บอดี้การ์ดของคุณหนู
เขียนโดย Xiaobei
วันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 เวลา 16.03 น.
แก้ไขเมื่อ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 16.10 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) 1
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความสิบวันก่อน
เดิมทีนั่นควรเป็นวันปกติธรรมดาวันหนึ่ง
ดวงอาทิตย์เจิดจ้าแสบตาของฤดูร้อนถูกผ้าม่านขนหงส์สีชมพูฟ้าหนาหนักกั้นไว้ด้านนอก ห้องนอนขนาดใหญ่ที่ตกแต่งด้วยวอลเปเปอร์สีครีมเรียบหรู ไม่ได้รับอิทธิพลจากความร้อนนอกหน้าต่างเพราะเครื่องปรับอากาศปรับอุณหภูมิจนสบาย
ผ้าห่มฤดูร้อนลายดอกที่ทำจากผ้าไหมคลุมอยู่บนร่างบางที่นอนหลับลึก เส้นผมดำขลับสยายอยู่บนหมอนสีขาว ขนตาเป็นแพยาวโค้งไม่ขยับแม้แต่น้อย กำลังเคลิบเคลิ้มอยู่ในความฝันอันแสนหวาน
ทันใดนั้น เสียงเคาะหนักๆ ก็ดังมาจากประตู
ก๊อก!
บานประตูหนาหนักขยับไหว มือจับทองเหลืองส่งเสียงเบาๆ
ก๊อก! ก๊อกๆ!
“ซูชิ่ง”
เสียงเรียกดังขึ้นพร้อมกับเสียงเคาะประตู
ฝันหวานถูกทำลาย เธอที่อยู่บนเตียงตกใจตื่นขึ้นทันที กึ่งเซกึ่งล้มลงจากเตียง แม้แต่รองเท้าแตะก็ยังไม่ทันได้สวม วิ่งไปข้างประตูด้วยความเร็วสูงสุดแล้วเปิดประตูออกโดยเร็ว
นอกประตูมีหญิงสาวงดงาม ใบหน้าแฝงความโกรธ เส้นผมที่ดัดเป็นลอนใหญ่รับกับทั้งตัวจนดูสวยหยาดเยิ้มเป็นพิเศษ
“เธอยังจะนอนอีกนานเท่าไร? พวกเราตื่นกันตั้งนานแล้วเนี่ย” เธอยู่ริมฝีปากแดงเรื่อ ชายใดได้เห็นเข้าต้องอยากจะจุมพิตความงามนี้
“ฉันจะลุกเดี๋ยวนี้” ซูชิ่งข่มความง่วงงุน ไม่กล้ามองผ้าห่มด้วยกลัวว่าใจไม่แข็งพอแล้วจะถูกกองทัพหนอนขี้เซาโจมตีจนพ่ายแพ้อีกครั้ง ต้องกลับไปนอนหลับลึกต่อบนเตียง “ขอไปล้างหน้าแปรงฟันก่อนนะ”
“เร็วๆ หน่อยล่ะ!” คนงามสั่งแล้วย่างกรายจากไป
ห้องนอนกลับสู่ความเงียบสงบ ซูชิ่งเดินไปข้างเตียง สวมรองเท้าแตะอยู่บ้านที่สานจากต้นกกแล้วรีบเดินเข้าไปล้างหน้าแปรงฟันในห้องน้ำ เธอเปิดก๊อกน้ำ สาดน้ำเย็นพรมใบหน้าติดกันหลายครั้งถึงจะต้านการบุกรุกของหนอนขี้เซาได้ เธอล้างหน้าแปรงฟันอย่างรวดเร็ว แปรงผมยาวสลวยจากนั้นรวบครึ่งศีรษะแล้วใช้ปิ่นไม้ตะโกปักไว้อย่างง่ายๆ หน้าผากขาวเนียนมีเส้นผมร่วงลงมาแต่ไม่ดูยุ่งเหยิง เส้นผมส่วนที่เหลือทิ้งตัวลงราวกับเส้นไหมชั้นดี
หลังตรวจสอบความเรียบร้อยที่หน้ากระจกเสร็จ เธอถึงได้ออกจากห้องน้ำแล้วเดินไปยังห้องอาหาร
ม่านของห้องอาหารและห้องรับแขกถูกเปิดกว้างไว้นานแล้วจึงไม่มืดเหมือนห้องนอน แสงแดดสาดส่องเข้ามาด้านใน ทุกแห่งสะอาดสะอ้านเป็นระเบียบ บนพื้นไม้ประดู่แม้แต่ฝุ่นสักเม็ดก็ไม่มี
ข้างโต๊ะอาหารไม้แท้หนาหนักมีเก้าอี้ไม้หนาหนักที่แกะสลักอย่างโอ่อ่าเก้าตัววางอยู่ สี่ตัวในนั้นมีคนนั่งอยู่แล้วทั้งหญิงและชาย แต่ละคนดูอ่อนวัยทันสมัย ทานอาหารในบ้านก็ยังแต่งกายอย่างพิถีพิถัน ทุกคนต่างอยู่ในชุดที่เป็นที่นิยมที่สุดในฤดูนั้น
“อรุณสวัสดิ์ทุกคน” เมื่อเทียบกันแล้ว ชุดเดรสผ้าฝ้ายเนื้อบางแขนกุดสีเหลืองอ่อนลายดอกที่ซูชิ่งสวมใส่เพียงให้สบายตัวนั้น แม้จะเรียบง่ายอยู่มาก แต่ก็ดูสง่างามเช่นกัน
“สิบเอ็ดโมงกว่าแล้ว” เจียหมิงพี่ชายที่เป็นลูกพี่ลูกน้องผู้กำลังอ่านข่าวเศรษฐกิจระหว่างประเทศต่างภาษาหลายฉบับอยู่วางหนังสือพิมพ์ลงแล้วเงยหน้าขึ้น คิ้วเข้มน่ามองขมวดแน่น “ปิดเทอมฤดูร้อนของปีสองเพิ่งจะเริ่มได้ไม่กี่วัน เวลาพักผ่อนของเราก็วุ่นวายไปหมดแล้ว เมื่อคืนนี้นอนดึกอีกแล้วหรือ?”
“อืม” เธอตอบเสียงเบามาก ศีรษะก้มต่ำลงเรื่อยๆ มือเล็กคลำเปะปะไปบนโต๊ะ รินน้ำอุ่นแก้วหนึ่งแล้วจิบทีละคำๆ อย่างเนิบช้า
ภายใต้แสงอาทิตย์เจิดจ้า เพียงมองก็เห็นใบหน้างามพิสุทธิ์อย่างหมดจด เส้นผมสีดำขลับตัดกับผิวขาว เนียนละมุนและเปราะบางราวกับเครื่องกระเบื้องชั้นเลิศ แต่ขณะเดียวกันกลับทำให้ขอบตาดำคล้ำยิ่งชัดเจนขึ้น ใต้แพขนตายาวแต่กำเนิดคือดวงตากลมโตที่ตัดสีดำขาวเห็นได้ชัด ริมฝีปากเล็กสีแดงระเรื่อ
“เมื่อคืนเจียหรูจัดปาร์ตี้ที่โรงแรม บ้าคลั่งจนดึกดื่นค่อนคืนถึงได้เมากลับบ้าน ทำไมเจียหรูกลับตื่นเช้ากว่าเราอีก?” พี่ชายถาม เขามีร่างสูงโปร่ง สวมชุดสูทพอดีตัวเป็นพิเศษ ยามนั่งจึงปลดกระดุมสูทตัวนอกออกอย่างสบาย
“นั่นน่ะสิ” เจียหรูพี่สาวผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องของเธอบ่นอย่างน่ารัก “ตอนเที่ยงฉันยังมีนัดกับซีอีโอของไท่หย่ากรุ๊ป เราไม่ตื่นแล้วใครจะช่วยฉันจัดชุดกับเครื่องประดับ?”
“จะมีผู้ชายต้องพบเคราะห์อีกแล้ว” เจียเย่าน้องชายผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องของเธอนั่งยิ้มอย่างชั่วร้ายอยู่อีกด้าน “ซูชิ่ง เธออย่าช่วยพี่แต่งตัวอีกนะ ให้พวกผู้ชายดูหน่อยว่าสุภาพสตรีที่มีชื่อเสียงเรื่องแฟชั่นที่นิตยสารยกยอกันนั้น ความจริงแล้วไม่มีรสนิยมเลยสักนิด”
“ผู้ชายปากเสีย อย่ามายุให้พวกเราแตกกันนะ!” เจียหย่าน้องสาวผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องเข้าสู่สงคราม “นายไปประชุมที่บริษัทก็เคยให้ซูชิ่งดูชุดให้เหมือนกันไม่ใช่เหรอ ไม่อย่างนั้นแม้แต่จะผูกไทเส้นไหนก็ยังไม่รู้เลย”
“ฉันทำเพื่องาน แต่พวกเธอกำลังเล่นสนุก” เจียเย่าตอบโต้
“ฮึ ตอนประธานกรรมการของลี่ฉวนกรุ๊ปเตรียมลาออกคราวที่แล้ว ก็เป็นเพราะฉันเดตกับลูกชายคนเล็กของเขาถึงล้วงข้อมูลมาได้ ทำให้บริษัทรีบถอนทุนออกทันที ไม่อย่างนั้นนายคงต้องหิ้วหัวไปพบผู้ถือหุ้นแล้ว” นิ้วเรียวประดับคริสตัลของเจียหรูผลักจานผลไม้ไปด้านข้าง “อ่ะ นี่ฮันนี่พีชที่เธอชอบกิน เพิ่งจะส่งมาจากหลีซานเมื่อวานนี้”
“ขอบคุณค่ะ” ซูชิ่งหยิบส้อมเงินขึ้นจิ้มเนื้อท้อหวานฉ่ำส่งเข้าปาก ลิ้มรสผลไม้ที่ถูกปากที่สุดของฤดู
“จะว่าไป ทำไมเธอถึงตื่นสายขนาดนั้น?” เจียหย่ามองพลางกะพริบขนตาที่หมดเงินและเวลาไปไม่น้อยในการเชิญคนเสริมความงามต่อให้ยาวโค้งเป็นแพหนา เอนกายเข้ามาอย่างใครรู้
“เวลาสิ้นสุดการประมูลของงานประมูลทางอินเทอร์เน็ตงานหนึ่งกำหนดไว้ตอนตีสอง” ฮันนี่พีชรสชาติหวานฉ่ำทำให้เธอทานคำแล้วคำเล่า ทันทีที่ไม่ระวังน้ำหวานเปื้อนคางจึงรีบหยิบกระดาษเช็ดหน้าบนโต๊ะมาเช็ดให้สะอาด “ดังนั้นเมื่อคืนนี้ฉันเลยนอนตั้งแต่สองทุ่ม แล้วตื่นมาเข้าร่วมการประมูลตอนเที่ยงคืน”
เจียหรูและเจียหย่าอยู่ในช่วงเวลาสาวสะพรั่ง ต่างก็ล้วนดื่มด่ำกับความงามในวัยเยาว์ เที่ยวเล่นอย่างเต็มที่ วนอยู่ระหว่างปาร์ตี้มากมายและงานเลี้ยงหรูหรา มีชายหนุ่มรุ่นสองหรือรุ่นสามจากครอบครัวร่ำรวยที่ขับรถหรูราคาสูงลิ่วซึ่งมีภูมิหลังโด่งดังมาตามจีบ แต่เธอกลับไม่ค่อยสนใจจึงเข้านอนแต่หัวค่ำทุกคืน
“เธอก็เป็นเสียอย่างนี้ ทุกครั้งที่ชวนไปเที่ยวก็ต้องบอกว่ามีธุระไม่อยากออกไปข้างนอกตลอด” เจียหย่าจู๋ปาก สองตาประกายแวววาว “เด็กผู้หญิงอายุสิบเก้าบ้านไหนที่จะนอนหลับตั้งแต่สองทุ่ม? พูดไปก็ไม่มีใครเชื่อ”
“ซูชิ่งรักความสงบมาตั้งแต่เล็กแล้ว” เจียหมิงสรุป
แม้จะบอกว่าเล่นสนุก แต่งานเลี้ยงที่มีเหล่านายน้อยของตระกูลร่ำรวยและบริษัทที่มีชื่อเสียงนั้นมักเต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีอันจอมปลอม ดูภายนอกแล้วเปล่งประกายแวววาวน่าหลงใหล แต่จิตใจมากเล่ห์ ต่างคนต่างมีเป้าหมาย พี่น้องครอบครัวเดียวกันอย่างพวกเขารับมือได้สบาย แต่ญาติผู้น้องคนนี้กลับไม่เคยคุ้นชินเสมอมา
“แต่อย่างไรก็ต้องบังคับตัวเองด้วย อย่าให้นอนไม่พอ” ดวงตาสีนิลเรียบสนิทกวาดมองใบหน้าเล็ก
“ได้ค่ะ”
“พี่ใหญ่ไม่ต้องทำหน้าดุแล้วน่า!” เจียหย่าชะโงกเข้ามาใกล้ ใช้ความออดอ้อนสลายอารมณ์กรุ่น “รีบบอกมาเร็ว เมื่อคืนนี้เธอซื้ออะไรมาได้?”
“อำพันเก่าแก่ที่แกะสลักแบบนูนต่ำเป็นรูปมังกรร้อยกว่าชิ้น” เธอพูดตามความจริง ดวงตาเป็นประกายเมื่อเอ่ยถึงรางวัลจากสงคราม “แม้ในนั้นจะมีชิ้นที่เสียหายหลายชิ้น แต่ชิ้นที่สมบูรณ์เหล่านั้นล้วนอยู่ในสภาพดีและมีบรรจุภัณฑ์สมบูรณ์ มีลายเสื่อมสภาพอย่างของโบราณ”
“ทำไมถึงซื้ออำพันเก่า?” นัยน์ตาสีดำยังคงมองเธอนิ่งไม่เบนไปไหน เขาไม่ถามราคา แต่ถามจุดประสงค์
“อำพันเป็นหนึ่งในสมบัติเจ็ดอย่างของพุทธศาสนา เป็นสิ่งที่มีมูลค่าที่ทุกคนยอมรับมาแต่โบราณ บวกกับต้นปีหน้า พระราชวังโบราณจะจัดงานนิทรรศการวัฒนธรรมต้าเหลียว ในบรรดาของที่ฝังไปพร้อมกับพระศพขององค์หญิงเฉินกั๋วมีทับทรวงอำพันสองเส้น ใช้ด้ายเงินร้อยเม็ดอำพันหลายร้อยเม็ดและรูปสลักอำพันหลายสิบชิ้นเข้าด้วยกัน แบ่งเป็นชุดในและนอกสองชุด เม็ดที่ใหญ่ที่สุดหนักถึงหนึ่งร้อยกรัม” เธอเล่าอย่างละเอียด นัยน์ตาดำขลับเปล่งประกาย “หลังงานนิทรรศการปีหน้า ราคาอำพันเก่าแก่ในตลาดระหว่างประเทศต้องพุ่งขึ้นแน่ นอกจากเก็บสะสมแล้วก็จะเป็นการลงทุนที่ดีด้วย”
“อ๊า รอให้ถึงเวลาที่ได้รับคำเชิญร่วมงานนิทรรศการ ฉันกับพี่จะได้สวมอำพันเก่าแก่ออกงาน!” เจียหย่าหัวสมองแล่นเร็ว ดีใจจนยิ้มกว้าง
“พี่ใหญ่รักซูชิ่งที่สุด พวกเราซื้อของอะไรก็จะถูกด่า มีแต่เธอที่ซื้ออะไรก็ได้ ต่อให้ซื้อลูกแก้วกลับมา พี่ใหญ่ก็ยังชมเธอ” เจียเย่าจิบกาแฟ ในน้ำเสียงของชายชาตรีแฝงความน้อยใจ
“นั่นเป็นลูกปัดแก้วเคลือบของเอเชียตะวันออก ไม่ใช่ลูกแก้วซะหน่อย” เธออดแย้งไม่ได้
“ก็ดูแล้วเหมือนลูกแก้วนี่นา!”
พี่ใหญ่ทิ้งประโยคเยียบเย็นออกมา
“เป็นเพราะนายตาไม่ถึง”
สองสาวพี่น้องก็เข้ามาร่วมวงด้วยเช่นกัน
“ลูกปัดแก้วเคลือบลงทองล็อตนั้นทำในซีเรีย อายุเก่าแก่ วิธีการทำก็เลยขาดการสืบทอด” สิ่งของที่ซื้อเข้ามาทุกล็อตมักจะมูลค่าพุ่งสูง ส่วนของชั้นดีจะถูกใช้ในเสื้อผ้าเครื่องประดับของพวกเธอ ของทุกชิ้นล้วนทำให้ผู้หญิงคนอื่นทั้งชื่นชมและอิจฉา
เจียเย่าที่ถูกไฟสงครามสาดใส่จึงนั่งดื่มกาแฟอย่างเงียบๆ กลืนความขมขื่นลงท้องไปจนหมด
“อำพันจะส่งมาถึงเมื่อไร?” พี่ใหญ่ถาม สิบนิ้วสอดประสานอยู่ตรงหน้าคิ้วเข้มและดวงตาสดใส
“เอ่อ...ต้องเช็คในแล็ปท็อปก่อนถึงจะยืนยันได้ค่ะ”
โต๊ะอาหารมีกฎของโต๊ะอาหาร นั่นก็คือการห้ามใช้คอมพิวเตอร์หรือมือถือ พี่ใหญ่คำพูดหนักแน่นดั่งเทือกเขาหิมาลัย ทุกคนต่างก็เคารพกฎอย่างว่าง่าย ไม่ต้องพูดถึงการท้าทายเลย แม้แต่ใจที่อยากจะแหกกฎก็ยังไม่กล้ามี
คนเดียวที่จะทำให้พี่ใหญ่เว้นกฎได้เป็นกรณีพิเศษมักเป็นเธอ
“ไปหยิบแล็ปท็อปมา” น้ำเสียงทุ้มลึกกล่าว
ทุกคนต่างเงยหน้าขึ้นแต่กลับปิดปากแน่น ไม่มีใครสักคนที่กล้าต่อว่าว่าพี่ใหญ่ลำเอียง
ซูชิ่งรีบลุกขึ้นไปหยิบแลปท็อปในห้องหนังสือมา เมื่อกลับมาที่โต๊ะอีกครั้ง เจียหรูก็เดินกลับมาจากตู้เย็น วางเหยือกแก้วหนาหนักลงบนโต๊ะแล้วหยิบถ้วยชาออกมาหลายใบ
“นี่เป็นชาดำเตียนหงจินหยาชงเย็นที่ฉันชงไว้ก่อนไปจัดปาร์ตี้เมื่อคืนนี้” มือที่แต่งเล็บอย่างเกินงามรินน้ำชาให้ทุกคน ท่าทางสง่างามคล่องแคล่ว น้ำชาสีน้ำตาลปนทองส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ออกมายามรินใส่ถ้วยชา
ซูชิ่งจิบไปคำหนึ่ง ลิ้มรสอย่างพิถีพิถัน รู้สึกถึงความหอมที่แตกต่างจากตอนชงร้อน
แต่พี่ใหญ่มีความเห็นอีกแล้ว
“เพิ่งตื่นนอนอย่าเพิ่งดื่มชาเย็น”
“ฉันแค่ดื่มนิดเดียวเอง”
ครั้งนี้พี่ใหญ่ไม่พูดอะไร แต่ยื่นมือที่ตัดแต่งสะอาดเรียบร้อยออกมายกถ้วยชาที่เธอดื่มไปคำหนึ่งก่อนหน้านี้ขึ้นแนบริมฝีปากแล้วดื่มลงไปจนหมด สายตาจับจ้องอยู่ที่ดวงตาของเธอตลอดเวลา
ไม่รู้ทำไมน้ำชาเย็นเฉียบที่อมอยู่ในคอพลันร้อนขึ้นมาทันที! เธอรีบกลืนลงไปแล้วเบนสายตาออกตามจิตใต้สำนึก แต่แล็ปท็อปกลับส่งเสียงดังออกมา
กริ๊งๆ!
บิ๊บๆ!
ติ๊ดๆๆๆ...
อีเมล เฟซบุ๊ค วีแชทและไลน์ของเธอมีข้อความมากมายเข้าพร้อมกัน เสียงเตือนจากโปรแกรมต่างๆ ดังขึ้นในเวลาเดียวกันไม่หยุด
ไม่รู้ทำไมหน้าจอคอมพิวเตอร์ถึงได้เปลี่ยนเป็นสีขาว อักษรสีดำปรากฏขึ้นมา
หนีเร็ว!
อักษรจีนสองตัว สัญลักษณ์หนึ่งตัว
เธอยังไม่ทันได้กะพริบตา หน้าจอก็เต็มไปด้วยตัวอักษรสีดำ ทั้งหมดล้วนเป็นข้อความซ้ำๆ
หนีเร็ว! หนีเร็ว! หนีเร็ว! หนีเร็ว! หนีเร็ว! หนีเร็ว! หนีเร็ว!
ไม่เพียงหน้าจอโทรศัพท์ แม้แต่โทรศัพท์มือถือก็เต็มไปด้วยข้อความ หัวเรื่องของทุกฉบับเหมือนกันหมด
หนีเร็ว!
ตัวอักษรเปลี่ยนเป็นสีแดงที่ทำให้ใจคอไม่ดี ขนาดอักษรก็เปลี่ยนจากเล็กเป็นใหญ่ กะพริบอยู่เบื้องหน้าไม่หยุด เธอกดแป้นพิมพ์ตามจิตใต้สำนึก หน้าจอถึงได้กลับมาเป็นดังเดิม แล้วเสียงเตือนก็หยุดลงทันที
“เกิดอะไรขึ้น?” เจียเย่าที่ยื่นมือมายาวเหยียดจิ้มฮันนี่พีชชิ้นหนึ่ง หยุดการเคลื่อนไหวเพราะเสียงรบกวนดังลั่น
“ดูเหมือนคอมพิวเตอร์จะติดไวรัส” เธอไม่ค่อยแน่ใจ ดวงตาคู่งามงงงัน
“เธอใช้โปรแกรมต้านไวรัส ไม่มีทางติดไวรัสได้หรอก” เจียเย่ากล่าวอย่างมั่นใจ
โปรแกรมต้านไวรัสที่คนในครอบครัวใช้เป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่ใช้ในกองทัพ แม้แต่แฮคเกอร์ชั้นยอดยังทำอะไรไม่ได้ ความเป็นไปได้ที่คอมพิวเตอร์จะติดไวรัสจึงน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย
“เราถือแล็ปท็อปไปที่บริษัท หลังจากตรวจเช็คแล้วไม่มีปัญหาค่อยเอากลับมาบ้าน” พี่ใหญ่สั่ง การป้องกันความปลอดภัยของคนในครอบครัวอยู่ในระดับสูงสุดเสมอมา “ซูชิ่ง เราใช้แลปท็อปของพี่ไปก่อนแล้วกัน” น้ำเสียงเวลาที่พูดกับเธอก็ต่างไปเล็กน้อย
บางที คนอื่นอาจจะฟังความแตกต่างไม่ออก แต่เธอฟังออก
“ได้ค่ะ” เธอรับคำเสียงเบา มองถ้วยชาว่างเปล่าบนโต๊ะ พวงแก้มสองข้างไม่รู้ทำไมถึงร้อนผ่าว หลายวันมานี้เธอยิ่งไม่กล้าสบตากับนัยน์ตาสีนิลลึกล้ำคู่นั้นของพี่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
หลังทานอาหารมื้อสายเสร็จ เจียหรูก็รีบออกจากบ้าน เธอช่วยเลือกเสื้อผ้าไหมสีชมพูอ่อนกับกระโปรงยีนส์ตัวยาวสีดำ ทั้งรับกับผิวเนียนละเอียดและให้ความรู้สึกลึกลับ สวมใส่คู่กับกระเป๋าวินเทจกำมะหยี่แบบเรียบ
เจียหย่าไม่มีนัด แต่ก็อยากแต่งตัวสวยออกจากบ้านเหมือนกันจึงได้ถามความคิดเห็นของเธอ เธอแนะนำให้เจียหย่าสวมกางเกงผ้าไหมสีกาแฟ ใส่ต่างหูแก้วสีเขียว สะพายกระเป๋าหนังที่ใช้มานานจึงมีสีดุจน้ำผึ้ง
แม้เจียเย่าปากจะบ่นพึมพำ แต่ก็ยังหาเวลาแอบมาถามเธอว่าเนคไทเหมาะหรือเปล่า
มีเพียงพี่ใหญ่ที่ไม่ต้องการความคิดเห็นของเธอ
ต่อหน้าชายที่ถูกสื่อยุโรปและอเมริกาเลือกให้เป็นบุคคลที่รู้จักแต่งตัวที่สุดในโลกห้าสิบคนแรกติอต่อกันห้าปี ความสามารถในการแต่งกายอันน้อยนิดของเธอนี้ไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึงด้วยซ้ำ
คนในบ้านต่างทยอยกันกล่าวลาจากไปหมดแล้ว เธอจึงเดินออกจากห้องเสื้อผ้า มองเห็นพี่ใหญ่ยืนทอดสายตามองทิวทัศน์นอกอาคารอยู่ที่หน้าต่างสูงจรดเพดาน ราวกับผู้ครองแคว้นในสมัยโบราณทอดสายตามองแผ่นดิน แผ่นหลังผอมโปร่งแผ่ความรู้สึกกดดันออกมา
“ดื่มชาสิ” เขายังคงมองไปนอกหน้าต่าง
“ค่ะ”
ในถ้วยชาบนโต๊ะมีน้ำชาสีน้ำตาลปนทองอยู่ ควันลอยออกมาจางๆ เธอยกถ้วยชาขึ้นแตะริมฝีปากแล้วจิบ นี่คือชาดำเตียนหงจินหยาที่เพิ่งชงเสร็จ
ดื่มไปได้สองคำ เมื่อมองเห็นลายที่อยู่ก้นถ้วยจึงสังเกตเห็นว่าเป็นถ้วยชาที่ถูกพี่ใหญ่แย่งไปดื่มชาชงเย็นจนหมดก่อนหน้านี้ จึงอดมองขอบถ้วยใหญ่หนานั้นแล้วนิ่งงันไปไม่ได้ ริมฝีปากเนียนนุ่มลังเลว่าจะดื่มต่อหรือเปล่า
“ตอนบ่ายเราจะออกไปข้างนอกไหม?” น้ำเสียงทุ้มลึกเข้ามาใกล้ ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่พี่ใหญ่เดินออกมาจากข้างหน้าต่าง เอนพิงโต๊ะอาหารพลางก้มหน้ามองนิ่ง
เธอดื่มชาร้อนลงไปอย่างรีบร้อน ลำคอและใบหน้าต่างร้อนผ่าว
“อืม คุณลุงให้ฉันกลับไปดูงานตกแต่งที่คฤหาสน์เก่าหน่อย” เธอวางถ้วยชาลง แม้แต่ฝ่ามือยังรู้สึกร้อนระอุ
“พี่จะขับรถไปส่ง”
“พี่ใหญ่ไม่เข้าบริษัทเหรอคะ?” คฤหาสน์เก่าอยู่ที่หยางเหมย บริษัทอยู่ที่ไทเป ฝั่งหนึ่งเหนือฝั่งหนึ่งใต้
“ไม่เป็นไร” เขาพูดอย่างเรียบเฉย จากนั้นเดินมาข้างโต๊ะในห้องรับแขกแล้วเปิดลิ้นชักลับ หยิบกระดุมกลัดแขนเสื้อแซฟไฟร์คู่หนึ่งออกมา “ช่วยกลัดให้พี่ที”
ซูชิ่งเดินเข้าไปช้าๆ รับกระดุมกลัดแขนเสื้อที่งามอย่างเรียบง่ายมา แต่ก่อนเธอชินมากกับการทำเรื่องเช่นนี้ให้พี่ใหญ่ เขาบอกอย่างไรเธอก็ทำตาม แต่ครึ่งปีมานี้จำนวนครั้งน้อยลงมาก เธอก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมเวลาอยู่ข้างกายพี่ใหญ่ถึงรู้สึกตื่นเต้น
กลิ่นโคโลญอ่อนๆ ได้กลิ่นแล้วรู้สึกสบาย เธอกลัดกระดุมติดแขนเสื้อไปพลาง รู้สึกถึงลมหายใจที่ปัดผ่านหัวไหล่ที่โผล่พ้นเสื้อผ้าฝ้ายแขนกุดของเธอเวลาพี่ใหญ่ก้มหน้าลงมา
“ซูชิ่ง”
เธอเงยหน้าขึ้นอย่างไร้เดียงสา
“หืม?”
นัยน์ตาสีนิลเปล่งประกาย ผ่านไปไม่กี่วินาทีก็กลับสู่สภาวะปกติอีกครั้ง
“ไปหยิบหมวกมาใส่ ผิวจะได้ไม่ไหม้แดด” เขาเตือน
เธอพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง เดินเข้าไปในตู้เสื้อผ้าแล้วเลือกหมวกปีกกว้างออกมา ใส่คู่กับกระเป๋าถือที่สานจากต้นกก
“โทรศัพท์ล่ะ?” เขาถาม เตือนอย่างไม่รู้จักหน่าย
เธอยิ้มอย่างเขินอาย เดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือในห้องหนังสือแล้วค่อยๆ เดินกลับมาที่ห้องโถง
“เปิดโทรศัพท์ไว้ พี่จะได้หาเราพบได้ทุกเมื่อ”
“ค่ะ” เธอมักจะเปิดโหมดเครื่องบินบ่อยๆ จึงลืมเปิดการสื่อสารปกติ หลายครั้งที่คนในบ้านหาไม่พบ ทำให้พวกเขาต้องใช้วิธีการต่างๆ มากมายหาตัวเธอ
ทุกอยากจัดการเรียบร้อยแล้ว นัยน์ตาสีนิลจึงกวาดมองร่างบาง เมื่อไม่มีอะไรตกหล่นแม้แต่น้อยถึงได้พยักหน้า
“ออกเดินทางกัน”
เธอพยักหน้า เดินตามหลังร่างผอมที่สูงโปร่งออกไปจากห้องโถง
※※※※
คฤหาสน์เก่าตระกูลหวงตั้งอยู่ที่หยางเหมย บ้านหลังนี้มีอายุกว่าหนึ่งร้อยห้าสิบปีแล้ว
สองปีมานี้รัฐบาลอำเภอจัดวางผังเมืองใหม่ วางแผนจะรื้อถอนคฤหาสน์เก่าบางส่วนออก แน่นอนว่าคุณลุงต้องไม่ยอม เขาออกหน้าวิ่งเต้นด้วยตัวเอง อย่างไรเสียขิงแก่ย่อมมีรสเผ็ด ความสัมพันธ์กับรัฐบาลและนักธุรกิจแน่นแฟ้น ข้อพิพาทจึงหยุดลงอย่างรวดเร็ว คฤหาสน์เก่าถูกเก็บรักษาไว้
คุณลุงอาศัยโอกาสนี้หาช่างเก่าแก่ชุดหนึ่งเข้ามา ทำการตกแต่งคฤหาสน์เก่าตามแบบโบราณ ไม่ปล่อยให้คนไม่รู้เรื่องเข้ามาจัดการอย่างสะเปะสะปะ เหล่าคนแก่กลุ่มหนึ่งยุ่งตั้งแต่ฤดูหนาวปีที่แล้วมาจนถึงตอนนี้ หลังจากเข้าสู่ฤดูร้อน งานตกแต่งก็ถือได้ว่าสิ้นสุดลงแล้ว
หยางเหมยดวงอาทิตย์เจิดจ้าส่องสว่าง ส่วนที่ตกแต่งของคฤหาสน์เก่าถูกแสงแดดส่องจนมองเห็นได้อย่างชัดเจน ทุกจุดล้วนประณีตวิจิต โถงหน้าประตูบ้านกว้างขวาง เนินเขาสูงหลังบ้านเขียวขจี เป็นสถานที่ที่มีฮวงจุ้ยชั้นเลิศ
ป้ายหินของคฤหาสน์เก่าไม่ได้เปลี่ยน ชื่อถิ่นสกุล[1] ‘บ้านเจียงเซี่ย’ แขวนอยู่บนผนังด้านนอกของห้องโถงหลัก
เมื่อเดินเข้าไปในห้องด้านใน แม้จะไม่มีระบบปรับอากาศสมัยใหม่ แต่อาคารรูปแบบโบราณย่อมมีความมหัศจรรย์ มักจะอบอุ่นในฤดูหนาวและเย็นสบายในฤดูร้อน การระบายอากาศก็ดีเยี่ยม
พื้นของห้องโถงหลักปูด้วยแผ่นหินเรียบ ชายชราใบหน้าซูบผอม สวมเสื้อผ้าฝ้ายสีขาวโปร่งสบายกำลังนั่งดื่มชาอยู่บนเก้าอี้ไม้หนาหนัก เมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นซูชิ่งเดินเข้ามา ใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“สวัสดีค่ะคุณลุง” เธอถอดหมวกกกออก ยิ้มพลางกล่าวทักทายอย่างว่าง่าย
“มานั่งนี่สิ” ชายชราทักทายอย่างเป็นมิตร “ข้างนอกร้อนจัด ไม่ถูกแดดเผาใช่ไหม?”
“ไม่ค่ะ”
“เรามายังไงล่ะนี่?”
“พี่ใหญ่ขับรถมาส่งค่ะ”
ชายชรายังยิ้มไม่เปลี่ยน แววตาเข้มขึ้นเล็กน้อย
มาส่งคนแต่กลับไม่เข้ามาทักทายพ่อตัวเองสักคำ? หรือว่าร้อนตัว อยากจะซ่อนเร้นแผนการ ไม่อยากเจอหน้าก็ถูกแทงใจดำ?
กับลูกชายคนโตนั้นเขาวางใจมาโดยตลอด ไม่ว่าการงานหรือครอบครัวต่างก็บริหารได้อย่างดี สายตาโดดเด่นยิ่งนัก นิสัยหนักแน่นยึดมั่น เพียงแต่หากยึดมั่นในจุดที่ถูกก็จะเหมือนเสือติดปีก แต่หากวางไว้ในจุดที่ผิดก็จะนำพาปัญหามาให้
ขณะมองหลานสาวที่ไม่รู้เดียงสาข้างกาย ชายชราก็ยังคงอมยิ้มอยู่เงียบๆ เขายกมือขึ้นหยิบถ้วยชาขึ้นมา แล้วรินน้ำชาถ้วยหนึ่งตรงหน้าเธอ
“ลองดื่มดูสิ”
เธอพยักหน้า ยกถ้วยชาขึ้นอย่างนอบน้อม จิบเบาๆ คำหนึ่งแล้วลิ้มรสอย่างละเอียดลออ
“เป็นยังไง?”
“น้ำชารสเข้มและหวาน มีกลิ่นหอมของน้ำตาลกรวด เมื่อผ่านลงคอไปแล้วรู้สึกเย็นสบาย” ดวงตากลมโตกะพริบเบาๆ แววตาสว่างวาบ “ต้นชาโบราณของปิงเต่า[2]”
ชายชราพยักหน้าอย่างชื่นชม
“ในบรรดาหลานๆ ก็มีแต่เราที่รู้เรื่องชา”
“เป็นเพราะคุณลุงลำเอียงต่างหาก ทุกครั้งที่มีชาดีก็จะเอามาให้หนูดื่มก่อนตลอด” เธอยิ้มแล้วแลบลิ้นออกมาอย่างซุกซน
“ให้พวกเขาดื่มชาดีเป็นการเสียประโยชน์ นอกจากลูกคนโตแล้ว ลูกคนอื่นทั้งนอนดึกทั้งดื่มเหล้า ลิ้นจะไวได้ยังไง?” ชายชราส่ายหน้า เปลี่ยนเรื่องสนทนาทันที “แต่จะว่าไป เราก็นอนดึกเหมือนกัน” ผิวขาวเนียนของเธอนั้นเก็บความลับใดๆ ไว้ไม่ได้
เธอก้มหน้าลง ยอมรับผิดแต่โดยดี
“ครั้งหน้าหนูไม่กล้าแล้วค่ะ”
“จำไว้ว่าสุขภาพสำคัญที่สุด”
“ค่ะ ดูแลสุขภาพถึงจะหูตาว่องไว จิตใจโปร่งใสเหมือนคุณลุง”
“ปากหวานนักนะเรา ไปเรียนมาจากไหน?”
“ก็คุณลุงสอนเองไงคะ!” เธอยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ
ชายชราหัวเราะฮ่าๆ ไม่ได้ปิดบังความยินดี “ใช่สิ เดือนหน้าเป็นวันเกิดเรา อยากจะฉลองยังไง?”
“ได้ทั้งนั้นค่ะ คุณลุงจะจัดการยังไงคะ?” เธอไม่มีความสนใจในงานรื่นเริง แต่ก็ปฏิเสธความหวังดีของผู้ใหญ่ไม่ได้ ไม่ว่าจะจัดการอย่างไรเธอล้วนเชื่อฟัง
“วันฉลองครบรอบอายุยี่สิบปีจะจัดอย่างลวกๆ ไม่ได้ ในวันที่เจียหรูอายุครบยี่สิบได้จัดพิธีเป็นผู้ใหญ่ จองโรงแรมทั้งโรงแรมฉลองวันเกิดให้” ชายชรามองใบหน้าเล็กที่สีเลือดค่อยๆ จางหายดวงนั้นพลางยกริมฝีปากยิ้ม “วางใจเถอะ วันเกิดของเราก็คืองานเลี้ยงของครอบครัว ฉลองกันในครอบครัวก็พอแล้ว”
“ขอบคุณค่ะคุณลุง”
“ขอบคุณที่ลุงปล่อยมือให้เราได้พ้นภัยใช่ไหม?” หึๆ ดูเครียดเข้า
เธอยิ้มอย่างโล่งใจ ยกถ้วยชาขึ้นดื่มชาหอมกรุ่น รู้สึกถึงความหวานละมุนอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของต้นชาโบราณในลำคอ รู้สึกเพียงว่าสองแก้มชุ่มชื้น
“ดื่มแล้วชอบไหม?” ชายชราถาม
“ชอบค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็เอาก้อนชากลับไปสองสามก้อน ลุงคนเดียวดื่มไม่หมดหรอก” ชายชราส่ายศีรษะ ทอดถอนใจเล็กน้อย “ชาชุดนี้ตอนที่ลุงซื้อมาเมื่อสิบกว่าปีก่อนไม่ได้แพง แต่ระยะนี้กลับถูกปั่นจนราคาสูงแล้ว ไม่ใช่แค่แพง ที่แย่กว่านั้นคือมีของปลอมเยอะเกินไป เราดื่มชาที่ถูกต้องให้เยอะๆ ลิ้นถึงจะไว สามารถแยกของจริงกับของปลอมออกได้”
“เตียนหงจินหยาที่คุณลุงให้มาครั้งที่แล้วยังดื่มไม่หมดเลย” เธอกล่าวเสียงอ่อน
“ดื่มช้าเกินไปแล้ว เตียนหงจินหยายังไม่ต้องดื่ม เปลี่ยนมาดื่มปิงเต่าก่อน” ชายชรายกมือขึ้นกวักเบาๆ “โซ่วฉวน”
ชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินออกมาจากมุมห้อง ก้มหน้าลงต่ำท่าทางนอบน้อม
“ครับ”
“ไปหยิบก้อนชาปิงเต่ามาสามก้อน” ชายชราสั่ง
“ครับ” ชายวัยกลางคนเดินเข้าไปในห้องทางตะวันตก ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้เดินออกมา ในมือถือก้อนชาทรงกลมขนาดราวใบหน้าของเด็กสิบขวบ ห่อด้วยกระดาษขาวที่เปลี่ยนเป็นสีเหลืองสามก้อน ค้อมเอวน้อยๆ แล้วยื่นมาตรงหน้าของทั้งสองคน
“เชิญนายท่านดูครับ”
ชายชราและเด็กสาวต่างมองดูก้อนชาตรงหน้าด้วยกัน
“เรากลับไปดูให้ดีๆ กระดาษนี้ก็มีรายละเอียดเหมือนกัน เป็นเคล็ดลับในการแยกแยะของจริงกับของปลอม”
“ค่ะ”
เมื่อได้เห็นก้อนชาก้อนแรก ชายชราก็พยักหน้าเป็นสัญญาณ ชายวัยกลางคนจึงวางก้อนชาก้อนแรกลงบนโต๊ะแล้วหยิบก้อนที่สองออกมา รอจนชายชราพยักหน้าอีกครั้งถึงได้หยิบก้อนที่สามออกมา ชายชราพยักหน้าอีก จากนั้นก็เบนสายตามองไปด้านข้าง
“จำไว้ว่าดื่มชุดนี้ก่อน ครั้งหน้าจะทดสอบเรา...”
ทันใดนั้น เสียงของชายชราก็หยุดลงทันควัน แววตาแข็งค้าง ร่างกายทรุดฮวบไถลลงจากเก้าอี้ลงไปบนพื้นอย่างเงียบเชียบ ชายวัยกลางคนผู้นั้นรับไว้ได้ทันเวลา
“คุณลุง!” เธอตกใจจนกระโดดลงจากเก้าอี้
“คุณหนูชิ่งรีบมาดูอาการนายท่านก่อนเร็ว เรียกนายท่านไว้อย่าหยุด” ชายวัยกลางคนกล่าวอย่างร้อนใจ “ผมจะไปเรียกรถพยาบาลมา!”
“คุณลุง” เธอตกใจจนทำอะไรไม่ถูก คุกเข่าร้องเรียกอยู่บนพื้น “คุณลุง นี่ซูชิ่งไงคะ ฟื้นเร็ว คุณลุง คุณอาโซ่วฉวนกำลังโทรเรียกรถพยาบาลอยู่ พวกเรา...”
เพล้ง!
เสียงกระจกแตกดังขึ้นข้างกาย ของเหลวกระเซ็นใส่แขนเปล่าเปลือยของเธอ เธอหันไปมองตามสัญชาตญาณ เห็นเข็มฉีดยาที่แตกหักและกระบอกฉีดยาว่างเปล่าตกลงบนพื้น อีกด้านยังมีของเหลวที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรอยู่เล็กน้อย
ส่วนคุณอาโซ่วฉวนก็ไม่รู้ว่าถูกชายสวมเสื้อกล้ามสีดำคนหนึ่งล็อคตัวไว้ตั้งแต่เมื่อไร ชายคนนั้นมีผิวสีคล้ำ ร่างเพรียวแกร่งนั้นสูงใหญ่แต่เคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบ มือหนึ่งของเขาล็อคมือขวาที่ลงมือไม่สำเร็จของชายวัยกลางคนไว้ บังคับให้ชูขึ้นสูงพลางตะโกนสั่งเธอเสียงเย็น
“นี่คุณยังจะตะลึงอยู่ที่นี่ทำไม? ผมส่งข้อความไปมากขนาดนั้น คุณไม่เห็นเลยเหรอ?”
เธอทำหน้างงงัน เพราะไม่รู้จะทำอย่างไรกับการเปลี่ยนแปลงกะทันหันนี้
โซ่วฉวนกัดฟันแน่น มือหนึ่งยื่นออกมา สีหน้าท่าทางจริงใจ “คุณหนูชิ่ง ผม...”
ชายแปลกหน้าโบกมือ กล้ามเนื้อบนท่อนแขนสีแทนหดเกร็งแล้วต่อยชายวัยกลางคนอย่างแรงจนล้ม เพราะแรงเยอะเกินไป หลังถูกต่อยก็งอตัวกุมเข่าไถลออกไปประมาณครึ่งฟุต กระแทกเข้ากับโต๊ะบูชาข้างหลังจนแจกันล้มลง ดอกบัวตูมร่วงออกมา
ชายวัยกลางคนเอามือกุมท้องพลางคุกเข่าไออยู่บนพื้น แผ่นหลังเปียกชื้นไปด้วยน้ำที่ไหลออกมาจากแจกันดอกไม้
ชายหนุ่มคว้าตัวเธอขึ้นแล้วกดไว้กับผนังอิฐสีแดง นัยน์ตาดำขลับมองเข้าไปในดวงตาของเธอแล้วเค้นถามเสียงเหี้ยม
“ผมคือใคร?”
เธองุนงงไม่รู้จะทำอย่างไร ตัวสั่นไม่หยุด เธอจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเขาที่ปรากฏตัวอย่างกะทันหันเป็นใครกัน?
ใบหน้าลึกล้ำดุดัน ร้องเรียกด้วยเสียงคำราม
“นึกถึงการฝึกซ้อมที่คุณได้รับ! เร็ว!”
การฝึกซ้อม? ฝึกซ้อมอะไร?!
เธอมองใบหน้าตรงหน้าอย่างตื่นตระหนก ความคิดแล่นวาบ พลันจำเขาได้ในทันที เธอพิจารณาใบหน้าของผู้ชายที่อยู่ใกล้จนใกล้ไปไม่ได้มากกว่านี้อีกแล้วพลางอ้าปากหอบหายใจ กล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า
“คุณคือแบล็ค”
“ถูกต้อง” เขาพยักหน้า สีหน้าไม่คลายลง “สิ่งที่คุณต้องทำคืออะไร?”
“เชื่อใจคุณ”
“ดีมาก” เขาหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากเอวแล้วยัดใส่มือเธอ “นี่คือหนังสือเดินทางเล่มใหม่ของคุณกับตั๋วเครื่องบิน ข้างในยังมีโทรศัพท์มือถือ รถจอดอยู่ข้างนอกยังไม่ได้ดับเครื่อง คุณรีบออกเดินทางไปสนามบินเดี๋ยวนี้”
“แต่ว่า...”
โซ่วฉวนลุกขึ้นยืนอีกครั้งแล้วเดินโซเซเข้ามา
“คุณหนูชิ่ง จะทิ้งนายท่านไปไม่ได้นะครับ!”
ตอนที่เข้ามาใกล้นั้น ร่างที่ดูเหมือนอ่อนแอเอื้อมมือเข้ามาอย่างรวดเร็ว เตรียมพุ่งเข้าโจมตีอีกครั้ง
ชายหนุ่มยื่นมือขึ้นจับไว้อย่างแม่นยำ สายตาที่ปราดมองแหลมคมและอันตราย เขาออกคำสั่งเสียงเย็น
“หนีเร็ว”
เพราะมีเรื่องที่ต้องห่วงมากเกินไปจึงทำให้เธอไม่อาจจากไปได้
แต่เรื่องนี้เธอเคยได้รับการฝึกมานานแล้ว
ไม่มีทางเลือกอื่น ซูชิ่งวิ่งออกไปจากคฤหาสน์เก่าโดยไม่หันกลับมามอง พุ่งไปใต้แสงอาทิตย์ร้อนระอุ
เธอเริ่มหนีเอาชีวิตรอด
[1] ชื่อถิ่นสกุล เป็นชื่อที่บอกภูมิลำเนาเดิมของบรรพบุรุษ ตามการแบ่งพื้นที่ปกครองในสมัยจีนโบราณ มักใช้เป็นชื่อบ้านหรือศาลบรรพชนของชาวจีน
[2] ปิงเต่า คือชื่อหมู่บ้านในเขตหลินชาง มณฑลอวิ๋นนานในปัจจุบัน เป็นแหล่งชาผูเอ่อร์ที่มีชื่อเสียง
-- อ่านต่อได้ที่ http://bit.ly/30qtDiC --
ติดตามโปรเจกต์เสี่ยวเปยและร่วมพูดคุยกับพวกเราได้ที่
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้นำมาจากแหล่งอื่นและได้รับการอนุญาตจากเจ้าของแล้ว
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ