สลักใจจอมทัพ
เขียนโดย Xiaobei
วันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2562 เวลา 19.52 น.
แก้ไขเมื่อ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2562 11.50 น. โดย เจ้าของนิยาย
23) บทที่ 6-1
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความพระจันทร์เสี้ยวยามค่ำคืนซ่อนเร้นภายใต้เมฆหนาที่เคลื่อนผ่าน แสงจันทร์ที่เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างสะท้อนศพที่เกลื่อนพื้น คนที่ยืนอยู่ท่ามกลางซากศพเกลื่อนกลาดยิ่งมีความน่ากลัวเย็นชา ทำให้ไม่กล้ามองชายที่มีความสุขท่ามกลางทะเลเลือดแห่งนี้
เซ่าเหยียนแม้จะดูแล้วอ่อนแรง แต่พอตวัดกระบี่บาง แม้แต่กระบี่เลื่องชื่อก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน กระบี่คมกริบเต็มไปด้วยคราบเลือดปกปิดสีเดิมของมันแทบทั้งหมด เขาสะบัดเล็กน้อยคราบเลือดที่อยู่บนกระบี่บางก็หายไป
เขาฉีกยิ้มเย็นชามองศพที่อยู่เกลื่อนพื้นอย่างภูมิใจ ช่างมีความสุขเสียเหลือเกิน ทำเอาตันฮั่นที่เห็นทุกอย่างตกใจกลัว ปิดปากปิดจมูกไม่สูดดมกลิ่นคาวเลือกที่คละคลุ้งเต็มอากาศ เขาอาเจียนหลายครั้งต่อเนื่องจนไม่มีอะไรจะให้ออกมาแล้ว โชคยังดีที่โหรวอีตกใจจนหมดสติ ตอนถูกนำตัวมาจึงไม่ต้องเห็นภาพเช่นนี้
“องค์ชายเจิ้น” อั่นเซียวคนหนึ่งเดินขึ้นมา สองมือทำความเคารพ “องค์ชายสิบสองนำคนมาแล้ว” เห็นเซ่าชิงสวมชุดผู้หญิงไม่ค่อยเรียบร้อยเดินมาหาเขา ตามมาด้วยตันกุ้ยที่มีเลือดกลบเต็มศีรษะถูกลากตัวมา
เซ่าชิงเหงื่อออกท่วมตัวลากตันกุ้ยที่หนักกว่าเขาเป็นเท่าตัว อีกมือหนึ่งยังถือเชิงเทียน บนนั้นมีคราบเลือดติดอยู่คิดว่าคงจะเป็นอาวุธที่ใช้ทุบตันกุ้ยสลบ
เขาที่เหนื่อยล้าลากตันกุ้ยไว้ตรงหน้าศพศพหนึ่งแล้วนั่งหอบหายใจบนพื้น เขาไม่สนรอยจูบบนร่างตัวเองและแขนที่ถูกข่วนเจ็บ หอบหายใจจ้องตันกุ้ยที่กองอยู่บนพื้น นึกไม่ถึงว่านอกจากจะเป็นคนหื่มกามแล้วยังมีความชอบที่พิสดารอีก ไม่รู้จะเอาตัวรอดอย่างไรจึงได้แต่คว้าเชิงเทียนทุบไปที่หัวของเขาอย่างแรง มิเช่นนั้นขืนถ่วงเวลาต่อไปจนถึงเวลาที่พี่หกบอกคงจะหนีไม่พ้น
เขามองเซ่าเหยียนอย่างหมดอารมณ์ คนตายเต็มพื้นไม่มีผู้ใดที่มีศพครบส่วน เขาอดไม่ได้อ้วกแห้งๆ ออกมาแล้วเบนสายตาออก เชอะ พี่หกก็เป็นคนที่มีความชอบพิสดารเช่นกัน “พี่หก ในเมื่อตอนนี้ไม่มีเรื่องอะไรแล้วข้าไปได้หรือยัง”
เซ่าเหยียนไม่ตอบ เพียงแค่ให้คนลากตันกุ้ยมาตรงหน้าตันฮั่น แล้ววางกระบี่ไว้บนคอของเขา
ตันฮั่นเห็นเข้าจึงรีบร้องขึ้นด้วยความตกใจ “หยุดเดี๋ยวนี้!”
เซ่าชิงเห็นตันฮั่นทำหน้าตึงเครียด แล้วก็เห็นตันโหรวอีที่สลบอยู่ข้างๆ เดาไม่ยากว่าพี่หกมุ่งเป้าไปที่ใคร งั้นคนที่เหลือก็คงถูกใช้ข่มขู่เท่านั้น
“สมุดบัญชีเก็บกลับมากว่าครึ่ง เจ้าและฮวงเซ่าเหรินลับลอกนำอาวุธแคว้นเหลียวหยางผ่านชายแดน ฮวงลู่ชิง ตันเป่าฉายล้วนถูกจับไปสอบสวนในเมืองหลวง ส่วนเจ้า? อยากจะถูกจัดการอย่างไร?”
ตันฮั่นสีหน้าซีดขาว เขารู้ตัวดีว่าตอนนี้แก้ไขอะไรไม่ได้แล้วแต่เขาก็ยังคิดจะขัดขืนเป็นครั้งสุดท้าย “ถ้าข้าเล่าเรื่องทั้งหมด เจ้ารับประกันความปลอดภัยของพี่น้องข้าได้หรือไม่?”
เซ่าเหยียนขมวดคิ้ว เซ่าชิงที่อยู่ข้างหลังกลับถอนหายใจ ช่างโง่เสียเหลือเกิน ตั้งเงื่อนไขกับพี่หกมีแต่จะตายเร็วขึ้นเท่านั้น
เซ่าเหยียนหันไปมองรอบๆ “ตอนนี้ตระกูลตันทั้งหมดล้วนตายหมดไม่มีใครเหลือรอด เหลือแค่เจ้ากับสองคนนี้ที่สลบอยู่ ให้พวกเจ้ามีชีวิตรอดเช่นนี้จะยุติธรรมหรือ? พวกเขาล้วนตายเพื่อเจ้า”
ได้ยินเช่นนี้ ตันฮั่นรู้สึกหวาดกลัวจากใจไม่กล้าสบตาเขา แต่เขาต้องตกลงกับเขาให้ได้ เขาไม่ได้กลัวเสียโอกาสแต่กลัวว่าจะไม่มีโอกาสกล่อมเขา
“ข้ารู้ ข้ารู้ว่าข้าทำเรื่องที่ไม่สมควรให้อภัยลงไป แต่ข้าชดเชยได้ ขอแค่เจ้ารับ...หยุดเดี๋ยวนี้!” ยังพูดไม่ทันจบ เขาก็อ้าปากค้างส่งเสียงอะไรไม่ออก
ลำแสงตรงหน้าเคลื่อนผ่าน เลือดสาดเข้ามาที่หน้าของตัวเองทันที เลือดข้นหนืดไหลทะลักออกจากลำคอของตันกุ้ยไม่หยุด “หยุดเดี๋ยวนี้!” แต่กระบี่ไม่ได้หยุดลงแค่นั้น จนตัดกระดูกที่เชื่อมอยู่กับลำตัวถึงได้หยุดลง
การกระทำที่เกิดขึ้นกะทันหัน แม้แต่เซ่าชิงก็ตกใจนิ่งอยู่กับที่ กระบี่บางในมือพี่หกเหมือนดั่งมีชีวิต ลำแสงที่หลังจากสะบัดเลือดออกจากตัวกระบี่ยิ่งเปล่งประกายมากขึ้น สะท้อนกับใบหน้าที่หวาดกลัวสุดขีดนั้น
น่ากลัวจริงๆ ! เขาอยากกลับบ้าน เซ่าชิงทำหน้าคลื่นไส้ แต่เขายังไม่ทันร้องตะโกนออกมา ข้างหูก็มีเสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นก่อนแล้ว พอตั้งสติกลับมาได้ก็เห็นตันโหรวอีที่ตอนแรกสลบอยู่ตื่นขึ้นมา แน่นอนว่าที่เห็นเป็นภาพแรกก็คือหัวของน้องชายตัวเองร่วงลงพื้น
“ทำไม! ทำไมเจ้าถึงต้องฆ่าเขา ทำไมต้องฆ่าน้องชายของข้า...” ตันโหรวอีร้องไห้อย่างเสียสติ เมื่อต้องเจอกับน้องชายตัวเองที่ถูกคนอื่นฆ่านางย่อมยอมรับไม่ได้เลย “พวกเราทำผิดอะไร? ทำไมต้องทำกับพวกเราเช่นนี้? ทำไม ทำไม!”
ตันฮั่นเบนสายตาออกไม่อยากจะมอง กอดโหรวอีที่ร้องไห้อย่างเสียสติ ความเจ็บปวดในใจไม่สามารถย้อนแก้ไขได้ ตอนแรกเขาก็แค่เชื่อคำพูดของฮวงเซ่าเหรินคิดว่ามีเรื่องดีๆ ได้ทำ และขอแค่ส่งของผ่านชายแดนเท่านั้น แต่คิดไม่ถึงว่าของที่จะให้พวกเขาส่งผ่านชายแดนกลับเป็นอาวุธ ต่อให้รู้ตัวแต่จะถอนตัวก็ใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆ เช่นนั้น
ตอนหลังที่ฮวงเซ่าเหรินตาย เขาก็เข้าใจนี่ไม่ได้แสดงว่าเขาจะไม่เกิดเรื่อง และหลังจากที่เห็นชายหลังม่านลูกปัดตรงหอหมั่นเว่ยก็เข้าใจทันที ตั้งแต่ต้นจนจบเขาและฮวงเซ่าเหรินก็เป็นเพียงแพะรับบาปเท่านั้น
เสียงร้องที่โหยหวนเช่นนี้ เซ่าเหยียนมองเขาเหมือนไม่ได้ยินเสียงนั้น “เจ้าก็ทุบตีคนใช้เหล่านี้ง่ายๆ มิใช่หรือ แค่นี้จะเป็นไรไป?”
ได้ยินเช่นนี้ ตันฮั่นและนางก็ตกใจขึ้นพร้อมกัน ตันฮั่นมองเขา “เจ้ารู้ได้อย่างไร เจ้าเฝ้าดูพวกเรามานานแค่ไหนแล้ว?” และสายตาก็เหลือบมองเซ่าชิงที่สวมเสื้อผ้าไม่เรียบร้อย “เจ้านั่นเอง เจ้าจงใจเข้าใกล้ตันกุ้ยเพื่อรายงานเขา?”
จู่ๆ ก็ถูกกล่าวหาทำเอาเซ่าชิงรู้สึกไม่เป็นธรรม แต่จะแก้ตัวตอนนี้ก็เหมือนจะไม่มีความหมายอะไร เพียงแต่เขายังอยากจะสร้างความเข้าใจในเรื่องเพศที่แท้จริงของเขา “ที่จริงแล้วข้าเป็นผู้ชายไม่ใช่ผู้หญิง พวกเจ้าเข้าใจผิดแล้ว”
เซ่าเหยียนเหลือบมองเขาอย่างเย็นชา เซ่าชิงจึงหุบปากไม่พูดอะไรอีก
กระบี่ชี้ไปที่ตันโหรวอี ตันฮั่นรีบปกป้องนางไว้ในอ้อมกอดตัวเอง “อย่าบีบบังคับนาง คนที่ทำผิดคือข้า!”
“เจ้าทำผิด เพราะเจ้าคิดจะตกลงกับข้าดังนั้นตันกุ้ยถึงได้ตายตอนนี้ ข้าไม่ใช่เซ่าเจิน ถ้าเจ้ายังคิดจะตกลงกับข้าอีก คนต่อไปที่จะตายก็คือนาง” ดวงตาเรียวยาวของเขาที่เห็นอยู่ไม่ใช่คน แต่เป็นเพียงสัตว์ร้ายที่อาบไปด้วยเลือด “ตอบมา อาวุธที่ลักลอบเข้ามาส่งไปถึงมือใคร?”
คำพูดนี้ออกมา ตันฮั่นก็กอดตันโหรวอีไว้อย่างเอาเป็นเอาตาย การกระทำนี้ทำเอาเขารู้สึกหงุดหงิด เขาเลื่อนมือไปข้างหน้าแทงกระบี่ทะลุฝ่ามือของเขาตรงๆ เลือดไหลออกมาทันที
“อ๊ะ!” เขาเจ็บจนร้องคุกเข่าอยู่กับพื้น
ตันโหรวอีจับมือของตันฮั่นด้วยความหวาดกลัว “อย่าฆ่าพี่ใหญ่ ขอร้องปล่อยพวกข้าไปเถอะ เจ้าจะเอาอะไรข้าจะให้เจ้าทุกอย่าง ขอร้องปล่อยพวกเราไปเถอะ!”
เขามือถือกระบี่มองท้องฟ้ายามค่ำคืนอย่างสงบนิ่ง จากนั้นก็เอียงศีรษะมองนาง “คำขอร้องเช่นนี้ข้าฟังมาไม่ต่ำกว่าหมื่นครั้งแล้ว”
โหรวอีเห็นตัวเองในดวงตาที่นางสบตาอยู่ เขาเหมือนกับหมาป่าหิวโหยที่ลอบเข้าไปในคอกแกะเตรียมจะจับกินทั้งหมด หากเผลอเล็กน้อยก็จะถูกกัดตาย ตอนนี้นอกจากความหวาดกลัวแล้วนางไม่รู้สึกถึงอารมณ์อื่นใด ความหวาดกลัวที่มาก้นบึ้งของหัวใจทำเอานางตัวสั่นไม่หยุด
เขามองท่าทางหวาดกลัวของนาง ทันใดนั้นก็เกิดอารมณ์นึกสนุกขึ้นมา “อยากมีชีวิตรอด? ให้โอกาสเจ้าครั้งหนึ่งก็ไม่เป็นไร”
“หมายความว่าอย่างไร?” คำพูดที่โพล่งออกมาทำเอาตันฮั่นและนางต่างประหลาดใจไม่น้อย
“หากเจ้าวิ่งออกจากประตูนี้ได้ ข้าก็จะละเว้นชีวิตเจ้า” น้ำเสียงที่เย็นชาเหมือนดั่งฝนเข็มแข็งที่ทิ่มแทงผิวหนังค่อยๆ เปล่งออกมาทีละคำ
เซ่าชิงที่อยู่ข้างหลังเซ่าเหยียนเองก็รู้สึกประหลาดใจ แต่เขารู้ทันทีว่าทางรอดนี้เป็นไปไม่ได้ เพราะหากพี่หกได้เป็นเพชรฆาต คืนนี้จะไม่มีใครรอดอย่างแน่นอน
มันเป็นเรื่องที่ไม่ต้องสงสัยเลย!
นางมองไปที่ประตูอย่างสั่นเทา จะวิ่งออกไป แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรนัก แต่ก่อนอื่นคือนางต้องวิ่งออกไปให้ได้
“พี่ ใหญ่ข้าล่ะ?” นางกลืนน้ำลายแล้วถามอีก
“เจ้าออกไปได้ ข้าก็จะไว้ชีวิตเขา”
“เอาจริงงั้นหรือ?”
เขาเผยอปากหัวเราะเย็นชา “ไม่คืนคำ”
“ไม่ได้ เขากำลังโกหกเจ้า!” ตันฮั่นออกเสียงห้ามกลัวว่านางจะทิ้งชีวิตไปอย่างไร้เหตุผล
ตันโหรวอีมองไปที่เขา สีหน้าแม้จะซีดเผือกแต่กลับมีความมุ่งมั่นเพิ่มขึ้น “ข้ารู้ว่านี่อาจจะเป็นคำพูดหลอกลวง แต่ถ้าข้าออกไปได้จริงๆ ข้าและพี่ก็จะรอด”
“เป็นไปไม่ได้! รอบๆ มีคนมากมายขนาดนี้ ก่อนที่เจ้าจะออกไปได้ก็คงจะตายเสียก่อน!”
“ข้าจะไม่ให้พวกเขาลงมือ” เซ่าเหยียนอธิบายความกังวลของเขาอย่างเรียบเฉย
ได้ยินเขารับปากเช่นนี้ นางจับมือตันฮั่นแน่นพูดว่า “พี่ฟังสิ เขารับปากว่าจะไม่ให้พวกเขาลงมือ เช่นนี้โอกาสที่ข้าจะออกไปได้ก็ยิ่งมีมากขึ้น” ท่าทางที่ปกปิดความดีใจไม่อยู่พออยู่ในสายตาของตันฮั่นแล้วกลับยิ่งไม่สงบ
หรือว่านางยังไม่เข้าใจว่าศพที่ไม่ครบส่วนอยู่เกลื่อนพื้นนี้เป็นใครที่ทำ?
“โหรวอี...”
“พี่ใหญ่เชื่อข้าเถอะ ข้าออกไปได้ ข้ารู้ว่าคนผู้นั้นร้ายกาจมาก แต่เป้าหมายที่เคลื่อนที่อย่างไรเสียก็ต้องพลาดพลั้งกันบ้าง” นางเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นใจ เงยหน้ามองเซ่าเหยียน “ขอแค่ข้าออกไปได้ เจ้าก็จะปล่อยพวกข้าไปใช่ไหม”
ตอนแรกตันฮั่นยังคิดจะห้ามนางแต่กลับถูกอั่นเซียวที่อยู่ข้างหลังกดไว้กับพื้น
เขาเก็บมือแนบกระบี่ไว้ข้างหลัง ร่างที่ยืนนิ่งเหมือนดั่งต้นไม้งดงามที่ไม่ขยับเคลื่อนไหว
“คำไหนคำนั้น แต่ว่า...”
โหรวอีสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วยิ้มให้ตันฮั่นจากนั้นก็ก้าวขาวิ่งไปที่ประตู นางก้าวข้ามศพที่อยู่เกลื่อนพื้น สองตาจ้องมองประตูไม่วาง เหมือนดั่งประตูนั้นเป็นเขตแดนระหว่างความเป็นและความตาย นางกัดฟันไม่สนเท้าที่ตกใจจนอ่อนแรง และไม่กล้าหยุดฝีเท้าวิ่งมุ่งไปข้างหน้าอย่างเดียว แต่ทั้งๆ ที่ประตูใหญ่อยู่ใกล้แค่เอื้อม ทำไมวิ่งอย่างไรกลับวิ่งไม่ถึงประตู นางเหลือบมองคนชุดดำที่ไม่มีสีหน้าใดๆ นางสะบัดหัวไม่กล้ามองพวกเขากลัวว่ายิ่งมองใจยิ่งกระวนกระวาย ตอนนี้แค่วิ่งสุดแรงเกิดออกจากประตูนี้นางก็จะไม่ต้องตาย นางจะไม่ตายอย่างแน่นอน
ตันโหรวอีวิ่งหอบหายใจจนถึงหน้าประตู ขอแค่ก้าวข้ามบันไดหนึ่งขั้นก็จะผลักประตูออกไปได้ พอนึกว่าตัวเองจะรอดจากความตายนี้ได้นางก็ดีใจจนสั่นไปทั่วทั้งร่าง
แต่ขณะที่สองมือที่สั่นเทาไม่หยุดกำลังจะแตะประตูนั้น ลำแสงที่คมกริบก็เปล่งประกายเหมือนดั่งฝนดาวตก ทันใดนั้นนางก็ชะงักฝีเท้า มองระยะทางอีกเพียงก้าวเดียวอย่างเหลือเชื่อ
“โหรวอี!”
ข้างหูมีเสียงเรียกของตันฮั่นลอยมา นางขมวดคิ้วเต็มไปด้วยความไม่พอใจ ทั้งๆ ที่นางใกล้จะแตะถูกประตูนั้นแล้วแท้ๆ
“ทำ...ไม...” นางเปล่งเสียงร้องออกมา สองขาคุกเข่าลงพื้นขาดใจทันที
เซ่าเหยียนหรี่ตาลงรักษาท่าทางไม่เปลี่ยน แต่กระบี่ในมือกลับไม่อยู่ในมือเขาแต่อยู่บนร่างตันโหรงอี กระบี่ทะลุจากหลังของตันโหรวอีไปที่หน้าอก ไม่มีใครรู้สีหน้าของตันโหรงอีในตอนนี้ แต่เดาได้ว่าสีหน้าของนางต้องตกใจไม่น้อย
เซ่าชิงก้มหน้าถอนหายใจ ไม่อยากจะมองท่าทางเอน็จอนาถของตันโหรวอีที่ถูกพี่หกเล่นเหมือนของเล่น ตันโหรวอีไม่ได้ฟังคำพูดทั้งหมดของพี่หกให้จบก็เคลื่อนไหวเอง ช่างใจร้อนเสียเหลือเกิน
คำพูดของพี่หกในตอนนั้นคือ ‘แต่ว่าก่อนที่กระบี่นี้จะขยับเจ้ายังไม่ออกจากประตูไป เช่นชีวิตของเจ้า ข้าก็จะขอรับเอาไว้แล้วกัน’
-- อ่านต่อได้ที่ http://bit.ly/30jRX4x --
ติดตามโปรเจกต์เสี่ยวเปยและร่วมพูดคุยกับพวกเราได้ที่
https://www.facebook.com/xiaobei.fiction
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้นำมาจากแหล่งอื่นและได้รับการอนุญาตจากเจ้าของแล้ว
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ