เทพตกสวรรค์ ภาคทัณฑ์แห่งเทพ

-

เขียนโดย 秋冬夢春

วันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2562 เวลา 00.28 น.

  7 ตอน
  0 วิจารณ์
  7,710 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 10 เมษายน พ.ศ. 2562 01.23 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

7) พระผู้มีพระภาคพระองค์ที่ 1 ในการอารักขา : พระนามสรณังกรพุทธเจ้า (ปลงพระชนม์มายุสังขาร)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

วันเวลาช่างผันผ่านล่วงเลยกาลไปอย่างรวดเร็วนับแต่วันที่พระพุทธองค์ทรงกระทำญาณะทัศนะให้แจ่มแจ้ง(ตรัสรู้)

นับจากวันนั้นโลกธาตุได้สว่างไสวไปทั่วด้วยธรรมอมตะ พาเหล่าเวไนยสัตว์เทพยดาผู้หลงผิดอันมากประมาณโกฏิ

ได้บรรลุซึ่งนิพพานอันประเสริฐด้วยคำสอนอมตะแห่งพระศาสดา

กาลเวลาผันผ่านหมุนเวียนไปอย่างรวดเร็วจนกระทั่งถึงกาลล่วงเข้าพรรษาสุดท้ายของพระพุทธองค์ (พรรษาที่50000)

 

พระอารามหลวง พระนครสุวิปุละ ชมพูทวีป

องค์ชายนั่งพักผ่อนอิริยาบทในท่วงท่าที่ผ่อนคลายแดดยามบ่ายคล้อยช่างแรงกล้าจนน่ากลัวว่าอาจจะแผดเผาจนผิวพรรณหยาบกร้าน

ยูกาตะสีขาวบริสุทธิ์พริ้วไสวตามสายลมเศษใบไม้แห้งปลิวเป็นกองๆ

คงไม่พ้นที่จะเป็นหน้าที่เขาที่จะต้องเก็บกวาดเพื่อรับเสด็จพระพุทธองค์

 

ยามนี้พระศาสดากำลังแสดงพระธรรมเทศนาในพระอุโบสถหลวงหลังใหญ่

เหล่าอุบาสกอุบาสิกาจำนวนหลายโกฏิเข้าสู่อารามแห่งนั้นเพื่อสดับฟังกระแสแห่งพระนิพพาน

และเพื่อบรรเทาทุกข์โทมนัสและข้อสงสัยลง

 

ในอีกสามเดือนข้างหน้าก็จะย่ำเข้าเดือนวิสาขะ หวนให้เขานึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อ 50000 ปีที่แล้ว

ที่ได้เผชิญหน้ากับกองทัพมารที่แก่กล้าหลายสิบโกฏิอสงไขยเพื่ออารักขาพระพุทธองค์

 

นั่งคิดอะไรเพลินๆท่ามกลางอากาศที่มีลมพัดเอื่อยๆยามบ่ายบวกกับเสียงแห่งธรรมที่ลอยเข้าสู่โสตประสาทของเขา

ชวนให้เขาคล้อยหลับลงเข้าสู่ห้วงนิทรา 

รู้สึกตัวขึ้นมาอีกทีก็เป็นเวลาย่ำค่ำวิหกสกุณาต่างแยกย้ายกลับรังเพื่อพักผ่อนเงียบสงัดไร้ซึ่งเสียงเจื้อยแจ้ว

 

“นี่ข้า…เผลอหลับไปเช่นนั้นหรือ?”

องค์ชายพึมพำก่อนจะเดินทางมุ่งหน้าสู่พระบรมคันธกุฎีอันเป็นที่ประทับของพระพุทธองค์ในยามนี้

 

สำรวจรอบๆพระบรมคันธกุฎีชั่วครู่ก็พบว่าเหล่าเทวดาลงมาจากสวรรค์มากกว่าปกติเพราะเหตุใดหนอ?

ผู้ใดเสด็จมาพร้อมกับชาวสวรรค์นับมากประมาณมิได้เช่นนี้? ท้าวมหาพรหมงั้นหรือ? คงมิใช่เพราะมีเทพในชุดคุ้นตาเสียด้วยสิ?

เทพหรือเทพีองค์ใดหนอที่นำพามา?

 

“ขอบรมพุทธานุญาติพระพุทธเจ้าข้า!”

องค์ชายแง้มพระทวาร(ประตู)ของพระบรมคันธกุฎีพอที่จะให้ตนลอดผ่านได้

 

สิ่งแรกที่เมื่อเขาก้าวเข้ามาในพระบรมคันธกุฎีแล้วสัมผัสได้คือ

น้ำเสียงอันคุ้นเคยที่เขาเคยได้ยินมันมาก่อนบวกกับเสียงของสตรีที่น่าจะยังเยาว์วัย

แต่องค์ชายก็จำไม่ได้แน่ชัดว่าได้ยินจากที่ใด?

 

“ดูกร~มหาเทพีผู้มาจากแดนไกลเธอแสวงหาพระธรรมคำสอนอันเป็นอมตะธรรม

บัดนี้เธอได้พบแล้วกระจ่างแล้วไม่มีสิ่งใดมาข้องแวะใจแล้ว”

พระสุรเสียงของพระพุทธองค์ดังแว่วมาจากอาสนะที่ประทับเบื้องหน้า

องค์ชายจึงค่อยๆก้าวเท้าเข้าไปเพื่อให้รู้ชัดว่าเป็นผู้ใดที่มาเข้าเฝ้าพระพุทธองค์

 

“พระพุทธองค์ทรงเป็นผู้ตรัสรู้ชอบเองโดยแท้

พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมได้อย่างแจ่มแจ้งและเรียบง่าย

เสมือนพลิกของคว่ำให้หงาย

ความมืดมิดเป็นแสงสว่าง

ผู้บอกทางแก่ผู้หลงทาง

หม่อมฉันมิมีสิ่งใดที่จักทูลถามพระองค์แล้วเพคะ~”

เสียงสตรีที่องค์ชายคุ้นหูแต่นึกไม่ออกดังขึ้น

 

“ดูกร~เทพีผู้สูงส่งตถาคตรู้ด้วยพระญาณว่าเธอมีจุดประสงค์อีกสิ่งหนึ่ง

และสิ่งที่เธอประสงค์นั้นอยู่มิไกลจากตัวเธอเท่าใดนัก~”

พระพุทธองค์ตรัสกับสตรีเมื่อครู่ส่วนองค์ชายยืนพิงผนังอยู่ด้านหลังสตรีคนนั้น

 

“หม่อมฉันมีจุดประสงค์สองประการเพคะ~

ประการแรก หม่อมฉันปราถนาจักยลโฉมมหาบุรุษที่ตรงถูกต้องตามมหาพุทธลักษณะ เจ้าค่ะ

ส่วนประการที่สอง หม่อมฉันทราบมาว่าโอรสของหม่อมฉันได้ต้องทัณฑ์ที่จักต้องลงมาอารักขาพระองค์

จึงปราถนาที่จะพบหน้าสักชั่วยามหนึ่ง

มิทราบว่าบัดนี้บุตรชายของหม่อมฉันอยู่ ณ ที่หนแห่งใดหรือเพคะ?”

มารดา…ไม่สิ! สตรีที่องค์ชายได้ยินเสียงนั้นคือเทพีอมาเตระสึผู้เป็นมารดาของตน

แถมยังมาด้วยเหตุผลที่ดูไม่น่าไว้ใจเท่าใดนัก……

 

“ดูกร~เทพีผู้สูงส่งสิ่งที่ท่านปราถนาจะพบบัดนี้เขาคนนั้นได้อยู่ด้านหลังเธอแล้ว~”

พระพุทธองค์ตรัสเช่นนั้นองค์ชายจึงจำเป็นต้องเปิดเผยกายของตนที่แฝงในเงามืดออกมาสู่หน้ามารดาของตนที่ชิงชังตนเป็นนักหนา

เขาจะฝืนพุทธบัญชาของพระพุทธองค์ไม่ได้เลยแม้เพียงนิด หาไม่แล้วทัณฑ์อสงไขยจักแผดเผากายของเขาเอง

 

รู้ตัวอีกทีองค์ชายก็ยืนอยู่ในพุทธอุทยานกับมารดรของตน

องค์ชายกำลังตกอยู่ในสภาพที่น่าอึดอัด

ด้วยเหตุเพราะสายพระเนตรของเทพีอมาเตระสึกำลังทอดพระเนตรใบหน้าขององค์ชาย

ที่เมื่อหลายหมื่นปีก่อนพระองค์ไม่แม้แต่จะชายพระเนตรมาเหลียวแล

 

ใบหน้าดั่งดวงจันทราในวิสาขะ ผิวสีพระฉวีพรรณดุจดั่งไข่มุก

ดวงเนตรดั่งเนตรของพญาเนื้อทราย

เรือนพระเกศาสีน้ำตาลดั่งแก่นไม้ย้อมฝาด

ราวกับสรรพสิ่งสรรสร้างให้แก่ผู้งดงามที่สุดแห่งสรวงสวรรค์

แสงจันทร์ในยามค่ำคืนขับเปล่งผิวพรรณองค์เทพีอมาเตระสึให้ผ่องพรรณยิ่งขึ้นแลดูเข้ากับกิโมโนสีขาวบริสุทธิ์

 

“เหตุใดมหาเทพีแห่งข้าจึ่งมาที่นี่เล่า?”

องค์ชายเอ่ยปากพูดพร้อมกับเบนหน้าหนีสายพระเนตรที่จ้องมา

 

“เรามาเพราะเราอยากมาเจ้าจะมีสิทธิห้ามเราได้ด้วยหรือ?”

เทพีอมาเตระสึตรัสสุรเสียงนุ่มแก่พระโอรส

 

“หึ! ท่านจะมาด้วยเหตุอันใดข้ามิอาจทราบได้ข้าก็มิได้ใส่ใจอะไรอยู่แล้ว!

เช่นนั้นเชิญกลับถึงกาลแล้วข้าจะหวนกลับไปจองจำเช่นเดิม”

องค์ชายพูดพร้อมยักหัวไหล่อย่างเสียไม่ได้เขาไม่ได้อยากเจอหน้ามารดรของตัวเองเลยแม้เพียงนิดก็ตาม

 

“เจ้าไม่ควรพูดเสียงเช่นนี้กับผู้ให้กำเนิดเจ้านะ ยูเมะ!!”

เทพีอมาเตระสึตรัสสุรเสียงดังกังวานทั่วบริเวณ ขานนามที่เขานั้นชิงชังเป็นหนักหนา

 

“หึๆ! ท่านยังถือว่าเป็นมารดาของข้าได้อีกหรือ?

ท่านปล่อยให้เหล่าเทพผสุรวาทข้าจนเจ็บช้ำน้ำใจ

มิหนำซ้ำเมื่อครั้นสมัยกาลก่อนข้าสังหารโอโรจิลงได้ แต่ท่าน! ท่านกลับขับไล่ข้าออกจากสวรรค์แดนเกิด

หึ! ที่ข้าต้องมาต้องทัณฑ์นี่มิใช่ส่วนหนึ่งเป็นเพราะท่านหรอกหรือ?”

องค์ชายระบายความเจ็บแค้นของตนออกมาเพราะสิ่งที่เทพีอมาเตระสึทำกับเขานั้นเรียกได้ว่าไม่มีวันที่เขาจะยกโทษให้ได้เลย

แม้แลกมาด้วยชีวิตของเทพีเองก็ตาม...

 

“ระ…ระ…เรา……./ หุบปาก! แล้วไปให้พ้นหน้าข้า! ข้าไม่มีมารดาเช่นท่าน!!!”

เทพีอมาเตระสึนิ่งไปพักใหญ่ๆพระองค์กำลังจะกล่าวขอโทษโอรสของพระองค์แต่องค์ชายก็ตัดบทเสียก่อน

หลังจากองค์ชายพูดจบทุกสิ่งก็ตกอยู่ในความเงียบงันราวกับมิมีสิ่งใดอยู่พักใหญ่ๆ

 

“(ครืน! เปรี้ยง!!!!!!!!)”

โลกธาตุสั่นไหวอย่างรุนแรงจนเทพที่เข้าเฝ้านั้นชุลมุนวุ่นวายไปหมดจากนั้นอสุนีบาตได้ฟาดลงมาไม่ไกลจากพระบรมคันธกุฎีเท่าใดนัก

 

“นี่มัน! ไม่นะ! ไม่ๆๆๆ!! (ฟุ่บ!)”

องค์ชายพึมพำอย่างร้อนใจจะรีบเร่งกลับพระบรมคันธกุฎีอย่างเร็วไวภาวนาอย่าให้เป็นอย่างที่เขาคิดไว้ทีเถิด

 

“(หมับ) เดี๋ยวสิ ยูเมะ เรายังพูดไม่จบนะ!!”

เทพีอมาเตระสึฉวยพระหัตถ์คว้าท่อนแขนขององค์ชายเอาไว้

 

“ปล่อยข้า!(เพี๊ยะ!) อย่าได้มาแตะต้องกายของข้าอีก!! มิเช่นนั้นท่านจะได้ลิ้มรสของความมรณา!!”

องค์ชายตะคอกใส่มารดาของตนก่อนจะสะบัดแขนทิ้งอย่างไร้เยื่อใยและหายตัวไปท่ามกลางค่ำคืนที่สว่างไสวด้วยเงาจันทรา

ทิ้งให้เทพีอมาเตระสึทรุดพระวรกายนั่งลงกับพื้นหินพร้อมกับรอยแดงที่เกิดจากการสะบัดมือขององค์ชาย ยูเมะ เมื่อครู่

 

“(แอ๊ดดด!!) ขอบรมพุทธานุญาตพระเจ้าข้า!”

องค์ชายที่เดินทางกลับมาถึงพระบรมคันธกุฎีค่อยๆแง้มพระทวารออกอย่างช้าๆ

เขาพบแต่เพียงแสงเทียนสว่างสลัวๆและกลิ่นของดอกไม้สวรรค์เพียงเท่านั้น

ก่อนที่เขาจะได้ยินเสียงของคนทั้งสองคนคุยกันเบาๆที่เบื้องบน

 

“บัดนี้ข้าพระองค์หมดซึ่งกิจธุระอันเป็นการรบกวนพระองค์ข้าพระองค์ขอถวายบังคมลาพระพุทธเจ้าข้า!”

เสียงอันคุ้นเคยแล่นเข้าสู่โสตประสาทเขาเสียงที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดีเมื่อ50000ปีที่แล้วมา

เสียงของ พญามาร!!!

 

ดาบคาตานะถูกปลดออกมาเป็นครั้งแรกในพระบรมคันธกุฎีซึ่งเป็นสิ่งต้องห้าม

แต่เขาจำเป็นที่จะต้องกระทำเพราะบัดนี้พญามารได้อยู่ใกล้พระพุทธองค์มากเกินไป

 

เขาค่อยๆเลียบตัวเดินขึ้นไปยังชั้นสองของพระบรมคันธกุฎีเพื่อสังเกตุการณ์

แต่ทว่ากลับไม่พบพญามารแม้เพียงเงาพบแต่เพียงพระพุทธองค์ที่ประทับบรรทมท่านอนสีหไสยาสน์บนแท่นประทับ

 

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญในธรรมเมื่อครู่ข้าพระองค์ได้พบกับสิ่งอัศจรรย์สดับเสียงแห่งพญามารผู้นั้น

เกิดความสงสัยในกิจธุระของพญามารตนนั้นมิทราบว่าเขาผู้นั้นมาด้วยเหตุอันใดหรือพระเจ้าข้า?

แล้วเหตุอัศจรรย์ที่เมื่อครู่แผ่นดินสั่นไหวเกิดด้วยเหตุอันใดพระเจ้าข้า?”

องค์ชายเก็บคาตานะลงฝักและเข้ากราบบังคมทูลถามต่อพระพุทธองค์

 

ดูกร~ท่านเทพอารักขาแห่งเรา~กิจธุระแห่งพญามารนั้นมาเพื่อทูลให้ตถาคตปลงพระชนม์มายุสังขาร

ตถาคตทราบถึงกาลอันสมควรจึ่งตรัสตอบเห็นควรในกาลข้างหน้าอีก 3 เดือน

ตถาคตจักเสด็จดับขันธปรินิพพานณพระนครสุวิปุละ~

แลเมื่อโลกธาตุได้พบเหตุการณ์เช่นนี้จึ่งสั่นไหวเมื่อตถาคตปลงพระชนม์มายุสังขาร”

พระพุทธองค์ตรัสตอบองค์ชายที่บัดนี้นั่งตัวแข็งราวกับหินมิได้รับรู้อาการภายนอกตกอยู่ในอาการช็อคอย่างรุนแรง

 

คืนนั้นข่าวการปลงพระชนม์มายุสังขารของพระพุทธองค์ได้แพร่ไปถึงเทพทุกชั้นฟ้า รวมถึงเหล่ามนุษย์ทั้งหลาย และรวมถึงเหล่าพระสงฆ์หมู่สาวก

ในอีก 3 เดือนข้างหน้านั้นพระพุทธองค์ผู้เป็นดวงประทีปแห่งโลกธาตุทั้งหมื่นโลกธาตุ ผู้เป็นพระบรมครูของมนุษย์และเทวดานับโกฏิอสงไขย

จักเสด็จดับขันธปรินิพพานกาลนี้มาถึงอย่างรวดเร็วเร็วมากสำหรับเทพผู้อารักขาที่มีชีวิตเป็นอมตะนิจนิรันดร์

 

“ข้าพระพุทธองค์…ขอถวายบังคมลาในค่ำคืนนี้พระพุทธเจ้าจ้า!”

เป็นเวลานานพอควรกว่าที่องค์ชายจะรู้สึกตัวกราบบังคมทูลลาเพื่อปลีกตัวไปพักผ่อน

 

แต่ความจริงแล้วเขาแอบลี้ออกไปนั่งรับลมภายนอกเมื่อพบเจอกับการสูญเสียครั้งแรกของชีวิต

การสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของชีวิตอันยาวนานของเขา

 

“เราว่าเจ้าไม่ควรมานั่งตรงนี้นะโอรสแห่งข้า~มิเช่นนั้นจักจับไข้เอาได้หนา~”

เทพีอมาเตระสึปรากฏกายพุ่มไม้ข้างๆในขณะที่องค์ชายกำลังนั่งเหม่อลอยมองท้องฟ้าอันว่างเปล่าไร้แสงดาว

พระองค์ทรงถอดผ้าพันพระศอห่มคลุมกายให้แก่องค์ชาย

 

“ข้า…ไม่จำเป็น…ไม่จำเป็นต้องใช้ผ้าผืนนี้…ข้าไม่จำเป็น…”

องค์ชายพึมพำเบาๆกับสายลมน้ำเสียงราวกับบุคคลผู้ปล่อยให้ความเศร้าเข้าครอบงำ

ความโศกเศร้าทำให้เขาแทบจะลืมไปว่าเทพีที่อยู่ตรงหน้าคือมารดรที่ตนเกลียดหนักหนา

 

“(หมับ!) เจ้าเป็นอะไรไปโอรสแห่งเรา? มีอะไรไม่สบายใจระบายให้เราสดับฟังได้หนา~”

เทพีอมาเตระสึย่างพระบาทสวมกอดโอรสของพระองค์และตรัสกับโอรสของตนอย่างนุ่มนวล

พลางลูบศรีษะปลอบประโลมเฉกเช่นมารดาและบุตร

 

“…ฮึก!...ฮึก!...ฮึก!...ฮึก!...โฮฮฮฮฮฮ!!!!”

องค์ชายกอดบั้นพระองค์(เอว) และ ซบหน้าลงเบาๆแนบกับพระทรวง(หน้าอก)ของเทพีอมาเตระสึ

พร้อมกับปล่อยน้ำตาแห่งความเศร้าโศกาจนชุ่มฉลองพระองค์(เสื้อ)

 

ความเศร้าที่จะต้องพลัดพรากจากพระพุทธองค์ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบผู้ที่เขาให้การอารักขามาอย่างเนิ่นนานนับหมื่นปี

บัดนี้อีกเพียง 3 เดือนจะไม่มีอีกแล้วพระบรมครูผู้ชี้ทางสว่างพระบรมครูผู้สั่งสอน

การพลัดพรากช่างน่ากลัวยิ่งนัก….

 

“เอาเถอะๆเจ้าเงียบก่อนเถิดหนา~ โอรสของเรา~ ชู่ววววว~ ไม่เป็นไรนะไม่เป็นไร~

เราอยู่ตรงนี้เราอยู่ตรงนี้ไง~ ชู่วววว~ เงียบเสียเถิดหนา~

ถึงเวลาเจ้าจะต้องพักผ่อนแล้ว~ หลับเสียเถิดหนา~ หลับเสียเถิด~

คืนนี้เราจะกล่อมเจ้าเข้านอนเอง~นอนเสียเถิด~”

เทพีอมาเตระสึตรัสปลอบบุตรชายของพระองค์ด้วยสุรเสียงที่อ่อนหวาน

ราวกับเมื่อครั้นเนรเทศองค์ชายมานั้นเป็นเพียงฝันร้ายของเทพผู้พลัดพราก

 

พระองค์กล่อมองค์ชายจนม่อยหลับไปทั้งๆที่ซบพระทรวงของผู้เป็นมารดรราวกับเด็กน้อยที่ร้องไห้จนหมดแรง

เหตุที่พระองค์เสด็จมาเยี่ยมเยียนโอรสในครานี้ก็คงต้องย้อนไปเสียสักนิด

 

ย้อนกลับไปเมื่อ 20000ปีก่อนหน้านี้

เทพในชมพูทวีปแจ้งข่าวการเสด็จของพระพุทธองค์ต่อเทพีอมาเตระสึ เพื่อที่จักเสด็จไปโปรดเหล่าผู้ที่จมอยู่ในห้วงแห่งวัฏสงสารทางแถบตะวันออก

 

ครานั้นเหล่าเทพในการปกครองของเทพีอมาเตระสึต่างวุ่นวาย เพื่อรอรับเสด็จการมาถึงของพระพุทธองค์รวมถึงเทพีเองก็ตาม

และเมื่อวันที่ขบวนของพระพุทธองค์เสด็จมาถึงการถวายการต้อนรับเป็นไปอย่างยิ่งใหญ่

พฤกษาหอมทุกอย่างที่หาได้ในแผ่นดินในการปกครองของเทพีอมาเตระสึถูกโปรยตามทางที่ขบวนเสด็จจักต้องเสด็จผ่าน

 

ทว่าในบรรยากาศที่รื่นเริงนั้นเทพีอมาเตระสึกลับสังเกตุเห็นสีหน้าที่อมทุกข์มหันต์ของพระโอรสของพระองค์

ยืนปะปนในหมู่เทพทั้งหลายที่รับเสด็จ ณ ที่นั้น เพื่อคอยตรวจดูภยันตรายที่จะเกิดขึ้นแก่พระพุทธองค์

ต่อให้แม้นพระองค์จักพยายามตัดพระทัยสัมพันธ์กับพระโอรสแล้วไซร้ สัญชาตญาณของผู้เป็นมารดรกลับฉุดรั้งมิให้ตัดพระทัยได้สำเร็จทุกครั้งร่ำไป

แม้นจะพยายามหักห้ามแล้วแต่ก็มิเป็นผล

 

ท้ายสุดแล้วเทพีอมาเตระสึรู้สึกเห็นใจและผิดต่อโอรสของพระองค์เป็นอย่างมาก

ที่จะต้องมาเจอทัณฑ์ที่แม้แต่ความตายก็มิอาจพลัดพราก

จึงเสด็จเดินทางมาด้วยพระองค์เองเพื่อเยี่ยมเยียนพระโอรสของพระองค์เอง

แต่มิคาดว่าจักเจอโอรสของพระองค์ขับไล่ไปเฉกเช่นที่พระองค์เคยกระทำไว้กับเขา

หึๆแต่ก็ช่างมันเถอะในตอนนั้นเทพีไม่ถือพระองค์เอาความอันใดอยู่แล้ว

 

“ดูเจ้าสิ~ หลับปุ๋ยราวกับเด็กน้อยเชียวโอรสแห่งข้า~ ฮึๆ”

เทพีอมาเตระสึตรัสเย้ากับโอรสของพระองค์ที่หลับเฉกเช่นเด็กน้อยวัยเยาว์

ถ้าเทียบอายุองค์ชายกับเทพองค์อื่นๆในสวรรค์ของชินโตองค์ชายนับว่ามีอายุน้อยที่สุดในบรรดาเทพทั้งมวลที่ถือกำเนิดขึ้น…

 

คงมิแปลกนักที่เขาจะโศกเศร้าเสียใจมากถึงเพียงนี้...........

 

การพลัดพรากเป็นสิ่งที่ไม่อาจหักห้ามไว้ได้แม้นใจจักร่ำร้องเพียงใดก็ตาม

ความพลัดพรากเป็นสิ่งที่ไม่พึงปราถนาเป็นทุกข์โทมนัสอย่างยิ่ง

ยิ่งยึดติดมากก็ยิ่งทุกข์มากแม้ว่าจะพยายามมากเท่าใดก็ตาม………

 

“วันนี้เจ้าจงพักผ่อนเสียเถิด~ แล้วพบกันใหม่หนา~ โอรสแห่งข้า~”

เทพีอมาเตระสึกล่อมองค์ชายอยู่นานพอสมควรจนพระองค์แน่พระทัยแล้วว่าโอรสของพระองค์นั้นเข้าสู่นิทราเบื้องลึก

ก่อนที่วรกายของพระองค์จะค่อยๆเลือนหายไปทิ้งให้พระโอรสของพระองค์หลับอยู่บนก้อนหินนั้นแต่เพียงผู้เดียว………

________________________________________________________________________________________________________

พระผู้มีพระภาคพระองค์ที่ 1 ในการอารักขา : พระนามสรณังกรพุทธเจ้า

ตอนที่ 4 : ปลงพระชนม์มายุสังขาร

______________________________________________________________________________________________

ขอแจ้งเปลี่ยนการอัพเดตนิยายเรื่องนี้

จากวันอังคารเลื่อนมาเป็นทุกๆวันพุธ เพราะไรต์เปิดเทอมแล้ว ไม่ว่างด้วยล่ะ…

______________________________________________________________________________________________

ช่วงนี้ยังไม่สามารถแต่งอะไรได้มากเพราะข้อมูลที่มีจำกัดมากเกี่ยวกับพุทธประวัติของพระพุทธเจ้าพระองค์นี้

แต่พุทธกาลหน้า สนุกแน่? เพราะข้อมูลมีเพียบเลย

______________________________________________________________________________________________

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา