เจ้าพ่อมาขอภรรยา

-

เขียนโดย Onceupone

วันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2562 เวลา 20.17 น.

  1 บท
  0 วิจารณ์
  2,527 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2562 20.28 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) อยู่ๆก็จะได้เป็นเจ้าสาว

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
 
 
ปี 1995 
 
          ร้านขนมปังเล็กๆแห่งหนึ่งในเมืองทางเหนือ อากาศหนาวเริ่มเข้ามาปกคลุมดินแดนออสก้า พื้นหญ้าสีเขียวขจีก่อนหน้า เริ่มมีเกล็ดน้ำแข็งขึ้นมาปกคลุม มาเรียแม่ค้าขายขนมปังประจำเมืองเล็กๆแห่งนี้ เดินทางไปยังโบสถ์ที่อยู่ใจกลางเมือง ในมือถือตระกร้าซึ่งบรรจุขนมปังอยู่หลายชิ้น ทุกๆสามเดือน มาเรียจะเดินทางเข้าเมืองเพื่อมาสวดมนต์ภาวนาในโบสถ์ และร่วมใช้ช่วงเวลานี้แจกจ่ายขนมปังแก่เหล่าเด็กกำพร้า ร่างกายที่ผ่านร้อนหนาวมาครึ่งชีวิตเจ็บออดแอดไม่ค่อยแข็งแรงนัก แต่ใจที่ศรัทธาก็ยังพามาเรียออกเดินทางไป
 
 
          อีกด้านเป็นรถหรูสีดำสนิทคนที่นั่งอยู่ภายในเป็นเจ้าพ่อรายใหญ่ที่ชาวเมืองต่างคุ้นชื่อกันดี เรนเดลในวันยี่สิบแปดปี สวมใส่สูธสีดำ รองเท้าหนังที่ขัดมาจนดำสนิท ทันทีที่รถจอด เหล่าลูกน้องหัวเกรียนรีบเร่งเข้ามาเปิดประตูรถ ทันทีที่ขาทรงอิทธิพลของเรนเดลเหยียบสู่พื้น ร่มสีดำขนาดใหญ่จึงถูกกางออก ชาวบ้านที่เห็นว่าคนมาเยือนเป็นวายร้ายตัวฉกาจ ต่างก็พากันปิดร้านด้วยความเกรงกลัว เพียงไม่กี่นาที ละแวกนั้นก็เงียบสนิท เหมือนดั่งไม่มีคนอยู่
“สงสัยพวกชาวบ้าน คงไม่อยากรบกวนท่านขอรับ” เจคอปกระซิบบอกนาย เรนเดลสวมใส่แว่นตาดำ ส่ายหน้ามองความสงบเงียบประหนึ่งดั่งเมืองร้าง
“ไป”
 
          เรนเดลว่าจบชายฉกรรจ์นับสิบจึงพากันเดินต้อยๆตามหลังไปอย่างเชื่อฟัง เหมือนดั่งลูกนกตัวน้อยก็ไม่มีผิด
หน้าโบสถ์ใหญ่ ขาเรนเดลทำท่าเยื้องย่างจะก้าวข้าไปในโบสถ์ พลันขาก็เกิดสั่นแคร่กๆด้วยเกรงกลัวว่าจะถูกสาปด้วยความชั่วร้ายที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด เหล่าลูกน้องหัวเกรียนพากันปาดเหงื่อบนใบหน้าเมื่อมองดูเรนเดลที่กำลังเยื้องย่างเท้าเข้าไปด้านในโบสถ์
 
ตุ้บ
          เท้าข้างขวาของเรนเดลเข้าถึงตัวโบสถ์ เรนเดลถอนหายใจออกมาฟู่
          ‘อย่างน้อยก็ไม่ได้ชั่วมากขนาดนั้น’ เรนเดลยิ้มอย่างผู้มีชัยก่อนจะเดินเข้าไปด้านในที่สงบเงียบ นี่ถือเป็นครั้งแรกในชีวิตของจอมวายร้ายที่เข้ามายังสถานที่สะอาดด้านจิตใจเช่นนี้
          “ห้องสารภาพบาปอยู่ตรงไหน” เรนเดลกล่าวถามเจคอป เจคอปและอาเบลลูกน้องคนสนิท
          “ทางนี้ขอรับ” อาเบลพายมือออกนำทางเรนเดลไปยังห้องสารภาพบาป
เรนเดลนั่งอยู่ภายในห้อง ปกติแล้วควรจะมีบาตรหลวงอยู่อีกฝั่งของห้อง แต่เพราะความชั่วช้าของเรนเดลทำให้แม้แต่บาทหลวงก็ไม่อยากเฉียดเข้ามาใกล้ พวกเขาพากันวิ่งหนีเตลิดเปิดเปิง
 
 
          “แล้วพวกเอ็งจะมาฟังข้าสารภาพหรือไง” เรนเดลรับรู้ได้ว่าเหล่าลูกน้องนับสิบยังยืนหัวโด่อยู่ในห้อง ทั้งหมดหน้าซีดเผือกไปทันที พวกเขารีบหมุนตัวพากันออกไป
          “ไปหาบาทหลวงมาให้ได้ ไม่งั้นเราแย่แน่” เจอคอป กระซิบบอกอาเบล
          “จะไปหาที่ไหนวะ”
          “ถ้าหาไม่ได้จริงๆ เอ็งก็ไปเป็นบาทหลวงสะเองสิ” ทั้งสองถกเถียงกันไป พร้อมคิดแผนหาบาทหลวงมารับฟังเรื่องชั่วช้าของเรนเดล
 
 
 
          ในจังหวะเวลาที่เหล่าสมุนของเรนเดลกำลังวุ่นวาย พวกเขาไม่รู้เลยว่าได้ปล่อยให้หญิงวัยกลางคนนางหนึ่งเดินเข้ามาภายในโบสถ์ มาเรียตรงไปยังห้องสารภาพบาป เธอเห็นห้องหนึ่งเหมือนมีชายคนหนึ่งนั่งอยู่ ชุดสีดำๆทำให้มาเรียคิดเองว่าคงเป็นบาทหลวง เธอจึงตรงเข้าไปนั่งอีกฝากของห้อง
 
 
 
          “ลูกทำผิดมากมายเสียเหลือพระองค์ ลูกไม่รู้ว่าควรจะสู้หน้าพระองค์ได้อย่างไร”
เรนเดลได้ยินเสียงคล้ายใครสักคนกำลังอ้อนวอนบางอย่างผ่านช่องกลมเล็กมายังตน เรนเดลขยับตัวเข้ามาติด พร้อมตั้งใจฟัง
          “สิ่งที่ลูกกังวลมากที่สุดในตอนนี้คือเรื่องของไคร่า เธอกำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย แต่ลูกไม่มีเงินมากพอ เกรงว่าจะทำเธอเสียใจ บางทีลูกก็อยากให้เธอได้ตบแต่งกับสามีที่ดีและพร้อมที่จะสนับสนุนเธอมากกว่าอยู่กับแม่ที่ไร้เงินตราเช่นลูก”
เรนเดลถลึงตาขึ้น
        ‘นี่เธอกำลังอ้อนวอนต่อเราหรือ?’
          “จะดีมากหากท่านมอบชายผู้นั้นมาให้แก่ไคร่า อาเมน” แสงสีทองส่องประกายผ่านช่องหน้าต่างระหว่างสองห้อง เรนเดลหันไปมองแสงสว่าง พร้อมทั้งลากสายตาเข้ามาที่อีกห้องหนึ่ง เสียงบรรเลงของวงออเครสต้าดังขึ้นในหัวของเรนเดล
          ‘เธอมาอ้อนวอนต่อเราอย่างนั้นรึ?’
          เงาของผู้หญิงที่กำลังเปิดประตูห้องจากไป ทำให้เรนเดลรู้สึกคุ้นตา เรนเดลเปิดประตูห้อง เดินตามมาเรียไปอย่างช้าๆ มาเรียรู้สึกคล้ายมีผู้ติดตามมา จึงหันกลับหลังมามอง แต่เธอกลับพบเพียงแค่ความว่างเปล่าของโบสถ์
          “แปลกจริง เหตุใดวันนี้ผู้คนถึงได้มาน้อยนัก” เธอพึมพำก่อนจะจากไป
 
 
          เรนเดลหลบอยู่หลังเก้าอี้ที่วางเป็นแถว ร่างสูงโปร่งหดขาลงจนมองแทบไม่เห็นตัว เจคอปและอาเบลที่มองเห็นเหตุการณ์อยู่ ทำหน้าสงสัยส่งเข้าหากัน
          ‘หรือว่า...’
          ‘ลูกพี่จะชอบเธอหรือ!’ 
          ทั้งคู่ส่งกระแสจิตให้กันพร้อมถลึงตาไปทางมาเรีย ดูยังไงเธอก็น่าจะเป็นรุ่นแม่เสียแล้วมากกว่า ไม่นึกไม่ฝันว่าลูกพี่ผู้องค์อาจของพวกเขาจะมีรสนิยมเช่นนี้
 
 
          เรนเดลลุกขึ้นยืนเมื่อได้ยินเสียงปิดประตูโบสถ์ มือคอยปัดฝุ่นที่กองอยู่บนหัวเข่า หัวใจก็พลันรู้สึกพองโต เรนเดลจดจำได้ว่า มาเรียเป็นใคร
 
 
 
เมื่อยี่สิบห้าปีก่อน
          เด็กชายคนหนึ่งแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าขาดมอมแมม เดินไปตามทางบนถนน เรนเดลเป็นเด็กกำพร้าบิดาและมารดา เขาเป็นเด็กชายที่น่าสงสาร อาหารดีๆไม่ตกถึงท้องของเรนเดลมานานแล้ว พวกอันธพาลเห็นเด็กชายตัวผอมเดินโซเซไปมาบนถนนก็นึกห้าวใจ อยากจะกลั่นแกล้งนัก พวกมันพากันเข้ามารุมเรนเดลประหนึ่งดั่งฝูงไฮยีน่าที่หิวกระหายเนื้อ
 
          “เจ้าหนู รู้ไหมที่นี่ใครใหญ่” หนึ่งในหัวโจ๊กเอ่ยถามพร้อมพ่นน้ำลายลงมาที่เรนเดล เรนเดลสงบนิ่งไม่ไหวติง เจ้าพวกอันธพาลจึงพลอยได้ใจ ใช้มือตบหัวเรนเดลจนหัวสั่นไปตามแรง
          “เฮ้ย พูดด้วยไม่พูด อยากเจอของดีหรือไงวะ” มันไม่พูดเปล่ามือก็คอยยกตบศรีษะเรนเดลเข้าไปอีก เด็กน้อยล้มลงไปกองที่พื้น พลันสายฝนก็ตกลงมา เรนเดลกำมือเอาไว้แน่น ที่ปากขบเข้าหากันจนเลือดไหล หน้าเลอะเทอะของเรนเดลเงยมองพวกอัธพาลตรงหน้า
          “มองหน้าอยากตายหรือไง” มันใช้ขาเตะเข้าไปที่เรนเดล แต่เด็กน้อยหลบได้ทัน
          “อ่า นี่แกหัดหลบเป็นแล้วหรอ เฮ้ยมาจับมันไว้ดิ!” หัวหน้าของพวกอันธพาลสั่งให้ลูกน้องอีกสี่ห้าคนมาจับเรนเดลไว้ เรนเดลลุกขึ้นตั้งกาดปกป้องตัวเอง พวกมันพากันหัวเราะใส่เรนเดล
          “อยากลองดีใช่ไหม ได้” ว่าจบพวกมันทั้งหมดก็พากันรุมเด็กน้อย เสียงร้องโอดครวญดังออกมา แต่คนที่ล้มลงอยู่ที่พื้นกลับไม่ใช่เรนเดล แต่เป็นพวกลูกน้องเหล่านั้น หัวหน้าใหญ่เห็นว่าลูกน้องพากันล้มที่พื้นอย่างน่าอนาถ ในใจก็เกิดมีความรู้สึกกลัวขึ้นมา และตั้งท่าจะหนี
          “จะไปไหน” เรนเดลพูดจบพร้อมขว้างรองเท้าไปสกัดเขาจนล้ม เรนเดลกระโดดใส่เจ้าขยะเน่านั้น พร้อมกับรัวหมัดลงไปอย่างรุนแรง จากที่ไกลๆ สายตาของใครสักคนกำลังจับจ้องมองดูเรนเดลอยู่
 
          “ข้าชอบเจ้าเด็กนี่” ชายในชุดดำที่เปี่ยมไปด้วยบารมีกำลังมองเรนเดลผ่านกระจกรถ
 
          ร่างเรนเดลประคองตัวเองเดินโซเซไปตามทาง บนร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล อีกทั้งฝนก็ยังตกมาอย่างต่อเนื่อง เรนเดลฟุบตัวนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง พร้อมเอนตัวลงนอน พลันจมูกของเขาก็ได้กลิ่นบางอย่างที่หอมหวาน เรนเดลพยุงตัวเองขึ้น พบว่าเก้าอี้ตัวหน้าเป็นตระกร้าขนมปังที่ตั้งอยู่ ที่ตรงนั้นไม่มีใคร เรนเดลรีบวิ่งเข้าไปแกะขนมปังกินประทังชีวิติ แม้ว่ามันจะแข็งมาก แต่ว่าด้วยความหิว ขนมปังแข็งๆในวันนั้นกลับอร่อยสำหรับเรนเดลยิ่งนัก
 
 
          มาเรียเดินมาไกลจนเธอลืมไปว่า เธอไม่ได้หยิบตระกร้าขนมปังมาด้วย เธอจึงรีบวิ่งกลับไปยังที่เดิมแม้ว่าท้องโตๆของเธอจะทำให้เธออุ้ยอ้ายยิ่งนัก ตระกร้านั่นเป็นอาหารมื้อเดียวที่เธอมีอยู่ แต่ทันทีที่เธอมาถึง สิ่งที่เธอเห็นกลับเป็นเด็กน้อยร่างผอมโซที่กำลังแกะขนมปังทุกชิ้นของเธอกินจนเกลี้ยง เรนเดลรับรู้ได้ว่ากำลังมีคนจ้องมองมายังตน จึงหันสายตาไปมองเห็นเป็นมาเรีย เด็กน้อยตกใจสุดขีด กระโดดแอบไปทางมุมตึก
          
 
          “เอ๊ะเดี๋ยว” มาเรียเดินเข้ามา แต่ไม่เห็นเรนเดลอีกแล้ว เธอมองในตระกร้าที่เหลือเพียงขนมปังอีกครึ่งหนึ่งจากที่เรนเดลกินเหลือ มาเรียถอนหายใจออกมาคำ มือก็ลูบเข้าไปที่ท้องใหญ่
          ‘ฉันคงกินต่อไม่ได้อีกแล้ว’ เธอรู้สึกเศร้า พร้อมกับหยิบขนมปังชิ้นนั้นวางลงที่เก้าอี้ และจากไปพร้อมกับตระกร้าใบน้อย เรนเดลเห็นมาเรียทิ้งขนมปังไว้ จึงรีบออกไปหยิบมากินอีกทันทีที่เธอจากไป
 
 
          ทั้งหมดนั้นเป็นภาพความทรงจำของเรนเดล ผู้หญิงที่มีพระคุณต่อเขามากเพียงนั้น ตลอดหลายปีมานี้แม้จะหลงลืมหน้าของมาเรียไปบ้าง แต่ว่าทันทีที่ได้เห็นเธอออีกครั้ง เรนเดลก็สามารถจดจำได้ทันที
          ‘ที่แท้ ฉันก็ไม่ใช่คนบาปอะไร แต่ว่าพระองค์กำลังบอกฉันเป็นนัยๆว่า นอกจากจะไม่ใช่คนบาปแล้ว ยังเป็นคนมาโปรดคำวิงวอนของหล่อนอีกต่างหาก’ เรนเดลยกมุมปากขึ้น
          “ตามเธอไป” เรนเดลออกคำสั่งแก่เจคอปและอาเบล
 
 
          มาเรียนั่งรถเมกลับไปยังบ้านของเธอ ใช้เวลานานกว่าจะกลับถึงบ้าน มาเรียไม่รู้เลยว่าบัดนี้มีชายฉกรรจ์นับสิบกำลังไล่ตามเธอมา มาเรียลงจากรถเมล์พร้อมกับต่อด้วยรถลากอีกครั้ง ร้านขนมปังที่ท้ายซอยส่งกลิ่นหอม มาเรียจ่ายเงินให้แก่คนลากรถ หญิงสาววัยใสคนหนึ่งในวัยสิบเจ็ดย่างเข้าสิบแปด ออกมาต้อนรับผู้เป็นแม่ พร้อมทั้งยื่นขนมปังก้อนใหญ่ให้แก่คนลากรถ
          “แม่ เหนื่อยไหมคะ” ไคร่าถามมาเรีย พร้อมช่วยพยุงมาเรียหายเข้าไปในร้าน
 
 
          เสียงหัวใจของเรนเดลเต้นตุบตับเสียงดังจนลูกน้องต้องหันมามองเป็นตาเดียวกัน ใบหน้าเคร่งขรึมเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อได้เห็นหน้าของเด็กสาวผู้นั้น
          “ฉันต้องการเธอ” เรนเดลประกาศคำออกมา
          “แต่..จะดีหรอครับ เธอแก่ปานนั้น คงไม่ไหวคลอดทายาทให้นายแล้วมั่งขอรับ” เจคอปพูดไปเสียงสั่นไป เรนเดลเบนสายตามามองเจคคอป พร้อมทั้งพ่นขี้มูกใส่หน้าไปแปะ
          “ผู้หญิงข้างๆแม่ของเธอเมื่อสักครู่ต่างหากเจ้าโง่!” เรนเดลตวาดเจคอปไปคำ พร้อมทั้งยิ้มออกมาอย่างน่าสยดสยอง
          “พวกเอ็งว่าฉันเป็นคนดีไหม”
อยู่ๆเรนเดลก็เกิดถามคำถามพิเรนท์ออกมา อาเบลและเจคอปกลืนน้ำลายดังเอือกพร้อมหันไปมองหน้าชายหัวโล้นที่ฟันร่วงหมดปากอยู่คนหนึ่ง มันเป็นรอยแผลที่เรนเดลเป็นคนทิ้งเอาไว้ เพราะว่าฟันของเจ้าหัวโล้นมันเรียงไม่สวยเรนเดลเลยอยากช่วยให้เขาได้ใส่ฟันปลอม จึงจัดการอัดหน้าสะฟันร่วงจนหมดปาก
          “ดีไม่ดี?” เรนเดลเข้นเสียงออกมา
          “ดีครับ!” พวกเขาพากันพร้อมใจตอบเป็นเสียงเดียวกัน
          “ แล้วเรื่องความร่ำรวยหละ”
          “รวยครับ!” พวกประจบสอพอไม่กล้าขัดใจเรนเดลอยู่แล้ว
          “แล้วฉันเหมาะจะเป็นสามีของเธอไหม”
          “เหมาะมากขอรับ!” เสียงแซ่โห่เหล่านั้นทำให้เรนเดลยกมุมปากฉีกยิ้มออกมา
          “ดี นั้นไปเตรียมตัวให้พร้อม ฉันจะรับภรรยาเข้าบ้านสักหน่อย”
 
 
เช้าวันต่อมา
          ไคร่าเดินออกจากบ้านตรงไปยังโรงเรียน ปีนี้เธอเรียนอยู่ชั้นมัธยมหกแล้ว เป็นปีสุดท้ายของการมีชีวิตเป็นนักเรียน ไคร่าเดินไปฮำเพลงไปโดยที่ไม่รู้เลยว่าเธอกำลังมีเงามืดคอยตามหลอกหลอนอยู่ตลอดเวลา หน้าโรงเรียน ฮันนี่เพื่อนรักของไคร่ากำลังยืนรอเธออยู่หน้าประตู ฮันนี่โบกไม้โบกมือให้แก่ไคร่าก่อนจะพากันหายเข้าไปในโรงเรียน
          “เอ๋ วันนี้หน้าเธอดูสดใสเป็นพิเศษเลยนะ สงสัยคงจะต้องมีเรื่องดีแน่ๆ” ฮันนี่กล่าวออกมา ไคร่ายิ้มแฉ่งให้เพื่อน ก่อนจะรู้สึกเหมือนหนังตากำลังกระตุกไม่หยุด มันกระตุกแรงมากจนฮันนี่สามารถเห็นได้เช่นกัน
          “ฮันนี่ ตาฉันกระตุกมากเลย ทำยังไงดี”
          “ตายแล้ว! ข้างซ้ายด้วย เขาว่ากำลังจะมีเคราะห์นะ”
          “เอ๋~” ไคร่าร้องเสียงหลง
 
 
          ตลอดทั้งวันไคร่ามัวแต่วุ่นวายอยู่กับตาข้างซ้ายที่กระตุกไม่เลิก หลังเลิกเรียนเธอเดินมายืนอยู่ที่หน้ากระจกใหญ่ รอฮันนี่เข้าห้องน้ำ มือก็ยกขึ้นตบดวงตาดังแปะๆ
          “หยุดสะสิ หยุดสะ”
          “ตาช้ำหมดแล้วมั่งครับ”
เสียงผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้น ไคร่าถลึงตาออกมา พร้อมกับหันไปมอง เป็นเขา! โอดินชายผู้เป็นขวัญใจของคนทั้งโรงเรียน ไคร่ารีบก้มหน้าลง เธอไม่กล้าสบตาโอดิน หน้าก็เริ่มร้อนฉ่า โอดินเดินเข้ามาใกล้ไคร่า พร้อมก้มลงมองตาเขียวของไคร่า
          “ที่ห้องพยาบาลพอจะมียาแก้ฟกช้ำอยู่ อย่าลืมไปทานะ” เขาว่าจบก็เดินหายไป ไคร่ารู้สึกเหมือนจะเป็นลม ตัวเธอแทบทรุดลงมาที่พื้น โชคดีที่ฮันนี่ออกมารับได้ทันก่อน
 
 
          ฮันนี่และไคร่าลากันที่หน้าประตู ไคร่าเดินไปยิ้มไป สาวน้อยบอบบางเรียบร้อยผู้ซึ่งตากระตุกไม่เลิกเดินไปโดยไม่รู้เลยว่ากำลังมีเงาปิศาจคลืบคลานเข้ามาใกล้ ทันทีที่เธอเลี้ยวเข้าซอยแคบ ชายฉกรรจ์นับสิบก็ปรากฏตัวออกมาล้อมรอบตัวเธออ
          “พวกคุณเป็นใคร” ไคร่าตื่นกลัว เธอพยายามหาช่องทางสำหรับหนีออกไป แต่หนึ่งในนั้นกลับใช้ผ้าผืนใหญ่มาคลุมตัวไคร่าจนมิด เธอถูกอุ้นขึ้นรถคันใหญ่แล่นไปยังโรงแรมแห่งหนึ่ง
 
 
          ไคร่าได้สติขึ้นมา เธอลืมตาขึ้นสิ่งแรกที่เห็นเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงหน้า แว่นตาสีดำและเสื้อสูทดำที่เขาสวมใส่ทำให้ขนบนร่างกายไคร่าพากันตั้งชันขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียง เธอลุกจากเก้าอี้ วิ่งพรวดไปที่ประตู ทันที่ที่ประตูเปิดออก เธอก็พบกับชายฉกรรจ์นับสิบที่อยู่ด้านนอก ไคร่ารีบปิดประตูทันที
          “นั่งลง” เรนเดลออกคำสั่งพร้อมจิบสุราลงคอ
          “ค..คุณเป็นใคร” เสียงเธอเริ่มสั่นด้วยความหวาดกลัว
          “นายครับ!” เสียงจากนอกประตูดังขึ้น อาเบลเดินเข้ามา ด้านหลังเป็นชายแก่คนหนึ่งที่หน้าตาเต็มไปด้วยรอยแผลเป็น
          “พวกมันส่งเจ้าแก่นี้มาสอดรู้ขอรับ” อาเบลพูดออกมาด้วยเสียงกึกก้อง เรนเดลที่กำลังจิบไวน์ ค่อยๆวางแก้วไวน์ลง พร้อมกับเอนตัวไปพิงเก้าอี้
          “ควักดวงตามันออกมา ทำให้มันสอดรู้ไม่ได้อีก”
          “ครับ!” อาเบลรับคำสั่งพร้อมกับปิดประตูจากไป
          “เรนเดล แกกล้าหรอ รู้ไหมว่าฉันเป็นใคร....” เสียงชายคนนั้นตะโกนออกมาเรื่อยๆ
          “.....!!!”
 
          ไคร่าแทบหมดสติเมื่อได้ยินชื่อของเขา ‘เรนเดล ..เรนเดลที่เป็นอันธพาลมือหนึ่งที่แม้แต่ตำรวจก็ไม่กล้าเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างนั้นหรอ!’ เธอแอบกลืนน้ำลายดังเอื้อกมือก็สั่นเทา
‘เมื่อสักครู่เขากำลังสั่งให้คนไปควักลูกตาชายคนนั้น แต่ตอนนี้เขากำลังจิบไวน์อยู่อีกอย่างนั้นหรอ!!’
 
          “นั่งลง” เรนเดลออกคำสั่งอีกครั้ง ไคร่าค่อยเดินตัวลีบๆไปนั่งที่เก้าอี้ เธอไม่อยากเป็นเหมือนชายคนนั้น เธอพยายามข่มอารมณ์ไม่ให้ตัวเองร้องไห้ ไคร่าเพิ่งสังเกตว่าบนโต๊ะมีอาหารหน้าตาหลายชนิดกองอยู่เต็มไปหมด
          “กิน”
          เรนเดลพูดออกมาเป็นประโยคง่ายๆ ไคร่ามองอาหารบนโต๊ะ พร้อมกับค่อยๆตักมันขึ้นมาเข้าปากอย่างช้าๆ
          ‘ฉันกำลังจะสิบแปด และฉันก็ยังไม่อยากตาย สวรรค์ช่วยด้วย’ เธออ้อนวอนภายในใจ
          “ไม่อร่อย?” เรนเดลถามออกมาเมื่อเห็นผู้หญิงตัวเล็กตรงหน้าทำท่าพะอืดพะอม ไคร่าไม่ได้ตอบ เธอก้มหน้าก้มตามองอาหารในถ้วย
          “เด็กๆ เอาพ่อครัวไปฆ่าทิ้งสะ”
          “เฮือก” ไคร่าเงยหน้าขึ้นมาอัติโนมัติ “อร่อย!” เธอรีบตะโกนออกมา
          “อ้อ”
          เรนเดลพูดออกมาคำ ลูกน้องที่รออยู่หน้าห้อง จึงปิดประตูลงอย่างเงียบๆอีกครั้ง เรนเดลนั่ง มองหญิงสาวผิวขาวซีดตรงหน้าที่กำลังตักอาหารเข้าปากอย่างมูมมาม
          ‘ตัวเล็กเสียจริง’ เขาพิจารณารูปร่างของเธอแล้วก็รู้สึกได้ว่า ผู้หญิงคนนี้เหมือนขาดสารอาหาร จำเป็นต้องขุนให้อ้วน
          
 
          ทุกครั้งที่ไคร่าจะวางช้อนลง เธอก็จะเห็นสายตาพิฆาตของเรนเดลที่จ้องมองเธออยู่ เธอไม่กล้าทำเหมือนว่าอิ่มจนกว่าอาหารบนโต๊ะจะเกลี้ยง เพราะกลัวว่าตัวเองจะกลายเป็นฆาตรกรฆ่าคนเพราะอาหาร เธอเริ่มรู้สึกอยากอาเจียน เมื่ออาหารนับสิบ ลงไปกองอยู่ในกระเพาะของเธอ
          ‘เด็กนี่กินเยอะกว่าที่คิดเอาไว้’ เรนเดลที่นั่งมองเธอกินอาหารจนเกลี้ยงก็นึกแปลกใจไม่ได้
          ‘สงสัยต้องเพิ่มค่าอาหารทันทีเมื่อเธอเข้าสู่บ้าน’ เขากำลังคิดวางแผนเรื่องงบประมาณ
ไคร่าวางแก้วน้ำลง อาหารบนโต๊ะถูกจัดการจนเรียบ
          “อิ่มแล้วใช่ไหม” เรนเดลถาม
          “อื้ม” ไคร่าพยักหน้า
          “ดี นั้นเธอก็พร้อมจะแต่งงานกับฉันแล้วใช่ไหม”
          “อื้ม.....เอ๊ะ!” ไคร่าไม่ทันตั้งสติฟัง เธอรีบถลึงตาออก
          ทันทีริมฝีปากของชายหนุ่มก็โน้มเข้ามาประกบกับริมฝีปากของแม่สาวน้อยตัวเล็ก ไคร่าถลึงตาออกมา เธอเหมือนดั่งต้องมนต์และกำลังหยุดหายใจ
          “ดี นั้นเรากลับบ้านกันเถอะ” เรนเดลพูดจบก็เตรียมลุกขึ้น
ไคร่าที่ตกอยู่ในอาการแข็งค้าง เรียกสติตัวเองคืนมาทันที “เดี๋ยว!” ไคร่าตะโกนออกมา
          “ไม่สิ ! แต่งงานอะไร”
          “แต่งงานที่หมายถึง เธอเป็นของฉัน”
          “หา! แต่ฉันยังไม่ได้ตกกลงอะไรเลยนะ”
เธอพูดออกมาเบาๆ เรนเดลหรี่ตาลง พร้อมพายมือไปทางโต๊ะอาหาร “เธอทานอาหารบนโต๊ะงานเลี้ยงจนหมดแล้ว ก็หมายถึงว่าเธอตกลง” ไคร่าแทบจะเป็นลมหมดสติ
          ‘นั่นไม่ใช่เพราะนายบังคับให้ฉันกินหรืออย่างไงเล่า’
          “และเราก็จูบกันแล้ว” เรนเดลพูดออกมาอย่างหน้าตาเฉย
          ‘จูบบ้าอะไรกัน เมื่อกี้เขาเรียกพวกลักขโมยชัดๆ’
          “ไปได้แล้ว”
 
 
          เรนเดลเดินนำออกไป ชายฉกรรจ์นับสิบกำลังก้มหัวให้ไคร่า หัวใจของไคร่าเต้นรัวในอก เธอนึกถึงแค่แม่ และอยากหนีออกไปจากที่นี่ สาวน้อยจำต้องเดินตามเรนเดลไป เมื่อตาเธอเริ่มมองเห็นว่าพวกเขากำลังจะพาเธอขึ้นรถหรูคันสีดำเงา เหงื่อเธอก็ไหลลงมาอาบหน้า สายตามองหาหนทางหนี
          “คือว่า....” ไคร่าเข้าไปขวางหน้าเรนเดล จนเจ้าตัวต้องหยุดลง
          “ขอ...เข้าห้องน้ำก่อนได้ไหม”
          เรนเดลหรี่ตาลง มองสาวน้อยตรงหน้าอย่างถี่ถ้วน “พาเธอไป”
 
 
          เรนเดลออกคำสั่งเสร็จจึงเข้าไปนั่งรอภายในรถ เจคอปเป็นคนพาไคร่ามาที่ห้องน้ำ ไคร่าเข้าไปในห้องน้ำ เธอมองหาหนทางหนี โชคที่มีหน้าต่างบานเล็กในห้องน้ำ ขนาดมันดูเล็กจริง แต่เพราะว่าไคร่าเป็นผู้หญิงไซต์มินิ จึงสามารถที่จะลอดช่องหน้าต่างออกไปได้ เธอร่วงลงมาที่พื้นหญ้าด้านนอก พร้อมสูดหายใจข้าลึก ตอนนี้สิ่งเดียวในสมองของเธอก็คือ วิ่งออกไปให้เร็วที่สุด! และหาทางกลับบ้าน ก่อนที่พวกมันจะรู้ตัว
 
 
          เจคอปยืนรออยู่นานจนเริ่มรู้สึกลางสังหรณ์ไม่ดี จึงเดินเข้าไปในห้องน้ำหญิง เสียงผู้หญิงกรีดร้องเละพากันวิ่งแตกตื่นออกมาจากห้องน้ำ เจคอปเปิดประตูห้องน้ำทุกบานออก แต่มันก็ว่างเปล่า พลันสายลมที่หน้าต่างช่องเล็กก็ลอดเข้ามากระทบใบหน้า
          “ฉิบหายแล้ว!”
 
 
          ปั้ง เจคอปล้มกลิ้งอยู่ที่พื้นด้วยแรงถีบของเรนเดล เรนเดลแม้หน้าตาจะยังคงสงบเงียบ แต่เส้นสมองกับปูดบวมไม่มีทีท่าจะหยุด
          “เธอคงอาจจะกลับไปบอกข่าวดีกับแม่ของเธอก็ได้ขอรับ” อาเบลกล่าวแทรกออกมา เรนเดลสงบเงียบมือเคาะโต๊ะเบาๆ
          “ไปที่ร้านขนมปัง”
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา