DEATH WISH ปราถนามรณะ

-

เขียนโดย Killjoys

วันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2562 เวลา 18.15 น.

  1 Chapter
  0 วิจารณ์
  2,178 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 21 เมษายน พ.ศ. 2562 18.29 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) The strange man And the mysterious disappearance of people

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

- DEATH WISH -

Chapter 1: The strange man And

the mysterious disappearance of people

 

Killjoys

Present

 

 

 

              

 

            ในตอนที่ผมยังเป็นเด็ก พ่อของผมมักจะพาผมเข้าไปในเมืองเพื่อดูหนังเรื่อง End Poisons ที่เข้าฉายระหว่างปี

1998 หน้าโรงหนังตัดผ่านกับถนนสายหนึ่งที่ไม่มีชื่อ พวกเขาเรียกถนนสายนั้นว่า 532 เลขสามตัวที่เหมือนจะมีความนัย

แฝง แต่พวกเขาก็บอกว่า มันเป็นแค่ตัวเลขที่ถูกตั้งขึ้นสุ่มๆเท่านั้น และข้างหน้าโรงหนัง จะมีพวกเด็กวัยรุ่นมาเป็นคู่ หรือ

มาเป็นกลุ่มแก๊ง เพื่อซื้อตั๋วเข้าดูหนังเรื่องใหม่ที่ฮิตติดชาร์ทในตอนนั้น เราทั้งคู่ก็เหมือนพ่อลูกปกติ เราเดินเข้าไปเพื่อหา

ที่นั่งในโรงหนังมืดๆ สำหรับผม ช่วงเวลาที่ได้ดูหนังในโรงที่มีจอขนาดใหญ่มันเหมือนได้จินตนาการว่าสวมบทบาทเป็น

ตัวละครที่ตัวเองชื่นชอบ ซึ่งคงไม่ต้องบอกว่าเป็นใคร ตัวเอกที่มักจะออกหน้าออกตาก่อนใครอื่นเสมอ แต่เมื่อใกล้ท้าย

เรื่อง ผมก็เริ่มหลับจนกระทั่งเรากลับมาถึงบ้าน

 

           เด็กๆ ใกล้บ้านของผมมักจะทำตัวออกห่างจากผมเสมอ พวกเขาล้อเลียน และกลั่นแกล้งในช่วงที่ผมเพิ่งย้าย

เข้าเรียนใหม่ๆ บรรยากาศในตอนนั้นเหมือนช่วงเวลาที่วัยเด็กมักจะล่องลอยไปได้อย่างไร้จุดสิ้นสุด เป็นวัยที่ไม่ต้องกลัว

ว่าเวลาจะหมุนไปเร็วแค่ไหน ไม่จำกัดความคิดและสามารถเล่นไร้สาระได้เกือบตลอดเวลา

 

           ผมจำได้ว่าตัวเองเคยมีโรคประจำตัว ที่เป็นอยู่ตลอด แม่บอกว่าผมมักจะปวดท้องตลอดเวลาในคืนๆหนึ่ง ผมจะ

ร้องเสียงหลงและพ่อกับแม่ก็จะตื่นขึ้นมาเพื่อมาดูอาการผม ที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายและในช่วงเวลานั้น ผมก็มักจะจำอะไรไม่

ได้เสมอ รู้เพียงแค่ว่าเจ็บจนเหมือนไส้จะแตกทะลุออกมาเสียด้วยซ้ำ พวกเขาพาผมไปโรงพยาบาลสองสามครั้ง และให้

หมอตรวจดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม จนกระทั่งกลับมาถึงบ้าน พ่อพูดอะไรบางอย่างอยู่ข้างๆเตียงของผม และผมก็จำอะไร

ไม่ได้อีกเลย ทุกอย่างกลับเป็นปกติ

 

           ถนนที่ผมมักจะวิ่งเล่นในวัยเด็ก คือถนนไร้ชื่อที่เรามักจะขับรถผ่าน ข้างทางเป็นบ้านเรือนติดกันและเรียงกันไป

เหมือนหมู่บ้านจัดสรรค์ แต่จริงๆแล้วที่นี่มันเป็นเพียงที่ดินซื้อขายธรรมดา ที่น่าแปลก บ้านหลายหลังดันมีดีไซน์ที่เหมือน

กัน ยกเว้นบ้านบางหลัง

 

           เท่าที่พอจำได้ ความทรงจำวัยเด็กของผมค่อนข้างเลือนลาง เมื่อเทียบกับตอนนี้ที่จำอะไรๆได้แม่นยำยิ่งกว่า

จับวาง ความทรงจำสุดท้ายที่เกี่ยวกับพ่อ คือตอนที่เขาหายตัวไป แม่กับผมต้องตกที่นั่งลำบากอยู่นานร่วมเดือน ...

ไม่สิ ควรจะบอกว่าเป็นผมจะดีกว่า แม่มักจะดุด่าผมในเรื่องที่ไร้เหตุผล ในเรื่องที่ผมไม่เข้าใจ เธอพูดว่าผมเป็นสาเหตุ

ที่ทำให้พ่อหายตัวไป ซึ่งผมที่ยังเด็กทำได้เพียงเงียบ และหนีขึ้นห้องเพื่อหนีอารมณ์ปะทุของแม่ บางครั้งผมก็ร้องไห้

เพราะความกังวลเกี่ยวกับแม่ และการที่ถูกแม่พูดจาร้ายๆใส่ แต่สุดท้ายเธอก็จะเดินมาขอโทษ และร้องไห้ออกมาเช่น

เดียวกัน บางครั้งก็ดีบางครั้งก็ร้าย ผมจึงทำได้เพียงแค่เงียบ

 

           

           ผมทำอะไรไม่ได้ ในตอนนั้น
 
    จนช่วงหลายปีต่อมา ผมเริ่มโตขึ้นมาหน่อย ก็เริ่มหางานทำ ส่วนใหญ่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ซึ่งผมก็ถนัดด้านนี้มาก
กว่าด้านไหนๆ ผมทำงานไปพร้อมกับเรียน มันค่อนข้างลำบาก แต่ผมก็พยายามทำเพื่อให้ได้เงินซื้อที่อยู่ใหม่ และ
เราทั้งคู่จะย้ายออกไปจากที่นั่น ที่เป็นความทรงจำร้ายๆของเรา ปัจจุบันผมยังคงค้างคาใจว่าอะไรทำให้พ่อหายไป
เขาหายไปไหน หรืออาจจะเป็นเพราะผมจริงๆ แต่มันก็แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่เด็กอายุห้าขวบจะไปเกี่ยวข้องกับอะไร
แบบนั้นเพื่อนบ้านหลายคนพูดว่าพ่อของผม หนีไปกับหญิงอื่นแล้วทิ้งแม่กับผมไว้ แต่ผมไม่เชื่อ ไม่เคยแม้แต่จะคิดว่า
มันเป็นเรื่องจริง
 
   
............................
 
 
 
           ลอสแอนเจลิส เวลา 9.42 PM.
 
 
           "ขอโทษนะครับ คือผมไม่ว่างจริงๆสำหรับงานนี้ ...อ้อ ได้ครับ เดี๋ยวผมจะส่งข้อความไปพร้อมแนบรหัสแก้ไข
...เอ่อ...อืม ไม่ครับ ผมไม่ได้รับแก้ดาต้าโดยตรง" ผมแนบหูกับโทรศัพท์พร้อมกับพูดคุยกับลูกค้า ในมือหอบถือเอกสาร
จำนวนเท่ากล่องหนึ่งกล่องเดินลงบันไดไปยังห้องทำงาน พร้อมกับวางมันลงบนโต๊ะสีขาวตัวที่สองถัดจากโซนล็อคหน้า
ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าการทำงานด้านรักษาความปลอดภัยให้บริษัทเก็บข้อมูลมันจะยากขนาดนี้ ผมเก็บโทรศัพท์ใส่
กระเป๋าเสื้อฮู้ด พร้อมกับหันไปพูดกับชายในชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้าที่กำลังนั่งปั่นงานเป็นบ้าเป็นหลัง
 
            "แอนดริว คุณช่วยดูแลเอกสารพวกนี้ให้หน่อยได้ไหม" ผมถามแล้วยกกาแฟขึ้นดื่มรวดเดียวหมดด้วยอาการ
สมองลอยๆเล็กน้อย "นายจะบ้าเรอะ ส่วนของตัวเองฉันยังทำไม่เสร็จเลย" เขาแย้งแล้วตีโพยตีพายถึงเรื่องงานยิบย่อย
ของเขา "ไม่ใช่ ผมหมายถึง ช่วยดูแลไม่ให้เอกสารพวกนี้ปลิวหายไปไหนน่ะ ผมคีย์ข้อมูลเสร็จหมดแล้ว" เขามองพร้อม
กับขยี้ตาเบาๆ
            "ทั้งหมดแล้วใช่ไหม?" เขาถาม ผมพยักหน้า เมื่อจบการสนทนาผมละจากห้องนั้นแล้วเดินสะพายกระเป๋าออก
มาด้วยฝีเท้าที่เร่งรีบ ผมมีหลายอย่างที่ต้องทำเมื่อกลับไปถึงบ้าน
 
            การบ้านร้อยแปดวิชา และทำอาหารรอแม่กลับมาจากการทำงานที่กะเช้าในโรงพยาบาลที่นั่นคงจะวุ่นวายเอา
มากๆเพราะข่าวตึกระเบิดแถวในเมือง ที่โรงพยาบาลก็คงไม่ต่างจากลานสเก็ตช์บอร์ดที่มีผู้คนวิ่งวุ่นไปมา
 
            คิดเรื่องอาหาร พร้อมกับเดินไปที่รถยนต์ของตนเอง ผมสตาร์ทเครื่องพร้อมกับถอยออกมาจากลานจอดรถ
กว้างที่แทบไม่มีรถคันไหนเฉียดเข้าใกล้รถของผม เพราะอยู่ในจุดที่เปลี่ยวเกินไป ทันทีเครื่องติด เสียงวิทยุก็เปิดขึ้นมา
อัตโนมัติ ผมขับรถออกไปยังถนนพร้อมกับฟังข่าวของตึกระเบิดเมื่อเช้าไปด้วย แต่ยิ่งฟัง ก็ยิ่งทำรู้สึกเครียดแปลกๆ ผม
จึงหยิบแฟลชไดร์เซฟเพลงออกมาเปิดเพลงคลอเบาๆ เป็นเวลาเดียวกันที่ฝนเริ่มตกลงมา บดบังทัศนวิศัยการมองเห็นที่
พล่าเลือนอยู่แล้ว ก็ยิ่งทำให้มองผ่านกระจกหน้ารถยากขึ้นไปอีก
 
           ผมปัดน้ำฝนออกไป พร้อมกับมุ่งหน้าไปยังซูเปอร์มาร์เก็ต เมื่อจำได้ว่าเมื่อเช้าของในตู้เย็นหมดและแม่ก็ติด
โน้ตพร้อมเงินว่าให้ไปซื้อ ไม่รอช้าผมรีบวิ่งฝ่าฝนลงจากรถ แล้วเดินเข้าไปในภายในห้างซูเปอร์มาร์เก็ตที่เงียบงัน
ได้ยินเพียงเสียงเครื่องคิดเงิน และเครื่องจักรในบางจุด คนน้อยเช่นเคย ผมคิดพลางเดินไปยังโซนไข่ มองหาสิ่งที่
ต้องการ พร้อมกับหยิบไข่แผงขนาดกลางมาใส่รถเข็น ไม่ทันที่จะเดินออกไปจากโซนนั้น ผมก็ได้ยินเสียงข้อความเข้า
แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจนัก พร้อมกับเดินเลี่ยงไปยังโซนซีเรียลและของกินจิปาถะต่างๆที่แม่เขียนไว้ในลิสท์
 
          ในระหว่างที่ผมได้ยินเพียงแค่เสียงผิวปากของตัวเอง และเสียงล้อของรถเข็นเคลื่อนตัวเสียดสีไปกับพื้นที่มันวาว
ผมได้ยินเสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่ง ดังขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ในเวลาแบบนี้ผมคิดว่าไม่น่าจะมีใครมาซื้อของที่นี่แล้ว
เพราะปกติ ที่นี่จะเงียบเสมอและคนก็น้อยมาก จากประสบการณ์ที่มาบ่อยๆ ผมมองหันไปข้างหลังด้วยความรู้สึกที่สงสัย
ก่อนจะเดินเข็นรถต่อไปอย่างเอื่อยเฉื่อย ดวงตามองกรอกไปรอบๆ ตามชั้นวางสินค้าที่ไร้ผู้คนยืนเลือกของอย่างเช่น
ตอนเช้า
 
          ผมยังคงได้ยินเสียงฝีเท้านั้นเดินตามมาเรื่อยๆ แต่จากที่มองไปรอบๆ ผมก็ไม่เห็นใครเลยในรัศมีสายตาของผม
ทั้งเอี้ยวตัวมอง หันไปข้างหลัง ก็ไม่เห็นว่าจะมีใครตามมา ผมอาจจะหลอนไปเองเนื่องจากทำงานอยู่หน้าจอคอมเป็น
เวลาเต็มสิบชั่วโมงในวันนี้ แต่อย่างไรก็ตาม ผมก็ยังคงได้ยินเสียงเดินนั้นตามมาอยู่เรื่อยไป เมื่อหยิบของในลิสท์ครบ
ทุกอย่างแล้ว ผมจึงหันรถเข็นกลับไปทางโซนคิดเงินที่อยู่ไกลออกไป
 
          แต่กุญแจรถเจ้ากรรมก็ดันหลุดตกลงบนพื้น ผมก้มลงไปเก็บ ความรู้สึกปวดขาเจ็บแปลบเหมือนไฟดูด เมื่อเงย
หน้าขึ้นมาจากพื้น ผมก็รู้สึกตกใจอยู่เงียบๆ แต่ไม่ส่งเสียงออกมาอย่างที่ควรจะเป็นร่างหนึ่งสวมฮู้ดสีดำปิดใบหน้าส่วน
บนเอียงคอออกมาจากหลังชั้นวางของที่ถัดจากจุดที่ผมอยู่ไปสามบล็อค ผมรีบเก็บกุญแจไว้ในกระเป๋า พร้อมกับรีบเข็น
รถออกไปจากตรงนั้น
 
          ลางสังหรณ์บางอย่างบอกผมว่า ไม่ควรอยู่ตรงนั้นต่อไป ในขณะที่ผมก้าวขาเดินไปอย่างรวดเร็ว ผมหันไปมอง
ว่าชายคนนั้นยังอยู่รึเปล่า ใช่ เขายังอยู่ แต่เหมือนกับภาพซ้อน ใบหน้าของเขามันเละจนผมแยกไม่ออก ทันทีที่กระพริบ
ตาเพียงครู่เดียว เขาก็หายไปจากตรงนั้นราวกับไม่เคยมีอยู่
 
         ผมยืนรอเช็คเงินอยู่สักพัก ก็หยิบถุงใส่ของเดินออกมา พร้อมกับมองเวลาที่นาฬิกาข้อมือบอกเวลาปาไปสี่ทุ่ม
กว่าแล้ว ผมวางของไว้ที่เบาะข้างคนขับ ก่อนจะขับรถออกตัวไปจากตรงนั้น
 
         ในบริเวณบ้านของผม บ้านหลายหลังเริ่มปิดไฟนอนกันไปหมด บ้างเปิดทิ้งไว้จนผิดสังเกตผมไม่ได้สนใจนัก แต่
พุ่งเป้าไปที่บ้านของตัวเอง ที่เปิดไฟสว่าง หรือว่าแม่จะกลับมาแล้ว?
 
         แต่ปรกติแม่จะกลับมาหลังเที่ยงคืนเสมอ เพราะคิวคนไข้ยาวเป็นหางว่าว กว่าจะทำอะไรเสร็จก็เลยไปหลาย
ชั่วโมง ผมคิดในแง่ดีเอาไว้ แล้วจอดรถไว้ที่หน้าบ้าน พร้อมกับเดินถือของเข้าไปในบ้าน ฝนก็ยังคงตกต่อไปไม่หยุด "กลับมาแล้วครับแม่" ผมพูด แต่ไร้เสียงตอบกลับ ผมวางถุงไว้บนเคาท์เตอร์ในครัว ก่อนจะชะโงกหน้าไปดูว่าแม่อาจจะ
นอนอยู่บนโซฟาอย่างเช่นทุกวัน แต่ก็ว่างเปล่า แม้แต่ห้องนอนของแม่ก็ตาม
 
         ในเวลาเดียวกันนั้น ผมรีบเดินไปดูประตูหลังบ้าน มันล็อคอยู่ เป็นไปได้ยังไงว่าไฟจะเปิดเองผมอาจจะลืมปิด แต่
ผมแน่ใจว่าตัวเองปิดไฟไปทั้งหลังแล้ว ในความกังวลนั้น เสียงบางอย่างตกลงบนพื้นก็ทำให้ผมเริ่มระแวงขึ้นมาดื้อๆ ผม
รีบเดินไปคว้าไม้เบสบอล แล้วหยุดฟังเสียงของอะไรบางอย่างกำลังเดินอยู่ในห้องสักห้องของตัวบ้าน ผมเดินตรวจชั้น
ล่าง แต่ทว่าก็ไม่เห็นว่ามีอะไรผิดสังเกต เสียงมันก็ดังให้ได้ยินชัดเจนว่า
 
          มันอยู่ในห้องนอนของแม่
 
          ผมเริ่มขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม หากเป็นขโมยขึ้นบ้านล่ะ แล้วทำไมมันต้องเปิดไฟ หรือไอ้โรคจิตที่ไหนกันที่เข้ามา
ในบ้านของผม ผมตั้งข้อสงสัยมากมาย พลางค่อยๆย่องเท้าขึ้นไปบนบันได ก่อนจะหยุดที่ชานพัก เมื่อผมเริ่มมองเห็น
เงาของใครบางคนเดินหายเข้าไปภายในห้องนอนของผม
 
          "เฮ้! ใครน่ะ" ผมตะโกนแล้วรีบเดินขึ้นไป ก่อนจะกระชากบานประตู เตรียมง้างไม้เบสบอลเข้าหวดกับไอ้บ้านั่น
แต่ภาพที่ผมเห็น มีเพียงเตียงของผมที่ผ้าห่มยับยู่ยี่ กรอบรูปข้างเตียงที่ตกลงมาแตก และหน้าต่างที่เปิดอ้า จนฝนแทบ
สาดเข้ามา ผมรีบเดินไปดูว่ามันวิ่งไปไหนแล้ว แต่จากชั้นสอง มันไม่น่าจะกระโดดลงพื้นแล้ววิ่งไปได้เลย ต้องมีเจ็บๆขา
กันบ้างล่ะ ผมคิด สายตาก็กรอกไปมาหาตัวการ แต่ก็ว่างเปล่า ก่อนจะปิดหน้าต่างอย่างเคืองๆ
 
          ห้องแม่ปกติดีทุกอย่าง ของภายในบ้านชั้นล่างและชั้นบนปกติดีทุกอย่าง ยกเว้นห้องของผมผมกลัวว่าจะเป็นไอ้
โรคจิตบ้านั่นที่ซูเปอร์มาร์เก็ตตอนนั้น ถ้ามันจะตามมา มันคงต้องรู้ทางมาที่บ้านของผมเป็นอย่างดีเลย อาจจะเป็นคน
แถวนี้ แต่ถ้ามันจะเข้าบ้านคนอื่นแบบไม่อยากให้ใครรู้แล้วมันจะเปิดไฟทำไม เพื่อทำให้ผมสังหรณ์ใจเล่นเหรอ มันดูไม่มี
เหตุผลเอาเสียเลย
 
          ผมวางไม้เบสบอลลงกับพื้นข้างโซฟา หลังจากที่เก็บเศษแก้วหรือทำอะไรจนเรียบร้อย และตรวจตรารอบ
บริเวณบ้านจนแน่ใจแล้วว่า ไม่มีไอ้บ้าที่ไหนมาด้อมๆมองๆ ผมล็อคทั้งประตูหน้าต่างทุกบาน รอเพียงแม่กลับมา
 
          ระหว่างนั้น ผมก็ต่อสายไปหาแม่ เพื่อบอกให้แม่คอยระวังตัว "มีใครบางคนอยู่ในบ้านของเรางั้นเหรอ
ลูกโดนทำร้ายรึเปล่า?" แม่ถามด้วยเสียงที่ดูเป็นห่วงพอสมควร "ไม่ครับ มัน...เอ่อ กระโดดหนีไปทางหน้าต่างก่อน"
ปลายสายเงียบไปสักพัก "โทรเรียกตำรวจรึยัง?"
 
          ผมตอบว่าอาจไม่จำเป็น เพราะผมน่าจะยังรับมือได้อยู่ เมื่อจบบทสนทนา ผมก็วางโทรศัพท์ลงแล้วเดินเข้าไปใน
ครัวเพื่อทำอาหาร จริงๆนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจอแบบนี้ และทุกครั้ง มันก็จะหายไปเหมือนอากาศธาตุ
 
         ในคืนนั้น แม่โทรกลับมาบอกผมว่าอาจไม่ได้กลับไปคืนนี้ และสั่งให้ผมล็อคทุกทางที่จะเข้ามาในบ้านได้ให้หมด
แน่นอนว่าผมทำหมดแล้ว ก่อนจะกลับขึ้นไปบนห้องนอน ที่หน้าต่างถูกปิดด้วยผ้าม่านสีดำมิดชิด ล็อคอะไรเรียบร้อย ใน
ตอนนี้ที่ว่างและทำการบ้านเสร็จ ผมคงหาเวลาไปเข้าไปเว็บไซต์อะไรเล่นๆ
 
         ข่าวตามกระทู้ของเว็บเรดดิตที่ผมเฝ้าติดตามมาตลอด ในที่สุดมันก็อัปเดต เป็นบทความเกี่ยวกับผู้คนที่หายตัวไป
ทั้งอายุ วันเกิด และตัวนำหน้าชื่อที่เหมือนกัน จะหายไปพร้อมกันในปีนั้นๆซึ่งผมสนใจมันเพราะมันมีปีที่พ่อของผม
หายตัวไปด้วยเช่นกัน ผู้คนมากมายเข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้มากมาย บางคนก็บอกว่าคนใน
ครอบครัวของพวกเขาหายตัวไปเช่นกัน ทั้งในรัฐโอคลาโฮม่า โอไฮโอ อลาสก้า และนิวเจอร์ซี่ ลามมาจนถึง
ลอสแอนเจลิส ที่ที่ผมอยู่
 
        ปริศนาที่ผู้คนทั่วทั้งอเมริกากำลังสงสัย และเลิกสงสัยไปในปี 2003 เมื่อ FBI คว้าน้ำเหลวและแจ้งว่าผู้คนที่หาย
ไป ได้เสียชีวิตแล้ว แต่คนส่วนใหญ่เชื่อว่าพวกคนที่หายตัวไป อาจจะยังไม่ตาย บางคนอาจจะหลงทางอยู่ที่ไหนสักที่
แต่ก็ไร้วี่แววของการพบเห็น
 
         ผมถอนหายใจ ที่ครั้งนี้ผู้ที่กำลังสืบเรื่องนี้ ได้มาเพียงข้อมูลที่น้อยนิด ก่อนจะปิดโน๊ตบุ๊คลงแล้วลุกจากเตียงลงไป
ยังชั้นล่างเพื่อดื่มน้ำ ในเวลาเดียวกันที่ผมมองเห็นข้อความในมือถือที่หยิบลงมาด้วย ข้อความและสายที่ไม่ได้รับ
จำนวนหนึ่ง
 
        สายจาก unknown และข้อความที่ไร้ชื่อผู้ส่ง ผมวางแก้วลง พร้อมกับกดเปิดอ่าน
 
 
       'เคลย์ แจ็กเฟอร์สัน
        อย่ากลับไปที่นั่น บ้านหลังเก่า'
 
     
       ใครบางคนรู้ชื่อจริงของผม และเขาไปได้รหัสแอดนั่นมาจากไหนกัน ใครที่ส่งมาต้องการจะสื่ออะไรกันแน่ ผมมี
คำถามให้คิดมากพอแล้วนะสำหรับวันนี้ และสายที่ไม่ได้รับสองสายจากคนแปลกหน้านั่นอีก
 
 
       หลายครั้งมันก็เป็นแบบนี้ แต่ครั้งนี้ มันแปลกและแตกต่างออกไป
       มีใครบางคนกำลังแอบสะกดรอยตาม และเพ่งเล็งผมกับแม่อยู่...ที่ไหนสักที่
 
 
 
 
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา