แง้มอยู่ออก
หญิงชายคู่หนึ่งถูกแขวนกลับหัวอยู่บนตะขอแขวนเนื้อโดยขาถูกเชือกมัดคล้องไว้ มือทั้งคู่ถูกมัดไพล่หลัง เกรกอรีเดินลากเท้าช้า ๆ ระหว่างที่ใช้ความคิด คนของเขายืนล้อมอยู่โดยปืนที่เอวยังไม่ถูกชักออกมา แสงไฟฟลูออเรสเซนต์เหนือหัวกระพริบเป็นครั้งคราวเพราะขั้วหลวม เป็นที่น่าขัดใจนักที่ไม่มีใครนึกอยากสละเวลาไปขยับมันให้เข้าที่
     “ใครบอกพวกแกว่าของอยู่ที่นี่” เสียงของเกรกอรีแหบกระด้างไม่ต่างจากผิวหน้าเขา
     “ก็บอกแล้ว พวกเรามาหาเด็กที่ถูกลักพาตัว” เลือดที่ไหลลงหัวมากเกินไปทำให้เดวอนปวดหัวเหมือนมีคีมมาหนีบขมับทั้งสองข้าง เขาต้องกัดฟันพูด “พวกเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในลังของพวกแกมีอะไร”
     เกรกอรีมองหน้าตำรวจพวกนั้น เขาไม่รู้จริงเท็จใด ๆ ในถ้อยคำดังกล่าว แต่เลือกที่จะเชื่อในความคิดที่ขาดความรู้แจ้งของตนมากที่สุด เขาเอาหมัดชกท้องตำรวจชายไปทีหนึ่ง คำพูดที่ออกมาจากปากของนายตำรวจคือ “ฉันชักจะดีใจที่ไม่ได้กินเย็นมาก่อนซะแล้ว” ทำให้เขาถูกเตะปากไปอีกที
     “อิวานอฟใช่ไหม หรือเป็นอ้ายพวกไอริช แกก็แค่บอก ใครให้ข่าวพวกแก ฉันจะได้ไม่ต้องทำใครเจ็บไปมากกว่านี้”
เขาพยายามสอบสวนต่อด้วยวิธีการที่ตัวเองได้เรียนรู้มาตามท้องถนน ด้วยคำถามสลับกับหมัด มันเคยได้ผลดีเสียส่วนใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อสมมติฐานของผู้สอบสวนถูกต้อง
     ซึ่งไม่ใช่ในครั้งนี้
     “พอน่า เกรกอรี!”แบรดลีย์ว่า เขารู้ว่าคำพูดของตัวเองช่างดูไร้พิษภัยอย่างน่าสมเพช “คุณไม่มีสิทธิ์ทำร้ายพวกเขา”
     เดวอนสำลักเลือดที่ไหลย้อยลงในรูจมูกตัวเอง “เด็กคนนี้เขาพูดดีมีเหตุผลนะ”
     “หุบปากน่า ไอ้เด็กมือปู” เกรกอรีหันมาตะคอก “ใครกันเป็นคนถือสิทธิ์นั้น หืม? ฉันเป็นเจ้าของการกระทำของตัวเอง ฉันคิดเองเป็นโดยไม่ต้องมีใครมาคุม”
     “ลองคิดดูสิ เกรกอรี” เสียงของเจย์ลีนลอดผ่านไรฟัน “ถ้าเจ้าชายทรงยิน พระองค์จะทรงว่ากะไรนะ”
เกรกอรีนั่งคุกเข่าลง สบตาหล่อน ไม่บ่อยนักที่เขาได้พบสตรีในช่วงเวลาแบบนี้ รอยยิ้มแสยะทำให้เห็นฟันที่เหลื่อมซ้อนกันบนเหงือกของเขา “พวกคุณมาจากไหนนะ เวกัสใช่ไหม? ผมไม่เคยเห็นตำรวจหญิงมาตามจับคนร้ายเลย เพราะพวกเธอมักเสร็จคนร้ายเสียมากกว่า”
เขาพยายามเอื้อมมือไปจับใบหน้าหล่อน ทีแรกหล่อนเบี่ยงหน้าหนี พอไม่อาจบิดหลบการจับครั้งที่สองได้อีก หล่อนก็กัดนิ้วโป้งเขาเสียห้อเลือด และการกระตุกมือออกทำให้ความเจ็บปวดลากเป็นทางมาตั้งแต่ข้อกลางถึงปลายนิ้ว เขาตบแก้มหล่อนอย่างแรงทีหนึ่งจนมันขึ้นสี ก่อนจะลุกขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ยิ่ง
     “เจ้าชายไม่ได้มีอำนาจอะไรเหนือฉัน มันก็แค่อ้ายเด็กเศรษฐีที่คิดว่าเมืองนี้เป็นของมัน มันก็แค่คนบนหอคอยงาช้างที่มองลงมา แล้วตู่ว่าทุกอย่างที่อยู่ใต้ตีนเป็นของตัวเองคอยดูเถอะ พอมันกลับมาเมื่อไหร่ ฉันจะเจี๋ยนมันให้หมูกิน”
เสียงสะท้อนดังก้องบนพื้น และกำแพงปูกระเบื้องเมื่อเจ้าชายพักธารพระกรบนพื้นขณะถอดพระมาลามาไว้ในพระหัตถ์ ก่อนจะน้อมพระเศียรตรัสทักทาย “สายัณห์สวัสดิ์ สุภาพบุรุษของผม – โถงทางเดินนับเป็นที่สาธารณะ สวมหมวกเสีย แบรดลีย์” สวมพระมาลาดังเดิมหลังตรัสเสร็จ แบรดลีย์รีบสวมหมวกตาม ขณะพระองค์ทรงพระดำเนินเข้ามา ธารพระกรถูกถือกระชับไว้ข้างกาย ตัวด้ามจับทำจากไม้อีโบดีสีดำมะเมื่อมเงางาม และหัวตะขอแกะลายจากเงินแท้ของมันสะท้อนแสงแวววับใต้แสงไฟสีซีด
     “ขอบคุณนะครับ คุณเมอร์เซอร์ สำหรับการวิจารณ์ตัวตนของผมตามพื้นฐานความรู้ของคุณอย่างตรงไปตรงมาจนน่าเหลือเชื่อ” หยุดโดยเว้นระยะห่างพอสมควรอย่างเป็นนัย “ผมเสียใจที่ผมทำตัวไม่น่าเคารพต่อคุณปานนั้น เพียงเพราะผมไม่พูดคำผรุสวาท หรือแสดงอำนาจให้คุณเห็นเป็นรูปธรรม ผมอยากสนทนากับคุณสักหน่อย แต่คงจะลำบากต่อแขกผู้ทรงเกียรติของพวกเรา – แบรดลีย์ เอามีดจากคุณฮูสตันตัดเชือก แล้วคุณดักลาสช่วยยกพวกเขาลงมาหน่อยนะ อย่าให้เจ็บล่ะ”
แบรดลีย์ยื่นมือขอฮูสตันก็กำลังจะหยิบมีดพับในกระเป๋ากางเกงให้อยู่แล้วเชียว แม้ไม่แน่ใจว่าเจ้าชายรู้เรื่องมีดได้อย่างไร แต่เขาก็ไม่โง่จนรู้สึกอยากตั้งคำถามกับหูตาสัปปะรดของพระองค์ ตอนนั้นที่เมอร์เซอร์สั่งให้ทุกคนหยุด แล้วชี้ปืนไปที่เจ้าชาย แจ็กแมนเป็นคนที่ได้รู้จักเจ้าชายมาตั้งแต่พระองค์ยังทำงานระดับเดียวกับเขา ได้เป็นสักขีพยานขั้นตอนการจัดดอกไม้อันนำไปสู่ตำนานฆาตกรต่อเนื่องดอนฆวน เขาได้ประจักษ์ว่าสีหน้าอมยิ้มอย่างที่ทรงมีอยู่ในขณะนี้ไม่อาจใบ้อารมณ์นึกคิดของพระองค์ได้ จะเรียกว่าพระองค์ทรงเป็นคนเหี้ยมแบบหลบในก็ไม่ผิดจากความจริง เขาไม่กล้าทำตามคำสั่งนั้น แต่อ้ายพวกเด็กหนุ่มรอบตัวเขากลับทำตามถึงจะลังเลอยู่บ้าง เมอร์เซอร์ยิ้มแป้นอย่างโง่เขลา
จนกระทั่งเจ้าชายตรัส โดยผายมือชี้เรียงตัว “คุณดักลาส, คุณเดนนิส, คุณฮูสตัน และคุณแจ็กแมน – คุณเมอร์เซอร์จ่ายงานนี้เท่าไหร่ ผมขอจ่ายเป็นสองเท่า” ตอนนั้นแหละที่ปืนพกทุกกระบอกถูกชี้ไปที่เมอร์เซอร์ในอึดใจเดียว รวมทั้งปืนที่เพิ่งถูกดึงออกมาของแจ็กแมน ยิ้มบนหน้าของชายผู้เหิมเกริมหายไปอย่างรวดเร็วพอ ๆ กับตอนที่มันปรากฏขึ้น เจ้าชายยืนพระราชบัณฑูร “พาแขกทั้งสองท่านลงมา ให้พวกเขารอด้านหน้า ขอฝากคุณฮูสตันดูแลพวกเขาจนกว่าผมจะออกไป กรุณาแบ่งปันส้มในลิ้นชักหน้ารถของคุณด้วยถ้าพวกเขาต้องการ ผมจะคุยกับพวกเขาหลังเสร็จธุระกับคุณเมอร์เซอร์ ขอบคุณครับ”
 
     เจย์ลีน และเดวอนนั่งอยู่บนพื้นคอนกรีตยกระดับ เธอปฏิเสธส้ม แต่เดวอนกลับรับมากินอย่างทองไม่รู้ร้อน เลือดกำเดาของเขาหยุดไหลแล้วแต่ยังคงทิ้งคราบไว้ ห่างออกไปจากประตูห้องโถงแขวนเนื้อไม่กี่หลา ฮูสตันเดินไปมาช้า ๆ มือก็ปอกส้มอย่างเพลิดเพลิน เขาไม่ได้อยู่รอแบรดลีย์คืนมีดให้ พวกเขาไม่ได้ยินเสียงการสนทนาด้านใน แต่ได้ยินตอนที่เมอร์เซอร์กรีดร้องและร้องขอชีวิต เจย์ลีนเกือบจะปราดเข้าไปอยู่แล้วตอนที่เสียงนั้นเกิดขึ้น แต่เดวอนรั้งไว้ ก่อนที่ทุกสิ่งจะเงียบลง
     “คุณไม่ได้บอกว่าเขาเป็นมาเฟีย” เจย์ลีนพูด
     “คนรวยแถวนี้ก็เป็นมาเฟียกันทั้งนั้น” เดวอนยังคงไม่แสดงความยี่หระดังเดิม “รู้อย่างนี้แล้วจะยังขอให้เขาช่วยสืบคดีอยู่ไหมล่ะ?”
ดวงตาของหล่อนเบิกขึ้นอย่างประหลาดใจ “ไม่ ฉันเพิ่งรู้ด้วยว่าเขาเป็นฆาตกร เขาเพิ่งฆ่าคนข้างหลังเราห่างไปไม่กี่ก้าว – ฉันจะจับกุมเขา”
     “อยู่กับเธอทีไรฉันรู้สึกเหมือนจะไซนัสอักเสบทุกที” เดวอนหันไปสบตากับหล่อนตรง ๆ เจย์ลีนรู้ว่าเมื่อไหร่ที่เขาทำแบบนี้ สิ่งที่พูดมักเป็นเรื่องชี้เป็นชี้ตาย “ฟังนะ เจย์ ฉันรู้ว่าอ้ายนี้มันควรติดคุก ฉันก็อยากจับมันแล้วนั่งกินป๊อปคอร์นตอนดูมันโดนรมแก็สตาย แต่พวกเราจับมันไม่ได้ ศาลจะไม่ตัดสินความผิดมัน แล้วหลังจากนั้นจะไม่มีใครเจอศพพวกเราอีกเลย”
เจย์ลีนทึ่งในคู่หูของเธอ เท่าที่รู้จักกันมา ผู้หมวดเดวอน เฮนดริกสันอาจเป็นคนที่ขาดความกระตือรือร้นในการทำงานอย่างน่าเสียดาย และหัวรั้นในลางที แต่เธอไม่เคยคาดว่าเขาจะกลัวอำนาจของคนนอกกฎหมาย “คุณกำลังปกป้องฆาตกร?”
     “ฆาตกรแบบที่เธอคาดไม่ถึงเลยล่ะ...จำคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่เกิดระหว่างสงครามมาเฟียปี ๕๒ ได้ไหม? ที่ฆาตกรควักอวัยวะอย่างหนึ่งของเหยื่อออกแล้วปักช่อดอกไม้ไว้แทน – ”
     ประตูเหล็กเปิดออก หนุ่มน้อยแบรดลีย์เดินออกมาพร้อม ปืนในซอง และอุปกรณ์อื่น ๆ ของตำรวจที่ทั้งคู่พกมา หน้าตาของเขายิ้มแย้มขณะที่ส่งของเหล่านั้นคืนให้เจ้าของ พวกเขารับของมาใส่ประจำตำแหน่งดังเดิม เจย์ลีนไม่ปฏิเสธว่ามือพิกลพิการของเด็กหนุ่มทำให้เธอขยะแขยง มือข้างขวามีแค่นิ้วโป้ง กับนิ้วนางและนิ้วก้อยที่ติดกันเป็นพืด มือซ้ายไม่มีนิ้วโป้ง แต่มีนิ้วเกินที่ระบุชื่อไม่ได้ อีกทั้งกลางฝ่ามือ ระหว่างนิ้วนางและนิ้วกลางก็แยกออกเป็นสองแฉก ฝั่งหนึ่งมีสามนิ้ว ไม่วายยังหงิกงอผิดรูป เธอหวังว่าจะไม่แสดงอาการอะไรออกนอกหน้าให้อีกฝ่ายสังเกต
แต่แบรดลีย์ดูจะประทับใจในตัวเธอ “หวัดดีครับ คุณตำรวจ” เขาดูร่าเริง และตื่นเต้นเกินความจำเป็น
     “สวัสดีค่ะ” เธอภาวนาไม่ให้เขายื่นมือออกมาจับทักทาย
ตอนนั้นเองที่ เจ้าชายเบอร์ตัน ยังเดินออกมาทางนี้ “ฮูสตัน สองคนนี้พูดอะไรที่น่าสนใจกันบ้างหรือเปล่า?”
ฮูสตันเหลือบมองทั้งสองก่อนตอบ “คุณผู้หญิงบอกว่าอยากจะจับคุณข้อหาฆาตกรรม ส่วนคุณผู้ชายพยายามห้ามเธอ”
     “ขอบคุณ เดวอน” เขาหันไปหาชายคนดังกล่าว “ไม่ได้พบคุณนาน สภาพบัดซบกว่าที่คาดนะครับ” เขาเดินเข้ามาจับมือทักทายโดยแขวนตะพดไว้กับข้อมือและถอดถุงมือข้างนั้นพาดไว้กับข้อมือข้างเดียวกัน “ติดสุรา ทำให้กล้ามเนื้อปลายประสาทอ่อนแรง เป็นโรคนอนไม่หลับ และมีความแปรปรวนทางอารมณ์ คุณก็แค่เลิกเหล้า จะได้ไม่ต้องกินยา ลดการเสียเวลาชีวิตโดยใช่เหตุ” เขาเอามืออีกข้างกุมมือเดวอนผู้งงงวย “ขอแสดงความสมเพชจากใจจริงครับ ขอให้หลุดพ้นจากอดีตได้ก่อนตาย ผมไม่อยากได้ยินเสียงคุณนอนดิ้นในโลงในวันที่ผมไปร่วมงานศพ – แนะนำผมให้รู้จักกับเพื่อนใหม่ของคุณทีสิครับ”
     เดวอนยังเข้าใจการเข้าหานี้อย่างไม่เต็มที่นักแต่ก็กำลังจะผายมือไปที่เจย์ลีน แต่หล่อนก้าวเข้ามาเผชิญหน้ากับเขาก่อน อีกทั้งยังผลักเดวอนออกไป เพื่อดันเบอร์ตันเข้ากับกำแพงแล้วใส่กุญแจมือไพล่หลัง เป็นเรื่องถูกต้องที่เธอต้องรีบลงมือก่อนความกล้าที่โผล่มาอย่างหุนหันของตนจะหมดไปคนของเขาโดยรอบตะลึง แต่ยังไม่กล้าทำอะไรเพราะยังไม่มีคำสั่งให้ช่วยเหลือ แบรดลีย์เก็บหมวก และตะพดที่หล่นของเบอร์ตันไว้ให้ขณะที่มองดูสิ่งที่เกิดขึ้น
     ในระยะนี้ นอกจากกลิ่นควันบุหรี่ที่ไม่ใช่ของเขาเอง เจย์ลีนได้กลิ่นโคโลญที่มีกลิ่นพื้นเป็นถั่ววอลนัท และถั่วตองกาอุ่น ๆ มันทำให้ประสาทรับรู้ของเธอไขว้เขวไปบ้าง นี่เป็นคนร้ายที่กลิ่นหอมที่สุดที่เธอเคยจับกุม “คุณถูกจับข้อหาฆาตกรรม ฉันจะพาคุณไปโรงพัก – ”
     “คุณยังไม่เห็นศพ รู้ได้ยังไงว่าเขาเสียชีวิตแล้ว?”
     “คำสารภาพที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดีอาจทำให้คุณได้รับการลดหย่อนโทษ”
     “ก็ได้ครับ เกรกอรี เมอร์เซอร์เสียชีวิตในการทะเลาะวิวาทที่ร้านเหล้าและร้านอาหารคอร์เซตติ เขาเสียเลือดจนหัวใจหยุดเต้นด้วยแผลของมีคมที่ตัดหลอดเลือดดำต้นขาชั้นผิว ฆาตกรหนีไปได้ มีพยานเยอะแยะ แต่เดี๋ยวผมจะตามเขากลับมาปรับทัศนคติทีหลังนะครับ” เขาพูดจบตอนที่เธอใส่กุญแจมือเสร็จพอดี
     เธอดึงแขนเขาไปที่รถของเดวอนขณะพยายามปั้นหน้ายิ้มแย้มอย่างที่เขาทำอยู่ แม้เธอไม่อาจทราบได้ว่ารอยยิ้มของเขานั้นจริงหรือปรุงแต่งอย่างไร “คุณรู้ชื่อคนร้ายสินะคะ?”
     “ครับ เขาเคยเป็นเพื่อนของผมเอง ชื่อเอ็ดวาร์ด ไฮด์ เขาเป็นคนที่เลือดเย็นมาก เคยเดินชนเด็กสาวล้มแล้วเหยียบแม่หนูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
เธอรู้สึกคุ้นชื่อนั้น แต่ก็นึกไม่ออกว่าเป็นใคร “คุณรู้เรื่องร่างกายคนดีจังนะคะ เป็นหมองั้นเหรอ?”
     “ครับ เป็นหมอเถื่อน รับทำแท้งด้วย แต่ผมชอบให้ลูกค้าอุ้มท้องไปอย่างน้อยสักหกเดือนก่อนทำการผ่าตัดเพราะผมชอบกินเด็กและรกเด็ก ชูรสด้วยกระเทียม โรสแมรี่ และไธม์ น้ำมันมะกอกสักหนึ่งช้อนโต๊ะ ถูด้วยเกลือและพริกไทยสักเล็กน้อยก่อนจะเอาไปอบกับมันฝรั่งที่ปรุงด้วยเครื่องเทศเดียวกัน นุ่มเหมือนเนื้อลูกแกะเชียวล่ะ – คุณชอบโคโลญผมหรือเปล่า?”
เจย์ลีนไม่ปฏิเสธว่าเขามีลีลาวาจาเป็นเอกลักษณ์ และน่าประทับใจอย่างวิจิตรพิสดาร เธอไม่ตอบคำถามนั้น เพราะดูเหมือนผู้ต้องหาของเธอจะยิ่งสนุกได้ใจ ด้านหลังของเธอ แบรดลีย์เดินตามพร้อมสัมภาระของเบอร์ตันด้วยท่าทีปรกติของคนถือสัมภาระ ส่วนเดวอนนี่สิ กระวนกระวายแถมยังพยายามเรียกเธอให้หยุด
     พวกเขากำลังจะผ่านประตูรั้วของโกดังตอนที่เบอร์ตันพูดสิ่งที่ทำให้เธอต้องหยุดฟัง “พวกคุณกำลังสืบหานักลักพาตัวเด็ก คุณบูกี้แมน...ผมมีข้อมูลที่จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อคุณ เดวอนน่าจะบอกคุณแล้ว...การเอาผมไปขังในข้อหาตกเป็นผู้สงสัยในฆาตกรรมแมงดา และผู้ค้ายาเสพติดจะคุ้มจริง ๆ หรือครับ กับชีวิตของเด็กคนที่กำลังจะตกเป็นเหยื่อ?” เมื่อเธอยอมนิ่ง เขาจึงพูดต่อ “ผมทราบครับ ดูเหมือนจะเพิ่งก่อคดีอาญาที่ตำรวจผู้รักความยุติธรรม และเท่าเทียมอย่างคุณจะไม่ให้อภัย คดีฆาตกรรมระดับหนึ่ง ซึ่งทำให้ผมควรไปเป็นบุรุษพยาบาลในเรือนจำยี่สิบห้าปี ถูกบันทึกประวัติอาชญากรรมในตัวตนปลอม และเสียเงินที่มากพอ ๆ กับรายได้ต่อวันของผมให้เจ้าหน้าที่รัฐไปจ้างหญิงหากิน – คุณชอบเล่นเกมไหมครับ คุณนักสืบ?”
     หล่อนชักหมดความอดทน “จะพูดอะไรก็พูดเถอะค่ะ”
     “ผมก็ต้องสืบคดีนี้เหมือนกัน ผมอยากแข่งกับคุณ ถ้าคุณจับคนร้ายได้ คุณก็ชนะ ถ้าผมจับได้ก่อน คุณแพ้ ส่วนถ้าเอฟบีไอมารับช่วงต่อเมื่อไหร่ พวกเราแพ้ทั้งคู่ ซึ่งถ้าคุณชนะ ผมจะยอมสารภาพเป็นลายลักษณ์อักษรข้อหาฆาตกรรมเกรกอรี เมอร์เซอร์แล้วเดินเข้าตารางแต่โดยดี”
     “ฉัน...ต้องได้รับการยินยอมจากผู้ต้องหา ในการจับผู้ต้องหางั้นเหรอ?”
     เบอร์ตันยกมือออกมาด้านหน้า กุญแจข้อมือข้างหนึ่งหลุดไปแล้ว เขาเอาตัวกลัดกระดุมข้อมือประดับพลอยเขียวส่องศรีลังกาสะเดาะคันกลอนอีกข้างให้หล่อนเห็นเป็นขวัญตา แล้วส่งกุญแจมือคืนหล่อนก่อนจะกลัดกระดุมคืนที่เดิม
เจย์ลีนรับกุญแจมือคืนอย่างบึ้งตึง เธอคิดว่าการใส่หน้ากากสีหน้าอันเรียบเฉยขณะทำงานคือความเป็นมืออาชีพ แต่เธออดไม่ได้จริง ๆ ที่จะหัวเสีย และนี่คือครั้งแรกในการทำงานที่เธอแสดงความรู้สึกนี้ออกมา
     “พวกคณทานเย็นกันหรือยัง?” อดีตผู้ต้องหาของพวกเขาถาม
     “หิวไส้กิ่วเลย ยัง” นั่นเป็นคำตอบของ เดวอน
     “ฉันต้องขอดูกล้องวงจรปิดของคุณ” เจย์ลีนว่า ทำให้เบอร์ตัน หันมา เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยอย่างประหลาดใจ หล่อนถอนหายใจ ก่อนจะยื่นมือออกมา      “พวกเรามาเริ่มต้นกันใหม่เถอะค่ะ ดิฉันเจย์ลีน เรเวลล์ ยินดีที่ได้รู้จัก”
เบอร์ตันถอดถุงมือเพื่อจับมือกันหล่อน กระชับแน่นขณะสบตา ความสิ้นหวังอับจนหนทางปรากฏอยู่ในดวงตาของเธอ มันทำให้เขารู้สึกขัน และพึงใจ      “ยินดีที่ได้รู้จัก คุณเรเวลล์ ที่นี่ผมใช้ชื่อเบอร์ตัน ยัง บอกผมทีสิ ว่าพวกเรากำลังรู้จักกันในฐานะอะไร?”
     เธอหายใจเข้าครั้งหนึ่ง เตรียมรับกับกลคำพูดของเขาต่อไป “คุณอยากรู้จักกับฉันในฐานะอะไรล่ะคะ?”
     จากแววตา เขาเตรียมคำตอบนี้มาแล้วอย่างมั่นใจ “เพื่อน”
     เจย์ลีนพยายามมองหาเหลี่ยมเล่ห์ ระหว่างตัวอักษร ด้วยท้องเสียง ในดวงตา และบนใบหน้าของเขา คำนี้มันดูผิดแผกเกินกว่าจะเชื่อในความหมายอันเรียบง่าย เธอไม่เจอสิ่งแปลกปลอมใด ๆ เขาอาจจริงใจ ไม่ก็หลบซ่อนได้อย่างน่ากลัว “แล้วฉันต้องทำอะไรให้เพื่อนบ้าง?”
     “โอ้ ไม่ครับ” เขายื่นมือไปรับสัมภาระคืนจากแบรดลีย์ “แค่มีมิตรภาพให้กัน นั่นก็พอแล้ว...ผมจะพาพวกคุณไปดูกล้องวงจรปิดในบ้านผม เดี๋ยวจะให้แบรดลีย์ขับรถของผมนำไปก่อน ขอความเมตตาให้คุณนายโฮโรวิทซ์ในบ้านหลังถัดไปทำแซนด์วิชให้ระหว่างที่พวกเราคุยงานกัน” เขาหันไปหาเด็กหนุ่ม “ความจริงฉันยืมรถจิโอวานนีมา คันสีดำ กุญแจเสียบอยู่แล้ว – แซนด์วิชสำหรับสามคน ส่วนของฉันไม่เอาแตงกวานะ เอาไปไว้ที่ห้องทำงานแล้วเธอก็กลับบ้านได้”
     แบรดลีย์ยืนตรงเท้าชิดที่สุดเท่าที่กระดูกสันหลังอันคดงอจะอนุญาตให้เขาทำ มือพิการตะเบ๊ะอย่างขึงขัง “ไม่เอาแตงกวาครับ!” ก่อนที่เขาจะเดินออกไป
     เดวอนยืนเท้าสะเอวดูจนเด็กหนุ่มเดินเลี้ยวลับขอบกำแพงไป เขาหันมาหาเบอร์ตัน และโดยไม่ต้องถาม เจ้าชายตอบว่า “ฟอร์ดคันนั้นสวยดีนะครับ – ถ้าคุณไม่รังเกียจ ผมจะขอลองขับเล่นสักหน่อย”
 
     เดวอนนั่งอยู่ข้างคนขับ เจย์ลีนนั่งอยู่ด้านหลัง และเจ้าชายเบอร์ตันอยู่ที่ที่นั่งคนขับ บรรยากาศในรถอึมครึมตึงเครียด หากไม่มีเสียงเครื่องยนต์ และท้องถนน ทุกคนจะได้สินเสียงหัวใจของตัวเองเต้น แต่ดูเหมือนจะมีแต่คนที่ถูกกล่าวถึงหลังสุดที่ไม่รู้สึกเช่นนั้น
     “คุณกับเดวอน รู้จักกันมาก่อนเหรอคะ?” คำถามของเจย์ลีนทำลายความเงียบ
     “เรียกว่าเพื่อนร่วมงานก็ได้ครับ พวกเราร่วมมือกันจับกุม และทำลายก๊กลอมบาโดในสงครามมาเฟียเมื่อปี ๕๒”
นั่นไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่เจย์ลีนคาดไว้ “คุณช่วยมาเฟียก๊กหนึ่งล้มอีกก๊ก เพื่อให้ได้ตำแหน่งผู้หมวดงั้นเหรอคะ เดวอน?”
     “ฉันไม่ได้เลือก มันจับลูกเมียฉันเป็นตัวประกัน”
     เจย์ลีนมองไปที่หน้าของชายบนที่นั่งคนขับซึ่งสะท้อนบนกระจก ยิ้มทะเล้นแวบขึ้นบนริมฝีปากเขาก่อนจะหลบเข้าสู่ผ้าม่านแห่งความวางเฉยอย่างรวดเร็ว
     “ช่างหัวอดีตห่าเหวนั่น เรื่องธุรกิจนี่นะ อย่างน้อยลูกเมียฉันก็ไม่เป็นอะไรนอกจากเห็นอันตรายในสายงานแล้วทิ้งฉัน พวกเขายังครบสามสิบสอง” เดวอนมีสีหน้าเหมือนคนกลุ้มใจตลอดเวลาอยู่แล้ว เลยยากจะบอกความรู้สึกขณะที่เขาพูดถ้อยคำพวกนั้น “ทำไมคุณถึงมาสืบเรื่องนี้ เบอร์ตัน?”
     “อะไรเอ่ยไม่ควรขัด ขัดไปก็ไม่เงา”
     รถเงียบไปอีกอึดใจนึงระหว่างที่เจย์ลีนพยายามเอาคำตอบออกมา “คำสั่ง จากใคร”
     “ขอเดานะ – ดอนลัซซาโร” เดวอนพูดคำถัดมาในจังหวะหายใจเดียวกับคำแรกจนมันฟังดูเหมือนเป็นประโยคเดียว
     “ผมรับคำสั่งจากใครอีกล่ะนอกจากเขา และตัวผมเอง? จะว่าไปก็ไม่เชิงเป็นคำสั่งหรอก ดอนแกก็แค่ไม่อยากให้บ้านเมืองยุ่งเหยิง ผมก็ไม่อยาก มันไม่ดีต่อการเมือง และธุรกิจ” เขาดึงตลับนาฬิกาจากกระเป๋าเสื้อกั๊กมาดูเวลา ต้องอาศัยช่วงที่ผ่านใต้เสาไฟเพราะมันไม่ใช่หน้าปัดพรายน้ำ “ถ้าไม่มีใครว่า ผมอยากเปิดรายการ โนวเลดจ์, พลีสฟังสักหน่อย”
     “ตามสบาย” เป็นคำอนุญาตจากเจ้าของรถ เบอร์ตันเปิดวิทยุหน้ารถ หมุนช่องไปหารายการที่ต้องการ ในที่สุดเสียงซ่าของสัญญาณก็หายไป เสียงปรบมือของผู้ชมก็ดังขึ้น เสียงอันล้นไปด้วยชีวิตชีวาของพิธีกรประกาศ:“อย่าเพิ่งดีใจไป สุภาพบุรุษ และสุภาพสตรี...นั่นแค่คำถามที่สามเท่านั้น!”
     “มีใครอยากเล่นด้วยไหมครับ?” เบอร์ตันหันไปทางขวา มองผ่านกระจกมองหลังอย่างคาดหวัง เจย์ลีนพยักหน้า
     “คนชนะจะได้อะไรคะ?”
     “ไม่ทำอะไรที่ไม่ให้ผลประโยชน์รูปธรรมตอบแทนสินะครับ?”
     “ถ้าตอนนี้ประเทศญี่ปุ่นเป็นเวลาสิบโมงเย็น ตอนนี้ที่นี่จะกี่โมงครับ?”คำถามนั้นเรียกเสียงฮือฮาจากผู้ชม ขณะที่หญิงผู้ตอบคำถามส่งเสียงอืมระหว่างที่คิด
     “ผมให้คุณก่อนครับ คุณเรเวลล์” เบอร์ตันว่า
เธอพยายามคำนวณ ความแตกต่างของเวลาระหว่างทั้งสองที่ เธอพอจะมีความรู้พื้นฐานเรื่องเขตเวลาอยู่บ้าง ไม่นานนักเธอก็ได้คำตอบ “ตีสาม”
     “หกโมงเช้า” เบอร์ตันตอบก่อนที่แขกรับเชิญในรายการจะพูดคำเดียวกันเพียงชั่วขณะเดียว ผู้ชมปรบมือ และพิธีกรพูดชื่นชม เบอร์ตันพูดต่อระหว่างที่คนในรายการคุยเรื่องสัพเพเหระ “คุณก็ตอบถูก แต่สถานีวิทยุนี้อยู่ที่นิวยอร์ก ใช้เวลามาตรฐานตะวันออก พวกเราใช้เวลามาตรฐานแปซิฟิก – คุณก็ไม่ผิดเสียทีเดียวนะ แค่ผิดที่ผิดทาง”
     “จงบอกชื่อดาวเคราะห์ดวงนอกสุดของระบบสุริยะของเรา!”
     “พลูโต” เขาตอบโดยแทบไม่เว้นช่วงคิด ก่อนจะหันศีรษะมาหาเธอ เดวอนมองถนนด้วยความตระหนกอย่างไม่เปิดเผย และพร้อมจะตะครุบพวกมาลัยทันทีหากจำเป็น “แต่ผมไม่ชอบเขา”
     “...พลูโตเหรอคะ?”
     “ใช่ คุณไม่คิดว่ามันดูไม่ชอบมาพากลเหรอ? พลูโต...ก้อนน้ำแข็งที่สุดขอบระบบสุริยะถูกแต่งตั้งเป็นดาวเคราะห์ ทั้ง ๆ ที่เรามีวัตถุมากมายในแถบดาวเคราะห์น้อยที่ลักษณะเหมือนเจ้านั่น – เซเรส,พัลลาส, จิวโน และดวงอื่น ๆ เคยเป็นดาวเคราะห์กันมาก่อน จนกระทั่งสหพันธ์ดาราศาสตร์สากลบอกว่าดาวเคราะห์ยี่สิบสามดวงในระบบสุริยะของเราเยอะเกินไปแล้วปัดพวกเขาเป็นดาวเคราะห์น้อย จากนั้นพลูโตก็โผล่มา และกลายเป็นดาวเคราะห์อีกดวงในปี ๑๙๓๐ กว่าหนึ่งช่วงอายุคนหลังจากที่วัตถุอวกาศพวกนั้นถูกลดขั้น – มันไม่ควรจะเกิดขึ้น!”
สีหน้าที่เขาได้รับจากการสังเกตนักสืบเจย์ลีน เรเวลล์ คือ ความงงงวย แต่งงงวยอย่างอดทน เธอตั้งใจฟังเขาอย่างมีเมตตาเป็นที่สุด เขาหันหน้ากลับไปหาถนนอย่างที่ควรจะเป็น “เดี๋ยวผมรวบรวมข้อหลักฐานได้มากพอเมื่อไหร่ ผมจะฟ้องร้องพลูโต เขาจะต้องถูกลดขั้น เขาได้ตำแหน่งนี้มาอย่างคดโกง – ”
     “ธาตุลำดับหนึ่งในตารางธาตุคืออะไร?”
     “ไฮโดรเจน” เขาตอบก่อนที่ผู้ชมในรายการจะได้ส่งเสียงตื่นตะลึงเกินจริงด้วยซ้ำ ตาของเขาไม่ได้ชำเลืองมองเธอแล้ว “ธอร์เรียม ไนโตรเจน โพแทสเซียม ยูเรเนียม” เขาพูดคำหลังนี้ขณะที่สบตากับเจย์ลีนผ่านกระจกมองหลัง แสงสีเหลืองวูบวาบผ่านหน้าเธอ อากาศเย็นสบายด้วยเครื่องปรับอากาศทั้งที่นอกรถร้อนอบอ้าว วันหนึ่งในฤดูร้อน ในอีกไม่กี่ปีหลังจากนี้ นั่นเป็นตอนที่เบอร์ตัน ยังได้ใช้เวลาพักหนึ่งอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวชนีล-แชปแมนหลังเขาถูกดอนแมตทิโอ ลัซซาโรหักหลัง เธอจะนึกถึงชื่อธาตุที่ดูไร้ความหมายที่เขาพูดถึงระหว่างฟังรายการวิทยุตอบคำถามในรถของเดวอน เฮนดริกสัน อดีตคู่หูของเธอเหล่านั้นอย่างแจ่มชัดจนน่าประหลาดใจ เธอจะไปที่ห้องสมุด เปิดสารานุกรมเคมีเพื่อมองหาตารางธาตุ ไล่ตามชื่อพวกมัน แล้วมองที่ตัวอักษรย่อ
     เธอจะพบคำว่า ขอบคุณ
 
 
บ้านของเบอร์ตัน ยังเป็นบ้านธรรมดาหลังหนึ่งในหมู่บ้านคนมีอันจะกิน ภายนอกไม่ได้มีความโดดเด่นอะไร มันตั้งอยู่บนถนนโลซีห่างออกไปทางตะวันออกเพียงสิบนาที เขาจอดรถของเดวอนบนถนนหน้าบ้าน เพราะโรงรถเต็มแล้วด้วยรถคาดิลแลกของดอนลัซซาโร และรถของเขาเอง
เบอร์ตันลงจากรถ นำอาคันตุกะทั้งสองคนเข้าบ้าน ผ่านอ่างอาบน้ำนก และสวนดอกไม้เล็ก ๆ ซึ่งได้รับการดูแลจากเพื่อนบ้านในช่วงที่เขาไม่อยู่นี้ เขาไขกุญแจเข้าสู่อาณาจักรส่วนตัวบนดิน หลอดไฟติดขึ้นโดยอัตโนมัติ จากตรงนี้ มันดูเป็นบ้านชายโสดที่ปรกติเรียบร้อยเป็นที่สุด มีการตกแต่งภายในเพิ่มเติมด้วยผ้าม่าน และเครื่องเรือนที่ผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างรูปแบบสมัยใหม่ และรูปแบบวิกตอเรียน หรือจะพูดให้ง่าย ก็คือเครื่องเรือนวิกตอเรียนที่ถูกตัดทอนความหรูหราลงเพื่อไม่ทำให้บ้านของผู้อยู่อาศัยดูคล้ายพระราชวังจนเกินไปกำแพงสีครีมสบายตา เพิ่มสีสันด้วยกรอบสำเนารูปวาดอย่างภาพรุ่งอรุณในป่าสนของอิแวนชิชกิน และคอนสแตนติน ซาวิตสกี้ ที่จะเห็นได้ทางซ้ายมือทันทีที่ก้าวเข้าบ้าน ข้างที่แขวนเสื้อโค้ทและหมวกตรงหน้าบันไดซึ่งมีหมวกทริลบีของแบรดลีย์แขวนอยู่ ทางขวามือเป็นห้องนั่งเล่น ชุดโซฟาผ้าล้อมโต๊ะกาแฟ(เบอร์ตันชอบเรียกโต๊ะน้ำชามากกว่า) มีตู้หนังสือไม้โอ็กสีเข้มความสูงเท่าอกที่มีหนังสืออัดเต็มชั้นอยู่ติดผนัง ใต้ผ้าคลุมบนโต๊ะโดดเดี่ยวตัวนั้นคงจะเป็นหีบเสียง มีรูปวาดเกวียนบรรทุกฟางของจอห์น คอนสเตเบิลแขวนไว้ข้าง ๆ ทั้งหมดมีการแซมสีเขียวประดับประปรายกับโทนสีน้ำตาลโดยรวม คลาวิคอร์ดแบบมีกระเดื่องเหยียบใต้ผ้าคลุมสีขาวสะอาดตาหลังหนึ่งตั้งอยู่มุมห้องด้านในสุด แต่มีสิ่งหนึ่งที่ดูไม่เป็นเอกภาพกับสิ่งใด ตรงข้างหัวบันได มีโทรศัพท์วางอยู่ พร้อมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แปลกประหลาดรูปทรงคล้ายกล่อง ไม่ดูคล้ายเครื่องตอบรับอัตโนมัติโดยทั่วไปนักแต่ก็เดาได้ว่าทำหน้าที่คล้ายคลึงกัน
     เบอร์ตันถอดหมวกมาถือไว้ เดินนำขึ้นบันได ส่วนเดวอนแขวนหมวกไว้ตรงนั้น มีสำเนารูปวาดให้เห็นอีกหลายรูประหว่างทาง เมื่อถึงชั้นบนแล้วก็หันมาหาตำรวจทั้งสอง “ผมจะไปเก็บข้าวของสักหน่อย” ใช้ตะพดชี้ไปที่ห้องนอนของตนซึ่งเป็นประตูบานแรก “พวกคุณไปรอในห้องทำงานของผมได้เลยนะครับ”
     ทันใดนั้น แบรดลีย์ จิมมิเนซก็ออกมาจากประตูบานที่สอง ซึ่งเป็นห้องทำงาน เขาลังเลที่จะพูด เพราะไม่แน่ใจว่าเรื่องใดบ้างที่ควรพูดต่อหน้าตำรวจ “อ่า ผมเห็นกระเป๋าเดินทางที่บ๋อยสนามบินเอามาให้อยู่หน้าบ้าน ผมเอาไปไว้ในห้องคุณแล้วนะ”
     “ขอบใจมาก แบรดลีย์” เบอร์ตันไปที่ประตูห้องนอนของตนเอง “ฝากดูแลแขกสักครู่นะถ้าเธอสะดวก เดี๋ยวฉันจัดการข้าวของเสร็จแล้วตามไป – แค่ครู่เดียวครับ” เขาพูดประโยคสุดท้ายกับตำรวจทั้งสองแล้วก็ปิดประตูตามหลัง
แบรดลีย์ผายมือนำทั้งสอง ราวมัคคุเทศก์ผู้ภูมิใจยิ่งในงานของตน เขารู้สึกมั่นใจในการกระทำของตนมากขึ้นเมื่อถูกสั่ง “เชิญครับ”
ห้องทำงานของเบอร์ตันมีขนาดกะทัดรัด เครื่องปรับอากาศเพิ่งถูกเปิดเลยยังพอมีกลิ่นอับร้อน ๆ อยู่บ้าง มีโต๊ะจำนวนหนึ่งจัดไว้สำหรับวางกองเอกสารมากมายอันเป็นระเบียบอย่างน่าประทับใจ บนนั้นมีกองกระดาษรูปวาดดินสอ แผ่นบนสุดเป็นรูปด้านหน้าของคฤหาสน์ที่ดูเก่าแก่หลังหนึ่งซึ่งมองเห็นได้ลาง ๆ ผ่านกระดาษไขที่ใช้คลุมกันฝุ่น มีตู้เก็บแฟ้มและหนังสือที่ถูกผ้าคลุม เครื่องเรือนทุกอย่างถูกผ้าคลุมหมด มีการตกแต่งอันอบอุ่นอย่างห้องอื่น ๆ แต่รูปวาดที่แขวนตกแต่งดูแตกต่างออกไปจากเอกลักษณ์อันโดดเด่น แม้แต่ผู้ที่ไม่นิยมศิลปะเพราะเห็นพวกมันเป็นความฟุ้งเฟ้ออย่างเดวอน และเจย์ลีน ก็ยังมองออกว่าภาพทั้งหมดที่ปรากฏอยู่ในห้องนั้นมีคนวาดเพียงคงเดียว คือ ฟินเซนต์ ฟัน โคค ทั้งฝูงกาเหนือทุ่งข้าวสาลี, คนกินมันฝรั่ง และบ้านที่อูแวร์ เจย์ลีนเชื่อว่าภาพพวกนี้คือรสนิยมที่แท้จริงของเจ้าของบ้าน ส่วนภาพชั้นล่างนั้นมีจุดประสงค์เพียงสร้างความพึงพอใจให้แขกด้วยความสวยงามอย่างสากล
     ด้านในสุดเป็นกลุ่มโต๊ะของเขา หันหน้ามาทางประตู ผ้าคลุมถูกดึงออกไปแล้ว โต๊ะตัวใหญ่ตรงกลางเป็นโต๊ะแบบที่จะพบได้ทั่วไปตามสำนักงาน เครื่องพิมพ์ดีดที่ถูกผ้าคลุมไว้ และโทรศัพท์ อุปกรณ์สำนักงานอื่น ๆ คงอยู่ในลิ้นชัก แซนด์วิช และแก้วน้ำสำหรับสามคนอยู่ที่โต๊ะนั้น ส่วนบนโต๊ะอีกตัวมีอุปกรณ์ที่เห็นได้ไม่บ่อยนัก แต่ก็คะเนได้ไม่อยากว่าคนอย่างเขาจะมีมันเพื่อการใช้งานส่วนตัว – คอมพิวเตอร์
     “บ้านคนรึห้องจัดแสดงภาพเนี่ย” เดวอนอดไม่ได้จริง ๆ ขณะมองไปโดยรอบ “แกเป็นอะไรกับ เบอร์ตัน เหรอ แบรดลีย์? บ๋อยคนโปรดเหรอ?”
     “หลายคนว่าอย่างนั้นครับ ผมแค่...เอ่อ...ผมเป็นผู้ช่วยของเขา เขาเรียกผมว่าเพื่อนแต่ผมกลัวจะกลายเป็นคางคกขึ้นวอถ้ายอมรับตำแหน่งนั้น ผมกำลังพยายามเรียนรู้จักเขา เขาเป็นเหมือนพี่ชายของผม” เด็กหนุ่มเดินไปยกเก้าอี้เพิ่มจากมุมห้องมาตั้งตรงหน้าโต๊ะทำงานหลัก จากสิ่งทั้งหลายที่เขาได้กระทำมาตลอดสิบห้าปีของชีวิตทำให้เขาประหม่าเมื่อต้องคุยกับตำรวจ โดยเฉพาะตำรวจที่มองออกทันทีว่าเป็นตำรวจจากระยะห่างหนึ่งช่วงตึกอย่างเดวอน
     “เรียนรู้อะไรวะ?”
     “ก็...ทุกเรื่องครับ ผมอยากเป็นคนที่ทุกคนเคารพรัก และเชื่อถือแบบเขา แม่ฝากฝังผมไว้กับเขา บอกว่าสักวันผมจะยิ่งใหญ่” คำพูดนั้นทำให้เดวอนอยากจะหัวเราะ หัวเราะในความไม่น่าจะเป็น แต่เมื่อได้เห็นว่าหนุ่มน้อยพูดอย่างภาคภูมิ และซื่อใสเพียงไร เขาก็ไม่กล้าหยามความบริสุทธิ์นั้น แบรดลีย์เชิญทั้งสองนั่ง และทานแซนด์วิช ชี้ว่าชิ้นไหนของพวกเขาและชิ้นไหนของเบอร์ตัน จากนั้นเขาก็เขยิบออกไป เฝ้ามองทั้งสองอยู่ห่าง ๆ เหมือนคนเดินโต๊ะในภัตตาคาร เจย์ลีนเลือกที่จะหยิบอาหารแล้วเดินสำรวจห้อง
รสชาติแซนด์วิชนับว่าหรูหราสำหรับลิ้นตำรวจผู้หิวโหย เดวอนกินชิ้นแรกหมดด้วยการกัดสามครั้ง และใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งนาที เจย์ลีนไม่ชอบกลืนคำใหญ่ที่เคี้ยวไม่แหลกจึงใช้เวลานานกว่า เธอเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าต่างบานหนึ่ง มองออกไปเห็นสวนหลังบ้าน นอกจากดอกไม้คละสีที่ถูกปลูกอย่างเป็นระเบียบแล้ว เธอเห็นพุ่มกัญชาเล็ก ๆ ในกระบะวางไว้ตรงมุมสวนแค่นี้ก็ยิ่งเสียกว่าชัดเจนแล้วว่าเจ้าชายองค์นี้ห่างไกลจากการเป็นเจ้าชายในนิทานปรัมปราเพียงไหน
     แบรดลีย์ดูจะพอใจในความเจริญอาหารของแขก “อยากได้ชา กาแฟ หรือช็อกโกแลตไหมครับ?”
     “ไม่ล่ะ เราไม่ได้มาหาความสำราญ” เดวอนตอบ “อีกอย่างนะ การอยู่ที่นี่ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนถูกฆ่าได้ทุกเมื่อ” แบรดลีย์ยักไหล่ขณะที่มือยังกุมประสานกันอยู่ด้านหน้ารอยยิ้มแห้งแล้งเป็นสิ่งเดียวทีเขาทำได้ คำถามของตำรวจทั้งสองยังมีอีกมากมาย แต่เดวอนเป็นคนเดียวที่กล้าคลายข้อสงสัยของตัวเองโดยตรง “ทำไมเขาใจดีจัง? มีแผนจะไขคดีแล้วถ่อมตัวด้วยการยื่นผลงานให้ตำรวจฉวยไปอีกหรือเปล่า?”
แบรดลีย์ออกจะประหลาดใจที่ได้ยินแบบนั้น “เขาเป็นเพื่อนคุณเรเวลล์แล้วนี่ครับ ก็ต้องช่วยงานเพื่อนสิ?”
เบอร์ตันเปิดประตูเข้ามา เขาแค่ไปถอดเสื้อนอกออกตามประสาคนไม่ทนร้อน เหลือแต่สายเอี๊ยมและเสื้อเชิ้ต เดินดุ่ม ๆ ไปที่โต๊ะคอมพิวเตอร์แล้วกดสวิทช์เปิดมัน ขณะที่อุปกรณ์นั้นกำลังเปิดตัว เขานั่งบนโต๊ะหลัก แล้วหยิบแซนด์วิชของตัวเองไปทาน “ชงชาให้ฉันหน่อยนะ แบรดลีย์ ขอสูตรพิเศษ”
แบรดลีย์ตอบรับแล้วเดินออกจากห้องไป
     เมื่อหน้าจอเริ่มมีตัวหนังสือสีเขียวที่อ่านหาความไม่ได้ปรากฏขึ้นบนจอ เบอร์ตันก็คาบแซนด์วิชไว้ ขณะที่นั่งบนเก้าอี้หน้าคอมพิวเตอร์ แล้วลงมือพิมพ์คำสั่งบนแป้นอักขระที่ไม่มีตัวอักษรเพื่อเรียกข้อมูลมาจากฐานข้อมูลในเมนเฟรมที่อยู่ในห้องใต้ดิน
     “มันมาแล้ว...พระเจ้า” เขาว่าเสียงแผ่ว มือที่ทำงานอยู่ชะงักไปเดี๋ยวหนึ่ง
     เดวอนไม่มีความรู้สึกอยากแก้ความสงสัยของตนเองนักหากจำเป็นต้องพูดกับเบอร์ตัน เขารู้สึกว่าการพูดกับชายคนนี้อันตรายพอ ๆ กับการพูดกับพนักงานตัวแทนขายประกัน เจย์ลีนจึงทำหน้าที่ถาม “อะไรมาคะ?”
     “ไมเกรน”
     “โอ้ว...” เป็นคำตอบเดียวที่เธอนึกออก
     “สำหรับคนที่พากเพียรทำความดี แสวงหาสง่าราศี เกียรติ และความเป็นอมตะนั้น พระองค์จะประทานชีวิตนิรันดร์ให้[๑] – คุณอยากให้ผมเอาสำเนาข้อมูลใส่วิดีโอเทปไว้ไหม?”
     “นั่นจะวิเศษมากค่ะ”
     “แต่ตอนนี้ผมไม่มีเทปอะนาล็อก เดี๋ยวทำให้วันพรุ่งนี้นะครับ ดูสดไปก่อนนะ” ตำรวจทั้งสองเดินอ้อมไปด้านหลังเบอร์ตันเพื่อดูภาพนั้น มันเป็นภาพอินฟาเรด บันทึกตอนกลางคืน กล้องติดอยู่ในตรอก ภาพที่เห็นนั้นมีถนน และฝั่งตรงข้าม ชิดไปทางซ้ายของจอเป็นร้านขายของชำ มีรถคันหนึ่งจอดอยู่ริมทาง
     “ดูเสร็จแล้วกดคานเคาะนะครับ ไม่ต้องปิดสวิทช์ ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนกำลังโดนสว่านเจาะขมับซ้าย” เขาลุกขึ้น ดึงนามบัตรของตนจากลิ้นชักโต๊ะหลักมาวางไว้ด้านบน “ถ้าอยากพูดคุยอะไรเพิ่มเติม ให้ทิ้งจดหมายน้อยไว้ ไม่ก็โทร.มาพรุ่งนี้ ฝากข้อความไว้ให้สจ๊วต – ผมจะไปดื่มชาแล้วเข้านอน ราตรีสวัสดิ์ครับ” ก่อนจะลุกออกไป
     “ราตรีสวัสดิ์ค่ะ” เจย์ลีนพูดตามหลัง เขาหันมาพยักหน้าให้ก่อนจะปิดประตูไป
     ตำรวจทั้งสองดูภาพจากกล้องกันต่อ เห็นชายเจ้าของรถยนต์แขนเจ็บ กำลังยกโน่นยกนี่เข้า ๆ ออกจากท้ายรถ เด็กคนหนึ่งเดินข้ามถนนไปในความมืด แล้วชายคนนั้นก็ทำกล่องเล็ก ๆ ใบหนึ่งร่วง เด็กคนนั้นหยุดมอง จากนั้นจึงตัดสินใจเข้าไปช่วย ตอนที่ลำตัวครึ่งหนึ่งของเด็กอยู่ใต้ฝาหีบท้ายรถ ชายคนนั้นก็หยิบอะไรบางอย่างทุบหัวเด็กสลบ จากนั้นดันเข้าไปในหีบท้ายรถ ปิด แล้วขับออกไป
ยังมีอีกหลายสิ่งที่ถูกบันทึกภาพไว้แต่พวกเขายังไม่อาจเห็นได้ และทั้งสองตระหนักดี กระนั้นทั้งหมดนี้ก็เป็นความคืบหน้าที่มากที่สุดตั้งแต่ที่เริ่มทำคดีนี้มา พวกเขา และเบอร์ตันยังมีอะไรให้ถกกันอีกแยะ
 
     ในคืนนั้น หลังดื่มน้ำชาผสมกัญชา, บอกกำหนดการในวันพรุ่งนี้กับแบรดลีย์ และโทร.หาดอน ลัซซาโรเพื่อยกเลิกคำสั่งกันตำรวจออกจากคดี เบอร์ตันก็เข้านอน
 
______________________________________
[๑]โรม ๒:๗

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา