ผู้พิทักษ์

-

เขียนโดย วงวีวง

วันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 เวลา 18.48 น.

  1 ตอน คดีที่ ๑
  2 วิจารณ์
  2,714 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 19.10 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) คดีที่ ๑

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

คดีที่ ๑

          ๑๘.๐๐ นาฬิกา

“ หนี.. ”

          “ ใช่ หนีไปด้วยกันไหม”

          รถยนต์คันหนึ่งจอดอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่ง รถสีเทาคันเล็ก บ้านสีฟ้าหลังเล็ก รถดูธรรมดาไม่หวือหวา แต่บ้านกลับถูกตกแต่งด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ สีผ้าม่านหน้าต่างที่มองเห็นได้ผ่านรั้วนั้นเป็นสีชมพูดูเข้ากันกับพืชพรรณสวยโดยรอบ เล็กเรียบง่ายแต่ก็สดใสสวยงาม ทว่าสิ่งที่อยู่ในใจของ ‘คน’ นั้นดูท่าจะหนึกอึ้งและเป็นเรื่องที่ใหญ่

          “ ไม่ได้หลอก แล้วจะทำมาหากินกันยังไง รุจจะทำงานอะไร ผุดจะอยู่ยังไง” ฝ่ายหญิงกล่าว อีกฝ่ายซึ่งเป็นชายเงียบไป ก่อนตอบ

          “ งั้นรุจน์ขอเวลาผุดสักพักนะ แล้วเราค่อยมาหาคำตอบกัน ”

          รถยนต์คันเดินแล่นออกไปจากจุดเก่า หญิงสาวยังคงส่งยิ้ม เธอมองตามหลังยานยนต์นั้นจนสุดตาลับหายไป เช่นเดียวกับรอยยิ้มของเธอ   ..

         

          ๐๘.๐๐ นาฬิกา

          “ดิฉันร้อยตำรวจโทหญิงพิศรา จินตาการ รายงานตัวค่ะ” สิ้นเสียง ชายวัยกลางคนวางแก้วกาแฟลง แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองคู่สนทนา

          “เห็นว่าสอบได้อันดับหนึ่งเลยใช่หรือเปล่า”

          “.ใช่ค่ะ ผู้กำกับ”

          “หน่วยของเราเป็นหน่วยพิเศษ จำเป็นต้องได้คนมีฝีมือเข้ามาร่วมทำงาน เรื่องวิชาการคงไม่ต้องสงสัยกันแล้วล่ะ แต่เรื่องประสบการณ์นี่สิน่าจะมีปัญหา”

          “ดิฉันสัญญาว่าจะพยายามเรียนรู้ให้เร็วที่สุดค่ะ”

          “ผมไม่ได้หมายถึงคุณ แต่หมายถึงคนที่จะมาช่วยฝึกคุณต่างหาก”

          ‘ก็อกๆๆ!!’ เสียงดังมาจากประตู ก่อนที่มันจะเปิดออก ชายอีกคนทว่าต่างวัยกัน ปรากฏตัวขึ้น

          “เรียกผมมาพบเหรอครับ”

          “ใช่ นี่คือผู้หมวดคนใหม่ ที่จะมาเป็นคู่หูกับเอ็ง อ่อหมวด นี่ผู้กองเจตวุธ”

          “สวัสดีค่ะ ดิฉันร้อยตำรวจโทหญิงพิศรา จิตการ รายงานตัวค่ะ”

          “เคยบรรจุลงที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า”

          “ยังค่ะ เลือกบรรจุเข้าที่นี่เป็นที่แรกค่ะ”

          “มีเหตุฆาตกรรม ผมว่าจะไปดูสักหน่อยครับ” ชายหนุ่มตัดบท ราวกับไม่สนใจคู่สนทนา

          “พอดีเลย พาหมวดไปด้วยสิ เรียนรู้งาน” ชายหนุ่มนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนกล่าว

          “อีกห้านาทีไปเจอผมที่ลานจอดรถ”

          “รับทราบค่ะ”

          สถานที่ด้านหลังตึกใหญ่นี้เป็นพื้นที่กว้าง มีทั้งรถยนต์และรถจักรยานยนต์จอดเรียงรายอยู่ทั่ว หญิงสาวเดินมาถึง และหยุดอยู่ตรงบริเวณที่มีกลุ่มรถยนต์ของทางหน่วยงานที่มีสติ๊กเกอร์สัญลักษณ์แปะติดอยู่รอบ

คันอย่างเป็นระเบียบทุกคัน เธอชะเง้อดูโดยรอบแต่ไม่เห็นวี่แววผู้นัดหมาย แต่ทันใดนั้นก็ปรากฏรถเก๋งสีดำคันหนึ่ง แล่นมาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ กระจกรถแบบไฟฟ้าเลื่อนลงเผยให้เห็นผู้ขับขี่ หญิงสาวก้าวขึ้นรถ

          “ขับรถเป็นใช่ไหม”

“เป็นค่ะ แต่เอ่อ ขออนุญาตสอบถามได้ไหมคะว่าทำไมถึงไม่ใช้รถของหน่วยล่ะคะ”

          “เดี๋ยวก็รู้” รถแล่นออกจากจุดเดิมเข้าสู่ถนนหลัก หญิงสาวเพิ่งสังเกตว่าชายหนุ่มก็ไม่ได้สวมใส่เครื่องแบบเช่นกัน คนคงไม่ต่างจากรถ..

 

          ๐๙.๑๐ นาฬิกา

          “ลองดูสิ ว่าจะเจออะไรบ้าง”

          “ค่ะ”

          สถานที่เกิดเหตุ เป็นบ้านเช่าหลังเล็กในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ศพผู้ตายเป็นชายวัยรุ่นราวคราวเดียวกับตำรวจหนุ่มสาว ไม่มีประจักษ์พยานในที่เกิดเหตุ หรืออาจมี.. ชายหนุ่มนั่งอยู่ในยานยนต์เช่นนั้น จ้องมองดูเพื่อนร่วมงานคนใหม่ทำงาน พนักงานสอบสวนในท้องที่เกิดเหตุมาถึงแล้ว หน่วยพิสูจน์หลักฐานก็เช่นกัน แต่ที่น่าแปลกคือชายคนหนึ่งที่มาป้วนเปี้ยนรอบที่เกิดเหตุ อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขา ส่วนการแต่งกาย คล้ายกับศพในที่เกิดเหตุนั่นเอง เจตวุธลงจากรถ

          “ผมเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ อยากขอทราบว่าคุณเป็นเจ้าหน้าที่หรือเปล่า”

          “ถ้าไม่ใช่แล้วจะทำไม”

          “ผมก็จะขอเชิญออกจากที่เกิดเหตุแต่โดยดี”

          “ถ้าไม่ไปล่ะ”

          “ก็จะถือว่าทำตัวน่าสงสัย แล้วผมก็จะขอค้นตัว ตรวจสอบชื่อนามสกุลจากบัตรประชาชน ถ้ายังจะถามอีกว่าไม่ให้ค้นจะทำยังไง ก็ลองดูก็ได้”

          ชายดังกล่าวยอมเดินจากไป หากแต่ไม่ใช่แต่โดยดี คำสบถสองสามคำดังแว่วผ่านหลังเขามาเข้าหูเจตวุธ เขาเดินออกจากบริเวณหน้าบ้าน เหลือบมองศพ ๒ ศพที่นอนแผ่หลาอยู่ตรงประตูรั้ว เลือดโชกชุ่มชุดเต็มชุดซาฟารีซึ่งผู้เคราะห์ร้ายสวมใส่อยู่ก่อนตาย ‘ไปๆได้สักที เดินวุ่นวายอยู่ตั้งนาน’ เสียงเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานคนหนึ่งพูด คงจะหมายถึงชายอีกคนซึ่งสวมชุดซาฟารีเช่นกัน ทว่ายังมีลมหายใจ เจตวุธเข้ามานั่งในรถตามเดิม สอดสายตาเข้าไปในบ้าน พบว่าเพื่อนร่วมงานหญิงกำลังพูดคุยบางอย่างกับพนักงานสอบสวนอยู่ เธอจดบางสิ่งใส่สมุดโน้ต ก่อนจะเดินกลับออกมา

          “ได้อะไรบ้าง”

          “ทราบชื่อผู้ตายคือนายอิฐ สรรหา อายุ ๒๙ ปี และนายหาญ พนา อายุ ๒๘ ปี ค่ะ ถูกยิงคนละ ๓ นัด เข้าบริเวณหน้าอกในตำแหน่งใกล้เคียงกัน ไม่พบปลอกกระสุนปืน คนที่เช่าบ้านหลังนี้อยู่เป็นผู้หญิง อายุประมาณยี่สิบกว่าปีค่ะ แต่ไม่ทราบชื่อและอาชีพแน่ชัด ตอนนี้ไม่อยู่บ้านค่ะ สอบถามเพื่อนบ้าน ไม่มีใครเห็นเหตุการณ์ค่ะ แต่ทราบว่าเหตุเกิดประมาณเวลาหกโมงเช้า”

          “โอเค ไปกันเถอะ”

          รถแล่นออกจากจุดเดิมและแล่นออกไปจนถึงหน้าปากซอยชายคนเดิมที่เคยพบไม่นานยืนอยู่บริเวณริม ถนนตรงทางออกจากซอยเพื่อเข้าถนนเส้นหลักนั้นมาก่อนแล้ว เจตวุธชะลอรถ เขาเอื้มมือขวาไปแตะด้ามปืนซึ่งอยู่ในเสื้อแจ็คเก็ต ชายคนนั้นเดินเข้ามาบริเวณฝั่งผู้โดยสาร นายตำรวจหนุ่มส่งสัญญาณเตือน พิศราดูท่าทางยังงุนงงทว่าเมื่อเห็นเจตวุธ ก็นำมือขวาไปจับที่ปืนซึ่งพกอยู่ข้างเอวของตน กระจกรถแบบควบคุมด้วยไฟฟ้าถูกลดลงโดยมือซ้ายของชายหนุ่มที่เอื้อมไปกดปุ่มบังคับ มือขวาของเขายังจับปืน

          “เจ้านายผมมีเรื่องจะคุยกับคุณตำรวจนะครับ”

          “แล้วคุณเป็นใคร..” พิศรายังพูดไม่ทันจบ

          “ส่งมานี่” ชายหนุ่มตอบแทนหญิงสาว เธอทำท่างงไปครู่หนึ่ง แต่ก็รับโทรศัพท์มือถือจากมือมันส่งมาให้เจตวุธ เขารับไว้แล้วแนบเครื่องมือสื่อสารนั้นกับหู แม้จะไม่ได้เปิดลำโพง แต่เสียงคู่สนทนานั้นดังมาก จนนายตำรวจหญิงได้ยินบทสนทนาได้ด้วย

          “เอ่อ!! ลื้อใช่ไหมวะที่ไล่ลูกน้องอั้ว”

          “ไม่ใช่ครับ ผมคือคนที่ขอให้คนที่ไม่เกี่ยวข้อง ไม่ได้เป็นตำรวจออกจากที่เกิดเหตุครับ”

          “แล้วมันต่างกันยังไงวะ!!”

          “ต่างตรงที่ผมไม่รู้ไม่สนว่าใครเป็นลูกน้องใครครับ เพราะมันไม่เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ผม”

          “มันจะไม่เกี่ยวได้ไงวะ ก็คนที่ตายแม่งก็เป็นลูกน้องอั้ว คนยิงแม่งด้วย อีเพศยานั่นอีกตัว แถมเงินกูที่มันขโมยไปอีก ของอั้วทั้งนั้นล่ะวะ!!” สีหน้าของนายตำรวจหนุ่มเปลี่ยนไปทันที แววตาดูเป็นประกาย

          “แล้วเรื่องมันเป็นมายังไงล่ะครับ”

          “อ้าว!! ไหนว่ามึงเก่งนัก มึงก็สืบเองเลยสิวะ ในเมื่อเรื่องของกูมึงห้ามกูยุ่ง อย่าให้กูได้ตัวมันก่อนพวกมึงแล้วกัน เอ่อ!! มึงชื่ออะไร ยศอะไร”

          “ผมไม่มีความจำเป็นต้องแจ้งชื่อแจ้งยศให้ใครทราบ”

          “เออดี!! ปากเก่งอย่างนี้กูชอบ ทำให้ได้อย่างที่ปากมึงเก่งแล้วกัน” สิ้นเสียงสายถูกตัดไป

ชายหนุ่มชายหนุ่มส่งโทรศัพท์มือถือคืนเจ้าของมันยิ้มเยาะเย้ย เขาก็เช่นกันทว่าอยู่ในใจ กระจกไฟฟ้าถูกปิดลงทันทีไม่มีใครพูดใด รถแล่นเข้าสู่ถนนใหญ่ โดยตัวผู้โดยสารนั้นยังไม่รู้จุดหมาย ว่ามันจะมุ่งไปที่ใดเลย

         

          ๑๐.๑๕ นาฬิกา

          รถมาจอดอยู่ที่ตลาดสดแห่งหนึ่ง ไม่ห่างจากที่เกิดเหตุมากนัก คราวนี้เป็นฝ่ายชายหนุ่มที่ลงไปจากรถก่อน เขาถอดเสื้อเเจ๊คเก็ตสีดำและปืนออกเก็บไว้ที่รถ และบอกให้หญิงสาวรอสักครู่ ก่อนจะกลับมาใหม่พร้อมถุงผ้าใบหนึ่ง

          “เปลี่ยนชุดเป็นชุดนี้ซะ เสร็จแล้วดับเครื่องรถ แล้วมาหาผมที่ร้านกาแฟตรงด้านข้างตลาดนะ”

          “ค่ะ” เธอตอบรับไปแบบงงๆ ก่อนจะเปิดดูของที่ชายหนุ่มทิ้งไว้ให้ ภายในถุงผ้ามีเสื้อยืดและกางเกงยีนแบบของผู้หญิงใส่อย่างละตัว

          หญิงสาวมาถึงร้านกาแฟตามนัดที่เร่งด่วน เธอพบว่าชายหนุ่มนั่งรออยู่แล้ว ร้านกาแฟสดนี้เป็นร้านแบบเปิด ยังอยู่ในบริเวณตลาดสด มีผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาตลอด ที่นั่งอยู่ในร้านก็มีประมาณหนึ่ง เธอเดินไป

ยังโต๊ะที่ชายหนุ่มนั่งอยู่และนั่งลง บนโต๊ะมีกาแฟสดแบบเย็นอยู่หนึ่งแก้ว นายตำรวจใช้นิ้วชี้แตะที่ริมฝีปากของตนคล้ายกับจะส่งสัญญาณบางอย่าง และนำนิ้วเดิมไปแตะที่หูของตน คราวนี้เธอรู้ได้แล้ว ว่าเขามีเจตนาจะสื่อสารอย่างไร

          เวลาเดินผ่านไป.. ตลาดสด ร้านกาแฟ หรือท่ารถ หรือจะสวนสาธารณะ หรือที่ใดก็ตามซึ่งเป็นจุดรวมของคนในพื้นที่ชุมชนนั้นๆ ย่อมเป็นแหล่งข่าวที่รวบรวมข้อมูลชั้นดี ทั้งคู่ใช้เวลาที่ผ่านไปนี้ฟังและวิเคราะห์เรื่องราวต่างๆที่ได้ยินจากชาวบ้านในพื้นที่ เรื่องที่ทุกคนพูดกันทั้งหมด ไม่พ้นเรื่องคดีความที่เพิ่งเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ป้าร้านขายน้ำพริกฝั่งตรงข้ามร้านกาแฟที่พูดกับแม่ค้าอีกคนว่า ‘โอ้ยย!! เชื่อฉันเถอะ แบบนี้ล่ะเรื่องแอบกินเด็กเจ้าพ่อแน่นอน รับประกัน นังผุดน่ะฉันเห็นมีรถมารับออกไปตอนมืดๆตลอด’ หรือลุงที่นั่งโต๊ะถัดจากเขาไปที่พูดกับเพื่อนร่วมโต๊ะว่า ‘เฮ่ย!! เห็นว่าไอ้หนุ่มนั่นมันโหดเอาเรื่องนะ คนที่มันยิ่งนั่นเรียกชื่อมันเลยนะร้องขอชีวิต บอกไอ้รุจน์ๆอย่าฆ่ากู แหม่มันไม่ฟังยิงซ้ำเข้ากลางอกตายทั้งสองคนเลย’ จุตวุธลุกจากโต๊ะ พยักหน้าให้สัญญาณ หญิงสาววางแก้วชาเขียวลง แล้วลุกเดินไปตามเขา มุ่งหน้าสู่ลานจอดรถของตลาดสด

 

          ทั้งคู่มาถึงรถยนต์คันเดิม ชายหนุ่มทำการติดเครื่องยนต์ และหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรออก

          “ครับผู้กำกับ พรุ่งนี้ผมว่าจะขออนุญาตไม่เข้าไปสำนักงานครับ จะไปสืบคดีนี้สักหน่อย”

          “ครับผม ทราบครับ เดี๋ยวผมไปส่งก่อนครับ ครับ ขอบคุณครับ” เขาวางสาย

          “เดี๋ยวเราจะที่ไหนต่อเหรอคะ”

          “ผมจะไปส่งคุณก่อน พรุ่งนี้คุณก็ไปทำงานตามปกติ รายงานตัวกับผู้กำกับนะ”

          “ที่จริงฉันว่างอยู่ ไม่ได้ติดธุระอะไร ขออนุญาตไปกับผู้กองได้ไหมคะ” ผู้ฟังนิ่งไปครู่..

          “ได้ ดีเหมือนกัน มีคนช่วยขับรถ”

          “ขอบคุณค่ะ” เธอยิ้ม

          “ลองตรวจสอบดูให้ผมหน่อย ว่าด่านออกนอกพรหมแดนไปประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้ที่สุดอยู่ที่ไหน ถ้าเริ่มเดินทางจากที่เกิดเหตุ”

          “รับทราบค่ะ” อีกครั้ง เธอทำตามโดยที่ยังไม่รู้เหตุผล อันที่จริง แม้จะพอเดาเหตุผลได้ก็ตาม

 

          ๑๒.๔๔ นาฬิกา

          “ผู้กองไม่ทานอะไรอีกเหรอคะ” เธอถาม ขณะที่ตนกำลังเคี้ยวแซนวิสชิ้นใหญ่

          “ไม่ล่ะ อิ่มแล้ว กินมากไปกลัวง่วง” นั่นคือคำพูดของคนที่เพิ่งกินมถั่วเหลืองไปหนึ่งขวดแทนอาหารมื้อกลางวัน

          รถแล่นไปอย่างต่อเนื่องโดยจอดพักเพียงหนึ่งครั้ง เพื่อเติมพลังงานให้ตัวเครื่องและผู้ขับขี่โดยสาร นายตำรวจหญิงเก็บห่อแซนวิสที่กินหมดแล้วใส่ถุงพลาสติกแล้วกินดูดน้ำจากขวดน้ำ เธอมองออกไปยังนอกหน้าต่าง สองข้างทางเป็นทุ่งนาและสวนไร่สลับกัน แสงแดดในเวลาก่อนบ่ายสาดผ่านหน้าต่างรถเข้ามากระทบกับผิวสีน้ำผึ่งของหล่อน วินาทีนั้น ชายหนุ่มเหลียวมอง ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดสวิซ์เครื่องเสียงของรถยนต์ในรูปแบบของวิทยุ หลังจากทำการปรับหาคลื่นอยู่ครู่หนึ่ง เสียงเพลงลูกทุ่งจากคลื่นวิทยุท้องถิ่นก็ดังชัดเจน

          “ฟังได้ใช่ไหม”

          “ได้ค่ะ” เธอยิ้ม รถยังคงแล่นต่อไป..

 

          ‘พี่ฝันจะสร้างรังรักสักหนึ่งหลัง ณ ริมฝั่งเจ้าพระยา อยู่อาศัย แม้ฝันของพี่ไม่เกิดมีความเป็นไป สองชีวีเราคงได้ร่วมเสน่หา..’          

 

          ๑๕.๓๑ นาฬิกา

          “ผุดเลิกร้องไห้ได้แล้วนะ”

          “ทำไมรุจถึงทำแบบนี้” เธอกล่าว น้ำใสยังอาบสองแก้มสีชมพู ชายหนุ่มเงียบไปครู่ก่อนตอบ

          “เสียดายเหรอ มึงอยากกลับไปอยู่กับมันนักหรือไง”

          ทุกอย่างเงียบไป ยกเว้นเสียงสะอื้นจากเจ้าของหยดน้ำใสบนใบหน้านวลขาวนั้น แสงแดดที่ดูอ่อนล้าสาดเข้ามา ยามนี้บ่ายแล้ว สีส้มอ่อนกระทบกับผิวกายของสาวเจ้า เธอเบือนหน้าออกจากคู่สนทนา ทำให้รอยช้ำเขียวซึ่งไม่ควรจะย่างกายเข้ามาบนใบหน้าสวยนั้นปรากฏขึ้น สายตาเศร้านั้นเหม่อมองด้วยความว่างเปล่าไปสุดไกล ราวกับว่าจะปลงตกเสียสิ้นทุกอย่าง ก่อนมือหนึ่งเอื้อมาสัมผัสแผ่วเบาลูบไล้ผอมยาวตรงขลับดำนั้น

          “รุจขอโทษ ไม่เป็นไรนะ ไว้เราไปเริ่มต้นใหม่ด้วยกันนะ” หญิงสาวหันกลับมายิ้ม เธอพยักหน้า ใช้สองมือเล็กจับมือของชายที่อยู่เคียงคู่ขึ้นมาจูบเบาลงบนฝ่ามือ ทว่าน้ำในตายังคงไหลเช่นเดิม

          “ผุดมีอะไรจะบอกรุจด้วยล่ะ เป็นเรื่องที่สำคัญมาก”

          “อะไรเหรอ”

          “ไว้เราข้ามไปได้ก่อนนะคะ ผุดจะรีบบอกรุจเลย” หล่อนยิ้ม เขายิ้ม ตอนนี้น้ำตาเดิมนั้นหยุดไหลแล้ว..

 

          ๑๗.๐๐ นาฬิกา

          รถเก๋งสีเทาขับมาจอดที่ลานกว้าง ทอดสายตาเลยสุดไปนั้นเป็นพรหมแดนของอีกรัฐหนึ่ง นี่คือจุดเชื่อม

ต่อระหว่างสองแผ่นดิน สองห้วงเวลา และสองหัวใจของสองบุคคล โชเฟอร์เปิดประตูลงมาจากรถ เขาถอดชุดซาฟารีพาดไว้ที่เบาะของคนขับ ตามมาด้วยผู้ร่วมเดินทาง หญิงสาวในชุดลายดอกไม้สีเหลืองสดใสปรากฏกาย เธอส่งยิ้มให้เขา รอยยิ้มเดิมที่เขาคุ้นเคย

          “รุจว่าจะไปซื้อของสักหน่อย ต้องไปทำเรื่องเกี่ยวกับเอกสารด้วย ผุดรออยู่ตรงนี้ก่อนก็ได้”

          “ไหนรุจว่าจะเลิกกินเหล้าแล้วไง” เหมือนเธออ่านใจเขาได้

          “เหล้าแถวนี้ราคาถูก แล้วอีกอย่าง มีเรื่องต้องฉลองนิดหน่อย” เธอพยักหน้ารับ ยิ้มเก่ายังปรากฏ..

          ชายหนุ่มเดินลงจากลานกว้างนั้น อีกครั้ง หญิงสาวเห็นเขาค่อยๆห่างออกไปเรื่อยๆ ตอนนี้เป็นเวลาเย็นแล้ว แสงแดดที่ค่อยร้อนแผ่วผ่อนลง ใจของเธอก็เช่นกัน..

 

          ๑๗.๕๒ นาฬิกา

          รถเก๋งสีดำขับมาจอดที่ลานกว้าง วิวทิวทัศน์ที่เคยเด่นชัดนั้น ผลัดเปลี่ยนไปตามกาลเวลา แต่ก็ยังมองเห็นได้อยู่ แค่ในอีกอารมณ์ แผ่นดินเดิม ห้วงเวลาใหม่ และคนที่มาถึงใหม่อีกสองคน หญิงสาวเปิดประตูรถลงมาก่อนชายหนุ่ม เธอลงจากฝั่งคนขับ ส่วนเขาลงจากฝั่งผู้โดยสาร เสื้อแจ็คเก็ตสีดำถูกนำมาสวมใส่เพื่อปกปิดบังบางสิ่ง สีหน้าทั้งคู่ดูเหนื่อยล้าจากการเดินทางไกล

          “เธอขับรถเร็วเหมือนกันนะ” เขาเอ่ย หญิงสาวยิ้มและหัวเราะ เธอไม่ปฏิเสธ

          “ผมว่าจะไปเดินเล่นดูอะไรแถวนี้สักหน่อย คุณจะฝากซื้ออะไรไหม”

          “ไม่เป็นไรค่ะผู้กอง”

          “อืม”

          บริเวณโดยรอบที่แห่งนี้ ร้านขายของชำมีให้เห็นโดยทั่วไป ทว่าสินค้าที่ขายนั้นจะมีราคาถูกกว่าราคาสากลตามท้องตลาด ชายหนุ่มเดินเข้าไปในร้านหนึ่ง เสื้อยืดแบบซับในชายสีขาวมีรอยหมองเล็กน้อยจากคราบเหงื่อใครของผู้สวมใส่ แต่ทว่ากางเกงซาฟารีทรงกระบอกนั้นยังเรียบเนี๊ยบอยู่ ในมือของเขาถือเอกสารบางอย่างอยู่ คงจะเป็นเอกสารทางราชการ ไม่นานนัก เขาออกมาจากร้าน เอกสารถูกพับเก็บใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกง ในมือของเขาตอนนี้ถือถุงกระดาษบรรจุเหล้าอยู่ขวดหนึ่ง อักษรภาษาอังกฤษแสดงข้อความปรากฏบนขวดแก้วนั้นว่า ‘MARTELL’

         

          ๑๘.๑๘ นาฬิกา

          “ฮัลโหลด” เธอพูดผ่านเครื่องมือสื่อสาร หลังจากกดรับสารแล้ว

          “รอก่อนนะ ขอจดก่อนๆ” เธอหยิบปากกาและสมุดบันทึกอกมาจากกระเป๋าถือแบบสะพายข้างผู้หญิง นอกจากของใช้ของผู้หญิงทั่วไปแล้ว ในกระเป่านี้ มีปืนอยู่หนึ่งกระบอก เธอจดของความลงในสมุดบันทึก

          “ขอบใจมากแก แล้วเป็นไง ตรวจที่เกิดเหตุเสร็จกี่โมง นี่ฉันมาตั้งไกล..” การพูดคุยของคู่สนทนาที่ดูคล้ายจะรู้จักคุ้นเคยกันมาก่อนดำเนินไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถูกขัดจังหวะด้วยบางสิ่ง บางสิ่งที่ไม่ควรคาดถึง..

          “เห้ย เดี๋ยวแค่นี้ก่อนนะแก โอเคๆ” เธอกดวางสาย ทั้งโทรศัพท์มือถือ ปากกา และสมุดบันทึก ถูกเก็บ

เข้าไว้ในกระเป๋าตามเดิม กลายเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ถูกหยิบออกมา และอีกหนึ่งสิ่งที่อาจถูกหยิบออกมาในเวลาไม่ช้าหลังจากนี้

          “หยุดอยู่ตรงนั้นก่อนค่ะ!! ดิฉันเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ อยากจะขอสอบถามอะไรคุณหน่อย” เธอพูด ในมือซ้ายเรียวสวยนั้นปรากฏบัตรทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าหนึ่งใบ ที่เธอกำลังยืนแสดงให้อีกฝ่ายเห็นอยู่ ส่วนมือขวายังคงล้วงอยู่ในกระเป๋าสะพายข้าง ราวกับปิดบังบางอย่างไว้ ชายที่เพิ่งปรากฏกายมีอาการตกใจเล็กน้อย

          “จะสอบถามอะไรผมเหรอครับ” ชายหนุ่มตอบ ระยะห่างของเขาและนายตำรวจหญิง อยู่ที่ประมาณ๑๐ เมตร

          “มีบัตรประชาชนไหมค่ะ ดิฉันขอความร่วมมือหน่อย” ชายหนุ่มไม่ตอบคำถาม เขามองเลยผ่านหลังนายตำรวจหญิงไป ขณะนี้หญิงสาวอีกคนตื่นตัวแล้ว และพบว่ามีสิ่งผิดปกติบางอย่างเธอลงมาจากรถ

          “หยุด!! อย่าขยับ คุณด้วยค่ะ ดิฉันต้องการทราบชื่อและนามสกุลของคุณ” ตำรวจสาวรู้ทัน เธอหันหน้าไปมองด้านหลังของเธอ ภาพที่เห็นคือผู้หญิงรุ่นราวคราวเดียวกันกับเธอที่เพิ่งลงมาจากรถเก่งสีเทานั้น ท่าทีอาการของหล่อน ดูมีพิรุธอย่างชัดเจน

          “มีอะไรเหรอรุจ” หล่อนกล่าว ชะเง้อมองชายผู้เป็นที่รักซึ่งอยู่ห่างออกไป โดยมีหญิงสาวอีกคนขั้นกลางระหว่างทั้งสอง แม้เสียงที่พูดจะแผ่วเบา ทว่าได้ยินชัดเจน อาจเพราะบัดนี้ ทุกสิ่งรอบกายต่างเงียบลง..

          “ไม่มีอะไรหลอกผุด คุณตำรวจครับ บัตรประชาชนของผมอยู่ในรถคันนั้น ผมขออนุญาตไปหยิบให้ตรวจสอบนะครับ” พูดจบ ทำท่าจะก้าวเท้าเดิน

          “เดี๋ยวก่อน ให้ผู้หญิงคนนั้นหยิบมาแทน” ผู้ที่ถูกพูดถึงไหวตัว แววตานั้นดูมีทั้งคำตอบที่รู้แจ้งแล้วถึงเหตุที่กำลังเกิด และคำถามที่ถูกตั้งขึ้นตามมาอีกมากเลย เธอยังคงนิ่งอยู่เช่นนั้น

          “อย่าทำแบบนี้เลยครับ แฟนผมอาจตกใจได้”

          “แค่หยิบบัตรประชาชนให้ดู ไม่น่าจะต้องตกใจอะไรนะคะ” เธอย้อน เปลี่ยนตำแหน่งท่ายืนจากการหันหน้าประจันชายหนุ่มโดยหันหลังให้หญิงสาวในชุดดอกไม้ เป็นยืนหันข้างทำให้มองเห็นการเคลื่อนไหวของคู่รักทั้งสองคนนี้ได้พร้อมกัน มือขวายังจับกุมกำของในกระเป๋าไว้แน่น

          “โอ้!! กะจะหาเรื่องหนีเที่ยวสักหน่อย เจอของดีเข้าให้” ทุกสายตาจับจ้องไปที่ต้นเสียงทันที นายตำรวจอีกคนปรากฏตัวแล้ว เขาเดินผ่านชายหนุ่มที่บัดนี้ชุดเสื้อยืดซับในสีขาวชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ มาราวกับไม่มีสถานการณ์ตึงเครียดใดเกิดขึ้น และหยุดยืนอยู่ข้างตำรวจหญิง

          ‘ทำดีแล้ว เตรียมปืนไว้’ เขาพูดเสียงเบาราวกระซิบ แต่เธอได้ยินชัดเจน

          “ขอความกรุณาทำตามที่ผู้หมวดเขาบอกด้วยครับ คุณผู้หญิง หยิบบัตรประชาชนออกมาช้าๆ ช่วยอย่าเคลื่อนไหวเร็วๆนะครับ” เขาไม่รู้แน่ชัดว่าชายหญิงคู่นี้ใช่คนร้ายที่เขาตามหาหรือไม่ หากใช่ ขณะนี้คนร้ายมีปืนหรือเปล่า มีกี่กระบอก และถูกเก็บไว้ที่ใด

          “ผุด ทำตามที่คุณตำรวจบอก” ฝ่ายชายสั่ง หญิงสาวค่อยๆเปิดประตูรถ จากนั้นเอื้อมือไปเปิดลิ้นชักฝั่งผู้โดยสารช้าๆ นายตำรวจทั้งสองนิ่งมองอย่างระแวดระวัง เพื่อรอดูสิ่งที่ร้องขอไป ทว่าเธอกลับนิ่งอยู่เช่นนั้น

          “รุจ ทำไมมันต้องเป็นแบบนี้ด้วย” หล่อนก้มหน้า มองสิ่งที่อยู่ในลิ้นชักพร้อมพูดด้วยเสียงสั่นเครือ น้ำใส เริ่มไหลออกจากดวงตากลมงามคู่เก่าอีกครั้ง แม้มันจะเคยไหลออกมาก่อนหน้านี้บ่อยมากแล้วก็ตาม

          “ผุด!! ใจเย็นๆ ทำตามที่รุจบอกเถอะนะ” ฝ่ายชายตะโกนเรียกสติคนรัก แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ทันการเสียแล้ว บัดนี้ฝ่ายหญิงหันหน้ากลับมายืนจ้องมองไปทางเจ้าหน้าที่ทั้งสอง ทว่าในมือขวาถือปืนสั้นไว้แน่น   แน่น.. จนมือของเธอสั่นเทาอย่างเห็นได้ชัด บัดนี้ปากลำกล้องปืนอยู่ในลักษณะชี้ลงพื้น

          “หยุด!! ทิ้งปืนซะ!!” พิศรากล่าว พร้อมชักปืนออกจากกระเป๋าจ้องเล็งไปยังเป้าหมายแน่วแน่ กระเป๋าแบรนด์เนมใบแพงหรูถูกสะบันลงพื้น สมุดบันทึกและปากกาจึงกระเด็นออกมาตกลงบนพื้นเช่นกัน

          “ผุด!! ไม่เอา!! อย่าทำแบบนี้!!” ฝ่ายชายเพิ่มเสียงตะโกนเรียกสติ ทว่ายังไร้ผล เจตวุธใช้มือขวาล้วงเข้าไปในเสื้อแจ็คเก็ต แววตาคมกริบของนายตำรวจชายจ้องมองชายที่ถูกขนานนามว่า ‘รุจ’ แน่วนิ่ง ประเมินสถานการณ์ มีความเป็นไปได้สูง ว่ามันจะไม่มีปืนอยู่ที่ตัว ปืนมีกระบอกเดียว และผู้หญิงชื่อ ‘ผุด’ ถือไว้อยู่

          “ไม่เป็นไรนะรุจ รุจเหนื่อยกับผุดมาเยอะแล้ว ผุดจะจัดการเอง แล้วเราจะหนีไปด้วยกันนะ” ผุดกล่าว ระหว่างแต่ละประโยคมีเสียงสะอื้อปนอยู่ แววตาที่แดงเรื่อเพราะความบอบเช้านั้น ถ้าไม่นับรวมน้ำตาที่ไหลลงมาแล้ว นอกจากนั้นก็มีแต่ความว่างเปล่า

          “ผุดอย่า!! ผุด!!”

          ปืนที่เคยจ่อลงพื้นประทับขึ้นเตรียมยิงด้วยความเร็ว แม้ท่อนแขนเล็กของผู้ครอบครองสั่นอยู่ไม่หาย เจตวุธละสายตาจากชายตรงหน้ากลับมาที่เป้าหมายที่มีความอันตรายกว่า ทุกอณูในร่างตื่นตัวรอรับกับสถานการณ์ เขากำลังจะชักปืนออกมา ทว่าตำรวจหญิงอีกนายที่เคยอยู่ในท่าเตรียมพร้อม บัดนี้ยืนตัวแข็งที่ พิศราหน้าซีดเผือดคล้ายคนตกใจสุดขีด ปืนยังจ้องเล็งอยู่ แต่ดูไร้ปฏิกิริยาการตอบสนองใดๆ พริบตานั้น ชายหนุ่มละมือจากปืนของตนใช้มือขวาจับมือของตำรวจหญิงออกแรงกดที่นิ้วชี้ ซึ่งเข้าอยู่ในโกร่งไกแตะอยู่ที่ไกอยู่แล้ว และทิ้งน้ำหนักตัวลงด้านหลัง นายตำรวจหนุ่มล้มลงหลังกระแทกพื้น โดยที่เขารับร่างของเพื่อร่วมงานไว้ได้ทัน เวลาเดียวกันนี้ เกิดเสียงดังคำรามขึ้นสองครั้ง

          ‘ปั่ง!! ปั่ง!!’

          ใบหน้านวลขาวนั้นสะบัดไปด้านหลังคล้ายถูกแรงใดปะทะ ร่างเล็กบางล้มลงกระแทกกับตัวรถเก๋ง แล้วจึงฟุบอยู่ที่พื้นเช่นนั้น ไร้การขยับใดๆ นาฬิกาเหมือนจะหยุดหมุนไปชั่วขณะ น้ำสีแดงสดไหลออกมาปะปนกับน้ำใสจากในตา ก่อนจะทาบทาลงบนพื้น

          “ไม่!! เฮ่ย!! ไม่!!” ชายชื่อรุจทรุดเข้าลงตะโกนอย่างบ้าคลั่งด้วยคำต่างๆที่ฟังไม่ได้ศัพท์ เขาแผดเสียงร้องออกมาจากลำคอพร้อมกับเสียงสะอื้นไห้ น้ำตาไหล ราวไร้การควบคุม

          “ไอ้สัตว์!! เธอท้องอยู่นะโว้ย ไอ้พวกตำรวจระยำ!!”

          “เป็นอะไรไหม” เจตวุธชันกายลุกขึ้นนั่ง และเอ่ยถามหญิงที่อยู่ในอ้อมอกเขา หญิงสาวส่ายหน้า เธอไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ

          “ดีแล้ว ตั้งสติไว้ ผมจะไปดูผู้หญิงคนนั้น มันไม่มีปืน แต่ห้ามประมาทเด็ดขาด” เธอพยักหน้ารับ แววตาที่ตื่นตระหนกดูมีประกายขึ้นมาอีกครั้ง ตำรวจหญิงลุกขึ้นยืน ประทับปืนเล็งชี้ไปทางชายที่บัดนี้นอนเกลือกกลิ้งอยู่กับพื้นดินราวคนบ้าก็ไม่ปาน

          ตำรวจหนุ่มเดินไปถึงร่างของผู้ที่หมายจะเอาชีวิตของตนและเพื่อนร่วมงาน เขาชักปืนออกมาแล้วด้วยความไม่ประมาท ชี้ปืนไปทางร่างนั้นจนเข้าประชิดถึงตัว เขาหยิบปืนออกมาจากมือน้อยนั้น แล้วจึงพลิกตัวหญิงสาวขึ้น จึงทำให้เห็นได้อย่างเด่นชัด กระสุนทะลุเข้าบริเวณหน้าผากของเธอ เลือดสีแดงไหลลงอาบแทนที่

และช่วยชะล้างน้ำตาที่เคยแปดเปื้อนได้ แต่ก็กลับยิ่งทำให้ใบหน้านั้นดูเศร้าไปกว่าเดิม ตาของหล่อเหลือกขึ้นบนเปลือกตา เจตวุธเบือนหน้าหนี และก่อนจะทันสังเกตมองหาสิ่งใดต่อ..

          ‘เพล้ง!!’ เสียงหนึ่งดังขึ้น

          “พวกมึงต้องชดใช้!!” ชายหนุ่มกล่าว หลังจากใช้ขวดเหล้าที่เพิ่งซ้อมาฟาดลงกับพื้น ขวดแก้วแตกกระจาย เหลือเพียงส่วนคอขวดและส่วนแก้วที่ยังไม่กระจายออกไปคงอยู่ไว้เป็นปลายมีความแหลมคม

          “หยุด!! อย่าขยับ!! ทิ้งของที่อยู่ในมือลง!! ” ชายหนุ่มจ้องเล็งปืนไปยังต้นเสียง แต่แนวปืนของเขาทับกับร่างของตำรวจหญิงที่ยืนแข็งทื่ออยู่เช่นนั้น คนร้ายวิ่งเข้าใส่พวกเขาด้วยความบ้าคลั่ง มุ่งไปยังนายตำรวจหญิงก่อน

          “ยิงมันเลย!!” เจตวุธตะโกน

          “ปั่ง!! ปั่ง!! ปั่ง!!” เสียงปืนคำรามขึ้นสามนัด แต่ช้าไป คนร้ายพาร่างของตนเข้าปะทะกับร่างเล็กของนายตำรวจหญิงจนเซถลา ก่อนจะตั้งหลักได้ เธอก็โดนล็อคไว้อย่างแน่นด้วยแขนของเพศตรงข้ามที่ทรงพลังมากกว่า บัดนี้แก้วแหลมจี้อยู่บริเวณคอของเธอ

          “ทิ้งปืนซะ!!” มันสั่ง ตำรวจหญิงยังจับปืนไว้ได้แน่น แม้จะอยู่ในสถานการณ์นี้ เจตวุธมองหน้าเธอ เขายิ้มมุมปากแล้วจึงพยักหน้า เธอโยนปืนทิ้งไปในตำแหน่งตรงหน้า ปืนตกลงบนพื้นในตำแหน่งระหว่างนายตำรวจทั้งสอง

          “มึงด้วย!! ไอ้สัตว์!! ทิ้งปืน!!”

          “กูเป็นคนยิงแฟนมึงตาย เป็นคนจับมือและกดนิ้วตำรวจผู้หญิงคนนี้ลงบนไก อยากทำอะไรมาทำกับกู อย่ายุ่งกับเธอ” เจตวุธกล่าว นัยน์ตาและสีหน้าของเขาเรียบเฉย

          “เออ!! กูทำแน่ไอ้เหี้ย!! ทิ้งปืนซะ!!” มันยังคงตะโกน

          เจตวุธโยนปืนในมือทิ้งไปตามคำสั่ง แววตาคมยังจ้องมองไปยังคนร้ายอย่างไม่หวาดหวั่น วินาทีนั้น ปืนของนายตำรวจตกลงบนพื้น คนร้ายชะล่าใจ ท่อนแขนที่ใช้เป็นเครื่องพันธนาการผูกมัดของตำรวจหญิงสาวคลายลงชั่วขณะ สติของเธอหวนกลับมาทันที นี่คือโอกาส!! เธอใช้มือทั้งสองข้างจับที่ต้นแขนของผู้คุกคาม บิดสะโพกเข้าประชิด และใช้แรงจากขาและลำตัวหนุนดึงร่างของคู่ต่อสู้มาอย่างสุดแรง ร่างของคนร้ายลอยขึ้นตามแรงเหวี่ยงของทารทุ่ม และอัดลงกับพื้นเสียงดัง ‘ตุบ!!’ ทว่าตำรวจหญิงก็เสียงหลักล้มลงเช่นกัน เนื่องด้วยเพราะน้ำหนักและโครงสร้างของร่างกายที่แตกต่างกันเกินไป ขวดแก้วที่เคยถูกใช้เป็นอาวุธนั้นกระเด็นหายไปแล้ว เจตวุธเห็นดังนั้นจึงไหวตัวทันที นายตำรวจพุ่งตัวไปหาปืนของตนที่ตกอยู่ที่พื้น ส่วนคนร้ายตั้งตัวได้ก่อนพิศรา และมุ่งไปยังจุดที่ปืนของเธอตกอยู่ทันที!!

          “ปั่ง!! ปั่ง!! ปั่ง!!”

          ร่างหนึ่งล้มลงกับพื้นแม้จะกุมปืนไว้ได้แล้วก็ตาม

          ส่วนอีกร่างมีปืนอยู่และยังคงยืนหยัด

          เจตวุธเดินเข้าหาร่างของคนร้ายที่นอนหายใจรวยริมอยู่ จ่อปืนไปทิศทางของร่างตลอดเวลา เขาปลดอาวุธออกจากการครอบครองของคนร้าย วินาทีนั้น พิศราตั้งสติและวิ่งมายังจุดที่ร่างนั้นล้มลง เธอตบที่หน้าของเขาเบาๆเพื่อเรียกสติพร้อมกับเรียกชื่อ ‘คุณรุจๆ’ ชั่วอึดใจต่อมา นัยน์ตาที่ดูเหมือนจะไม่เหลือสิ่งใดอยู่แล้วนั้น ก็พลันว่างเปล่าลงโดยสมบูรณ์ ภาพที่เจตวุธเห็นคือนายตำรวจหญิงคนหนึ่งกำลังนั่งป้ำหัวใจให้กับคนร้ายที่เพิ่งจี้คอเธอเมื่อครู่ และหมายจะฆ่าเขาให้ตาย เธอทำเช่นนั้นอย่างต่อเนื่องติดต่อกับการร้องเรียกชื่อของคนไข้จำเป็นของเธอ ไม่นานนัก ประชาชนละแวกนั้นเริ่มเดินเข้ามาดูเหตุการณ์ ทุกอย่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว หญิงสาวนั่งนิ่งอยู่ข้างศพของคนร้าย คราวนี้เป็นเธอที่น้ำใสไหลออกจากดวงตากลมโต แทบจะไม่มีแสงตะวันหลงเหลืออยู่แล้ว แต่น้ำตานั้นก็ยังสะท้อนกับบรรยากาศเผยให้เห็นได้โดยชัดเจน เจตวุธหยิบกระเป๋าของพิศราที่ตกลงบนพื้นขึ้นมาปัดฝุ่นออก และเหลือบไปเห็นสมุดบันทึกเล่มหนึ่งตกอยู่ใกล้ๆกัน

          ‘รายชื่อผู้ต้องสงสัย นายวิรุจ ยาสิทธิ และ นางสาวผุดเกสร ภัทรนุการณ์ ’

          เสียงจากคลื่นวิทยุชุมชนดังแผ่วมายามเย็นผ่านเครื่องกระจายเสียงที่ติดอยู่บนเสาไฟฟ้า ดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าไปแล้ว ทว่าลมยังผัดผ่านมาอย่างสม่ำเสมอ รอเพียงแต่สิ่งใดก็ตามที่จะเจอ แล้วทำให้กระสายแสนั้นตกกระทบพัดผ่านพาดผิวไป

          ‘รังรักในจินตนาการ วิมานรักอันบรรเจิดจ้า ริมหน้าต่างปลูกซุ้มลัดดา ห้องนอนสีฟ้า ติดม่านชมพู..’

         

                                                          จบ คดีที่ ๑

 

ขอขอบคุณ เพลง รังรักในจินตนาการ ขับร้องโดย คุณทูล ทองใจ , คำร้องโดย คุณไพบูลย์ บุตรขัน ,  ทำนองโดย คุณมงคล อมาตยกุล

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา