มีดมารสะท้านฟ้า

-

เขียนโดย ปากกาสีชาต

วันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 00.38 น.

  1 ตอน
  0 วิจารณ์
  2,447 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 16 เมษายน พ.ศ. 2563 00.41 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) บทที่ 1 มีดเร็วอันดับหนึ่ง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 1 มีดเร็วอันดับหนึ่ง

 

สายลมพัดโชกคล้ายมีดกรีดเฉือน ต้นไม้น้อยก็ดี ต้นไม้ใหญ่ก็ดี ต่างถูกสายลมดุร้ายนี้ พัดทำลายจนหมดสิ้น เหลือเพียงเศษซากที่พอนำไปทำฟืน

หยาดฝนห่าใหญ่รินตามลงมา ยิ่งนานยิ่งรุนแรง เสียงซู่ซ่าของมัน คล้ายกำลังร่ำร้องให้แก่ หายนะที่สายลมมรณะได้ลงมือกระทำ

เวลาล่วงผ่านสี่ชั่วยาม พายุเริ่มสงบความเกรี้ยวกราด สายฝนค่อยสงบการร่ำร้อง ท่ามกลางทางสัญจรเขตบ้านนอกของเมืองโจวจิว ติดเขตนอกด้าน ปรากฏรถม้าคันหนึ่งแล่นมาจากดินแดนภาคกลาง กงล้อเหล็กแข็งย่ำจนพื้นดินแตกทลาย

ชายในรถม้าร้องถามแก่สารถีชรา

“ต้องเดินทางอีกนานหรือไม่ จึงจะถึงเขตนอกด้าน”

สารถีหนวดเครารุงรังกล่าวเสียงราบเรียบ

“ตอนนี้พายุฝนเริ่มสงบลงแล้ว ข้าคิดว่านั่งรถม้าอีกไม่เกินห้าชั่วยามก็น่าจะถึง นายน้อยหลีเจียงโปรดวางใจ”

ชายหนุ่มในรถม้ามิตอบ มือเรียวยาวค่อยเลิกม่านขนสัตว์ขึ้น สายตาลอดมองดูยังบริเวณโดยรอบ เห็นเพียงความเงียบและเรียบง่าย อันเป็นสิ่งที่มิพึงปรารถนาสำหรับมัน

ฝนตกเสียงเปราะแปะกับสายลมพัดเบาๆ ยิ่งเสริมความเหงาให้เพิ่มทวีหลายส่วน แววตาของมันเผยแววความโดดเดี่ยว ปากอ้ากว้างหาวออกมาหลายครา แม้ในรถม้านี้จะแสนอบอุ่นสบายกาย แต่เพราะระยะทางหลายร้อยลี้ ส่งให้มันเหงาเหลือคณา

ยามนี้นับเป็นวันที่สาม ที่ต้องทนอุดอู้อยู่ในรถม้านี้ สหายมีเพียงสารถีชราที่ควบคุมรถม้านำทาง แสนเปลี่ยวเหงา แสนหว่าเว้ ในชีวิตหนุ่มสำราญ สองสิ่งนี้นับเป็นของเกลียดที่สุด

“ความเหงาคล้ายศัตรูที่ข้าเกลียดที่สุด แต่มิคิดเลยว่า ข้ากลับต้องอยู่กับมันมากที่สุดเช่นกัน...”

จางหลีเจียงถอนหายใจยาวๆ ดวงตายังคงถอดมองออกไปนอกรถม้า จนสมใจค่อยปิดม่านขนสัตว์ลง หยิบมีด ออกมาลับกับโขกหิน จนรอยบิ่นหายหมดสิ้น

มีดเล่มน้อยปรากฏคมเงางามมีลวดลายคล้ายคลื่นทะเล ปลายมีดแหลมคมคล้ายปากอินทรีย์ ที่ด้ามจับเป็นทองคำสลักเสล่าเป็นรูปศีรษะราชสีห์ดูน่าเกรงขาม

ใบหน้าของจางหลีเจียงประกอบด้วย ดวงตากลมโตแฝงนัยน์ไร้แววดูแปลกพิสดาร แต่เมื่อรวมกับคิ้วดกหนาด้านบน รองรับด้วยจมูกโด่งและสันกรามคมด้านล่าง ก็ส่งให้มันเป็นชายหนุ่มหล่อคมคายผู้หนึ่ง หากสตรีพบเห็นย่อมเกิดความพิสมัยต่อมัน

หยดน้ำจากห่าฝนชุ่มช่ำเต็มพื้นดิน เกิดเป็นโคลนตมที่น่ารังเกียจของขบวนเดินทาง สองชั่วยามหลังจากฝนสงบลง กงล้อเหล็กของรถม้าคันหรู กลับติดหลุมโคลนขนาดใหญ่จนเคลื่อนเดินทางต่อมิได้

สารถีชราจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงผิดหวัง

“นายน้อย ข้าเกรงว่าคืนนี้คงเดินทางมิถึงเขตนอกด้านเป็นแน่ เพราะรถม้าของพวกเราล้อเกิดติดล่ม หากต้องรอถึงวันพรุ่งนี้ ให้น้ำแห้ง จึงจะสามารถเดินทางต่อได้”

จางหลีเจียงหาได้แสดงอาการไม่พอใจแต่อย่างใด ร่างกำยำโดดลงจากรถม้า กล่าวว่า

“ข้าจางหลีเจียงอดทนนั่งนิ่งอยู่บนรถม้ามาสามวัน ช้าอีกเพียงหนึ่งวันย่อมมีใช่ปัญหาอันใด โปรดเจ้าอย่ากังวล เบื้องหน้ามีโรงเตี๊ยมอยู่หนึ่งที่ เข้าไปพักอยู่ที่นั้นสักหนึ่งคืน พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่”

โรงเตี๊ยมบ้านนอกใกล้เขตชายแดน ความจริงก็ไม่ใหญ่โตเช่นในเมืองใหญ่ วันนี้กลับเต็มไปด้วยพ่อค้าวานิช ที่ถูกพายุร้ายกาจไล่มารวมกันอยู่มากมาย จึงรู้สึกอึดอัดเหนือธรรมดา ทั้งยังครึกครื้นเหนือธรรมดา

ในลานกว้าง ภายหลังจากสอบถามเจ้าของโรงเตี๊ยม โชคยังดีที่เหลือห้องว่างอยู่สามห้อง จางหลีเจียงและสารถีชราจึงเดินตรงนั่งรออาหารและสุรา ที่โต๊ะเก้าอี้ชุดหนึ่ง ด้านมุมซ้ายสุดของลานกว้าง

ห่างออกจากพวกมันสามชุดโต๊ะ มีร่างใหญ่ของชายสามคุยพูดคุยเสียงดังราวกับต้องการป่าวประกาศแก่คนทั่วโรงเตี๊ยม ทั้งสามสวมชุดคลุมสีเขียวประทับลวดลายหมี บ่งบอกฐานะสำนักคุ้มภัยหมีขาว ชายร่างผายผอมดูสูงอายุที่สุดในกลุ่ม กู่ปากกล่าวร้องเสียงดังว่า

“ภาคเหนือปรากฏเมฆาทมิฬ ภาคกลางปรากฏพยัคฆ์สามเศียร หากกล่าวถึงภาคใต้นี้ย่อมกล่าวถึงสำนักคุ้มภัยหมีขาวของเรา”

ชายชุดเขียวคนที่สองรีบหัวร่อ กล่าวสมทบว่า

“เป็นดังที่ศิษย์พี่ใหญ่กล่าวมา อย่าว่าแต่เพียงภาคใต้ หากสำนักเมฆาทมิฬและพยัคฆ์สามเศียร กล้ามุ่งลงดินแดนทางใต้ ย่อมถูกสำนักของพวกเราถล่มจนย่อยยับ”

ที่แท้ชายหนุ่มที่กำลังโอ้ประโคม มีนามเรียกหังซุ่ยอี้ เป็นศิษย์ลำดับสิบสองของสำนักหมีขาว อีกผู้คนทั้งสองเป็นลูกแถวของหังซุ่ยอี้ นามเรียกฮ้าวเพ็งและกวนชิงตามลำดับ

หลังจากอวดโอ้คำโตจนเป็นที่น่ารำคาญของแขกเหรื่อภายในลานกว้าง อาหารและสุราถูกจัดนำมามอบให้แก่พวกมันทั้งสาม

คาดมิถึง ว่าสุราและขาหมูชิ้นใหญ่ก็ไม่สามารถอุดปากขี้โอ่ของมันไว้ได้ หลังจากดื่มสุราไปหลายจอก คาดว่าบังเกิดความฮึกเหิม หังซุ่ยอี้หัวร่อเสียงดังก้องพลางกล่าวว่า

“พวกเจ้าที่อยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ ข้าจะเล่าความจริงบ้างอย่างให้พวกเจ้าฟัง ข้าเองในฐานะผู้ฝึกตนขั้นแตกหน่อ ก็มิอยากพูดสักเท่าไร ประเดี๋ยวจะมีคนกล่าวหาว่าข้าชอบอวดอ้าง แท้จริงแม้ข้าเป็นลำดับสิบสองของสำนัก แต่ฝีมือของข้าเป็นรองแค่ท่านประมุขเท่านั้น จะบอกพวกเจ้าให้ทราบ”

คล้ายกับสายลมลอยผ่านหู ในโรงเตี๊ยมผู้คนต่างก้มหน้ากินสุราอาหาร โดยมิมีผู้ใดหันสนใจเด็กหนุ่มสำนักคุ้มภัยแม้แต่น้อย

ลูกแถวนามกวนชิงเห็นดังนั้น รีบหัวร่อพลางกล่าว

“สมแล้วที่เป็นพี่ใหญ่ของข้า ท่านนี้คือยอดฝีมือโดยแท้ แม้มีฝีมือสูงล้ำ กลับเก็บไว้มิยอมอวดโอ้ ข้าน้อยคาราวะ”

ยามสมัยนี้วิชาการต่อสู้ของเหล่าจอมยุทธ์เลื่อนมาอีกขั้น จากเดินลมปราณสู่กำลังภายใน จากกำลังภายในสู่การฝึกตน

โดยการฝึกตนแบ่งออกเป็นเจ็ดขั้นใหญ่ๆ ได้แก่ ขั้นที่หนึ่งต้นกล้า ขั้นที่สองแตกหนอ ขั้นที่สามรวมจิต ขั้นที่สี่สยายดอก ขั้นที่ห้าหลอมรวม ขั้นที่หกเหยียบสวรรค์ และขั้นสุดท้ายชีวันอมตะ

แม้หังซุ่ยอี้บัญญัติอยู่เพียงขั้นสอง แต่เมื่อเทียบกับสามัญชนทั่วไป ก็เทียบได้ดังไม้ไผ่กับกระบี่ ส่วนลูกแถวทั้งสองบัญญัติอยู่ในขั้นแรก ซ้ำเหล่าผู้ฝึกตนยังสามารถล่วงรู้ได้ว่าคนแต่ละคนเป็นผู้ฝึกตกหรือไม่ แต่มีข้อยกเว้นสำหรับผู้ฝึกตนขั้นหกขึ้นไป

ภายหลังกวาดสายตามองดูจนแน่ใจ ว่ามิมีผู้ฝึกตนคนอื่นนอกจากพวกมัน จึงกล้าเอ่ยปากโอ้อวดออกมา เสียงหัวร่อของพวกมันทั้งสาม ดังกังวานเนื่องจากการฝึกตน เป็นที่น่ารำคาญเป็นอันมาก

ก่อนครู่หนึ่ง ค่อยเงียบลงเพราะมีเสียงแทรกขึ้น กล่าวว่า

“หากเป็นเช่นนี้ยังเรียกว่ามิยอมอวดโอ้ ข้าว่ามารดาเจ้าคงสอนเจ้าผิดแล้ว สหายน้อย”

เจ้าของเสียงเป็นชายหนุ่มนั่งอยู่โต๊ะมุมซ้ายริมสุด นัยน์ตาไร้แววดูน่าสยดสยองจ้องมองพวกมันทั้งสาม

คราหังซุ่ยอี้ได้เห็นจางหลีเจียง จึงบังเกิดอาการตะลึงวูบหนึ่ง หลังจากมองตรวจดูพบว่ามิได้เป็นผู้ฝึกตน จึงหัวร่อพลางกล่าว

“มิทราบว่าน้องชายผู้นี้มีนามว่าอันใด เหตุไฉนถึงไร้มารยาทถึงเพียงนี้”

“นามต้อยต่ำมิควรค่าแก่การเอ่ยถึง” จางหลีเจียงเผยยิ้มออก มือซ้ายหยิบลวงมีดสั้นเล่มงามออกมา เตะที่โต๊ะสามครั้ง หันกล่าวกับเจ้าของโรงเตี๊ยมว่า “เถ้าแก่ อาหารของพวกข้าทั้งสองพร้อมหรือยัง นั่งอยู่ที่นี้นาน ข้าคิดว่าคงหูหนวกเพราะเสียงหมาเห่าเป็นแน่”

เจ้าของโรงเตี๊ยมรีบถือสุราและอาหารมาเสิร์ฟแก่จางหลีเจียงทันที

หังซุ่ยอี้เห็นอาการจองหองเห็นนั้น บังเกิดความโกรธเป็นอันมาก แต่ก่อนจะกล่าวสิ่งใด ฮ้าวเพ็งและกวนชิงรีบแทรกกล่าวขึ้นเสียงดังว่า

“หนอยแน่ ไอ้หนุ่มจองหอง เป็นเพียงคนธรรมดาแท้ๆ ยังกลับต่อล้อต่อเถียงกับผู้ฝึกตน”

จางหลีเจียงหัวร่อเสียงแข็ง กล่าวว่า

“พวกท่านเก่งกาจถึงเพียงนั้นเลย!?”

เมื่อได้ฟังคำยั่วโทสะ กวนชิงกล่าวเสียงสั่นว่า

“วันนี้หากมิได้สั่งสอนเจ้า ข้าจะไม่ขออยู่เป็นคน”

คำพูดสิ้นพอหลุดจากปาก ร่างทั้งสองพลันพุ่งทะยานผ่านโต๊ะไม้ ครู่เดียวก็ประชิดโต๊ะของจางหลีเจียงและสารถีชรา แม้เป็นพวกโอ้อวดน่าหมั่นไส้อยู่บ้าง แต่ก็นับว่าฝีเท้ารวดเร็วเหนือคนธรรมดา เหล่าคนภายในต่างจ้องมองอาการตะลึงงัน เว้นเพียงจางหลีเจียงและสารถีชราที่นั่งดื่มสุรา ราวกับทั้งสองไม่มีตัวตน

ฮ้าวเพ็งใช้ฝ่าเท้าเตะออกด้วยท่าบาทาหมีคลั่ง อีกคนนามกวนชิงใช้ฝ่ามือออกด้วยท่าหัตถ์หมีคลั่ง ด้วยท่าร่างทั้งสองก็เพียงพอให้ชายที่มิได้เป็นผู้ฝึกตนบาดเจ็บเจียนตายได้

แต่ทว่า ท่าร่างของพวกมันทั้งคู่หาได้โจมตีโดนเป้าหมายแต่อย่างใด ภายหลังเสียงดังตุ้บ เผยให้เห็นเพียงขาและแขนของพวกมันเอง ที่ปะทะกันเป็นรูปกากบาทจนเกิดเสียง ส่วนชายหนุ่มหลบได้เช่นไรต่างมิมีผู้ใดมองทัน

จางหลีเจียงขณะนี้กำลังก้มหยิบเศษไม้จากเก้าอี้ผุ ใช้มีดสั้นเล่มงามของมันเหลาเศษไม้นั้น ไม่นานก็กลายเป็นไม้แคะฟันเล็กๆแท่งหนึ่ง ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม

“ขอโทษพวกท่านด้วย หากข้าเหลาให้มันเล็กกว่านี้ คงหักเป็นแน่”

กวนชิงได้ฟัง พลันชักหมัดกลับกลับอย่างเร็วไว ออกท่าเดิมอีกคราหวังให้หมัดซัดเข้าใบหน้าของจางหลีเจียงจังๆ

จางหลีเจียงขมวดคิ้วถอนหายใจพึมพำ

“เดิมที่ท่านพ่อกำชับว่าห้ามข้าก่อเรื่องระหว่างเดินทาง แต่มาขนาดนี้มิตอบโต้ก็คงมิได้....”

เร็วปานสายฟ้าอัสนีบาตร มือที่เคลื่อนลอยของกวนชิง กลับถูกไม้จิ้มฟันเสียบแทง จมลงไปครึ่งค่อนฝามือ โดยโลหิตก็มิอาจไหลได้ทันความรวดเร็วของมัน กวนชิงนอนร้องแหกปากออกอย่างทรมาน

ฮ้าวเพ็งพบเห็นมือของจางหลีเจียงว่างเปล่า พลันรีบเสือกเท้าถีบตรงออกท่าไปดังเดิม แต่ครู่เดียวในมือที่ว่างเปล่า กลับปรากฏไม้จิ้มไฟขึ้นมาอีกหนึ่งอัน เมื่อมองดูอย่างพินิจพบว่าเป็นอันเดียวกับที่ เสียบแทงกวนชิง

โอ๊ยย..” เสียงร้องของฮ้าวเพ็งดังออกมา พร้อมฝ่าเท้าที่อาบเลือด เป็นที่น่าสมเพชอย่างยิ่ง

หังซุ่ยอี้ที่ยืนมองอยู่ห่างๆ ลอบรู้สึกบังเกิดความเกรงกลัวแก่ชายหนุ่มตรงหน้าหลายส่วน ยกมือคำนับด้วยท่าทางใจดีสู้เสือ กล่าวว่า

“ต้องขออภัยนายท่าน ที่ศิษย์น้องทั้งสองของข้าล่วงเกิน ข้าน้อยขอเรียนถามนามอันสูงส่งของท่านอีกครั้งได้หรือไม่ ว่ามีเรียกว่าอะไร”

จางหลีเจียงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า

“ข้าน้อยมีนามต่ำต้อยเรียกหลีเจียง ส่วนแซ่ขอมิบอก”

หังซุ่ยอี้พยายามข่มความโกรธ กล่าวสืบต่อ

“เช่นนั้นข้าขอถามอีกประการหนึ่ง เหตุใดท่านหลีเจียงถึงลงมือโหดเหี้ยมกับศิษย์น้องทั้งสองของข้าถึงปานนี้ แค่สั่งสอนพวกมันสักเล็กน้อยก็น่าจะเพียงพอ ไฉนจึงลงมือราวกลับต้องการให้พิการ”

จางหลีเจียงมิตอบก้มหน้าดื่มสุราบนโต๊ะต่อ ครู่หนึ่งสารถีชราค่อยยิ้มพลางกล่าวขึ้นว่า

“พวกท่านเองก็เป็นถึงผู้ฝึกตนมิใช่หรือ เหตุใดจึงกล้าลงมือกับสามัญชน หากนายน้อยของผู้นี้ มิใช่มือมีดอันดับหนึ่งจางหลีเจียง คงได้ตายเป็นศพในเงื้อมือของพวกท่านไปแล้ว”

คล้ายทราบว่าได้กล่าวบ้างอย่างผิดออกไป สารถีชรารีบยกมือป้องที่ปาก ยกมือคำนับขอโทษแก่จางหลีเจียง พร้อมรอยยิ้ม

ส่วนผู้คนอื่นที่ได้ยิน บ้างที่เป็นพ่อค้าวานิชแสดงสีหน้าตกตะลึง บ้างที่เป็นโจรป่ารีบวิ่งหนีหายออกจากโรงเตี๊ยม ไม่เว้นแต่หังซุ่ยอี้ที่ตอนนี้เก็บอาการตื่นกลัวไว้ไม่ถึง พลันทรุดตัว โขกศีรษะคำนับชายหนุ่มตรงหน้าโดยมิอายสายตาของผู้ใด

“ข้าน้อยขอประทานโทษ ที่ล่วงเกินคุณชายแซ่จาง พวกเจ้าทั้งสองชักช้าอยู่ไย รีบมาขอโทษคุณชายเดี๋ยวนี้”

เมื่อได้ยินศิษย์พี่ของพวกตนกล่าวเช่นนั้น ฮ้าวเพ็งและกวนชิงจึงกัดฟัน ฝืนลุกวิ่งตรงมาก้มคำนับตามพี่ใหญ่ของพวกมัน ผู้คนที่ยังอยู่ในโรงเตี๊ยมพากันส่งเสียงหัวร่อด้วยความสมเพชชายทั้งสาม

หลังเวลาล่วงเลยไปกว่าสามชั่วยาม ที่ลานกลางของโรงเตี๊ยมถูกดับไฟจนมืดมิด แขกเหรื่อทั้งหลายต่างแยกย้ายกันเข้าห้องพักของตน ห้องพักของจางหลีเจียงอยู่ที่ชั้นสาม ติดกันกับของสารถีชรา

ส่วนศิษย์สำนักหมีขาวทั้งสาม ภายหลังได้รับความอับอาย จึงรีบหนีออกจากโรงเตี๊ยมไป พ่อค้าวานิชทั้งหลายต่างเข้ามาชื่นชมและขอดื่มให้กับคุณชายแซ่จางกันยกใหญ่ กว่าจะได้กลับขึ้นมายังห้องพัก ก็กินเวลาไปถึงกลางดึก(เที่ยงคืน) ทันทีที่ศีรษะหนุนหมอนจึงเผลอหลับวูบไป

ช่วงสายของวันต่อมา แสงแดดสอดส่อง แผดเผาผิวหน้าราวนั่งติดกองไฟ แอ่งน้ำที่ยืดกงล้อเหล็กไว้เริ่มแห้งขอด ค่อยคลายกงล้อสู่อิสระ ใช้แรงม้าหนุ่มเพียงตัวเดียว ก็ดึงรถลากหนักหลายพันชั่งขึ้นจากล่มดินสำเร็จ

หลังจากดื่มกินสุราอาหารที่โรงเตี๊ยม โดยมีพ่อค้าวานิชชาวเกาหลีเป็นเจ้ามือ

จางหลีเจียงและสารถีชรา จึงรุดหน้าขึ้นรถม้าออกเดินทางกันต่อ

เพราะอาการแจ่มใสบนฟากฟ้า สารถีจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงยินดีว่า

“นายน้อย ข้าคิดว่าอีกเพียงสองชั่วยามก็คงถึงเมืองนอกด่านเป็นแน่ ท้องฟ้าคงมิอุตริเช่นเมื่อวาน”

จางหลีเจียงสดับฟัง พลางมองลอดม่านช่องหน้าต่าง กล่าวตอบ

“ขอให้เป็นจริงดังที่ท่านว่า ข้าเบื่อการนั่งชมนกชมไม้ บนรถลากคันนี้เต็มที”

“ข้าน้อยก็เช่นกัน”

สารถีเฒ่าสะบัดแส่ฟัด เร่งม้าหนุ่มให้วิ่งเร็วขึ้น ผ่านไปเกือบสองชั่วยาม ดวงอาทิตย์บนท้องฟ้ายังไม่ล่วงหล่นเต็มดวง ที่สุดสายตาของมัน ปรากฏเห็นยอดแหลมของเคหะสถานแห่งหนึ่งอยู่ไกลๆ

หลังจากเข้าใกล้จนมองได้ถนัดตา เห็นเป็นตึกไม้สามชั้น ปลายยอดเป็นสามเหลี่ยมแหลม ป้ายด้านบนสลักตัวอักษรสีทองว่า“หอบังคับการโจวจิว” จึงรีบร้องเรียกนายน้อยเสียงดัง

“นายน้อยเรามาถึงแล้ว”

จางหลีเจียงที่มองลอดผ่านช่องม่านอยู่ตลอดทาง พบเห็นตึกก่อนนานแล้ว พลางกล่าวเสียงราบเรียบ

“ข้าทราบแล้ว”

เมื่อเข้าถึงอาณาเขตหอบังคับการ ด้านข้างของรถม้า มีร่างชายสูงใหญ่สองคนสวมชุดทหารเดิมขนาบมา หนึ่งในนั้นขอตรวจป้ายรับรอง หลังจากเรียบร้อยจึงเชิญทั้งคู่เดินลัดเลาะ ผ่านที่หน้าประตูตึกใหญ่ เผยให้เห็นรูปปั้นราชสีห์ดูน่าเกรงขามตระหง่านอยู่ ก่อนครู่หนึ่งเชิญทั้งสองเดินตรงเข้าสู่ห้องโถงใหญ่ของตึก

ภายในตึกใหญ่โตหรูหรา แม้อยู่ในเขตชนบทติดชายแดนนอกด่าน กลับมีสมบัติล้ำค้าอยู่มากมาย เช่น แจกันโบราณ ภาพวาดหายากของเหล่านักศิลป์ ทั้งยังมีเครื่องเพชรห้อยเต็มผนังอยู่

หลังจากส่งแขกถึงที่หมาย นายทหารสองคนจึงค่อยเดินลับหายไป

จางหลีเจียงแม้มีอายุสิบเก้าปี แต่ก็นับเป็นเจ้าบทเจ้ากลอนผู้หนึ่ง ระหว่างรอเจ้าบ้าน มันจึงเดินเลาะดูภาพวาดบนผนังหวังคลายความเบื่อหน่าย จนไปสะดุดตากับกลอนภาพชุดหนึ่ง เบื้องหน้าเผยให้เห็นภาพวาดประกอบ เป็นรูปชายกับหญิงกำลังนอนกอดรัดกันปานจะกลืนกิน ส่วนบทกลอนด้านล่างภาพใจความว่า

“แม้ชีวันไร้ซึ่งความสุขสม แม้ไร้ลมเย็นโชยให้สุขสันต์

แม้ไร้เงินไร้สุราสาระพัน แค่มีนางเพียงเท่านั้นก็สุขใจ”

จางหลีเจียงอ่านพลางยิ้มออกมา กล่าวกับสารถีชราว่า “กลอนดี กลอนดี ท่านอาวุโส ไม่ทราบว่าท่านมีความเห็นกับกลอนบทนี้ว่าเช่นใด”

สารถีชรามิกล่าวสิ่งใด ชั่วครู่ค่อยกล่าวออกมาแผ่วเบา

“มีบังอาจ ข้าเป็นเพียงคนแก่ไร้การศึกษา มิเข้าใจกาพย์กลอนเฉกเช่นนายน้อยหรอก”

จางหลีเจียงได้ยิน จึงกล่าวสืบต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า

“เป็นเช่นนี้เอง แต่อย่าได้กังวลไป ในใต้หล้าล้วนมีสิ่งจรรโลงใจมากมายหลายหลาก บทกวีก็เป็นเพียงอย่างหนึ่งเท่านั้น”

 

 

จบบทที่หนึ่งไปแล้ว เป็นอย่างไรกันบ้างครับ ผมหวังว่าผู้อ่านทุกท่าน ไม่ว่าจะเป็นท่านที่จงใจกดเข้ามาอ่าน หรือเผลอกดผิดเข้ามาก็แล้วแต่ ขอให้มีความสุขกับนิยายมีดมารสะท้านภพ

 

ขอบคุณที่รับชมติดตาม หากมีสิ่งใดผิดพลาด อยากแนะนำให้ปรับปรุงก็สามารถคอมเม้นบอกกันได้ เพื่อการเติบโตไปด้วยกัน ขอบคุณครับ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา