สลักใจจอมทัพ
เขียนโดย Xiaobei
วันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2562 เวลา 19.52 น.
แก้ไขเมื่อ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2562 11.50 น. โดย เจ้าของนิยาย
9) บทที่ 2-5
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเสวี่ยหรั่นถือสมุดบัญชีและผ้าออกจากร้านขายผ้าที่ร่วมกิจการกับตระกูลตัน ตั้งแต่ที่แขนบาดเจ็บก็ผ่านมาหลายวันแล้ว อุตส่าห์ได้ออกจากบ้านมาตากแดดสูดอากาศข้างนอกบ้าง เหงื่อตรงหน้าผากที่ไม่สามารถเช็ดได้หยดลงที่ตาทำเอานางกะพริบตาด้วยความแสบ ตอนนี้ถึงแม้แขนของนางจะยังไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เหมือนเมื่อก่อน แต่ช่วงที่พักฟื้นเป่าฉือก็แทบจะไม่ให้นางทำงานอะไรเลย ยึดเอางานทั้งหมดมาทำคนเดียว เพราะแบบนี้อาการบาดเจ็บของนางถึงไม่ได้หนักไปมากกว่านี้ ทว่าก็ทำเอาเป่าฉือเหนื่อยจนแทบทนไม่ไหว
นึกย้อนขึ้นมาอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในวันนั้นยังทำให้นางหวาดกลัวไม่หาย ตั้งแต่วันที่ได้รับบาดเจ็บแล้วตื่นขึ้นมาในห้อง นอกจากแขนที่ถูกพันไว้เรียบร้อยแล้ว ยังมีกระดาษที่เขียนวิธีการดูแลกับสูตรยาที่ต้องใช้ แม้นางจะไม่รู้เรื่องราวหลังจากที่หมดสติไปแต่ก็ยังคงรู้สึกขอบคุณคุณชายที่ยื่นมือเข้าช่วยในวันนั้น ถึงแม้ว่าวิธีที่ทำให้นางหมดสติโดยไม่ได้บอกกล่าวจะน่าตกใจก็ตาม
แต่ที่ทำให้นางติดใจที่สุดคือ...
คนที่ส่งนางกลับมาถึงบ้านคนนั้นตกลงเป็นใคร นางจำได้ลางๆ ว่าเขามีใบหน้าที่เย็นชา ทั้งยังจับมืออีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว แต่พอตื่นขึ้นมานึกอย่างไรก็นึกใบหน้านั้นไม่ออก
ความกลัดกลุ้มที่คิดไม่ออกพัวพันอยู่ภายในใจทำให้รู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลยขณะที่ค่อยๆ เดินไปข้างหน้าเตรียมจะเลี้ยวเข้าไปในซอย ก็เหลือบไปเห็นและหรี่ตามองดูอย่างละเอียด
ว่าแล้วเป็นเขาจริงๆ !
นางไม่คิดอะไรมาก เดินไปใต้ต้นไม้ที่เขาอยู่ ย่อตัวลงด้วยความเคยชินแล้วมองตาเขา “ทำไมเจ้าถึงอยู่ที่นี่?” ภายใต้น้ำเสียงดีใจ เขายังจ้องมองนางโดยที่ไม่พูดอะไร
“หลายวันไม่เจอ ยังนึกอยู่เลยว่าจะได้ออกมาเจอเจ้าอีกเมื่อไหร่” นางที่ไม่เจอเขาหลายวันพอเจอกันอีกครั้งความดีใจนั้นไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูด “คนอย่างเจ้านี่มันช่างดื้อด้านเสียจริงก็เหมือนกับของที่เป็นของเจ้า เจ้าถึงจะหยิบ ส่วนของที่ไม่ใช่เป็นของเจ้าไม่ว่าอย่างไรก็ไม่หยิบไม่แย่ง” พูดอย่างน้ำไหลไฟดับก็ไม่เห็นเขาจะมีปฏิกิริยาใดๆ ราวกับว่าการพูดเสียประโยคหนึ่งจะคร่าชีวิตเขาได้เสียอย่างนั้น
“ที่จริงแบบนี้ก็ดี เจ้าไม่พูดอะไรข้าก็ไม่ต้องเสียแรงอ่านปากเจ้าว่าพูดอะไร เจ้าไม่สนใจข้า ข้าก็สามารถพูดได้โดยที่ไม่ต้องเกรงใจ”
เซ่าเหยียนมองรอยยิ้มมุมปากจางๆ นั่น แววตามีความอ่อนโยนแล่นผ่าน แน่นอนว่าพอสายตากวาดผ่านสมุดบัญชีในมือของนางกลับเคร่งเครียดจริงจังขึ้นมา
เสวี่ยหรั่นเห็นแววตาเขาจู่ๆ ก็เปลี่ยนไป ก็ตกใจขึ้นมา ไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไรผิดไปทำไมถึงได้ทำให้เขาโกรธขนาดนี้ถึงกับใช้สายตาแบบนั้นมองนาง
เป็นนางที่พูดอวดเก่งมากเกินไปจนทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองมีความรู้น้อยนิดงั้นหรือ? เช่นนั้น นางจึงอดไม่ได้ที่จะหลบสายตา ไม่กล้าสบตาเขา “ขอ ขอโทษ หากว่าเจ้ารู้สึกว่าข้ามักจะมาหาเรื่องเจ้า ข้าไม่ได้จงใจทำให้เจ้าหงุดหงิด เพียงแต่ข้ารู้สึกว่าอยู่กับเจ้าแล้วสบายใจ แม้แต่ข้าเองก็ยังรู้สึกเหลือเชื่อ” นางพูดไม่หยุดเพื่อกลบเกลื่อนความกระวนกระวายภายในใจ
“ก็ไม่น่าเชื่อจริงๆ นั่นแหละ”
รู้สึกได้ว่าข้างกายมีบางสิ่งกำลังเข้ามาใกล้ นางจึงหันศีรษะไปตามสัญชาตญาณ ที่อยู่ตรงหน้าเป็นใบหน้าคนคนหนึ่ง ห่างจากตัวเองไม่ถึงสามนิ้ว แทบจะรู้สึกได้ถึงลมหายใจของเขาบนหน้าตัวเอง ทำเอานางตกใจจนนั่งจุมปุกบนพื้น
“เจ้านั่นเอง!” นางพูดขึ้นด้วยความตกใจ
“มือยังเจ็บอยู่หรือไม่?” โม่ฉิงหลิงเอามือเท้าคางแล้วถามขึ้น
คำพูดนี้ทำให้นางรีบตั้งสติกลับมา แล้วอ้าปากขอบคุณอย่างรวดเร็ว “ขอบคุณคุณชายที่ช่วยในวันนั้น ขอบคุณเจ้าจริงๆ ที่วันนั้นพาข้าไปที่โรงหมอ” นางวางผ้าไว้ข้างๆ แล้วถลกแขนเสื้อให้เขามองแขนที่พันผ้าสีขาวเอาไว้ “ข้าดูแลแผลตามที่เขียนไว้บนกระดาษ หลายวันมานี้ไม่ค่อยเจ็บแล้ว แต่ยังเคลื่อนไหวมากไม่ได้”
“ด้านนอกไม่มีอาการบวมถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี ทายาสมุนไพรอีกไม่กี่วันอย่าเคลื่อนไหวมากก็จะหายดี”
อ่านความหมายของเขาออกกลับทำให้นางถามขึ้นด้วยความตกใจ “คุณชายเป็นหมอหรือ?”
“ดูแล้วไม่เหมือน แต่ข้าก็เป็นหมอจริงๆ ข้าน้อยโม่ฉิงหลิง”
“ที่แท้ท่านหมอโม่ก็มีโรงหมอเป็นของตัวเอง”
โม่ฉิงหลิงได้ยินก็หัวเราะอย่างเขินอาย “ข้าไม่ได้เปิดโรงหมอ ข้ามาจากเมืองอื่น เป็นเพราะมีนิสัยพกยาติดตัวอยู่บ้างจึงพาเจ้ากลับไปรักษาที่บ้าน”
“หืม?” นางทำตาโตด้วยความประหลาดใจ
“แต่ข้าไม่ได้ทำอะไรมิดีมิร้ายกับเจ้านะ ที่บ้านข้ายังมีคนอื่นอยู่ด้วย” เขารีบแก้ตัวกลัวว่านางจะเข้าใจตัวเองผิด
“ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น เพียงแค่กลัวว่าจะสร้างความเดือดร้อนให้กับคุณชาย วิชาหมอของท่านเก่งมาก หมอที่ข้าไปซื้อยาก็ตรวจดูบาดแผลของข้า บอกว่าจัดการได้ดีและเหมาะสม ทายาไม่กี่วันก็ไม่ค่อยเจ็บและทำงานง่ายๆ ได้” แต่ว่าเพราะเป่าฉือยังคงไม่วางใจ ดังนั้นช่วงนั้นเป่าฉือจึงมักแย่งงานของนางไปทำเสมอ
“ขอแค่ไม่ใช่แผลฉีกขาดขนาดใหญ่ข้าก็พอจะรับมือไหว” โม่ฉิงหลิงพูดอย่างถ่อมตัว สายตาก็เหลือบมองหุ่นไม้ที่ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ นั่น
องค์ชายเจิ้นนี้ไม่ได้กลับไปที่บ้านของเขาตั้งแต่เมื่อคืน ตอนแรกคิดว่าอย่าได้เจอกันก็ดีแล้ว นึกไม่ถึงว่าเขาเล่นทายนิ้วมือนับเลข[1]กับตาเฒ่านั้นแล้วดันแพ้ต้องออกมาซื้อสุรา สังเกตเห็นแม่นางเสวี่ยหรั่นอยู่ที่นี่ยังคิดว่าตัวเองตาลาย พอเดินเข้ามาใกล้ๆ ก็สังเกตเห็นเขาอีก
“แม่นางรู้จัก...คุณชายท่านนี้หรือ?”
คุณชาย? นางแอบหัวเราะในใจขึ้นมา
“เจ้าเรียกเขาเช่นนี้ช่างประหลาดเสียจริง” นางปิดหน้าหัวเราะ
“ข้าก็รู้สึกเช่นนั้น” เขาพยักหน้าเห็นด้วย
“ความจริงแล้วข้าก็ไม่รู้จะถือว่ารู้จักหรือไม่ น่าจะเป็นข้าที่ยุ่งกับเขามั้ง”
“ยุ่ง?” เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย คนผู้นี้ยุ่งด้วยยาก น่าจะบอกว่าอย่าเข้าไปยุ่งเด็ดขาดถึงจะถูก ดูเหมือนว่าวิชาดูหมอของตาเฒ่าโม่นี่จะถดถอยเสียแล้ว ไม่ใช่องค์ชายเจิ้นไปเจอนางแต่เป็นนางที่มาอยู่ต่อหน้าองค์ชายเจิ้นเสียเอง
ไม่ได้สังเกตสีหน้าที่แปลกไปของเขา นางพยักหน้าแล้วพูดขึ้นว่า “ตอนแรกได้เจอเขาโดยบังเอิญไม่กี่ครั้งที่ตลาด เดิมทีคิดจะเอาหมั่นโถวในตะกร้าให้เขากินแต่เขากลับไม่เอา ข้ายังคว้ามือเขายัดใส่ให้ แต่สุดท้ายเขาก็โยนทิ้ง”
“ใบหน้าของเขาเหมือนจะพูดกับข้าอยู่ตลอดว่าอย่าเข้าใกล้เขา ทำเหมือนว่าเขาไม่มีตัวตนอยู่จะดีใจมากอย่างนั้น เจ้าไม่รู้สึกว่าเขาพิเศษมากหรือ?” นางพูดพลางหัวเราะ
โม่ฉิงหลิงฟังไปก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร เขาพิเศษหรือ? ก็พิเศษจริงๆ นั่นแหละ
“เจ้าชอบคุยกับเขา?” เขาถามลองเชิง ถ้าหากช่วยได้ก็ช่วยนางเสียหน่อยเถอะ ถึงแม้ว่าเขาจะบอกว่าเป็นไปตามชะตาลิขิต แต่ก็อย่าให้ชะตากำหนดมากเกินไปจะดีกว่า
เสวี่ยหรั่นครุ่นคิดเล็กน้อย “แม้ว่าเขาจะไม่สนใจข้า แต่ก็รู้สึกได้ว่าเขาก็ยังฟังข้าพูดอยู่ ที่จริงข้าก็ไม่ได้น่ารำคาญนัก”
โม่ฉิงหลิงแทบจะจะทำหน้าบิดเบี้ยว ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าความตื่นเต้นของนางมาจากไหน แต่พูดไปก็แปลก นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นมีคนเข้าใกล้องค์ชายเจิ้นขนาดนี้แต่กลับไม่มีเรื่องนองเลือดอะไรเกิดขึ้น เพราะอย่างไรจากคนที่เขารู้จักจนถึงผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาอย่างน้อยต้องอยู่ห่างจากเขาสามก้าวถึงห้าก้าว ถ้าเลยจากนั้นก็รอให้แขนขาดขาขาดหัวขาดได้เลย ทำเอาเขาและผู้เฒ่าโม่ต่างรู้ดีอยู่ห่างจากเขาสามก้าว มิเช่นนั้นเกรงว่าตัวเองจะแขนขาขาดโดยไม่รู้ตัว
ไม่ใช่แค่นั้น แถมยังอาสาอุ้มนางที่บาดเจ็บกลับไปที่บ้าน ความจริงจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่อยากเชื่อนัก
“ต่อให้เขาเป็นใบ้ เจ้าก็ไม่สนใจหรือ?” เพราะอย่างไรเสียท่านผู้นี้ระดับที่ไม่ยอมพูดนี้ก็ไม่ต่างจากคนใบ้น้ก ดังนั้นจะบอกว่าเขาเป็นใบ้จริงๆ ก็ไม่มีใครค้าน
เสวี่นหรั่นมองดวงตาสีดำขลับขององค์ชายแล้วพูดพลางใช้ความคิดว่า “ทำไมจะต้องสนใจ ไม่มีใครที่สมบูรณ์แบบทั้งนั้น” พูดจบ ดวงตาเข้มนั้นก็มองตรงมาที่นาง
เห็นเขาพลันมองมาที่ตัวเองกลับไม่ใช่ความเย็นชาแบบเมื่อครู่ แต่เป็นความอ่อนโยนอย่างหนึ่ง การเปลี่ยนแปลงนี้ทำนางตกใจจนต้องรีบลุกขึ้นยืน กลัวว่านางที่หน้าแดงขึ้นมาทันใดจะถูกโม่ฉิงหลิงสังเกตเห็น “ที่บ้านยังมีเรื่องที่ต้องไปทำ ข้าไปก่อนล่ะ” นางกอดผ้าขึ้นอย่างร้อนรนแล้วเดินจากไป
“หืม?” เห็นนางบอกไปก็ไป ทำเอาเขารู้สึกประหลาดใจ จึงรีบหันไปมององค์ชาย “องค์ชายเจิ้น ดูเหมือนว่าแม่นางคนนี้จะชอบเจ้าเสียแล้วล่ะ ”
เซ่าเหยียนไม่ได้สนใจคำเหน็บแนมของเขา สายตามองร่างที่จากไปของนาง นัยน์ตากลับมีเพียงอารมณ์ที่ซับซ้อน เพราะสิ่งที่เขาตัดสินใจจะต้องทำให้สถานการณ์ในตอนนี้ไม่สงบเป็นแน่
--------------------------------------------------------------------
[1] 猜拳 ไชฉวนหรือ เกมทายนิ้วนับเลข โดยผู้เล่นจะต้องกำหมัดแล้วปล่อยหมัด ชูนิ้วมือเป็นสัญลักษณ์แทนตัวเลข ใครทายถูกก็ชนะ ส่วนผู้แพ้ต้องถูกปรับให้ดื่มสุรา แต่ถ้าเสมอกันก็เริ่มเล่นกันใหม่ เป็นการละเล่นในวงสุราที่ชาวบ้านชอบกัน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้นำมาจากแหล่งอื่นและได้รับการอนุญาตจากเจ้าของแล้ว
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ