เจนติกา ฝ่าโลก
เขียนโดย pugraider
วันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 เวลา 17.00 น.
แก้ไขเมื่อ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 17.03 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) เหตุการณ์ในวัน "นั้น"
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความฉันเพียงแค่หวังว่า.. ถ้าหากสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงแค่เรื่องโกหกก็คงจะดี...
ตอนนี้..ฉันเหนื่อยล้ามาก! มากขนาดที่ฉันไม่สามารถขยับปลายนิ้วใดๆ ได้เลย แม้ว่าฉันจะกระหายน้ำเพียงใด ถึงแม้ว่าน้ำที่ฉันมีนั้นจะอยู่แค่ในกระเป๋าข้างๆ ตัวฉัน เหมือนร่างกายมันกำลังบอกฉันว่า ให้ปล่อยวางทุกอย่างแล้วหลับเสียเถิด แต่ฉันไม่สามารถทำได้!
เพราะตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ฉันจะย่ามใจพักผ่อนได้ ไม่มีอีกแล้วเวลานอนสุขสันต์พร้อมนิทานก่อนนอน ตอนนี้มันคือหายนะชัดๆ! ถ้าฉันล้มตัวลงนอนไปเสียตอนนี้ฉันคงได้นอนเสียชีวิตไปตลอดกาลเป็นแน่!
เพราะตอนนี้นั้นมีฉันอยู่คนเดียวนะซิ! ใช่! เธอฟังไม่ผิดหรอก ถ้านับพวก “มัน” ที่อยู่ข้างล่างเต็มไปหมด พวกมันไม่ใช่คนอีกต่อไปแล้ว ไม่ใช่สำหรับฉัน ฉันเคยเห็นพวกมันในหนัง มันคงสนุกดีถ้านั้นเป็นเพียงแค่จินตนาการบ้าๆ ของคุณ แต่ไม่ใช่ในชีวิตจริง!
ที่ฉันอยู่ตอนนี้น่ะ ฉันนั่งอยู่บนดาดฟ้าตึก5ชั้น ฉันคิดว่ามันเป็นหนึ่งในหลายร้อยตึกแถว คู่ขนานในย่านแถวอ่อนนุช ฉันมาที่นี่ทำไมนะเหรอ นั้นก็เพราะว่าตั้งแต่เกิดเรื่อง “นั้น” ขึ้นสิ่งเดียวที่ฉันคิดได้คือ ต้องออกจากฝูงชนให้ไกลที่สุด แต่ไกลแค่ไหนละถึงปลอดภัย ถึงจุดหนึ่งฉันคิดว่าจุดตั้งหลักที่ดีที่สุดที่จะได้ฟังข่าวสารและมีเวลาที่จะคิดว่าควรทำอย่างไรต่อไปคือแถบ “ชานเมือง” ใช่! เป็นไงหล่ะเลยต้องมาติดแหง็กอยู่บนนี้เลย!
ฉันยังคิดอีกว่าตั้งแต่เกิดเรื่อง “นั้น” ทุกอย่างก็ไม่เหมือนเดิม เพราะเท่าที่ฉันจำได้ไม่เคยมีปีไหนเลยที่เดือนธันวาจะหนาว แต่ไม่ใช่ในปีนี้ ฉันว่าลมหนาวมันมามากกว่าทุกครั้ง ไม่งั้นฉันคงไหม้ตายบนดาดฟ้านี้แน่! แต่ว่าสภาพฉันไม่ตายก็เหมือนตายแล้วตอนนี้! ฉันทำได้เพียงภาวนาให้พวก “มัน” ที่อยู่ข้างล่างไม่รู้ว่าฉันนั้นอยู่บนนี้! บ้าจริงทั้งๆ ที่เป็นตอนกลางวันนี่! รัฐบาลก็ประกาศแล้วแท้ๆ ว่าพวก “มัน” จะปรากฏตัวเฉพาะเวลากลางคืน แต่มันตัองไม่ใช่ในเวลากลางวันแบบนี้เซ่! รัฐบาลมัวทำอะไรอยู่นะ! แต่ตอนนี้จะหวังพึ่งคนอื่นก็ไม่ใช่ ถึงก่อนหน้านี้จะหวังพึ่งไม่ได้เลยก็เถอะ!
ตอนนี้สิ่งเดียวที่ฉันทำได้คือนั่งผ่อนคลายร่างกายและสมองของฉันให้มากที่สุด ฉันต้องคิด คิดว่าจะทำอย่างไรต่อจากนี้ ด้วย “พลัง” ที่ฉันมี.. ฉันจะออกจากสถานการณ์นี้อย่างไรดี ใช่... ฉันจำได้ดีเลยหล่ะ วันที่เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นในวัน “นั้น” วันที่ฉันได้รับ “พลัง” ที่ไม่สามารถจินตนาการได้ และวันนั้นเป็นวันที่ฉันสูญเสียคนที่ฉันรักไป...
— 3 อาทิตย์ก่อน —-
16 พฤศจิกายน 2582
“เจน! ตื่นได้แล้วลูก! รีบลงมาดูข่าวนี้เดี๋ยวนี้เลย ไม่งั้นลูกจะพลาดวินาทีสำคัญนะ! ”
เสียงนั้นออกมาจากผู้หญิงวัยกลางคน เป็นเสียงที่ดังสนั่นและชัดแจ๋ว มันเคลื่อนตัวไปตามอากาศ ผ่านแจกันที่เหมือนมีคนพึ่งเปลี่ยนดอกไม้ไปหมาดๆ เสียงนั้นขึ้นไปตามบันไดที่ชั้น2อย่างรวดเร็ว มันไปตามเส้นทางเดินที่ปูด้วยไม้ขัดเงาแบบพิเศษ ก่อนที่จะลอดผ่านใต้ประตูสี่เหลี่ยมบานใหญ่ เสียงนั้นค่อยๆ ไปกระทบเข้ากับหูของหญิงสาวคนหนึ่ง แสงแดดอ่อนๆ ที่กระทบเข้าหน้าเธอ ทำให้ใบหน้าของเธอนั้นเหมือนมีออร่าอ่อนๆ แผ่ออกมาผ่านผมเทาๆ ของเธอ เธอมีแววตาที่คมแวววาวแต่ก็อ่อนหวานในคราวเดียว ใบหน้าที่ได้สัดส่วนของเธอทำให้ดูเหมือนลิซ่าวงไวท์พิ้งในเวอร์ชันคนธรรมดาที่จับต้องได้ ใช่จับต้องได้ เพราะสภาพเธอตอนนี้ไม่ต่างกับลูกหมาพันธ์ุชิสุ ผมของเธอพันกันไม่เป็นทรงยังไม่นับคราบน้ำลายที่ไหลย้อยมาเมื่อคืนอยู่เต็มหมอนและตอนนี้มันยังอยู่ข้างแก้มหล่อนอีกด้วย! ตอนนี้เธอกำลังนั่งพิงหัวเตียงในมือของเธอนั้นถือสมาร์ตโฟน Huakaiwa p300 รุ่นล่าสุดในตลาด เธอกำลังฟังข่าวที่เด่นดังที่สุดในนาทีนี้..
“กำลังจะลงไปจ๊ะแม่ กำลังดูข่าวอยู่พอดีเลย! ”
เจนตะโกนกลับ..
“พ่อก็นึกว่าลูกจะหลับลืมเรื่องนี้ไปแล้วนะเนี่ย เห็นเมื่อวานกลับดึกเชียว เอ้า! รีบมากินข้าวเร็ววันนี้แม่ลูกเขาทำของโปรดไว้ให้เชียวนะ”
พ่อฉันพูด ขณะที่ฉันกำลังล้างหน้ากับซิงค์ในห้องครัวที่ชั้นล่าง พ่อและแม่ของฉันเป็นผู้ใหญ่ที่ ใครหลายๆ คนต่างนับถือ เพราะพวกท่านทั้งใจดีและมีเมตตา แม้จะมีสบถคำหยาบบ้างบางครั้งก็เถอะ
“โอ๊ยอย่างพี่เจนนะเหรอ กลับเช้าเป็นเรื่องปกติ กลับดึกสิแปลก! ถ้าไปเที่ยวผับที่ไหนอย่าลืมชวนหนูด้วยนะ”
นั่นนะ ยัยแจนน้องแท้ๆ ของฉันเห็นอย่างงี้ห่างกันตั้ง 6 ปีเชียวนะ ปีนเกลียวได้อีกนะหล่อน!
“ อย่างแกนะไว้อีก 2 ปี ค่อยเข้าย่ะ ถึงหน้าเธอจะผ่านแต่อายุหล่อนยังไม่ถึงนะจ๊ะ “
ฉันเอาผ้าเช็ดหน้าไปพลางแซวยัยแจนไปพลางก่อนที่จะหันไปคุยกับคุณพ่อ
“เมื่อคืนหนูทำ Thesis กับกลุ่มเพื่อนดึกไปหน่อยค่ะพ่อ ถ้าหนูรู้ว่าเข้าคณะจิตวิทยาจะทำเรื่องจบมันยากขนาดนี้ หนูกลับไปเลี้ยงไอดำควายที่บ้านเก่าเราดีกว่า”
“แม่ว่าที่นั่นเขาคงไม่ต้องการควายเพิ่มแล้วหล่ะยัยเจน เอ้ารีบมากินข้าวถึงเวลาสำคัญแล้วนะเดียวก็พลาดหรอก! ”
แม่ฉันพูดพลางเติมน้ำในแก้วของเธอก่อนที่จะหยิบรีโมททีวีมากดเพิ่มเสียงผ่านทีวีดิจิตอลคริสตัลเคลือบเพชรเก๊ๆ ที่แม่ฉันสั่งจากทีวีไดเรคเมื่อนานมาแล้ว
“มาถึงแล้วนะคะคุณผู้ชมวินาทีที่โลกต้องจับตา เมื่อนาซ่าร่วมมือกับสหประชาชาติ งานนี้รวมไปด้วยนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำจากหลายๆ ประเทศร่วมมากกว่า 142 ประเทศด้วยกันค่ะ เดียวเรามาสัมภาษณ์นักวิทยาศาสตร์เจ้าของโปรเจคคุณ โอบีวัน กันนะคะ”
“ครั่บผ้ม หลั่งจากที่ 10 ปีที่แล้วเราได้เจ้อสิ่งก่อสร้างเทคโนโลยีปริศน๋าที่ถูกทิ้งร้างอยู่บนดวงจั้น เลาได้ทำการค้นคว้า และ ศึกษามัน 10ปีให้หลัง ณ ตอนนี้เลาทราบแล่วครั่บว่ามันใช้ทำอะไรได้บ่าง (สำเนียงฝรั่ง) ”
“หลั่กการของมั่นนะครั่บเลาค้นพบว่าสามารถเคลื่อนย้ายมวลสารจากที่หนึ่งไปอีกที่นึงได้ครั่บพ๊ม (สำเนียงฝรั่ง) ”
“เลาได้ทำการสร้าง สิ่งก่อสร้างนั่นด่วยเทคโน่โลยี๊ของเลาครั๊บ แล่ะนี่จะเป็นการทดลองการ Teleportation (ย้ายมวลสาร) ครั้งแรกของมนุษชาติครั้บ (สำเนียงฝรั่ง) ”
“ใช่แล้วครับคุณผู้ชม กับเจ้าเครื่อง “Teleporter 6s plus” ที่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกของมวลมนุษชาติที่จะมีการเคลื่อนย้ายมวลสาร มนุษอวกาศเป็นๆ จากดาวโลกไปยังดาวอังคารครับ! ”
เสียงออกอากาศจากรายการข่าวช่อง 7263
ข่าวนี่เป็นข่าวที่โด่งดังไปทั่วโลกเป็นอย่างมาก ก่อนหน้านี้เมื่อ 10 ปีที่แล้ว (2572) ด้วยเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องทำให้สิ่งต่างๆ เปลี่ยนไปอย่างมากโดยเฉพาะการคมนาคม ไม่ว่าจะเป็น BTES ที่เปลี่ยนจากรถไฟฟ้าธรรมดาเป็นรถไฟฟ้าความเร็วสูงทำให้การเดินทางจากสถานีบางนาไปหมอชิตใช้เวลาเพียงแค่ 10 นาที (ถ้าไม่นับว่าเสียบ่อยนะน่ะ) หรือแม้กระทั่งแท็กซี่ที่มีการเพิ่มป้ายสัญญาณว่าแก๊สหมดเพิ่มเข้ามาอีกด้วย แต่ที่เปลี่ยนไปอย่างมากคือยานอวกาศ มีการค้นพบแก๊สเชื้อเพลิงที่มีคุณภาพสูงทำให้การท่องเที่ยวในอวกาศไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป การสำรวจจึงมีมากขึ้น และ ได้มีการค้นพบเศษซากโบราณสถานภายใต้ ดวงจันทร์ มันเป็นเทคโนโลยีบางอย่างที่เราก็ไม่เข้าใจ จนกระทั่งวันนี้ 10 ปีให้หลัง ณ ปัจจุบัน ตัวฉันเองก็ยังไม่เข้าใจกลไกของเจ้าเครื่อง Teleporter 6s plus นี่มากหรอกนะ แต่จากที่ฉันได้ยินข่าวมาเคยมีคนว่าชื่อข้างหลังนี้ในอดีตเคยเป็นของชำรุดอยู่บ่อยๆ บวกกับ ฉันก็ไม่ไว้ใจเอาเจ้าเครื่องบ้าอะไรนี่อยู่แล้ว ไม่รู้จะอันตรายแค่ไหน ผ่านการอนุมัติจากหลายๆ ประเทศได้ยังไงฉันเองก็ไม่รู้ แต่ฉันก็ยังติดตามข่าวนี้เหมือนกับอีกหลายล้านคนบนโลก ก็แน่ล่ะฉันอยากรู้นี้น่าว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น
“เดียวเจนขอตัวไปหาเพื่อนก่อนนะคะ หนูต้องไปคุยเรื่อง Thesis กันต่อนะค่ะ นี่ก็พึ่งเสร็จไป 2 ส่วนแล้ว”
ใช่และยังเหลืออีก 999,998 ส่วน..
“ไปดีมาดีนะลูก อ้าวอย่าลืมหล่ะว่าเย็นนี้เรามีนัดกันไปกินชาบูร้านโปรดเจ้าแจนมันหน่ะ”
“พ่อจะรอที่เดิมนะลูก เงินพอใช้ไหมถ้าไม่พอบอกพ่อได้นะ”
“พี่เจนขากลับอย่าลืมซื้อชานมไข่มุกร้านข่อย (KOII) ให้หนูด้วยนะ แล้วก็อย่าไปเที่ยวกับผู้ชายเพลินจะลืมเวลาหล่ะพี่! ”
ทั้งสามคนต่างบอกลาฉันก่อนออกจากบ้าน มันเป็นภาพที่เห็นได้ในทุกๆ วัน และใช่ ฉันชินกับมันแล้วหล่ะ..
“ค่าเดียวเจนไปเจอคุณพ่อที่เดิมนะคะ”
ฉันเพียงแค่หวังว่า ถ้าหากฉันรู้ว่านั่นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราได้เจอกัน ฉันคงจะพูดอะไรดีๆ กว่านี้ ไม่สิ ฉันคงเลือกที่จะไม่ไปหาเพื่อนเพื่อทำ Thesis อะไรโง่ๆ นั่นหรอก ถ้าใช้เวลาสุดท้ายในชีวิตได้ ฉันขอเลือกที่จะอยู่กับคนที่ฉันรักดีกว่า ถึงแม้ว่าจะเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ ก็เถอะ..
ขณะที่ฉันกำลังปิดประตูรั้วบ้าน ก่อนที่จะเดินไปปากซอยนั้น ฉันมักจะสวัสดีป้าสมศรีเสมอ เธอเป็นคุณป้าข้างบ้านที่มักจะรดน้ำเวลานี้ของทุกเช้าเป็นประจำ แล้วค่อยเดินไปเล่นกับเจ้าไช หมาพันธุ์ไซบีเรียนที่บ้านหลังถัดไป ตอนเด็กๆ ฉันมักจะเล่นกับมันเป็นประจำ จนตอนนี้เราสนิทกันแล้วหล่ะ มันมักจะยิ้มให้ฉันอยู่บ่อยๆ ถึงคนอื่นจะบอกว่ามันพยายามแยกเขี้ยวใส่ฉันก็เถอะ ชั้นรู้ดีว่ามันไม่มีทางทำร้ายฉันหรอก อย่างน้อยฉันก็คิดแบบนั้นหนะนะ ต่อจากนั้นค่อยเดินไปถึงปากซอย แล้วจึงโบกแท็กซี่ไปร้านคาเฟ่ ที่ฉันกับเพื่อนมักจะไปนั่งกันเป็นประจำ เวลามีเรื่องที่สำคัญและไม่สำคัญอยู่บ่อยๆ ถึงอย่างหลังจะบ่อยสุดก็เถอะนะ
แต่ไม่ใช่วันนี้ วันนี้ฉันไม่เห็นป้าสมศรี ฉันคิดว่าแกคงกำลังดูข่าวนั้นอยู่เหมือนกัน ฉันเลือกที่จะหยิบหูฟังแบบไร้สายที่ฉันพึ่งซื้อมา มันเป็นรุ่นตัดเสียงรบกวนที่ดีที่สุดในตอนนี้คุณจะไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงหายใจตัวเองเลยด้วยซ้ำ ซึ่งมันก็ตัดงบเดือนนี้ของฉันไปเยอะเสียด้วยเช่นกัน ฉันเปิดฟังข่าวนี้อีกครั้ง ก่อนที่จะเดินไปปากซอย และวันนี้ฉันไม่ได้เล่นกับเจ้าไช...
ฉันก้าวเดินออกจากรั้วบ้าน..
“เกิดเรื่องใหญ่แล้วค่ะคุณผู้ชม! ตอนนี้เจ้าเครื่อง Teleporter เกิดการทำงานผิดพลาดค่ะ! นักวิทยาศาสตร์ คุณโอบีวันของเรา ยังไม่สะดวกที่จะตอบข้อสงสัยสื่อในตอนนี้...”
ฉันเดินมาได้กลางซอยแล้ว...
“ดูนั่นสิคะคุณผู้ชม! ภาพจากดวงจันทร์ค่ะ! เหมือนว่าฉันเห็นภาพบิดเบี้ยวที่ใจกลางโบราณสถานนะคะ! มันเริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แล้วค่ะคุณผู้ชม! และไม่มีท่าทีว่าจะหยุดลงด้วยซ้ำนะคะ! ”
ฉันเดินมาหยุดอยู่ที่ปากซอยก่อนที่จะตั้งใจฟังว่ามันกำลังเกิดอะไรขึ้น
“มันหยุดแล้วค่ะคุณผู้ชม! รอยเบี้ยวมันใหญ่มาก! คุณผู้ชมลองมองขึ้นไปบนฟ้าสิคะ! ฉันสาบานได้เลยว่าฉันเห็นดวงจันทร์บนนั้นบิดเบี้ยว มันใหญ่ได้ 1/10 ของดวงจันทร์เลยด้วยซ้ำค่ะ!
ฉันมองขึ้นไป ฉันเห็นมัน..ถึงแม้จะยังเป็นตอนเช้าอยู่ก็ตาม และฉันคิดว่าดวงจันทร์ที่เคยทรงกลมตอนนี้บางส่วนของมันไม่เป็นรูปด้วยซ้ำ...
“คุณผู้ชมคะ! ตอนนี้เครื่อง Teleport ที่ตั้งอยู่บนโลกของนาซ่านั้นได้เกิดความเสียหายเป็นอย่างมากค่ะ! แม้เครื่องทั้ง 2 จะไม่สามารถใช้งานได้แล้ว แต่ผลกระทบของมันยังอยู่! เราไม่สามารถคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปได้แล้วค่ะคุณผู้ชม! ”
“รอยเบี้ยวมันเริ่มยุบตัวอย่างรวดเร็วแล้วค่ะ! ฉันไม่อยากจะคิดว่าถ้ามวลมหาศาลมากมายขนาดถ้าเกิดการบีบอัดที่รวดเร็วแบบนี้แล้วละก็...”
ฉันคิดว่าฉันรู้คำตอบนี้มาจากหนังสือเล่มหนึ่ง.. มันจะระเบิด..
“ด.. ด.. ดวงจันทร์ระเบิดแล้วค่ะคุณผู้ชม! ฉันสามารถมองเห็นมันได้จากบนโลกเลยด้วยซ้ำ! มันเริ่มแหว่งไปบางส่วนแล้วค่ะคุณผู้ชม!! เพียงแค่พื้นที่ 1/10 ของดวงจันทร์นั้นได้แตกกระจายออกไปนับล้านส่วนแล้วค่ะ! และตอนนี้มันกำลังลอยอยู่ในอวกาศ...”
มันบ้ามาก! ฉันหวังว่าเศษซากพวกนั้นจะลอยไปทิศทางอื่นนะ.. แต่ถ้ามันมาทางโลก.. ฉันก็ยังหวังว่าจะมันจะโดนเผาไหม้ไปจนหมดที่ชั้นบรรยากาศเทอร์โมเฟียร์ มันอยู่ห่างจากพื้นโลกไปเกือบถึง 500 กิโลเมตร ที่ฉันรู้เพราะฉันพึ่งดูสารคดีที่เกี่ยวกับชั้นบรรยากาศเมื่อวานนี้เอง! ตอนนี้ฉันกลัวมากแต่ฉันยังอุ่นใจอยู่ในเวลาเดียวกัน เพราะดวงจันทร์นั้นอยู่ห่างจากโลกมาก กว่าที่เศษซากมันจะมาถึงนั้นคงต้องใช้เวลา....
“น.. น.. นั่นมันบ้าอะไรบนฟ้านะคุณผู้ชม!! อย่าบอกนะว่าผลของการ Teleport พึ่งจะเริ่มแสดงผล! ม.. ม.. มันคือหายนะของมนุษยชาติแล้วค่ะ!! ”
“ตู๊มมมมม!!!!!!! ”
เสียงดังสนั่น ดังก้องไปทั่วท้องฟ้า ไม่ใช่ เสียงมันมาจากท้องฟ้าต่างหาก!! บางส่วนของเศษซากอุกกาบาตมันมาโผล่อยู่เหนือท้องฟ้าของเรา! ชั้นว่ามันน่าจะห่างไป 60 - 80 กิโลเมตรเหนือพื้นดิน น่าจะอยู่ชั้นบรรยากาศ มีโซสเฟียร์ แบบนี้แย่แน่! เพราะการเผาไหม้มันจะไม่สมบูรณ์! เศษอุกกาบาตไม่มีทางไหม้หมดแน่! เลวร้ายมาก เป็นการ Teleport ที่เลวร้ายที่สุด! มันควรจะส่งมวลไปดวงจันทร์สิ ไม่ใช่ส่งมวลกลับมาแบบนี้!
“เฟี๊ยวววว~~~!!! ”
เศษอุกกาบาตลูกหนึ่งมันพึ่งลอยผ่านเหนือหัวฉันไป ดูจากทิศทางที่มันไป มันไปทางทิศเหนือ.. ฉันหวังว่ามันจะไม่ใช่อ่างทองนะ...
ตอนนี้ภาพที่ฉันเห็นนั้นมากเกินกว่าคำว่าหายนะไปมาก ก่อนหน้านี้ฉันไม่รู้ตัวเลยว่าเกิดอะไรขึ้นรอบตัวบ้าง ทันทีที่ฉันถอดหูฟังออก มันเต็มไปด้วยเสียงระเบิดเกือบทุกที่! เสียงกรี๊ดตามท้องถนน เสียงแตรรถที่ประสานเสียงกันเป็นออร์เคสตรา เศษซากรถ สิ่งก่อสร้าง และ ศพ.. เต็มไปตลอดทางที่เศษอุกกาบาตปะทะใส่.. โชคดีที่ชั้นบรรยากาศได้เผาไหม้เศษบางส่วนของเศษอุกกาบาตไป แต่ไม่ใช่โชคสำหรับพวกเรา.. เพราะมันเผาไหม้ไม่สมบูรณ์...
ตอนนี้ฉันห่างกับบ้านฉันเพียง 400 เมตร..
ฉันกลัว...
กลัว..
ฉันแทบขยับตัวไม่ได้..
ฉันคิดเพียงแค่ว่า..
อยากกลับไปเจอครอบครัว..
ฉันหันหลังกลับเข้าซอย
ฉันเริ่มก้าวเท้า
ฉันเริ่มเดิน
ฉันเริ่มวิ่ง..
ฉันเห็นครอบครัวเดินออกมาจากบ้าน..
ฉันคิดว่าพวกเขาเห็นฉัน..
ฉันกำลังวิ่งไป..
300 เมตร
“ตู๊มมม!!!!! ”
อุกกาบาตตกลงตรงบ้านฉันพอดี..
พอดี..
กับครอบครัวฉัน..
แรงระเบิดผลักฉันกระเด็น..
ทุกอย่างขาวไปหมด..
ขาวไปหมด..
พ่อ...
แม่..
แจน..
ขาว..
ฉันสลบไป...
————————————————-
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ