DREAMS COME TRUE จากฝัน...ถึงเธอ

10.0

เขียนโดย winnerella

วันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 12.04 น.

  17 บท
  0 วิจารณ์
  17.04K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 17.42 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) สัญญา

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

“สัญญานะ”

กริ๊งงงงงงง เสียงที่เราคุ้นเคยในทุกๆ เช้าของวันนั่นแหละ คือเสียงนาฬิกาปลุกสุดจะน่ารำคาญ ผมได้เพียงแค่เอื้อมไปควานหาต้นต่อของเสียงนั้นไปมาบนชั้นวางของข้างหัวเตียง ใช้เวลากับสิ่งนี้ทุกเช้าประมาณเกือบห้านาทีในทุกวัน แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าเล็ดลอดเข้ามาผ่านช่องทางหน้าต่างเล็กๆ แทงเข้าตาผมเต็มๆ นั่นคงหมายถึงว่า ผมควรลุกออกจากที่นอนได้แล้ว

ผมมองไปที่นาฬิกาเจ้าปัญหาเห็นว่าตัวเลขที่ไม่ค่อยอยากเห็นเท่าไร เวลาหกโมงเช้า! พลันคิดในหัวว่าขอเวลานอนอีกนิดนะ ขออีกห้านาที ขออีกสิบนาที

“ปอ ปอ ลูกปอ ตื่นได้แล้ว เดี๋ยวก็ไปสอบไม่ทันหรอก” สิ้นเสียงเรียก ทำให้ผมถึงกับสะดุ้งตื่นอย่างโดยเร็ว ปัดผ้าห่มออกจากตัว รีบลุกขึ้นจากเตียงทันที

“ครับ แม่ ตื่นแล้วครับ ตอนนี้กำลังแต่งตัว” ผมคิดว่าตอบไปอย่างงั้นดีแล้ว

ผมมองนาฬิกาอีกครั้งหนึ่ง พบว่าเวลาได้ผ่านล่วงเลยไป เกือบยี่สิบนาทีแล้วหลังจากดูมันครั้งแรก ผมได้แต่รีบวิ่งเข้าห้องน้ำ แปรงฟัน ล้างหน้า อาบน้ำ อย่างรวดเร็วเท่าที่จะทำได้ ณ ตอนนั้น หลังทำธุระในห้องน้ำเสร็จ ผมรีบวิ่งมาใส่ชุดนักเรียน ติดกระดุม ตราประจำโรงเรียน เข็มขัด ถุงเท้า แม่งเอ๊ยอะไรมันจะเยอะแยะขนาดนี้คนยิ่งรีบๆ อยู่ ต่อให้รีบยังไงผมก็มักจะไม่ลืมหรอกนะครับที่จะต้องบำรุงหน้าผมสักหน่อย ผมจึงเดินไปที่โต๊ะนั่งอ่านหนังสือของผม ที่ก็ดูเป็นโต๊ะธรรมดาๆ ทั่วไปแหละครับ เพียงแต่ตอนนี้ มันเต็มไปด้วยหนังสือเตรียมสอบหลากหลายวิชา ทั้งฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ไทย สังคมจากสถาบันต่างๆ รวมถึงสมุดโน้ตย่อที่ผมมักจะทำเสมอเวลาอ่านหนังสือ

เมื่อคืนผมก็นั่งอ่านหนังสือพวกนี้แหละครับ ก่อนเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย ทั้งเรียนพิเศษต่างๆ จากสถาบันที่โด่งดัง ที่ไหนเขาว่าดี ก็เรียนครับ

“ปอลูก จะสายแล้วนะ”

“ครับแม่” สิ้นเสียงการตอบกลับ ผมจึงรีบ ทาครีม ทากันแดด ก็แหงแหละครับ แดดเมืองไทยมันร้อน อีกนิดเดียวก็คงละลายแล้ว

อีกมือหนึ่งก็ทาครีม อีกมือก็เตรียมพวกปากกา ดินสอสองบี ยางลบ พร้อมๆ ไปกับการจัดหนังสือให้เข้าที่เข้าทางสักหน่อย หลีงจากจัดพวกหนังสือเรียบร้อย ต่อมาก็คงเป็นสมุดโน้ตย่อต่างๆ

ตุ๊บ!!!

เสียงสิ่งของบางอย่างตกลงกับพื้นไปในใต้โต๊ะที่มืดๆ จนสายตาผมไม่สามารถมองได้ว่ามันเป็นสมุดโน้ตย่อของวิชาอะไร เพราะแสงไฟสลัวมีเพียงแค่ไฟจากห้องน้ำที่ผมเปิดไว้ยังไม่ได้ปิด กับโคมไฟที่ผมเปิดไว้บนโต๊ะเพื่อทาครีมของผมเท่านั้นเอง

ผมจึงค่อยๆ ก้มไปเก็บมันขึ้นมา เพียงแค่เลื่อนสมุดนั้นออกมา ได้เพียงเล็กน้อยให้แสงที่สลัวได้สาดส่องไปที่สมุดนั้นบ้าง ก่อนจะเห็นรอยจางๆ บนขอบสมุดด้านบนขวา

ป่….

“ปอลูก รีบลงมากินเข้าได้แล้ว เดี๋ยวไปสอบไม่ทันนะ”

“ครับๆ เสร็จแล้ว”

ผมจึงหยิบสมุดนั้นขึ้นมา พร้อมกับรีบเอาไปรวมกันกับสมุดโน้ตต่างๆ ให้เข้าที่อย่างลวกๆ

“สัญญานะ” เสียงบางอย่างได้ผ่านเข้ามาในสมองของผมชั่วครู่หนึ่ง ทำให้ผมรู้สึกนึกถึงใครสักคน

ความฝัน...

ก่อนจะเดินไปปิดไฟห้องน้ำ เอาพวกของต่างๆ ที่จำเป็นต่อการสอบเข้ากระเป๋าแล้วออกจากห้องนอน ลงไปข้างล่างตามเสียงเรียกของแม่

“รีบทานข้าวนะ อย่ารีบกินจนติดคอละ”

“ครับแม่”

“เอาไมโลร้อนเพิ่มไหม”

“ไม่ครับ แค่นี้พอ”

ช่วงเวลาที่กินข้าวเช้า ก่อนไปสอบคงเป็นช่วงที่ใครทุกๆ คนคงรู้สึกเหมือนๆ กัน แม้รู้ว่าข้าวเช้าเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อร่างกายเราทำให้มีแรงในการทำกิจกรรมต่างๆ ของวัน แถมยังลดความเสี่ยงของการเป็นอัลไซเมอร์ได้ อันนี้ผมอ่านมาจากบทเรียนแหละครับ แต่ก็กินไม่ลงหรอก ความรู้สึกมันมวนท้อง อยากจะอ้วกตลอดเวลา มันตื่นเต้นจนกินไม่ลง จะสอบแล้ว เครียดอีก แต่ผมก็พยายามกินเข้าไปอยู่ดี เพราะคุณแม่สุดที่รักผมเป็นคนทำให้กิน

ข้าวเช้าก็คงเป็นอาหารง่ายๆ นั่นก็คือ ข้าวต้มหมูสับ ของผมพิเศษหน่อยที่มันเป็น หมูสับข้าวต้ม เพราะแม่ผมใส่หมูให้ผมเยอะมาก ข้าวนิดหน่อย แต่ไม่มีผักนะครับ ผมไม่กินผักแค่เห็นสีเขียวและได้กลิ่นของมันแล้วทำให้ผมอยากจะอ้วกยิ่งกว่าตอนนี้

มื้อเช้ามื้อนี้ผ่านไปรวดเร็วกว่าทุกๆ วันเพราะเราต้องรีบออกจากบ้านเพื่อไปสนามสอบให้ทันเวลา ผมเหลือบมองไปดูนาฬิกาที่ข้างฝา มันแสดงเวลาเจ็ดโมงสิบห้าแล้ว ผมจึงรีบเก็บจาน คว้ากระเป๋าสะพายสีน้ำตาลคู่ใจของผม ที่ภายในมีบัตรเข้าห้องสอง กระเป๋าใส่เงิน สมุดโน้ตเล่มเล็กๆ ที่จดสูตรต่างๆ ไว้เพื่อทวนเวลานั่งรถไปสนามสอบ กระเป๋าดินสอที่มีบรรดาดินสอสองบีที่แหลมพอประมาณพร้อมจะรบกับข้อสอบเต็มที่แล้ว และที่ขาดไม่ได้ก็คือยางลบที่ต้องยี่ห้อดีๆ เท่านั้น เพื่อที่จะได้ลบสะอาดๆ ไร้ร่องเลย เวลาเปลี่ยนใจไม่ตอบคำตอบที่เราตอบไปแล้ว

จากบ้านเราไปสนามสอบที่มหาวิทยาลัยใช้เวลาประมาณยี่สิบนาที เมื่อไปถึงสนามสอบก็เป็นเวลาประมาณเกือบจะแปดโมงเช้า เรามาถึงสนามสอบก่อนประมาณหนึ่งชั่วโมงเผื่อเวลาไปหาตึก หาห้องสอบ

“ผมไปแล้วนะครับแม่”

“ตั้งใจสอบนะลูก มีสติด้วยนะลูก”

“ครับแม่”

ก่อนผมจะเปิดประตูลงจากรถ ก็จะไม่ลืมสิ่งที่เราสองคนแม่ลูกทำกันประจำ ฟังไม่ผิดหรอกครับ สองคนแม่ลูก ผมเป็นลูกคนเดียว แม่บอกแบบนี้อะนะ ส่วนพ่อนั้นเสียไปตั้งแต่ผมเด็กๆ แล้วละครับ แต่ก็ไม่รู้ว่าเสียจากอะไร เพราะเคยถามแล้วแม่มักจะดูเศร้าๆ เหมือนไม่อยากพูดถึงเรื่องนั้น ผมเลยไม่เคยที่จะถามเกี่ยวกับการตายของพ่ออีกเลย

...หอมแก้ม

เราสองคนแม่ลูกไม่ว่าจะไปไหนมาไหนกัน เช่นส่งผมไปโรงเรียน หรือว่าไปที่ไหนๆ เวลาก่อนเราจะแยกจากกันเรามักจะหอมแก้มกันก่อนเสมอ ซึ่งครั้งนี้ก็เหมือนกัน

“ไปแล้วนะครับ” ยิ้ม

ภายใต้อาคารเรียนรวมหลังใหญ่ ที่ใต้ถุนเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหารมากมาย รวมทั้งโต๊ะนั่งที่เต็มไปด้วยเด็กนักเรียนจากโรงเรียนต่างๆ จับจองนั่งกันเต็มไปหมด บ้างก็กินข้าวเช้า บ้างก็นั่งอ่านหนังสืออย่างขะมักเขม้น บ้างก็ทำสมาธิ หรือแม้กระทั่งบางคน ก็ไม่ทำอะไรอย่างที่ผมว่าหรอกครับ มันเล่นเกมกันเป็นกลุ่ม ส่งเสียงรบกวนให้แก่คนรอบข้าง

ผมกวาดสายตามองไปทั่วๆ เพื่อหาบอร์ดที่ทุกสนามสอบมักจะมีไว้ ติดประชาสัมพันธ์ต่างๆ ทั้งแผนที่ภายในอาคาร ชื่อผู้เข้าสอบ ห้องที่ใช้สอบ ผมเดินไปตรงนั้น แต่ก็นั่นแหละครับเต็มไปด้วยนักเรียนจำนวนมากที่ต่อเข้าแถวกันเพื่อดูข้อมูลต่างๆ ที่จำเป็น ผมต่อแถวเพื่อรอให้ถึงคิวผม ผมเปิดโทรศัพท์มือถือเพื่อดูเวลา ตัวเลขบ่งบอกว่า ยังมีเวลาอยู่ เพราะเริ่มสอบตอนเก้าโมงเช้า ผมจึงไม่ได้เร่งเรียบเบียดเสียดคนข้างหน้าเท่าไรนัก

เมื่อถึงคิวผม รีบหาข้อมูลที่จำเป็นของผม ทั้งห้องที่ใช้สอบ ลำดับเลขที่นั่งสอบ อย่างรวดเร็วเพื่อให้คนที่ต่อหลังผมได้ดูบ้าง

ห้องสอบผม ห้องที่ 3 เลขที่นั่งสอบ 26 อาคารเรียนรวม

“ปอ” เสียงนุ่มๆ ที่คุ้นหู

ผมหันไปตามเสียงนั้นที่ยืนข้างผมขณะดูบอร์ด เห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งผิวสีแทน ผมสีดำรองทรง รูปร่างสมส่วนสูงประมาณร้อยแปดสิบต้นๆ หน้าตาเรียกว่าก็หล่อแบบไทยๆ เป็นที่ถูกใจของบรรดาสาวๆ

“อ้าวดิว หวัดดี”

ดิวเป็นเพื่อนสนิทผมเองครับ เป็นเพื่อนที่นับว่าคบนานมากถึงมากที่สุด เจอครั้งแรกก็ตอนประถม เราอยู่ด้วยกันมาตลอด แม้กระทั่งมัธยม จนเราก็สัญญากันว่า เราจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกันและจะเข้าคณะเดียวกัน

หลังจากสิ้นประโยคทักทาย เราต่างพากันออกมาจากหน้าบอร์ดอันวุ่นวายนั้น เพื่อไปหากลุ่มเพื่อนที่จองโต๊ะใต้ทุนอาคารเรียนรวม เพื่อนั่งรอฆ่าเวลาให้ถึงเวลาเข้าสอบ

“ให้นักเรียนผู้เข้าสอบทุกคน ไปรอที่หน้าห้องสอบได้แล้วครับ” เสียงประกาศตามสายดังขึ้น ทำให้นักเรียนที่กำลังนั่งอยู่ใต้ถุนอาคารเรียนรวมเงียบกันหมด หยุดทุกกิจกรรมที่กำลังทำ เพื่อรอฟังประกาศต่อ

“ให้นักเรียนทุกคน เตรียมดินสอสองบีขึ้นไป ยางลบ บัตรประจำตัวเข้าห้องสอบ และบัตรประชาชนเท่านั้น ในการเข้าห้องสอบ ส่วนสัมภาระอื่นๆ ให้เก็บใส่ไว้ในกระเป๋าให้เรียบร้อย ไม่ให้นำเครื่องมือสื่อสารทุกชนิด เข้าห้องสอบ กรุณาปิดเครื่อง…”

ประกาศยาวนานมากจน บางคนถึงกับลุกจากโต๊ะแล้วเดินไปยังห้องสอบโดยไม่ฟังคำประกาศใดๆ ต่อ

ไม่ต่างอะไรกับพวกเราหรอกครับ ก็ตามที่ฟังประกาศ พอจับใจความได้ คงเหมือนสอบทั่วไปแหละที่ห้ามนั่นโน่นนี่ พวกเราจึงลุกแล้วแยกย้ายกันไปห้องสอบของเรา

เมื่อถึงหน้าห้องสอบ ป้ายหน้าห้องสอบบ่งบอกว่านี้คือห้องสอบที่ 3 มันเป็นเพียงกระดาษเอสี่ ธรรมดา ที่ติดสกอตช์เทปใสสี่มุม ข้างป้ายเลขห้องสอบก็มีแผนพัง เก้าอี้สำหรับผู้เข้าสอบตามหมายเลข ห้องสอบห้องหนึ่ง จะมีผู้เข้าสอบสามสิบคน ผมเป็นคนที่ 26

ก่อนเข้าห้องสอบ ก็จะมีกรรมการคุมสอบประจำห้อง ค่อยตรวจเลขที่นั่งสอบ บัตรประชาชน รวมถึงค้นกระเป๋ากางเกงและกระโปรงของผู้เข้าสอบ เพื่อตรวจสอบว่ามีใครนำสิ่งที่ผิดกฎการสอบเข้าห้องสอบหรือเปล่า

พอใกล้ถึงคิว ผมเปิดดูโทรศัพท์มือถือเพื่อดูเวลา ตัวเลขปรากฏขึ้นมาว่า เหลืออีกห้านาทีก่อนถึงเวลาสอบ ผมปิดเครื่อง แล้วยัดมันใส่เข้าไปในกระเป๋าสะพาย ก่อนที่จะถูกตรวจเหมือนๆ คนอื่น

นักเรียนทุกคนนั่งประจำที่ บรรยากาศโดยรอบก็มีหลายสไตล์ ทั้งหลับ ทั้งสวดมนต์ ทั้งทำสมาธิ ส่วนผมได้แต่หายใจเข้าออกช้าๆ เพื่อสงบความตื่นเต้นเอาไว้

“เริ่มทำข้อสอบ” เสียงประกาศตามสายดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนเงียบไปซึ่งเป็นสัญญาณที่นักเรียนทุกคนเฝ้ารอมานาน ต่างคนต่างเปิดกระดาษคำตอบของตนเอง อ่านโจทย์ แล้วลงมือทำ ฝนคำตอบลงบนกระดาษคำตอบ ยังดีหน่อยที่การสอบนี้ ไม่ต้องเขียนชื่อตัวเอง หรือฝนรหัสอะไรที่หน้าปวดหัวเสียเวลา เพราะข้อสอบและกระดาษคำตอบของนักเรียนแต่ละคนนั้นมีข้อมูลต่างๆ ไว้พร้อมแล้ว เหมือนมันบ่งบอกว่าข้อสอบนี้เป็นของพวกแก คะแนนเป็นของพวกแก

การสอบเข้ามหาวิทยาลัยครั้งนี้เป็นการสอบในรูปแบบที่เรียกว่า GAT PAT โดยจะเป็นการสอบตามความถนัดของแต่ละบุคคล แล้วแต่คณะที่คนคนนั้นเลือกว่าจะต้องสอบ GAT PAT อะไรบ้าง ซึ่งข้อสอบPAT มีความถนัดถึงเจ็ดอย่าง หนึ่งถึงเจ็ดก็เป็นความถนัดแต่ละสาขาวิชา ยิ่ง PAT เจ็ดเป็นความถนัดทางภาษาอื่นๆ ซึ่งยังแบ่งย่อยอีกหลายภาษามากมาย ถ้าให้ไล่ก็คงยาว ส่วน GAT เป็นสิ่งที่ทุกคนนั้นต้องสอบ เพราะมีทั้งในส่วนเชื่อมโยงและภาษาอังกฤษ ที่ทุกคณะแทบจะใช้เป็นคะแนนในการเข้าสอบหมด แต่เปอร์เซ็นต์จะแตกต่างกันออกไป

ส่วนผมนั้นหรอ สอบแค่GAT PAT หนึ่ง ความถนัดทางด้านคณิตศาสตร์ และ PAT สอง ความถนัดทางด้านวิทยาศาสตร์ซึ่งประกอบด้วย ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ และดาราศาสตร์ ซึ่งทั้งหมดเป็นสิ่งที่คณะที่ผมอยากเข้าใช้ครับ

“หมดเวลาทำข้อสอบ”

“เริ่มทำข้อสอบ”

“หมดเวลาทำข้อสอบ”

“เริ่มทำข้อสอบ”

“หมดเวลาทำข้อสอบ”

เสียงประกาศดังขึ้นมาสลับไปมาระหว่างสองประโยคนี้ เพราะวันหนึ่งเราไม่ได้สอบแค่ความถนัดเดียวครับ เราสอบหลายความถนัดพร้อมๆ กัน

หลังทำข้อสอบเสร็จ นักเรียนทุกคนต่างทยอยกันออกมานอกห้องสอบ ต่างคนก็พูดถึงข้อสอบตามประสาเด็กนักเรียนก็ต้องคุย ต้องถามว่าข้อนี้ตอบอะไร ใครตอบตรงกับเพื่อนก็ดีใจ ใครตอบไม่ตรงก็หาพวกที่ตอบเหมือนกับตัวเอง ไม่ต่างอะไรกับพวกผมหรอกครับ

“ไอ้ปอออออออออออ ขอนั้นตอบ อะมีบา ไหมว่ะ”

“อืมใช่” เป็นคำถามของไปดิวมันครับ ทันทีออกมาจากห้องสอบ

ดิวมันเป็นคนที่เก่งวิชาสายคำนวณมาก คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ มันคือตัว ท็อปของจังหวัดเลยก็ว่าได้ มันเป็นตัวแทนของโรงเรียนในการตอบปัญหาวิชาพวกนี้ ทุกการแข่งขันมันจะกวาดรางวัลได้หมด ไม่ที่หนึ่ง ก็ที่สอง แต่อย่างว่าละครับตัวท็อปก็คือตัวท็อป ส่วนใหญ่มันจะได้ที่หนึ่ง จนหลายโรงเรียนที่รวมแข่งตอบปัญหาวิชาการ ลุ้นเพียงแค่ที่สองทันทีเมื่อเห็นชื่อ นายปรเมศว์ เจริญศิริกุล เข้าร่วมแข่งขัน

ส่วนผมอาจจะต่างกับมันเล็กน้อยตรงที่ผมพอไปได้กับวิชาคำนวณ แต่วิชาที่ผมทำได้ดี คือวิชาชีววิทยา เป็นวิชาที่ผมชอบและทำได้ดีมาก ก็เหมือนอย่างดิวแหละครับ ผมก็เป็นตัวแทนในการตอบปัญหาวิชานี้เหมือนกัน ผมสามารถได้รับเหรียญทองในการแข่งขันโอลิมปิกวิชาการชีววิทยาระดับประเทศมาแล้ว

ซึ่งไม่แปลกที่คำถามแรกที่ดิวมันถามคงไม่พ้นคำถามเกี่ยวกับชีววิทยาซึ่งเป็นวิชาที่มันไม่ค่อยจะคล่อง แต่ก็พอถูไถได้

“ลุ้นมากเลยว่ะ ไอ้ปอ เราจะติดหมอไหมว่ะ”

ฟังไม่ผิดหรอกครับ หมอ หรือถ้าเรียกทางการหน่อยก็แพทย์นั่นแหละครับ เราสองคนอยากเข้าคณะแพทย์มาก ไม่รู้อยากเข้าเพราะอะไร เพราะโรงเรียนเรียน หรือครูที่บอกให้เราสอบเข้าให้ได้ หรือว่าเราอยากเข้าเอง แต่ก็ช่างมันเถอะครับ มาถึงนี้แล้ว อยากเข้าก็คืออยากเข้า อย่าเพิ่งไปหาเหตุผลอะไรมันตอนนี้เลย

สัญญา ...

ความรู้สึกของทุกคนก็คงเหมือนกัน กังวลหลังการสอบเสร็จกันทุกคน ไม่ใช่ว่าเราจะทำข้อสอบได้ทุกข้อสักหน่อย ข้อสอบแม่งยากสัสเลยก็ว่าได้ คนออกข้อสอบมันจะหาไอน์สไตน์คนที่สองของโลกหรอว่ะ ถามจริง!

“ลุ้นเหมือนกัน” ผมตอบไปพร้อมกับรอบยิ้มให้กำลังใจซึ่งกันและกัน

‘สัญญานะ’ … เสียงนี้ดังในหัวอีกครั้ง

“หลังสอบเสร็จเราควรทำอะไรกันว่ะเพื่อน” เสียงเพื่อนในกลุ่มคนหนึ่งพูดออกมา เหมือนตัดบทไม่อยากคุยเรื่องข้อสอบที่เพิ่งผ่านมา เพราะดูว่าเจ้าตัวนั้นตอบไม่เหมือนเพื่อนเลยสักข้อเดียว

“ไปแดกหมูกระทะกันเถอะ”

“อืม”

หลังจากสอบเสร็จก็เป็นเวลาเกือบจะหกโมง เราสอบเสร็จจริงๆ ก็ตอนสี่โมงครึ่ง กว่าเราจะเดินออกจากห้องสอบก็ปาไปหลายนาที เพราะจำนวนคนก็เยอะมาก กว่าจะเดินออกมาจากตรงนั้นก็ใช้เวลานาน ไหนจะคุยกับเพื่อนเรื่องข้อสอบอีก พวกเราจึงตัดสินใจไปร้านหมูกระทะเลย เพราะหิวมากแล้วตอนนี้ โดยไปกับรถเพื่อนคนหนึ่งที่มันขับรถยนต์มาเอง บ้านไอ้นี่มันรวย พ่อมันซื้อรถให้ขับ มันเลยเหมือนเป็นคนขับรถประจำกลุ่มไปโดยปริยาย

เรานั่งรถเพื่อนคนนี้กันมาแบบเบียดๆ เรามากันหกคนแต่รถมันนั่งได้ห้าคน รถเพื่อนมันเป็นเก๋งสี่ประตู คนที่นั่งเบาะหลังก็เลยต้องนั่งเบียดกันสี่คน สลับไปมา ส่วนผมก็โชคดีหน่อยที่ได้นั่งเบาะหน้าข้างคนขับ ระหว่างทางเราก็เปิดเพลงบนรถ ก็เป็นเพลงทั่วๆ ไปที่ฮิตช่วงนั้น แล้วร้องเพลงกันเสียงดังตามทำนองเพลง แหกปากอยู่หลายนาที จนถึงร้านหมูกระทะ

ร้านหมูกระทะ ที่เราไปกินก็ไม่ไกลจากมหา’ ลัยเท่าไร แค่ขับรถไปหลังมอ เลี้ยงซ้ายเลี้ยวขวาเล็กน้อยก็ถึงแล้ว เมื่อพวกเรามาถึงร้านก็เป็นบรรยากาศค่ำๆ มีลมพัดเย็นๆ ภายในร้านสว่างจ้า ต่างกับบริเวณนอกร้านที่มีเพียงแค่แสงไปจากหลอดไฟดวงน้อยๆ พอทำให้เราเห็นชื่อของร้าน บนป้ายเก่าๆ ‘เคียงคู่มอ’ นั่นแหละครับ ชื่อร้านก็เคียงคู่กับมหาวิทยาลัยนี่จริง ดูได้จากจำนวนคนที่มากินที่ร้าน ราวกับว่ายกทั้งมหา’ ลัยมากินที่ร้านนี้เลย

บรรยากาศในร้านเต็มไปด้วย เสียงพูดคุยของคนที่มากิน โดยส่วนใหญ่เป็นนักศึกษามหา’ ลัย บางคนก็ยังใส่เสื้อนักศึกษา บางคนก็ใส่เสื้อบอลเปียกเหงื่อชุ่ม บางคนก็ใส่ชุดนอน แปลกสุดก็คงพวกผมที่ใส่ชุดนักเรียนพวกเราเดินเข้ามาในร้านกัน โดยมีพนักงานประจำร้านถามจำนวนคน จำนวนเตา ราคาที่เราจะกิน จากนั้นจึงพาไปนั่งที่โต๊ะ ตอนแรกในใจคิดว่า ไม่น่าจะมีโต๊ะให้เรานั่งกินแน่ๆ เลย เพราะว่าคนเยอะมาก แต่สวรรค์คงเห็นใจพวกเรา เห็นว่าเป็นฝูงหมาป่าผู้หิวโหยเนื้อย่าง จึงจัดสรรโต๊ะให้เรานั่งได้

หลังจากเราได้โต๊ะนั่งเราก็เริ่มผลัดกันเดินไปตักอาหารไปมา ปิ้งหมูลงบนกระทะ เสียงซู่ซ่า ที่เนื้อหมูสดถูกกระทะร้อนๆ พร้อมมีควันอุ่นๆ ลอยขึ้นมา มันเป็นเสียงที่เรามีความสุขมากเหมือนได้ยินเสียงนั้น พวกเราต่างกินกันอย่างมีความสุข คุยเรื่องสมัยมัธยมเหมือนว่ามันผ่านมานาน ทั้งที่มันผ่านมาแค่หนึ่งเดือน

“มึงๆ โต๊ะนั้นคณะแพทย์หรือเปล่าว่ะ” เสียงเพื่อนคนหนึ่งดังขึ้นขัดบทสนทนา

“รู้ได้ไงว่ะ” ดิวถามด้วยความสงสัย

“แหกตาดูสิ เสื้อคลุมอะ มันเขียนว่าอะไร” ทุกคนในโต๊ะต่างหยุดกินหันไปมองตามไปยังเสื้อคลุมตัวนั้น

มันก็ถูกของมัน มันเขียนว่า ‘คณะแพทย์ MEDICINE’ ใครมองก็ต้องรู้อยู่แล้วว่านั้นโต๊ะของคณะแพทย์ เสื้อคลุมมันก็เป็นสีเขียวเข้มๆ เป็นสีที่ไม่ได้ดูโดดเด่นเท่าไร แต่ผมก็อยากจะใส่มันสักวันหนึ่ง สัญญา...

“แม่ง เด็ดสัสเลย สวยสัส เลยพี่คนนั้นอะ” เพื่อนในกลุ่มพูดขึ้นมาทันทีที่เรามองไปที่โต๊ะคณะแพทย์ เหมือนมันให้ความสนใจมากกว่าเสื้อคลุมตัวปัญหานั้น

“กูถึงว่าพวกมึงทำไมอยากเข้าคณะแพทย์ ที่แท้มันเด็ดอย่างงี้นี้เอง!”

“ไอ้บ้า กูเข้าเพราะอยากเข้า ส่วนเรื่องสาวๆ ก็เป็นของแถมโว้ย” ไอ้ดิวมันพูดตอบอย่างทันควันนั่นแหละครับไอ้ดิว ดูมันเป็นคนที่เรียนเก่ง และหน้าตาดี เรื่องสาวๆ มันก็ใช้ได้เลยครับ ในโรงเรียนนอกจากตัวท็อปด้านวิชาการแล้ว หน้าตามันก็คือตัวท็อปของโรงเรียนเช่นกัน สาวๆ เข้ามาในชีวิตมันเยอะมากครับ แต่มันก็ไม่เคยจริงจังกับใครสักคน ไอ้หน้าหม้อ

ที่โต๊ะคณะแพทย์นั้น ผมเหลือบเห็นผู้ชายคนหนึ่ง ดูนิ่งกว่าเพื่อนในกลุ่มคนอื่นที่ดูกระโดดโลดเต้นไปมา ส่งเสียงดัง มีบ้างที่คนคนนั้นยิ้ม เมื่อเพื่อนหันมาพูดคุย เจ้าตัวทำเหมือนไม่อยากอยู่ตรงนั้นเลย

สัญญา...

เวลาล่วงเลยไปประมาณหนึ่งชั่วโมง ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเวลา ตัวเลขนั้นบอกว่าเป็นเวลา หนึ่งทุ่มสิบนาที พร้อมกับเห็นข้อความของสายที่ไม่ได้รับ เมื่อสิบนาทีที่แล้ว คงเป็นเพราะช่วงนั้นเราคงคุยกันเสียงดังจนไม่ได้ยินเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์

[Missed call (1) Mom 10 minute ago]

“เดี๋ยวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” ผมบอกเพื่อนที่กำลังกินหมูย่างที่ดูไม่มีท่าทางจะอิ่ม ก่อนลุกจากโต๊ะออกไป

ผมเดินออกจากโต๊ะพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อโทรกลับไปยังเบอร์ที่ผมไม่ได้รับ พร้อมเดินไปห้องน้ำตามที่ได้บอกกับเพื่อนไว้

“ฮาโหล”

“อ้าวปอ เมื่อกี้ แม่โทรหาทำไมไม่รับสายจ๊ะ”

“อ๋อ เพื่อนเสียงดังครับ เลยไม่ได้ยิน”

“ฉลองกับเพื่อนอยู่สินะ แม่ไม่กวนล่ะ อย่ากลับดึกนะ”

“ครับ แม่ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวเพื่อนไปส่งบ้านครับ”

“โอเคจ๊ะ”

“รักแม่นะครับ”

หลังจากผมทำธุระในห้องน้ำเสร็จ ก็ล้างมือที่อ่าง ส่องกระจกเก่าๆ ที่มีรอบแตกร้าวราวกับว่ามีคนมาทุบมัน ดูความเรียบร้อยของตัวเอง ก่อนจะเดินออกมาจากห้องน้ำที่มันดูลึกลับและน่ากลัวไปหน่อย อาจเป็นเพราะร้านนี้คงเปิดมานานสมชื่อ เคียงคู่มอ

ตอนที่ผมกำลังเดินออกมา ความแต่ห้องน้ำมันมืดกว่าในร้านมาก แสงภายในร้านย้อนเข้ามาที่ตาผม ทำให้มองคนที่กำลังเดินเข้ามาตรงหน้าได้ไม่ชัด เห็นเพียงแค่เงาของผู้ชายร่างสูงคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาใกล้ๆ ทันทีที่เดินสวนกัน ผมสามารถมองเห็นลักษณะที่ชัดเจนขึ้นของชายคนนั้นได้ ไม่ใช่ใครที่ไหน ผู้ชายที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกับคณะแพทย์นั่นแหละ ที่ทำหน้าเบื่อโลกคนนั้น

“สัญญานะ” เสียงคำพูดของใครสักคนดังเข้ามาในผัวของผมอีกแล้ว ทำไมกัน...

ใจผมเต้นเล็กน้อย ตุบๆๆ ผมได้ยินเสียงมันชัดเจน เร็วขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรเท่าไร อาจเป็นเพราะเรากินผงชูรสจากหมูที่หมักของทางร้านมากเกินไปมั้ง เลยทำให้ใจของผมเต้นแรงกว่าทุกที

ผมเดินกลับมาที่โต๊ะ พร้อมกลับเห็นสภาพเพื่อนที่บ่งบอกว่า ยัดอะไรเข้าปากอีกคงไม่ไหวแล้ว หน้าตาทุกคนบ่งบอกว่าพอเถอะ หลังจากนั้นไม่นาน พวกเราก็เรียบเก็บเงินกับพนักงาน ทั้งค่าหมูกระทะ ค่าน้ำ ใบเสร็จรับเงินได้มาก็หารกันเท่ากับจำนวนคน ตกคนละแค่ร้อยสี่สิบเจ็บบาท ถือว่าถูกมาก เมื่อเทียบกับที่สิ่งพวกผมกิน กินกันแบบว่าจะทำให้ร้านเข้าเจ๊งให้ได้ และก็นั่นแหละ มันถูก คนเลยกินเยอะขนาดนี้อะ คงถูกใจเด็กมหาวิทยาลัยไม่ใช่น้อย

มองดูเวลาอีกครั้ง ก็เป็นเวลาเกือบสองทุ่มแล้ว เราก็เดินออกจากร้าน พร้อมกับคณะแพทย์ที่นั่งโต๊ะนั้นทยอยออกมาเหมือนกัน เรามาถึงที่รถก็นั่งกันตามตำแหน่งเดิม ก่อนรถจะเคลื่อนออกไป ผมโชคดีที่ได้นั่งเบาะหน้าข้างคนขับ ทำให้ผมไม่ต้องไปเบียดกับเพื่อนด้านหลัง ก่อนมาเบียดอย่างไร หลังแดกโคตรเบียดเลยครับ

ทันทีที่รถเคลื่อนออกผมเห็นร่างสูงของชายคนที่ทำหน้าเบื่อโลกคนนั้นกำลังขับมอเตอร์ไซค์ ผ่านหน้ารถของเราไป ตุบ ตุบ ตุบ เสียงหัวใจเต้นเร็วอีกครั้งหนึ่ง... สายตาคู่นั้นมองมาที่ผม

เจ้าของรถก็ยังคงทำหน้าที่ของมันได้ดีในการส่งเพื่อนแต่ละคนตามบ้าน ทีละคนทีละคน ดั่งเช่นที่เคยเป็นมา จนเหลือเพียงแค่ ผม ดิว และเจ้าของรถ บ้านผมกับดิวค่อนข้างไกลจากมหา’ ลัยกว่าบ้านเพื่อนคนอื่นๆ แต่ยังโชคดีที่เป็นทางผ่านของบ้านเจ้าของรถ ที่ไกลกว่าบ้านผมเสียอีก ไม่แปลกใจเลยที่พ่อมันซื้อรถยนต์ให้ เพราะบ้านมันก็ไกลจากโรงเรียนมากเมื่อเทียบกับบ้านผม บ้านผมถึงก่อนบ้านดิว ผมจึงลงจากรถพร้อมกับไอ้ดิวที่เปลี่ยนมานั่งข้างหน้าแทนตำแหน่งเดิมของผม

ผมหันหลังจากรถยนต์ เพื่อไขประตูรั้วบ้านอันใหญ่ที่ไขยากมาก ก่อนจะได้ยินเสียงเพื่อนสนิทผมอีกครั้งหนึ่ง

“โชคดีนะ ไอ้ปอ เราต้องสอบติดหมอไปด้วยกันนะ”

“อืม”

“ไปแหละ”

รถยนต์คันนั้นขับออกไป ก่อนจะบีบแตรให้สัญญาณการจากลาเล็กน้อย จริงๆ การฉลองหลังการสอบเข้ามหาวิทยาลัยมันก็เหมือนการอำลาเพื่อนสมัยมัธยมเหมือนกัน เพราะต่อไปนี้ ไม่รู้ว่าเมื่อไรเราจะสามารถรวมกลุ่มกันแบบนี้ได้อีก มีความสุขสไตล์เด็กมัธยมได้อีก ต่อไปคงเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย คงต้องรับผิดชอบและเจออะไรมากมายกว่าตอนนี้แน่นอน

ผมได้เพียงแต่โบกมือตามหลังรถยนต์คันนั้นไป โดยไม่รู้ว่าคนในรถคันนั้นจะเห็นสิ่งที่ผมทำหรือไม่ก็ตาม

ไฟภายในบ้านมืดเกือบหมดแล้ว มีเพียงแค่ไฟกลางบ้านดวงเล็กๆ ที่พอให้ความสว่างกับผม นาฬิกาบนมือถือบ่งบอกว่านี่คือเวลาเกือบจะสี่ทุ่มแล้ว สงสัยแม่ผมคงเข้านอนแล้วล่ะ ผมค่อยๆ เดินขึ้นบันไดเดินเบาที่สุดเพื่อไม่ให้รบกวนคนที่กำลังนอนอยู่ ผมเปิดประตูห้องเปิดไฟ มองดูรอบๆ ห้องบรรยากาศก็เหมือนเดิมทุกๆ วัน ผมวางกระเป๋าสะพายไว้บนเตียง ก่อนเดินมาที่โต๊ะอ่านหนังสือ

หนังสือที่อยู่บนโต๊ะยังคงอยู่ตำแหน่งเดิมเหมือนเมื่อเช้า ผมมองไปที่รูปถ่ายในกรอบไม้สีน้ำตาลคลาสสิคที่ผมตั้งไว้ มันเป็นรูปแม่ที่ถ่ายกับผมตั้งแต่เด็ก มือของผู้หญิงในรูปกอดผม หอมแก้มผม แต่เด็กคนในรูปกลับไม่ค่อยยิ้มเลย ผมเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน มันก็ตลกดีนะครับ ข้างๆ รูปถ่ายผม บรรดาสมุดโน๊ตยังวางซ้อนๆ กันอยู่ ผมเลือกที่จะหยิบสิ่งที่ผมทำตลอดเกือบทุกวันนั้นคือ สมุดไดอารี่ของผม หน้าปกมันคงเป็นหน้าว่างๆ มีแต่ตัวอักษรรางๆ ที่อยู่บนมุมของเท่านั้น

ผมเปิดไปยังหน้าที่ว่างเพื่อเขียนเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้

'วันที่ 1 พฤษภาคม 2562

วันนี้เป็นวันที่เราไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยกัน

มันเหมือนเป็นวันจากลาของผมและเพื่อนๆ ม.6กันเลยก็ว่าได้

ข้อสอบยากมาก แต่ก็พอทำได้ มาลุ้นกันดีกว่าเราจะสอบติดหมอไหมนะ

เรากินเลี้ยงส่งท้ายกันที่ร้านหมูกระทะหลังมอ...'

ผมหยุดเขียนครู่หนึ่งนึกถึงเรื่องราวที่ร้านหมูกระทะ เรื่องราวที่ผมเจอกับพี่คนนั้น ผมควรเขียนมันไว้ไหม ในใจผมเหมือนแบ่งเป็นสองทาง ทางหนึ่งไม่ต้องเขียนหรอกเราไม่ได้รู้จักพี่เขาสักหน่อย แต่อีกทางที่ใจผมมันเรียกร้อง เขียนเถอะ พี่เขาอาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราได้รู้ถึงอะไรบางอย่าง บางอย่างที่มันผูกพันกับตัวผม

ผมเลือกที่จะเขียนต่อ

'เจอคนคนหนึ่ง ที่ร้านหมูกระทะ คงเป็นพี่หมอมั้งนะ พี่คนนี้ ทำให้ใจผมสั่น...

จะได้เจอพี่เขาอีกไหมนะ ...'

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา