I'm BOY : ผมนี่แหละ สตรีมีหาง [Yaoi]​

-

เขียนโดย นนิรา

วันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2562 เวลา 15.13 น.

  10 ตอน
  0 วิจารณ์
  9,848 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2562 15.14 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

9) บทที่ 9 : ประกวดแข่งขันดนตรี

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 9 : ประกวดแข่งขันดนตรี

 


วันนี้เป็นวันที่ผมตื่นเต้นมากที่สุดเพราะมันคือวันประกวด ผมนั่งสั่นขาอยู่หลังเวทีด้วยความกังวล ผมไม่รู้ว่าจะเล่นให้ดีเหมือนอย่างตอนซ้อมได้หรือเปล่า ก็ตอนซ้อมมีกันอยู่แค่ไม่กี่คน แต่วันนี้เมื่อผมออกไปยังหน้าเวทีคงมีผู้ชมหลายร้อยคนนั่งจ้องอย่างตั้งใจมายังบนเวทีแน่นอน

 

“ตื่นเต้นเหรอ มือเย็นเชียว” พี่เมฆที่ไม่รู้เดินมาจากไหนก็ยื่นมือเข้ามาจับมือผมอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ผมมองลงไปยังที่ถูกจับก่อนเงยหน้าขึ้นไปหา

 

“ครับ ผมตื่นเต้นมาก”

 

“อะนี่ ลูกอมหน่อยไหม?” พี่เมฆเอามือล้วงกระเป๋าเสื้อก่อนหยิบลูกอมที่แสนจะคุ้นตาขึ้นมา ลูกอมอาร์ทบีทรูปหัวใจนั่นเอง

 

“พี่พกลูกอมด้วยเหรอครับ?”

 

“เปล่า พี่ไปหยิบมาจากตรงนั้น” พี่เมฆชี้ไปยังโซนของว่างสำหรับผู้เข้าร่วมแข่งขันในงานวันนี้ ผมสะบัดความคิดในหัวออกทันที ลูกอมพร้อมโน้ตที่ผมได้ทุกวันมาจากบัดดี้ของผมต่างหาก ไม่ใช่อย่างที่ผมเผลอคิดไปเมื่อครู่ ผมว่าผมควรจะไปนั่งทำสมาธิก่อนขึ้นแข่งน่าจะดีกว่า ผมหลับตาลงช้า ๆ แล้วสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนปล่อยออก ผมทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนจิตใจเริ่มสงบ เริ่มไม่ตื่นเต้นกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นภายในไม่กี่นาทีข้างหน้า

 

“ทีมต่อไป ทีมเดอะบ็อกซ์มิวสิกแบนด์” สิ้นสุดเสียงประกาศของพิธีกร เหล่าผู้ชมก็ต่างพากันร้องเฮและปรบมือต้อนรับผู้ประกวด

 

ผมได้ยินชื่อทีมผมก็ไม่ได้สนใจอะไรจนพี่เมฆมาสะกิดเรียกผมว่าที่พิธีกรประกาศเมื่อครู่คือชื่อทีมของพวกเรา ผมที่กำลังนั่งอ่านโน้ตอยู่ก็ลุกขึ้นและเดินตามพี่เมฆออกไปยังหน้าเวที

 

นี่คือชื่อทีมของพวกผมเหรอ? ทำไมผมไม่รู้มาก่อนเลยล่ะ?

 

หลังจากที่ทุกคนอยู่ประจำที่และเตรียมอุปกรณ์ที่ตนต้องรับผิดชอบเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ส่งสัญญาณให้ทีมงานข้างเวที จากนั้นม่านกั้นสีแดงค่อย ๆ ถูกเปิดออกเผยให้เห็นคนจำนวนมาก มากกว่าที่ผมจินตนาการไว้ อาการตื่นเต้นของผมเริ่มกำเริบอีกแล้ว ผมกวาดตามองรอบ ๆ เพราะไม่รู้จะทำอย่างไรดี จนหันไปสบตากับพี่เมฆ พี่เมฆจึงชูสองนิ้วให้ผมพร้อมขยับปากว่า ‘สู้ ๆ’

 

เมื่อได้รับกำลังใจจากพี่เมฆผมก็หายตื่นเต้นเป็นปลิดทิ้ง ไม่รู้ทำไมมันหายไปง่ายดายขนาดนี้ในเมื่อครู่ผมตื่นเต้นมือสั่นแทบตาย

 

ไม่นานเสียงอินโทรเปิดตัวเพลงแรกก็ถูกบรรเลงขึ้น ทุกคนในทีมต่างเพ่งสมาธิไปยังเครื่องดนตรีที่ตนกำลังเล่นอยู่รวมทั้งผมด้วย ไม่นานพี่เมฆก็ร้องเพลงดินแดนแห่งความรักขึ้น

 

‘คงจะมีรักจริงรออยู่ ที่ดินแดนใดซักแห่ง

คงมีใครซักคนรออยู่ ตรงนั้น

คงมีความหมายใด ซ่อนอยู่ในการรอคอยที่แสนนาน

คงจะมีซักวันฉันคงได้เจอ’

 

เมื่อเสียงร้องถูกเปล่งออกมา ทำให้ผมรู้สึกเหมือนต้องมนต์สะกดผมจ้องพี่เมฆที่จู่ ๆ ก็เหมือนมีแสงออร่าพุ่งออกมาจากร่างกาย ณ นาทีนั้นดูเหมือนโลกหยุดหมุน หัวใจของผมเต้นรัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนเมื่อคนร้องหันมายิ้มให้ผมก่อนจะก้มมองคอร์ดกีตาร์ในมือพร้อมร้องไปด้วย ส่วนมือของผมก็ยังคงเคลื่อนไหวทำหน้าที่ของมันไปด้วยจนจบเพลงไทยในรอบช่วงเช้า

 

“เป็นไงบ้างวิน ประกวดครั้งแรก?”

 

“ก็ตื่นเต้นหน่อย ๆ ครับพี่หนึ่ง” ผมตอบออกไปแบบรักษาภาพลักษณ์นิดนึง ความจริงแล้วผมตื่นเต้นมาก กอไก่ล้านตัว

 

“กูว่าพวกเราไปหาอะไรกินกันก่อนแล้วมารวมตัวกันก่อนขึ้นร้องรอบสอง โอเค?”

 

“อืม ๆ แยกย้าย”

 

พวกผมประกวดกันในห้างสรรพสินค้าจึงมีร้านอาหารมากมายให้เลือกกันอย่างตามใจชอบโดยพี่เมฆตามมากับผมด้วย คือที่พี่เมฆตามมาคงเป็นเพราะผมเอ่ยปากชวนพี่เมฆเอง

 

“เราอยากกินอะไร?”

 

“ผมอยากกินฮะจิบัง” ตอนนี้ผมอยากกินหมี่เย็นจะแย่อยู่แล้ว แถมน้ำแข็งร้านนี้อร่อยมาก เคี้ยวกรุบ ๆ กันเลยทีเดียว ผมล่ะอยากจะยกเครื่องทำน้ำแข็งของที่นี่ไปไว้ที่บ้านให้รู้แล้วรู้รอด จะนั่งกินทั้งวันเลยเชียว

 

“มากี่ท่านคะ?”

 

“สองครับ” ผมชูสองนิ้วประกอบก่อนบอกพี่พนักงาน จากนั้นพี่พนักงานก็พาผมไปยังโต๊ะว่าง ซึ่งอยู่ติดกับกระจกใสของร้าน ผมไม่ค่อยชอบนั่งตรงนี้เลยแต่ก็ขอเปลี่ยนที่นั่งไม่ได้แล้วเพราะไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ไม่มีโต๊ะว่างเหลือให้เปลี่ยน

ที่ผมไม่ชอบนั่งติดกระจกก็เพราะว่าผมรู้สึกไม่ค่อยเป็นส่วนตัวเท่าไหร่ เพราะคนข้างนอกที่เดินเที่ยวห้างอยู่มักมองเข้ามาเป็นระยะ ที่ผมเคยเจอก็คือบางคนมองเข้ามาด้วยสายตาละห้อยกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็เพิ่งเดินออกมาจากร้านอาหารตรงข้ามแท้ ๆ

 

แล้วอีกครั้งหนึ่งที่ผมพอจำได้คือมีเด็กน่าจะสักประมาณไม่เกินแปดขวบหรอก วิ่งมาเกาะกระจก หน้ากับมือแนบกระจกจนแบนติดกับกระจกและจ้องตะเกียบที่กำลังคีบเส้นอยู่ ไม่ว่าผมจะขยับไปทางไหนน้องเขาก็จะมองตามมือผมเหมือนลูกแมวที่กำลังร้องขออาหาร ผมไม่รู้จะทำยังไงเลยเอาเมนูบังไว้ให้พ้นสายตา จากนั้นน้องเขาก็กรีดร้องลั่นเลย ผมอายมาก ไม่รู้ว่าจะถูกมองว่าแกล้งเด็กหรือเปล่า

 

หลังจากที่ผมและพี่เมฆเลือกรายการอาหารที่จะรับประทานได้แล้วก็ส่งสัญญาณ​เรียกพนักงานมารับออเดอร์

 

“เทริยากิ ชิกเก้น ราเมนครับ”

 

“ผมเอาซารุ ราเมนกับเอบิโรลครับ” ผมมาที่นี่ทีไรต้องสั่งเครื่องเคียงเป็นเจ้านี่ทุกทีเลย กุ้งข้างในมันหนุบหนับมาก

 

“เครื่องดื่มรับเป็นอะไรคะ?”

 

“น้ำเปล่าครับ น้ำแข็งสอง”

 

รอไม่นานอาหารที่สั่งก็เริ่มทยอยมาเสิร์ฟ เมื่อพี่เมฆเห็นบะหมี่เย็นของผมก็ถามขึ้นด้วยความสงสัยว่ามันกินอย่างไร เพราะซารุ ราเมนมีแต่บะหมี่ที่ไร้ความร้อนไร้ควันมากับถ้วยน้ำจิ้มทรงสูงและมีต้นหอมซอย หัวไชเท้าและวาซาบิประกอบเท่านั้น

 

“มันกินไงเนี่ยน้องวิน?” พี่เมฆหยิบซอสสีดำขึ้นมาดูก่อนจะวางลงอย่างงง ๆ ผมเลยจำเป็นต้องสาธิตให้ชมซะหน่อย

 

“มันทำแบบนี้นะครับ” ผมเทพวกหัวไช้เท้าและหอมลงไปยังซอสน้ำสีดำแต่ผมไม่เอาวาซาบิลงนะ ผมไม่ค่อยชอบ มันขึ้นจมูกน้ำหูน้ำตาไหลทุกที จากนั้นผมก็คน ๆ ให้มันเข้ากันก่อนคีบเส้นแล้วจุ่มลงไปจากนั้นก็จัดการซูดเส้นเข้าปากกินอย่างเอร็ดอร่อย

 

“กินงี้จริงดิ แล้วจุ่มลงไปหมดแบบนั้นไม่เค็มตายเหรอ” พี่เมฆก็ยังคงสังสัยในรสชาติของมันอยู่ดี

 

“ผมว่าพี่ลองเลยดีกว่าจะได้หายสงสัย” ว่าจบผมก็ยื่นตะเกียบไปให้คนตรงหน้า แต่พี่เมฆทำหน้าเหมือนกินเข้าไปแล้วคงเค็มเหมือนน้ำทะเล ผมจึงคีบเส้นจุ่มลงไปยังน้ำจิ้มดำและยื่นให้พี่เมฆเอง “ลองดูสิครับมันกินได้ กินได้จริง ๆ นะ” ผมพูดย้ำจนพี่เมฆลองกินบะหมี่เย็น

 

“เป็นไงบ้างครับ?”

 

“ก็พอได้” พี่เมฆบอกก่อนหยิบน้ำขึ้นมาดื่ม

 

“อันนี้ก็อร่อยนะครับ” ผมชี้ไปยังเจ้าเอบิโรลไส้กุ้ง

 

“อันนี้ของโปรดพี่เลย ไม่ต้องห่วงนะพี่แย่งกินแน่นอน”

 

“เอาสิพี่” น่าแปลที่ผมไม่ขัดเหมือนแต่ก่อน ผมกลับรู้สึกยินดีและอยากให้พี่เขากินโดยผมไม่หวงของกินเเลยสักนิด

 

“พี่เมฆครับชื่อทีมเราชื่อเดอะบ็อกซ์มิวสิกแบนด์เหรอครับ ทำไมผมไม่เห็นรู้มาก่อนเลย ตอนเขาประกาศผมเกือบไม่ลุกไปเตรียมตัวแล้วถ้าพี่ไม่เรียกผม”

 

“อ่อ คือว่าพวกเรายังไม่ได้ตั้งชื่อทีมใช่ปะ แต่ทางกรรมการเขาให้ระบุชื่อทีมด้วย พอดีข้างตัวพี่มีกล่องวางไว้อยู่ใบหนึ่งเลยเอามาตั้งเป็นชื่อน่ะ”

 

“เอาง่าย ๆ แบบนี้เลยเหรอครับ”

 

“ช่วยไม่ได้ก็คนมันคิดไม่ออก” พี่เมฆยักไหล่

 

ในขณะที่กินไปจนถึงครึ่งถ้วยแล้วผมก็เห็นพี่เมฆหันไปโบกไม้โบกมือกับใครก็ไม่รู้ที่อยู่ด้านนอกร้านผ่านกระจกใส

 

“เมฆมาทำอะไร?” หญิงสาวที่ดูแล้วน่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพี่เมฆก็เดินเข้ามาพร้อมทักทายพี่เมฆ ผมว่าน่าจะเป็นคนเมื่อกี้ที่พี่เมฆโบกมือผ่านกระจก

 

เธอถามพร้อมกับนั่งลงข้าง ๆ แถมยังเกาะแขนพี่เมฆซะแน่นเลย ผมนั่งมองเหตุการณ์อย่างสงสัยว่าเธอคนนี้เป็นใคร ไม่คิดจะแนะนำตัวกับผมหน่อยเหรอ?

 

หลังจากที่ผมไร้ตัวตนได้ไม่ถึงห้านาทีพี่เมฆก็เป็นฝ่ายเอ่ยแนะนำเพื่อนที่กำลังเกาะแข้งเกาะขาให้ผมรู้จัก

 

“วินนี่ นี่ฟ้าเพื่อนพี่เอง”

 

“หวัดดีวิน” พี่ฟ้าหันมาทักทายผมพอเป็นพิธีจากนั้นก็หันไปคุยกับพี่เมฆต่อทันที “เมฆยังไม่บอกเราเลยนะว่ามาทำอะไรที่นี่”

 

“เรามาแข่งดนตรี เนี่ยใกล้ถึงเวลานัดรอบบ่ายแล้ว” พี่เมฆบอกพี่ฟ้าก่อนยื่นบิลให้ผมไปจัดการจ่ายก่อนเพื่อไม่ให้เสียเวลา ดูที่แล้วกว่าพี่เมฆจะลุกออกจากโต๊ะได้คงใช้เวลาพอสมควร

 

“ฟ้าลุกหน่อย เราจะไปเตรียมตัวแล้ว”

 

“ทำไมรีบไล่ฟ้าจัง นาน ๆ ทีจะได้เจอกันทั้งทีขอกอดให้หายคิดถึงหน่อย” ว่าจบน้ำฟ้าก็กอดรัดเมฆา

 

“หายคิดถึงยัง?”

 

“หายแล้วนิดนึง แล้วนายจะแข่งตอนไหนเดี๋ยวเราไปเชียร์ด้วย”

 

“คงอีกไม่นานหรอก ใกล้ถึงเวลานัดกับพวกนั้นแล้ว ฟ้าตะโกนเชียร์ดัง ๆ นะจะได้มีกำลังใจ อีกอย่างพวกนั้นคงดีใจถ้าได้เจอฟ้าด้วย”

 

“เสร็จแล้วครับพี่เมฆ” ผมเดินมาบอกพี่เมฆที่กำลังคุยบางอย่างกับพี่ฟ้าอย่าสนิทสนมอยู่ เมื่อเห็นพี่ฟ้าเดินตามผมจึงถาม “พี่ฟ้าไปด้วยเหรอครับ?”

 

“อือ พี่ว่าจะไปเชียร์เมฆน่ะ เมฆชวน”

 

เมื่อมาถึงยังเวทีแล้วผมกับพี่เมฆก็เดินเข้าหลังเวทีและพี่ฟ้าก็ไปหาจับจองที่นั่งโซนหน้าเวที

 

“วิน เมฆมากันแล้วตอนนี้ก็เหลือแต่ไอ้สาม ไม่รู้มันไปไหนของมัน”

 

“อ่าว สามก็ไปกับพวกมึงไม่ใช่เหรอ?”

 

“ก็ใช่ แต่ขากลับมันมามันแวะเข้าห้องน้ำพวกกูเลยเดินกลับกันมาก่อน เนี่ยโทรไปก็ไม่รับ” พี่หนึ่งที่ยืนดูนาฬิกาด้วยความลนพลางกดมือถือย้ำอีกรอบ “เห้ยมันรับแล้ว”

 

“มันว่าบ้างวะหนึ่ง?” พี่บอยถามพี่เติ้งทันทีที่วางสาย

 

“มันท้องเสีย เดี๋ยวตามมา”

 

“แล้วอย่างนี้มันจะมาทันไหม?”

 

“ถามมันแล้วมันว่าไม่ได้เป็นไรหนักมากไม่ต้องห่วงมัน”

 

“กูไม่ห่วงมันเท่าแข่งเนี่ย อีกไม่กี่ทีมก็ถึงทีมเราแล้ว”

 

ไม่นานพี่สามก็วิ่งมาด้วยอาการเหนื่อยหอบเหมือนกำลังวิ่งแข่งขันมาราธอน​อย่างนั้นแต่ก็มาทันเวลาขึ้นเวทีพอดีเป๊ะเลย

 

ผมเช็คตัวเองให้เรียบร้อยจากนั้นก็เริ่มวางมือให้ถูกตำแหน่งก่อนเริ่มบรรเลงเพลงเปิดตามที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้า เมื่อเมโลดี้​ถูกบรรเลงผมก็รู้สึกได้ว่าทุกคนที่กำลังฟังผมเล่นนั้นจับจ้องมาที่ผมอย่างไม่วางตา ผมเลยมีความรู้สึกว่าต้องเล่นให้ดีและพริ้ว ขึ้นประกวดทั้งทีต้องมีอวดสกิลกันหน่อย

 

My darling, believe me (believe me)

For me there is no one but you

Please love me true

I'm in love with you (Answer my prayer)

Answer my prayer, baby (Answer my prayer)

Say you'll love me true (Answer my prayer)

 

หลังจากจบเพลงผู้ชมก็พากันยืนขึ้นปรบมือ ในระหว่างที่พวกผมนั่งอยู่หน้าเวทีเพื่อชมทีมอื่นประกวดต่อ ผมก็ได้ยินคนดูคนอื่น ๆ ชมทีมของเราว่าด้วยเรื่องการบรรเลงเปิดและการร้องประสานเสียง ได้ยินดังนั้นผมก็ดีใจยิ้มแก้มปริเลยทีเดียว

 

“การประกวดของครั้งนี้ก็ได้เสร็จสิ้นลงไปแล้วนะครับ อีกไม่กี่อึดใจเดียวเราก็จะรู้ผลแล้วนะครับ ตื่นเต้นกันไหม? ผมก็ตื่นเต้นเหมือนกันครับ” พิธีกรที่พูดเองตอบเองเพื่อถ่วงเวลาให้คณะกรรมการลงคะแนน ไม่นานก็มีทีมงานขึ้นมายื่นซองผลประกวดให้กับพิธีกรที่อยู่บนเวที

 

“ตอนนี้ซองผลอยู่ในมือผมแล้วนะครับ” เขาชูซองผลสีขาวที่ถูกปิดสนิทขึ้นไปมาเพื่อให้ทุกคนเห็นว่าเพิ่งจะได้รับมาจริง ๆ

 

เมื่อพิธีกรเริ่มแกะผลประกาศและคลี่กระดาษออกมาอ่าน เหล่าผู้ประกวดก็พากันนั่งลุ้นตัวเกร็ง

 

“ราวัลรองชนะเลิศอันดับสองได้แก่ทีม ข้าวเหนียวหมูปิ้ง ครับ! ขอเชิญขึ้นมารับรางวัลบนเวทีเลยนะครับ” สมาชิกทีมข้าวเหนียวหมูปิ้งต่างทยอยขึ้นมาบนเวที พอรับรางวัลมูลค่าหนึ่งพันบาทก็เดินถอยหลังไปยืนรอผลของรางวัลอื่น ๆ ต่อ

 

“ต่อไปเป็นรางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่งได้แก่ทีม……”

 

ในขณะที่กำลังจะประกาศผล ในใจผมอยากให้เป็นชื่อทีมตัวเองแต่อีกใจก็ขออย่าให้ใช่เผื่อได้ไปลุ้นรางวัลชนะเลิศ รางวัลชนะเลิศได้เงินรางวัลตั้งหนึ่งหมื่นแหนะ

 

“…ทีมเดอะบ็อกซ์มิวสิกแบนด์ครับ ขอเชิญขึ้นมาบนเวทีครับ”

 

เดอะบ็อกซ์มิวสิกแบนด์?? นะ..นี่มันทีมผมนี่นา

 

“เห้ยทีมเราเว้ย” พี่บอยที่ดูเหมือนจะได้สติก่อนเพื่อนสะกิดและเรียกเพื่อนในทีมให้รู้สึกตัวหลังจากที่กำลังนั่งเหม่อ

 

ทุกคนในทีมต่างยิ้มหน้าแป้นยืนถ่ายรูปรับรางวัลรวมทั้งผมด้วย โดยพี่เติ้งและพี่เมฆเป็นคนถือป้ายรางวัลและมีสมาชิกทีมคนอื่น ๆ ยืนอยู่ข้าง ๆ

 

“และรางวัลที่ทุกคนรอคอย รางวัลชนะเลิศอันดับหนึ่งได้แก่ทีม สแควรูท!!”

 

เมื่อผมได้ยินชื่อทีม ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมทีมนี้ถึงชนะเลิศ เขาผสมผสานระหว่างเครื่องดนตรีไทยกับสากลได้กันอย่างลงตัว เล่นเพลงสากลแต่ใช้เครื่องดนตรีไทยเล่นประกอบด้วย ผมได้เห็นได้ฟังครั้งแล้วยังรู้สึกประทับใจ ผมคิดว่าทีมนี้น่าจะเตรียมตัวมาดีอีกอย่างอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าจะมีประกวดระดับประเทศเห็นว่าทีมสแควรูทก็ลงสมัครแข่งขัน

 

การแข่งครั้งนี้ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีและใหม่ของผมมาก ๆ

 

“เย็นนี้เราไปกินไรกันดี เลี้ยงฉลองกันหน่อยพวกเรา” พี่สามชูซองเงินรางวัลที่เพิ่งไปแลกจากป้ายรางวัลใหญ่ ๆ มาเป็นเงินหลังเวที

 

“ไปเลี้ยงกันที่บ้านกูก็ได้ แต่ตอนนี้กูจะพาไปเจอบางคน พวกมึงเซอร์ไพรส์ชัวร์” ว่าพบพี่เมฆก็ทุกคนไปยังหน้าเวทีที่พี่ฟ้านั่งอยู่ และเป็นไปตามคาดทุกคนดีใจกันยกใหญ่เหมือนไม่ได้เจอคนนั่งอยู่หน้าเวทีมาเป็นแรมปี

 

“ไอ้ฟ้า มาได้ไงเนี่ย มาดูพวกกูประกวดด้วยเหรอทำไมไม่บอก”

 

“ก็ไม่เห็นบอกกันบ้างเลยว่ามาประกวดดนตรีกันที่นี่ ถ้าไม่เจอเมฆที่ร้านอาหารคงไม่รู้หรอกบอย” พี่ฟ้าทำหน้ามุ่ยก่อนพูดต่อว่า “แล้วเย็นนี้ไปไหน?”

 

“ไปกินหมูกระทะบ้านไอ้เมฆมัน ไปปะ?” พี่หนึ่งชวนขึ้น

 

“อืม ดูก่อนนะว่าว่างไหม ถ้าว่างเดี๋ยวเจอกัน ตอนนี้เราไปก่อนนะ” พี่ฟ้าว่าจบก็สะพายกระเป๋าถุงผ้าเดินออกไปก่อนจะตัดสายโทรศัพท์ที่เพิ่งดังเมื่อครู่ทิ้ง

 

และแน่นอนผมภาวนาขอให้พี่ฟ้าไม่ว่าง...

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา