เพียงพริบตา

-

เขียนโดย Xiaobei

วันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 เวลา 14.17 น.

  8 ตอน
  0 วิจารณ์
  8,654 อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) บทที่หนึ่ง จากหมู่บ้านที่อดอยาก : ย่านพักแรม (2)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่หนึ่ง จากหมู่บ้านที่อดอยาก : ย่านพักแรม (2)

ยามเช้าของโรงเตี๊ยม มีเสียงดังขึ้นในห้องครัว ถึงกระนั้นก็ไม่ใช่การเตรียมอาหาร แต่เป็นเพียงการต้มน้ำร้อนเพื่อทำความสะอาดเท่านั้น

เมื่ออิซาจิอุ้มร่างไร้วิญญาณของซาโตะลงมาจากบันได ก็เผชิญหน้าเข้ากับเจ้าของโรงเตี๊ยม

“แถวนี้มีวัดบ้างไหม?”

“วัดหรือขอรับ? ตรงไปทางถนนด้านหลังจะมีวัดโชเน็นจิอยู่ เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ?”

“เด็กนี่ตายไปเมื่อเช้า น่าเสียดายนัก”

เจ้าของโรงเตี๊ยมพนมมือสวดมนต์

ฝนหยุดตกแล้ว แต่เมฆยังคงแผ่กว้างอย่างต่อเนื่อง

อิซาจิอุ้มร่างไร้วิญญาณของซาโตะไปจนถึงประตูวัดโชเน็นจิ

เขาวางร่างไร้วิญญาณลงหน้าประตู ประสานมือซาโตะไว้ตรงหน้าอกแล้วใส่เงินหนึ่งบุลงไปในโอบิ [1] มีศพขนาดเล็กและใหญ่ในห่อเสื่อไม้ไผ่วางอยู่สามศพ การจัดการศพนั้นปล่อยไว้ให้เป็นหน้าที่ของวัด ซาโตะจะถูกฌาปนกิจโดยไม่ได้รับชื่อทางพุทธ [2] ในฐานะศพไร้ญาติที่เสียชีวิตลงระหว่างการเดินทาง

อิซาจิมองหน้าของซาโตะ ใบหน้าอันอ่อนเยาว์งดงาม ใบหน้านุ่มนิ่มไร้ซึ่งพละกำลัง ใบหน้าที่ไม่รู้ว่าตนเองเกิดมาเพื่อสิ่งใด ใบหน้าที่น่าสงสารซึ่งเสียชีวิตไปอย่างน่าเสียดายทั้งที่คงมีความฝันและความหวัง ใบหน้าหลากหลายแบบซ้อนทับกัน อิซาจิพนมมือด้วยความคิดว่า แม้จะไม่ได้เป็นการไว้อาลัย แต่ก็ขอจดจำใบหน้านั้นเอาไว้ แล้วจึงเดินออกจากที่แห่งนั้น

โมจิและเนื้อตากแห้งไม่เหมือนอาหารเช้าแต่ก็ยังดีกว่าไม่มี เด็กทั้งสองคนและอิซาจิใช้เวลากัดกินอาหาร กลืนน้ำชาที่ไม่ต่างอะไรกับน้ำเปล่าลงกระเพาะ

การให้กินอาหารคือวิธีปฏิบัติของอิซาจิ ในหมู่เซเง็นเองก็มีพวกที่พยายามจะเพิ่มรายได้โดยลดค่าอาหารลงเหมือนกับเด็นชิจิอยู่เช่นกัน

ทั้งโคมาโนะและสึซึต่างไม่ถามเรื่องซาโตะ ไม่ต้องถามก็เข้าใจอยู่แล้ว และยังกลัวที่จะถามด้วย บางครั้งก็คิดว่าคราวหน้าอาจจะเป็นตัวเองก็เป็นได้

※※※※

อิซาจิ โคมาโนะ และสึซึ ทั้งสามคนออกจากย่านพักแรมซาซาคาวะถึงย่านพักแรมฟุรุคาวะในวันที่ห้า ไม่มีครั้งใดที่พระอาทิตย์ส่องแสงลงมาเลย มีก็แค่เพียงลมเย็นชื้นพัดมาเท่านั้น

เมื่อเข้าใกล้เอโดะทั้งสามคนต่างก็คุ้นเคยกับการเดินทางแล้ว อิซาจินึกสงสัยว่าโมจิในหีบไม้และนิ้วก้อยในถุงจะขึ้นราหรือไม่ ถ้าโมจิขึ้นรายังไม่เท่าไร เพียงแต่นิ้วก้อยเท่านั้นที่อยากจะเอากลับไปให้ได้โดยไม่มีปัญหา

หากมาถึงที่นี่แล้วก็จะมีอาหารกิน แม้ราคาจะไม่โหดหิน แต่ก็มีพวกพ่อค้าชั่วเดินเตร่คอยจ้องหาผลประโยชน์อยู่ มีหลายคนที่เสนอราคาสูงกว่าปกติแปดถึงสิบเท่า

ทั้งสามคนเข้าไปในโรงเตี๊ยม ภายในโรงเตี๊ยมนั้นเป็นห้องรวม มีฉากกั้นแบ่งออกเป็นห้องย่อยหลายห้อง อิซาจิซึ่งไม่ได้อาบน้ำมานานตรงไปยังห้องอาบน้ำ

ชายชื่อสึเกะสะ พ่อค้าที่อยู่ห้องเดียวกันโผล่หน้าออกมาจากเงามืดของฉากกั้น ถือโอกาสที่อิซาจิไม่อยู่คุยกับเด็กสาวทั้งสอง

“พวกเจ้าจะไปไหนกันรึ?”

“เอโดะค่ะ”

สึซึตอบ

“ส่วนไหนของเอโดะรึ?”

โคมาโนะกับสึซึมองหน้ากัน พวกเธอรู้ว่าจะต้องไปโยชิวาระ ทว่าไม่เคยได้ยินรายละเอียดเกี่ยวกับที่แห่งนั้น แต่พวกเธอก็รู้สึกเล็กน้อยว่าลังเลที่จะพูดออกมา และยังถูกสั่งว่าอย่าคุยกับคนอื่นให้มากนักด้วย

“ร้านไหนรึ?”

ทั้งคู่ไม่ตอบสนอง สึเกะสะลอบสังเกตท่าทางนั้น

“อย่างนั้นก็ โยชิวาระรึ?”

ทั้งคู่พยักหน้าอย่างลังเล

“ข้าก็ว่าแล้ว ดูอย่างไรพวกเจ้าก็ไม่เหมือนพ่อลูก แถมพวกเจ้าสองคนก็ไม่น่าจะเป็นพี่น้องกันด้วย ชายผู้นั้นท่าทางก็ดูดีอยู่หรอก เป็นเซเง็นอย่างที่คิดจริงๆ ด้วยสินะ”

แขกอีกคนในห้องรวมของโรงเตี๊ยมเป็นพ่อค้าชื่อชิเงโยชิ เขาคลานเข้ามาแล้วพูดแทรกขึ้น

“พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าโยชิวาระเป็นสถานที่แบบใด?”

โคมาโนะกับสึซึส่ายหน้าเพื่อสื่อว่าไม่รู้

“น่าสงสารจริง ถูกขายโดยไม่รู้อะไรเลยรึนี่”

ชิเงโยชิขมวดคิ้วสงสารเด็กสาวทั้งสองคน

สึเกะสะผู้ประสงค์ร้ายเริ่มเล่าอย่างรู้ดี

“ถ้าไปที่นั่นแล้วจะทำท่าตกใจไม่ได้ ข้าเลยจะบอกให้ฟัง สถานที่ที่เรียกว่าโยชิวาระน่ะมันเป็นสถานที่ที่เลวร้าย ว่ากันว่ามันคือโลกแห่งความทุกข์ทนหรือนรก เป็นเมืองสี่เหลี่ยมที่ยาวสองโจ และกว้างสามโจ ล้อมรอบด้วยกำแพงสีดำมีหอกไม้ไผ่ติดเอาไว้ ด้านนอกเป็นคลองกว้างห้ามะ [3] ถึงจะเรียกว่าคลอง แต่มันก็เป็นคูน้ำเหม็นๆ มีชื่อเรียกกันว่าคูโอฮางุโระ ถึงจะหนีก็หนีไม่ได้ ประตูทางเข้ามีประตูใหญ่อยู่ทางเดียว อีกฝั่งหนึ่งมีประตูที่ติดสะพานชักด้วย แต่นั่นเป็นประตูหลังที่เอาไว้ขนศพพวกผู้หญิง ศพที่ถูกขนออกไปจะถูกเอาไปวางไว้ในวัดชื่อวัดโจกันจิ แน่นอนว่าไม่ได้รับการฌาปนกิจเป็นจริงเป็นจังหรอก ผู้หญิงน่ะ ถ้าก้าวเข้าไปในโยชิวาระแล้วก้าวหนึ่ง จะไม่สามารถออกมาแบบมีชีวิต ต้องรับแขกไปจนกว่าจะตาย การรับแขกเป็นอย่างไร พวกเจ้าอาจจะยังไม่รู้”

“แล้วก็นะ...” ชิเงโยชิพูดเสริมขึ้น “ถึงจะเจ็บป่วยแต่ก็จะไม่ได้รับการตรวจรักษาจากหมอ จะถูกปล่อยไว้ในห้องที่เรียกว่าห้องตะเกียง ไม่ให้กินข้าวปลาจนผอมแห้งเหลือแต่กระดูกแล้วก็ตายไป”

“ผู้หญิงที่พยายามหนีออกมาก็มี แต่อย่างไรก็จะถูกจับได้ โดนจับแล้วพาตัวกลับไปรับโทษหนัก รู้สึกว่าจะมีผู้หญิงที่ตายระหว่างถูกลงโทษด้วยนะ”

ประตูบานเลื่อนเปิดออกอย่างรุนแรง อิซาจิในชุดยูกาตะก้าวเข้ามา

“พวกเจ้า มาเป่าหูเรื่องไร้สาระอันใดกัน”

ชิเงโยชิกับสึเกะสะตกใจจนสะดุ้งตัวโยน

“อย่ามาขู่กันสิ ไข่ข้าจุกขึ้นมาถึงคอหอยเลยนะ”

อิซาจินั่งลงตรงหน้าคนทั้งสองอย่างรุนแรงแล้วเค้นคำถาม “พวกเจ้ารู้จักโยชิวาระที่ไหนกัน เคยไปโยชิวาระอย่างนั้นรึ?”

“ยังไม่เคย ข้ามิใช่คนที่จะไปเที่ยวเล่นในสถานที่เช่นนั้นได้”

ทั้งสองคนส่ายหน้า

“พวกคนที่ไม่เคยไป จะมาหลอกอะไรเหมือนเคยเห็นด้วยตาตัวเองได้”

ชิเงโยชิถามกลับเหมือนกับฉุนขาด

“แล้วอะไรเล่า? เจ้าจะบอกว่าโยชิวาระเป็นแดนสุขาวดีหรือสวนสวรรค์อย่างนั้นรึ?”

สึเกะสะถามต่อ “เด็กพวกนี้จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขที่นั่นรึ?”

“ข้าเองก็บอกไม่ได้...”

ท้ายประโยคของอิซาจินั้นแผ่วเบาลง

“เป็นอย่างไรเล่า ตอบอะไรไม่ได้เลยมิใช่หรือ จะไปถามใครเขาก็ว่าโยชิวาระเป็นนรกทั้งนั้น เป็นข่าวลือชั้นเยี่ยม เจ้ามันเป็นปีศาจที่พาเด็กพวกนี้ไปลงนรก”

ทั้งสองคนพูดจาต่างๆ นานา

“เด็กพวกนี้มีชีวิตรอดในที่ที่เคยอยู่มาไม่ได้หรอก ถึงได้ต้องไปรับจ้างที่โยชิวาระ อย่างน้อยๆ ถ้าไปที่นั่นก็ยังรอดชีวิต ได้รับสัญญาว่าจะมีข้าววันละสองมื้อและเสื้อผ้ากับที่อยู่อาศัย”

“รับจ้างมันก็แค่ข้ออ้างบังหน้า รับแขกไปเท่าไรก็ไม่ได้เงินกลับมาหรอก ยิ่งรับแขกมากเท่าไรเงินกู้ก็ยิ่งเพิ่ม ไม่ใช่ว่าต้องรับแขกไปแบกเงินกู้ไปจนตายดอกรึ? หรือไม่ก็เป็นโรคคาสะ [4] ตายไป ตายแล้วก็ถูกห่อด้วยเสื่อไม้ไผ่ทิ้งเอาไว้ในวัดไม่ใช่รึ?”

“พอได้แล้ว จากนี้เด็กพวกนี้ต้องไปที่นั่นนะ แค่นี้ก็กังวลพอแล้ว เลิกเป่าหูเสียทีจะได้ไหม ไม่ใช่เรื่องที่ผู้ใหญ่ดีๆ จะทำเลย ทำให้เด็กกลัวมันสนุกมากนักรึ”

อาจเพราะถูกท่าทีโกรธขึ้งของอิซาจิกดดัน หรือไม่ก็ละอายคำพูดและการกระทำของตน ชายสองคนนั้นจึงถอยห่างจากอิซาจิราวกับหมดความสนใจ และหายตัวไปหลังฉากกั้นห้อง

......................................

[1] โอบิ หมายถึงผ้าคาดเอว

[2] ชื่อทางพุทธ ในสมัยโบราณ ชาวญี่ปุ่นจะนิยมตั้งชื่อทางพุทธให้ผู้ตาย เพื่อให้วิญญาณไปสู่สุขคติตามหลักพุทธศาสนา

[3] มะ คือหน่วยวัดระยะในสมัยโบราณของญี่ปุ่น โดย 1 มะ มีระยะประมาณ 1.81 เมตร

[4] โรคคาสะ หมายถึงโรคซิฟิลิส

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้นำมาจากแหล่งอื่นและได้รับการอนุญาตจากเจ้าของแล้ว

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา