ท่านอ๋อง เลิกรังควานข้าเสียที!

-

เขียนโดย Xiaobei

วันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2562 เวลา 14.27 น.

  1 ตอน
  1 วิจารณ์
  3,074 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 22 มีนาคม พ.ศ. 2562 14.33 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) 1

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

สามแคว้นในจงหยวน ขณะนี้แคว้นเฟิงซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตะวันตกของจุดที่แม่น้ำสองสายไหลมาบรรจบกันมีท้องฟ้ามืดครึ้ม ชั้นเมฆรวมตัวกันเป็นก้อนหนา ฝนเม็ดโตเทลงมาไม่ขาดสาย พื้นดินเต็มไปด้วยโคลนเลน พืชผลถูกฝนตกใส่จนเน่าเปื่อย สัตว์เลี้ยงที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้ ที่ตายก็ตายไป ที่ป่วยก็ป่วยไป ชาวบ้านพากันร้องโอดครวญไม่หยุดหย่อน

เซียวอ๋องแห่งแคว้นเฟิงมีนามว่าเชวี่ยจิ้งเทียน ได้นำราชครูและเหล่าขุนนางรวมตัวกันทำพิธีเซ่นไหว้ที่ริมฝั่งแม่น้ำชางลั่ง อ้อนวอนขอให้เทพเจ้าแห่งสายน้ำหายพิโรธและช่วยหยุดฝนห่าใหญ่ที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่องนับเดือน ไม่ให้น้ำในแม่น้ำเอ่อท่วม จนชาวบ้านต้องซัดเซพเนจรอีก

เชวี่ยจิ้งเทียนที่ใบหน้าหล่อเหลา ร่างกายสูงใหญ่กำยำและมีบุคลิกองอาจ ดวงตาเจิดจ้าของเขากำลังมองดูราชครูซ่าเอ่อร์ตัวยืนทำพิธีเซ่นไหว้สวรรค์และทวยเทพอยู่หน้าโต๊ะที่มีของเซ่นไหว้หลากประเภทจัดวางเอาไว้ สองข้างของเขามีขันทีสองคนคอยยืนกางร่ม ไม่ให้ฝนแม้สักเม็ดตกลงบนชุดสีแดงหรูหราปักลายสัตว์เทพที่สวมอยู่บนร่างเขา

เขาเม้มปากแน่นสนิท ทอดมองแม่น้ำชางลั่งที่ไหลเชี่ยวกรากอยู่เบื้องหน้าด้วยท่าทีไม่อาจคาดเดา ไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้เขากำลังคิดอะไร ฝนห่าใหญ่ห่านี้ตกมาเดือนกว่าแล้ว ตกจนเสียงบ่นระงมดังไปทั่ว ตกจนเชวี่ยจิ้งเทียนหมดความอดทน แต่ก็จนปัญญา

เมื่อไม่มีหนทางอื่น เขาจึงได้แต่ทำตามคำร้องของเหล่าขุนนางและราษฎร ให้ราชครูซ่าเอ่อร์ตัวทำพิธีเซ่นไหว้สวรรค์ ฟังลิขิตจากฟ้า เพื่อหาหนทางแก้ปัญหาฝนตกต่อเนื่องจนน้ำท่วมนองไปทั้งแผ่นดิน

ในสายตาของเชวี่ยจิ้งเทียน วิธีนี้ดูจะเป็นการปลอบใจประชาชนเสียมากกว่า แต่เพื่อให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นต่ออนาคตข้างหน้า พิธีเซ่นไหว้ครั้งนี้ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว

ซ่าเอ่อร์ตัวท่าทีสงบนิ่งจริงจัง มือถืออาวุธวิเศษ ปากขมุบขมิบท่องคาถา ส่งคำภาวนาของเหล่าปวงประชาสู่สวรรค์เบื้องบน

ท่ามกลางเสียงสวดภาวนาของราชครู ทันใดนั้นเอง แม่น้ำพลันโหมคลั่ง น้ำฝนสาดโถมกระหน่ำ พัดจนทุกคนต้องมุ่นคิ้ว ใช้แขนเสื้อบังหน้า ซ่าเอ่อร์ตัวถูกลมพัดจนขาเกือบจะยืนไม่อยู่ เขากดตัวลงต่ำพยายามยืนอย่างยากลำบาก ในมือยังหมุนอาวุธวิเศษไม่ยอมหยุด ปากพึมพำวิงวอนต่อฟ้าเบื้องบน

ทุกคนถูกลมแรงพัดจนกระจัดกระจายไปคนละทิศ ทว่าเชวี่ยจิ้งเทียนกลับยืนอย่างสงบ น้ำฝนตกกระทบบนหน้าเขาอย่างไม่เกรงใจ แต่ก็ไม่อาจทำลายบุคลิกแห่งราชาที่สวรรค์สรรสร้างขึ้นมาได้

ทันใดนั้นสายตาแหลมคมของเชวี่ยจิ้งเทียนก็เห็นวัตถุสีทองกลุ่มหนึ่งร่วงลงมาจากฟ้า หล่นตู้มลงในแม่น้ำจนน้ำแตกกระเซ็นเป็นคลื่นสูง

“คุ้มครองท่านอ๋อง! คุ้มครองท่านอ๋อง!” ทันทีที่องครักษ์รับรู้ได้ถึงสิ่งผิดปกติ ก็รีบชักดาบออกมาปกป้องอยู่รอบกายเซียวอ๋อง ด้วยกลัวว่าแคว้นอื่นจะส่งนักฆ่าเข้ามาก่อความวุ่นวาย ถือโอกาสลอบสังหาร

เชวี่ยจิ้งเทียนยืนนิ่งดั่งภูผา ใช้สายตาดุจเหยี่ยวภูเขาจับจ้องวัตถุที่ร่วงลงในแม่น้ำ ในใจเกิดความสงสัยว่าสิ่งที่ร่วงลงมาจากฟ้าเป็นตัวอะไรกันแน่?

“เกิดอะไรขึ้น?” เหล่าขุนนางที่อยู่ด้านหลังเซียวอ๋องก็ได้ยินเสียงสิ่งของตกลงไปในน้ำเช่นเดียวกัน ต่างสุมหัวเอียงคอกระซิบกระซาบด้วยความตื่นตระหนก สอดส่ายสายตามองน้ำในแม่น้ำที่ขุ่นมัว

ซ่าเอ่อร์ตัวเพ่งดูน้ำเชี่ยวกรากด้วยสีหน้างุนงง แล้วเงยหน้ามองท้องฟ้าที่ยังมืดครึ้ม ไม่รู้แน่ว่าเสียงตกน้ำกะทันหันเป็นสัญญาณจากเบื้องบน หรือว่ามีนักฆ่ามาลอบสังหารเซียวอ๋องจริงๆ

 

※※※※

 

ในหัวสมองเจียงซือฉี่สับสนวุ่นวายไปหมด ไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนถึงได้ตกลงมากลางแม่น้ำ รู้แค่ว่าไม่อยากเป็นผีเฝ้าก้นแม่น้ำ ดังนั้นเพื่อเอาชีวิตรอดจึงพยายามว่ายน้ำอย่างสุดชีวิต คิดจะว่ายขึ้นฝั่ง

“ดูนั่นสิ! นั่นคืออะไร?” เหล่าขุนนางมองดูเจียงซือฉี่ที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงดำผุดดำว่ายอยู่กลางแม่น้ำ แล้วพากันวิพากษ์วิจารณ์

“ผีพราย?! สัตว์ประหลาด?!” เหวอ! กลางวันแสกๆ มีผีโผล่มาได้ด้วย? ผู้คนต่างพากันสุมหัวกระซิบกระซาบ ถกเถียงกันอย่างตื่นกลัว ที่แท้แม่น้ำชางลั่งมีผีสิงอยู่ ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย!

สัตว์ประหลาดปรากฏตัวขึ้น แต่เซียวอ๋องกลับไม่ขยับกายเลยแม้สักนิด พวกเขาในฐานะขุนนางจะกล้าก้าวขาเผ่นหนีได้อย่างไร ถึงแม้ในใจจะหวาดกลัว แต่ต่อหน้าเซียวอ๋องก็ต้องวางท่าเป็นขุนนางที่ภักดีมีคุณธรรมสิ!

“เป็นคน” น้ำเสียงบุรุษทุ้มต่ำน่าฟังของเชวี่ยจิ้งเทียนขจัดการคาดเดาอันน่าขันของเหล่าขุนนางให้หมดไป เขาไม่เชื่อเรื่องผีสางเทวดา คิดว่าสิ่งที่กำลังว่ายน้ำมาทางพวกเขาอย่างเอาเป็นเอาตายนั่น ก็คือคนเป็นๆ นี่เอง

“ท่านอ๋องกล่าวได้ถูกต้องแล้ว กลางแม่น้ำนั่นเป็นคน!” เพียงแค่ ‘เป็นคน’ ประโยคเดียวของท่านอ๋อง ก็ทำให้เหล่าขุนนางที่ตื่นตูมพากันพร้อมใจเอ่ยสนับสนุนเป็นเสียงเดียว

ทันทีที่องครักษ์ซึ่งรับผิดชอบดูแลความปลอดภัยของเซียวอ๋องพบว่าสิ่งที่ร่วงลงกลางแม่น้ำคือคน คนเกือบสิบจึงรีบเข้าไปใกล้ริมฝั่ง ปลายดาบชี้เตือนไปหาคนที่กำลังว่ายน้ำมาทางพวกเขา

เจียงซือฉี่ว่ายน้ำสุดกำลัง ไม่ง่ายเลยกว่าจะคว้ากิ่งของต้นไม้ใหญ่ที่ยื่นออกมากลางแน่น้ำได้ หญิงสาวยึดมันไว้แน่น คิดจะอาศัยมันปีนขึ้นฝั่ง

“อย่าขยับ!” ตอนที่หญิงนางนั้นกำลังจะคว้ากิ่งไม้ คนเกือบสิบก็หันปลายดาบเย็นเยียบไปที่นางอย่างแม่นยำ หากนางกล้าขยับเพียงนิด พวกเขาก็จะทำให้นางตายคาที่อย่างแน่นอน

“เฮ้ย! นี่ทำบ้าอะไรกันเนี่ย?” ตอนแรกก็ตกน้ำ กินน้ำโคลนสีขุ่นๆ ไปหลายอึก นี่ยังไม่เท่าไร แต่ที่แย่กว่าก็คือ ทั้งๆ ที่เธอว่ายเข้าหาฝั่งอย่างยากลำบาก กลับมีคนเกือบสิบคนเอาดาบมาชี้จ่อเธอ

เจียงซือฉี่ช้อนสายตาขึ้นมองนายทหารในชุดนักรบโบราณซึ่งเต็มไปด้วยไอสังหารด้วยความประหลาดใจ รู้สึกว่าฉากนี้ช่างเหลวไหลน่าขันสิ้นดี อะไรเนี่ย? เธอไม่ระวังจนบุกเข้ามาในกองถ่าย? หรือว่ามาเจอกับงานที่กลุ่มคนรัก Cosplay จัดขึ้น? ไม่งั้นจะมีกลุ่มคนแต่งชุดโบราณ แถมยังถือดาบข่มขู่เธอได้อย่างไร? ที่สำคัญกว่านั้น ยังมาบอกให้เธออย่าขยับ! พวกเขาดูท่าจะอินมากเกินไปหน่อยรึเปล่า? ไม่รู้หรือไงว่าเธอใกล้จะจมน้ำตาย! ถ้าพวกเขามีความเป็นมนุษย์อยู่บ้างก็ควรจะรีบลากเธอขึ้นฝั่ง ไม่ใช่มาขู่จะฆ่าเธอสิ? คนพวกนี้น่าจะเล่นกันจนเสียสติไปแล้ว!

“กราบทูลท่านอ๋อง จับนักฆ่าได้สำเร็จแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าองครักษ์ที่อารักขาอยู่ข้างกายเซียวอ๋องเห็นว่าคนใต้บังคับบัญชาของตนจับคนได้เป็นที่เรียบร้อย จึงรีบรายงานต่อเซียวอ๋อง

เหล่าองครักษ์ที่รับหน้าที่จับคนจัดเตรียมสถานที่ว่างโล่ง เพื่อให้เซียวอ๋องที่ยืนอยู่ไม่ไกลได้สอบสวนและเห็นหน้าตาของนักฆ่าได้ชัดเจน

นัยน์ตาดำสนิทของเชวี่ยจิ้งเทียนสบเข้ากับตาเป็นประกายของหญิงที่ร่วงลงไปในแม่น้ำ กวาดสายตามองนางตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างไม่เกรงใจหนึ่งรอบ ส่วนลึกในดวงตาปรากฏเป็นรอยเหยียดหยัน

หากว่าแมวน้อยตกน้ำตัวนี้เป็นนักฆ่า นางต้องเป็นนักฆ่าที่ผิดปกติที่สุดอย่างแน่นอน! นักฆ่าปกติทั่วไปคงไม่มีใครสวมเสื้อผ้าโป๊เปลือยในวันที่ฝนตกหนักแล้วออกมาทำการลอบสังหารเป็นแน่! ถ้าหากอยากจะใช้กลยุทธ์สาวงาม อย่างน้อยก็ควรจะแต่งตัวให้งดงามดั่งบุปผา มีหรือจะโผล่ออกมาในสภาพผีพรายเช่นนี้? เหอะ!

เชวี่ยจิ้งเทียนยิ่งมองนาง ก็ยิ่งรู้สึกว่านางเป็นหญิงนอกรีต เพราะนางโลมหอโคมเขียวยังแต่งกายได้มิดชิดกว่านางเสียอีก นอกจากหญิงที่ปรนนิบัติเขาแล้ว เขาไม่เคยพบเคยเจอสตรีที่เปลือยแขนขาให้คนอื่นเชยชมจนหมดเยี่ยงนี้มาก่อน เขาเดาว่านางน่าจะแอบไปมีสัมพันธ์กับชายชู้ลับหลังสามี จนถูกทางบ้านลงโทษโดยการผลักลงแม่น้ำ

เชวี่ยจิ้งเทียนเพ่งมองที่ฝั่งตรงข้าม คาดว่านางคงถูกผลักลงมาจากบนฝั่งนั้น เพียงแต่ว่าตอนนี้บนฝั่งกลับไม่เห็นคนอยู่สักคนเดียว คิดว่าหลังจากที่พวกนั้นโยนนางลงน้ำแล้ว ก็มั่นใจว่านางจะต้องตายแน่ๆ จึงล่าถอยไปแล้ว

 

※※※※

 

ดวงตาใสเป็นประกายของเจียงซือฉี่สำรวจดูนัยน์ตาดำขลับโดดเด่นกับรูปโฉมที่หล่อเหลายากจะเปรียบได้ของเขา หัวใจพลันกระตุกวูบ

เขาหล่อกว่าทาเคชิ คาเนชิโร่[1] เสียอีกแน่ะ เป็นดาราไอดอลคนไหนที่เพิ่งจะเปิดตัวหรอ? ทำไมเธอไม่เคยเห็นมาก่อน?

“นายคงเป็นคนดูแลคนพวกนี้หรือไม่ก็เป็นประธานชมรมล่ะสิ รีบบอกให้พวกเขาเอาดาบของเล่นพวกนี้ออกไปเถอะ ถึงมันจะเป็นของปลอม แต่ถ้าไม่ระวังถูกแทงเข้ามันก็เจ็บนะ” เจียงซือฉี่สังเกตเห็นว่ารอบด้านไม่มีกล้อง ผู้กำกับหรือคนดูแลบท ดังนั้นจึงเดาเอาว่าพวกเขาน่าจะเป็นกลุ่มคนรัก Cosplay เธอมองปราดเดียวก็พอจะดูออกว่าคนกลุ่มนี้เชื่อฟังคำสั่งของชายหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลาไม่เกรงใจฟ้าดินซึ่งยืนห่างออกไปไม่ไกลคนนั้น เธอจึงรีบบอกให้เขาเลิกเล่น

ฝนตกลงมาอย่างหนัก กระทบลงบนตัวก็เจ็บจะแย่ เรื่องหลบฝนต้องมาก่อน เรื่องเล่นไม่จำเป็นต้องจริงจังขนาดนั้นหรอก!

“เจ้าคนชั่วช้าช่างบังอาจนัก! ใครให้เจ้าพูดจากับท่านอ๋องเช่นนี้?” องครักษ์ที่อยู่ด้านข้างเห็นว่านางกล้าพูดจาเหลวไหลกับท่านอ๋อง ปลายดาบจึงตวัดเข้าที่ลำคอเรียวเล็กของหญิงสาวอย่างไม่เกรงใจ กลายเป็นรอยเลือดเส้นหนึ่ง

“ท่านอ๋องอะไรกัน? พวกนายบ้าไปแล้วหรอ? โอ้ย! เจ็บนะ!” เจียงซือฉี่มององครักษ์และขุนนางที่เกรี้ยวกราดอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก รู้สึกว่าคนพวกนี้จะอินกับบทมากเกินไป ความเจ็บแปลบแล่นมาจากบริเวณลำคอ เธอสูดลมหายใจเข้า คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะลงมือทำร้ายคนอย่างไม่เห็นกฎหมายอยู่ในสายตา อีกทั้งดาบในมือของพวกเขาก็เป็นของจริงด้วย!

“ท่านอ๋อง สมควรลงโทษนางอย่างไรดีพ่ะย่ะค่ะ?” หัวหน้าองครักษ์รอรับคำสั่งจากเซียวอ๋อง คนที่พูดจาไร้มารยาท ทำตัวนอกจารีตเช่นนาง สมควรประทานโทษหนัก เพื่อเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู

“ถ่วงน้ำ” เชวี่ยจิ้งเทียนตัดสินโทษด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ปล่อยนางเอาไว้รังแต่จะทำให้วุ่นวาย กำจัดไปเสียแต่เนิ่นๆ น่าจะเป็นวิธีที่ดี

“พ่ะย่ะค่ะ!” หัวหน้าองครักษ์รับคำสั่ง หมุนกายไปทางเหล่าองครักษ์ก่อนจะตะเบ็งเสียงก้อง “รับบัญชาจากท่านอ๋อง จับหญิงนางนี้ไปถ่วงน้ำเสีย!”

“ขอรับ!” เหล่าองครักษ์รับคำสั่งเป็นเสียงเดียว

“นี่! สมองของพวกนายมีปัญหาอะไรหรือเปล่า? จับถ่วงน้ำอะไรกัน?” เจียงซือฉี่เห็นว่าพวกเขาตัดสินโทษตายให้เธออย่างรวบรัดก็ตกใจจนหน้าเผือดสี

พวกเขาดูจริงจังกันมาก ท่าทางไม่เหมือนขู่ให้เธอตกใจกลัว แต่เหมือนกับว่าจะจับเธอถ่วงน้ำให้ตายจริงๆ! โลกนี้เป็นบ้าอะไรไปแล้ว? แม้เธอจะเคยได้ยินมาว่า มีคนมองหน้าคนอื่นโดยไม่ตั้งใจแล้วถูกซ้อมจนเจ็บหนัก แต่เธอก็คิดเสมอว่าข่าวสังคมประเภทนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเธอเลยสักนิด คิดไม่ถึงว่าวันนี้ เธอแค่ต้องการให้ไอ้หัวหน้าแก๊งนั่นปล่อยตัวเธอไป ไม่ได้พูดจาไร้มารยาทใส่ เขากลับสั่งให้คนจับเธอถ่วงน้ำ นี่มันเป็นเรื่องที่ไร้เหตุผลสิ้นดี!

“หยุดเลยนะ! ช่วยด้วย! ทำไมพวกนายถึงเอาแต่ยืนดูนิ่งๆ อยู่แบบนี้? ถ้าไม่กล้าช่วยฉัน อย่างน้อยก็ไปแจ้งความหน่อยสิ!” เธอหันไปตะโกนใส่กลุ่มคนที่แต่งกายเป็นขุนนาง

เธอรู้สึกหวาดกลัวเมื่อพบว่า สิ่งที่เธอเจออยู่น่าจะไม่ใช่กลุ่มคนรัก Cosplay เสียแล้ว เพราะว่ากลุ่มคนรัก Cosplay จะไม่โหดเหี้ยม ซ้ำยังรักสงบกว่านี้มาก! แล้วจุดที่สำคัญมากอีกอย่างก็คือ เธอไม่เคยเห็นกลุ่มคนรัก Cosplay จะมีชายแก่อายุเจ็บสิบแปดสิบมาก่อน! ดังนั้น พวกเขาน่าจะเป็นสาวกของลัทธิเถื่อนกลุ่มหนึ่ง เพราะว่าเธอพรวดพราดเข้ามากลางพิธีกรรมน่าสงสัยเข้า จึงคิดจะฆ่าคนปิดปากอย่างอุกอาจ!

เสียงร้องขอความช่วยเหลือของเธอเป็นแค่เสียงโหวกเหวกโวยวาย แต่ละคนต่างมองเธอเป็นคนสติไม่ดี ไม่มีใครออกมาคัดค้านคำตัดสินให้จับเธอถ่วงน้ำของเซียวอ๋อง

พวกองครักษ์ไม่แยแสเสียงกรีดร้องของเธอ คนหนึ่งชักดาบออกมาฟันฉับเข้าที่กิ่งไม้ที่เธอเกาะอยู่ อีกคนยื่นขาออกมาถีบเธอให้ออกไปไกลๆ ป้องกันไม่ให้เธอปีนกลับขึ้นมาเหมือนกับพวกภูตผีปีศาจ

“ช่วย...ช่วยด้วย!” เจียงซือฉี่วาดสองแขนตีสองขาผลุบๆ โผล่ๆ อยู่กลางแม่น้ำพลางตะโกนขอความช่วยเหลือ หวังว่าจะมีใครมาได้ยิน หรือมีคนจิตใจดีแถวๆ นี้มาช่วยชีวิตเธอ

เดิมทีซ่าเอ่อร์ตัวก็ปล่อยให้พวกเขาจัดการกับอุบัติเหตุเล็กน้อยนี้โดยไม่ปริปาก ทว่าทันใดนั้นเขาก็พลันพบว่าท้องฟ้ามีปรากฏการณ์ประหลาด จากเดิมที่มีเมฆปกคลุมแน่นหนา ก็เริ่มมีแสงสาดลอดออกมา ฝนก็ทำทีว่าจะค่อยๆ เบาลง ซ่าเอ่อร์ตัวรับรู้ได้ถึงเจตนารมณ์ของสวรรค์ คิดว่านี่เป็นเรื่องน่ายินดี จึงรีบออกเสียงทัดทาน

“ท่านอ๋อง จะฆ่าหญิงผู้นี้ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ!”

“ไฉนจึงฆ่าไม่ได้?” เชวี่ยจิ้งเทียนมุ่นคิ้ว

“นางเป็นข้ารับใช้ที่สวรรค์ส่งมาช่วยโปรดแคว้นเฟิงของเรา” ซ่าเอ่อร์ตัวน้อมตัวรายงาน

“เหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้?” เชวี่ยจิ้งเทียนถามเสียงเย็น ในใจไม่คิดว่านางจะเป็นข้ารับใช้ที่สวรรค์ส่งมาให้ หากสวรรค์ส่งหญิงไร้จารีตเช่นนางมาช่วยเหลือแคว้นเฟิงจริง นั่นก็ถือเป็นการหมิ่นเกียรติของแคว้นเฟิงชัดๆ!

“ช่วย…แค่กๆ...ช่วยด้วย...แค่กๆ...” เจียงซือฉี่กอดหินก้อนโตกลางแม่น้ำเอาไว้อย่างทุลักทุเล จึงยังไม่จมน้ำและไม่ถูกน้ำพัดไปเสียก่อน แต่เธอใกล้จะหมดแรงเต็มทีแล้ว คิดอยากจะเข้าฝั่ง ทว่าก็กลัวว่าคนพวกนั้นจะเอาดาบมาแทงเธอ แต่ถ้าไม่ขึ้นฝั่ง เกรงว่าอีกไม่นาน เธอก็คงจะต้องจมน้ำตาย

ฮือ เธอไปขัดแข้งขัดขาใครเข้า ทำไมถึงโชคร้ายแบบนี้?

“ท่านอ๋อง ขอได้โปรดทอดพระเนตรท้องฟ้าในเวลานี้” ซ่าเอ่อร์ตัวให้เซียวอ๋องมองท้องฟ้าที่ไม่ได้มีเมฆคลุมหนาชั้นและฝนที่ค่อยๆ เบาลง พอนางปรากฏตัวขึ้น ฝนก็ซาลง ซ่าเอ่อร์ตัวเชื่อว่านี่เป็นเพราะสวรรค์ยอมฟังคำอ้อนวอนจากเขา แต่ตอนนี้เขาเองยังไม่ค่อยจะกระจ่างแจ้งนัก เหตุใดไม่เพียงแค่ทำให้ฝนหยุดตก แต่กลับส่งหญิงสาวผู้นี้ลงมาด้วย

“มันเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ” เชวี่ยจิ้งเทียนทอดมองท้องฟ้า ไม่เชื่อว่าการปรากฏตัวของหญิงสาวผู้นี้เป็นเจตนารมณ์แห่งสวรรค์

“ท่านอ๋อง หม่อมฉันคิดว่านี่เป็นบัญชาจากสวรรค์ มิเช่นนั้นเหตุใดที่ผ่านมาฝนไม่ยอมหยุด กลับเลือกมาเบาลงในเวลานี้? อีกอย่างหม่อมฉันว่าเมฆหนาก็กำลังจะคลายตัวแล้ว” ซ่าเอ่อร์ตัวเกลี้ยกล่อมเซียวอ๋องอย่างสุดความสามารถ ให้เขาล้มเลิกความคิดที่จะสังหารข้ารับใช้ของสวรรค์

พอซ่าเอ่อร์ตัวกล่าวออกมาเช่นนี้ เหล่าขุนนางก็พลันรู้สึกว่าช่างมีเหตุมีผลยิ่งนัก ถึงแม้หญิงที่อยู่กลางแม่น้ำมองดูแล้วจะไม่ค่อยเข้าที แต่หลังจากที่นางปรากฏตัวขึ้น ฝนก็เบาลงจริงๆ ดังว่า ถ้าหากนางเป็นข้ารับใช้ที่สวรรค์ส่งลงมาจริง แต่กลับต้องถูกเซียวอ๋องฆ่าตาย เรื่องนี้จะต้องทำให้สวรรค์พิโรธเป็นแน่

ถ้าเบื้องบนลงโทษให้ฝนตกต่อเนื่องเป็นเดือนๆ อีก พวกเขาคงจะแบกรับไม่ไหว! ดังนั้นต้องเก็บชีวิตนางไว้ก่อน ภายหลังค่อยมาตัดสินว่านางเป็นข้ารับใช้ที่สวรรค์ส่งมาจริงหรือไม่ก็ยังไม่สาย

“ท่านอ๋อง คำพูดของราชครูมีเหตุผล ขอท่านอ๋องทรงยกเลิกคำสั่งจับนางถ่วงน้ำด้วยเถิด” หลังจากที่เหล่าขุนนางสุมหัวปรึกษากันเสร็จ จึงเอ่ยคำร้องขอ

“ขอท่านอ๋องยกเลิกคำสั่งด้วยเถิด” ซ่าเอ่อร์ตัวมองเซียวอ๋องอย่างวิงวอน

“แค่กๆ... ช่วย ช่วยด้วย...” เจียงซือฉี่รู้สึกว่าตัวเองเกือบจะทนไม่ไหวแล้ว สองมือของเธอเมื่อยล้าจนไม่มีแรงกอดหินก้อนโต ใกล้จะปล่อยตัวให้ไหลไปตามน้ำอยู่รอมร่อ

น่าสงสารตัวเอง ทั้งที่อายุยังน้อย กลับต้องมาตายด้วยน้ำมือของสาวกลัทธิเถื่อนที่ไร้คุณธรรมพวกนี้ ช่างน่าเวทนาเหลือเกิน!

ซ่าเอ่อร์ตัวและเหล่าขุนนางเห็นดังนั้น ก็ประสานเสียงอ้อนวอนต่อเซียวอ๋องอีกครั้ง ให้ละเว้นชีวิตหญิงสาวกลางแม่น้ำ

เชวี่ยจิ้งเทียนเม้มปากเป็นเส้นตรงอย่างดึงดัน มองหญิงสาวกลางแม่น้ำที่น้ำเริ่มจะมิดศีรษะด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

“ท่านอ๋อง หากช้ากว่านี้ก็จะสายเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” ซ่าเอ่อร์ตัวร้อนใจดังไฟลน กลัวว่าข้ารับใช้แห่งสวรรค์ที่เพิ่งจะปรากฏตัวได้ไม่นาน อาจจะต้องกลับคืนสู่เบื้องบนอีกครา

“ท่านอ๋อง ขอทรงคำนึงถึงประชาชนที่ต้องซัดเซพเนจรด้วยเถิด!” เหล่าขุนนางไม่ต้องการให้ฝนตกต่อไปจนน้ำเอ่อท่วมแผ่นดิน ตอนนี้พวกเขาเห็นม้าตายก็ต้องรักษาเหมือนม้าเป็น[2] ต้องโน้มน้าวท่านอ๋องให้เปลี่ยนใจจึงจะถูกต้อง

“ช่วย...แค่กๆ...” แย่แล้ว ครั้งนี้ต่อให้เธอจะไม่ยินยอม ก็คงต้องกลายเป็นผีที่ตายอย่างไม่เป็นธรรมแล้ว

“ลากนางขึ้นมา” พริบตาที่หญิงสาวปล่อยมือ เชวี่ยจิ้งเทียนก็เปลี่ยนใจ ออกคำสั่งให้ช่วยคนในที่สุด

องครักษ์สองสามนายซึ่งเชี่ยวชาญการว่ายน้ำรีบปฏิบัติตามคำสั่งของเขา กระโดดไปคว้าหญิงสาวที่ไหลไปกับน้ำกลับขึ้นฝั่ง

“แค่กๆ! แค่กๆ...” เจียงซือฉี่ลากขึ้นมาบนฝั่งอย่างทุลักทุเล นอนคว่ำหน้าสำลักอยู่บนพื้นด้วยความทรมาน

การตกน้ำครั้งนี้ทำให้เธอที่มีโรคหอบติดตัวมาแต่เด็กหายใจโรยแรง เธอตะกรุมตะกรามสูดอากาศที่ได้มาอย่างยากลำบาก กลัวว่าโรคหอบจะกำเริบจนทำให้เธอไม่อาจหายใจได้อีก

“เจ้าเป็นใคร? รีบรายงานชื่อแก่ข้ามา” เชวี่ยจิ้งเทียนไม่ใส่ใจท่าทางเจ็บปวดของนาง เริ่มสอบสวนทันที

เจียงซือฉี่ดวงหน้าซีดเผือด แค่หายใจอย่างเดียวก็แทบจะไม่ทันแล้ว จะเอาเวลาที่ไหนไปสนใจเจ้าลัทธิเถื่อน เมื่อคิดถึงการปฏิบัติอย่างโหดร้ายที่ตัวเองได้รับ ก็อดจะใช้สายตาคลอน้ำตวัดมองใส่เขาอย่างโกรธเคืองไม่ได้

เหอะ! หล่อกว่าทาเคชิ คาเนชิโร่เสียเปล่า กลับเป็นคนโหดเหี้ยมไร้คุณธรรม! บทเรียนครั้งนี้สอนให้เธอรู้ว่า อย่าได้ถูกรูปลักษณ์หล่อเหลาและเสียงทุ้มต่ำของบุรุษหลอกลวงเอาเด็ดขาด เพราะว่าอีกฝ่ายอาจจะเป็นโรคจิตที่ฆ่าคนโดยไม่กะพริบตาก็เป็นได้

“ข้ากำลังถามเจ้าอยู่ ยังไม่รีบตอบมาอีก!” ความขุ่นเคืองและเพิกเฉยของนาง ทำให้เชวี่ยจิ้งเทียนเดือดดาล

เจียงซือฉี่ไม่สนใจน้ำเสียงเกรี้ยวกราดของเขา ตั้งหน้าตั้งตาสูดอากาศบริสุทธิ์ ซึมซับความสุขจากการมีชีวิตรอด

“ทหาร! เอาตัวนางไปถ่วงน้ำอีกรอบ!” เชวี่ยจิ้งเทียนไม่อนุญาตให้ใครมาหมิ่นเกียรติของเขา ต่อให้นางเป็นข้ารับใช้แห่งสวรรค์ ก็ไม่ได้รับสิทธิ์นั้นเช่นกัน

“พ่ะย่ะค่ะ!” องครักษ์รับคำสั่ง ลงมือปฏิบัติอย่างรวดเร็ว

“ท่านอ๋อง! ไม่ได้เด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ!” ซ่าเอ่อร์ตัวรีบส่งเสียงคัดค้าน

เจียงซือฉี่ที่แต่เดิมเอาแต่ละโมบสูดหายใจ พอได้ยินคำสั่งของเจ้าลัทธิเถื่อนก็ตกใจจนหน้าซีดยิ่งกว่าเก่า เธอยังไม่ทันจะได้ต่อสู้ดิ้นรนก็ถูกเหล่าองครักษ์กุมตัว พาลากไปที่ริมฝั่งแม่น้ำอย่างเย็นชา

“อย่าจับข้าถ่วงน้ำอีกเลยนะ! ท่านอ๋องไว้ชีวิตด้วย ท่านอ๋อง! ข้าชื่อเจียงซือฉี่!” เจียงซือฉี่สั่นระริกไปทั้งตัว รีบตะโกนบอกทันที เรียกคนบ้าว่า ‘ท่านอ๋อง’ จะเป็นไรไป? ต่อให้เขาสั่งเธอให้เรียก ‘ท่านเทพผู้วิเศษ’ ขอเพียงรักษาชีวิตน้อยๆ นี้ไว้ จะให้เธอตะโกนใส่สวรรค์จนกว่าเขาจะพอใจก็ยังได้เลย!

“คราวนี้เจ้ายอมตอบคำถามแต่โดยดีได้แล้วรึ” คิ้วกระบี่ของเชวี่ยจิ้งเทียนเลิกขึ้น ส่งเสียงหึขึ้นจมูกกับการเปลี่ยนสีหน้าของนาง

เหล่าองครักษ์ที่รับคำสั่งของเซียวอ๋องให้ลากนางไปริมฝั่งจึงหยุดลง

“แน่นอนอยู่แล้ว! ท่านอ๋องตรัสถาม หม่อมฉันจะกล้าไม่ตอบได้อย่างไร” เจียงซือฉี่ที่ชีวิตน้อยๆ กำลังตกอยู่ในอันตรายเผยรอยยิ้มประจบเอาใจ

เพราะไม่อยากถูกจับโยนลงแม่น้ำอีก เธอไม่เชื่อว่าตัวเองจะโชคดีถึงขนาดถูกลากขึ้นฝั่งเป็นครั้งที่สอง แต่ว่าที่นี่มันคือที่ไหนกัน? เหตุใดอยู่ๆ เธอถึงตกลงไปในน้ำ? เธอจำได้ว่าตนกับเสวี่ยขุยและเถียนเถียนกำลังฉลองวันเกิดครบรอบยี่สิบปีอยู่ด้วยกันที่บ้าน จากนั้นก็ได้ยินเสียงดังสนั่น หลังจากนั้น...

เเล้วหลังจากนั้นเล่า? น่าตายนัก! เรื่องราวที่เกิดขึ้นต่อจากนั้น ตอนนี้เธอกลับนึกไม่ออกเสียได้! เจียงซือฉี่อยากจะใช้กำปั้นทุบศีรษะแรงๆ อย่างแค้นใจ ลองดูว่าจะทำให้ตัวเองฟื้นความทรงจำกลับมาได้ไหม แต่ตอนนี้ยังมีเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่า ก็คือการรับมือกับคนบ้าที่อยู่เบื้องหน้า! ส่วนเรื่องอื่น รอให้เธอรอดปลอดภัยจากลูกศิษย์ลัทธิเถื่อนพวกนี้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน

“เจ้าเป็นคนที่ไหน?” เชวี่ยจิ้งเทียนวางท่าสูงศักดิ์ ชายตามองเธอพลางเอ่ยถาม

“ท่านอ๋องถามความเจ้า ยังไม่รีบคุกเข่าลงอีก!” องครักษ์ที่ประกบอยู่ด้านซ้ายและขวาของเจียงซือฉี่กดเธอให้คุกเข่าลง

แม้เจียงซือฉี่จะไม่เต็มใจ แต่เมื่ออยู่ใต้ชายคาบ้านคนอื่น ก็ไม่อาจไม่ก้มหัวให้ เหตุผลข้อนี้เธอเข้าใจดี ด้วยเหตุนี้เธอจึงยอมไหลไปตามน้ำ ทำให้พวกลัทธิเถื่อนพอใจ เธอคุกเข่าลงอย่างว่าง่าย เก็บซ่อนความไม่พอใจไว้ในอก รอให้เธอหนีไปได้ก่อนเถอะ สิ่งแรกที่เธอจะทำก็คือโทรแจ้งตำรวจในข้อหาเจตนาฆ่า! เหอะ!

“หม่อมฉันเป็นคนไทเป” เจียงซือฉี่อวดรอยยิ้มสวยหวานราวกับว่าทุกอย่างที่ผ่านมาเรียบร้อยราบรื่น คิดว่าจะทำให้เจ้าลัทธิเถื่อนยอมอ่อนลง

“ซ่าเอ่อร์ตัว สถานที่ที่เทพเจ้าสถิตอยู่เรียกว่าไทเปหรือไม่?” เชวี่ยจิ้งเทียนเลิกคิ้ว เอ่ยถามซ่าเอ่อร์ตัวที่อยู่เบื้องหน้า

“นี่... ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่” ซ่าเอ่อร์ตัวส่ายศีรษะ ตามที่เขารู้มา สถานที่ที่เทพเจ้าสถิตอยู่ไม่ได้เรียกว่าไทเป อีกทั้งเขาก็ไม่เคยได้ยินสถานที่ที่เรียกว่าไทเปมาก่อน

“เจียงซือฉี่ ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง เจ้าทำอะไรได้บ้าง?” น้ำเสียงของเชวี่ยจิ้งเทียนอ่อนโยน วางท่าเป็นคนดีไม่มีพิษมีภัย

แต่เจียงซือฉี่ยังไม่ลืมว่าเจ้าลัทธิเถื่อนเคยมองเธออย่างดูแคลน เธอรู้ว่าเขารังเกียจเธอมากเพียงใด จึงไม่ถูกท่าทางที่อ่อนโยนขึ้นมาอย่างฉับพลันของเขาหลอกเอาได้

“ข้าซักผ้า ทำอาหาร ทำบัญชี แล้วก็ต้อนรับแขกได้” เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าลัทธิเถื่อนทำร้ายคนลับหลัง เจียงซือฉี่จึงร่ายความสามารถของตนที่เก็บเกี่ยวมาจากการทำงานพิเศษสมัยเรียนอยู่มหาวิทยาลัยออกมาจนหมด

เมื่อเหล่าขุนนางได้ฟังคำของเธอ ต่างก็พากันขมวดคิ้วจนยุ่งเหยิง นี่ไม่ค่อยจะเหมือนกับความสามารถของข้ารับใช้แห่งสวรรค์ที่พวกเขาคิดเอาไว้สักเท่าไร

“ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง เจ้ามาที่นี่มีจุดประสงค์อะไร?” น้ำเสียงของเชวี่ยจิ้งเทียนอ่อนโยนราวกับต้องการจะปลอบขวัญ

“ก็ไม่รู้สิ! เดิมทีข้าก็กำลังฉลองวันเกิดอยู่กับเพื่อนรักเสวี่ยขุยและเถียนเถียนที่บ้านของข้า ไม่รู้เลยว่าจู่ๆ จะมาโผล่ที่นี่ มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ แต่ข้าก็หวังว่าท่านอ๋องจะเข้าใจ การปรากฏตัวขึ้นของข้ามันเป็นเรื่องบังเอิญ ข้าไม่ได้มีแผนร้ายแน่นอน” ชายตรงหน้าดูท่าจะหัวแข็งไม่เบา เธอต้องพยายามเกลี้ยกล่อมให้เขาเชื่อ ว่าเธอเป็นเพียงประชาชนผู้แสนบริสุทธิ์จึงจะถูก

“เจ้าสังเกตปรากฏการณ์บนท้องฟ้าเป็นหรือไม่?” เชวี่ยจิ้งเทียนถามต่อ สีหน้าและน้ำเสียงไม่เปลี่ยนแปลง

“ไม่เป็น” เจียงซือฉี่ส่ายศีรษะอย่างซื่อตรง เธอไม่ใช่นักดาราศาสตร์เสียหน่อย แล้วก็ไม่ได้อยู่ชมรมดาราศาสตร์ด้วย จะสังเกตปรากฏการณ์บนฟ้าอะไรนั่นเป็นได้อย่างไร

“เจ้าสามารถทำนายชะตาบ้านเมืองได้หรือไม่?” เชวี่ยจิ้งเทียนเผยรอยยิ้มน้อยๆ ราวกับลมในฤดูใบไม้ผลิ แล้วถามต่อ

“ไม่ได้” เขายิ่งถามก็ยิ่งไม่เข้าท่า เธอดูดวงไม่เป็น ทั้งยังไม่ใช่ร่างทรงในวัด จะไปทำนายชะตาบ้านเมืองได้อย่างไร?

“ดังนั้น นอกจากซักผ้า ทำอาหาร ทำบัญชี และต้อนรับแขกแล้ว อย่างอื่นเจ้าทำไม่เป็นเลยสักอย่าง?”

“จะพูดอย่างนั้นก็ได้ เอ้ย! ข้าเป็นนักศึกษาเอกญี่ปุ่น ข้ายังพูดภาษาญี่ปุ่นได้อีกอย่าง!” เจียงซือฉี่ยิ้มอย่างกระดากก่อนจะกล่าวเสริม แต่ก่อนไม่เคยคิดว่าตัวเองนั้นไร้ประโยชน์ แต่พอฟังเขาพูดแล้ว เธอก็เพิ่งจะรู้สึกว่าตนเองไม่มีความสามารถอะไรเลย

เหล่าขุนนางได้ฟังก็พากันอื้ออึง ใครก็คาดไม่ถึงว่า ข้ารับใช้แห่งสวรรค์ผู้นี้กลับทำเป็นแต่เรื่องที่คนธรรมดาสามัญทำได้ ไม่สิ ควรจะพูดว่า แม้แต่คนธรรมดายังสามารถทำอะไรได้มากกว่านางเสียอีก! เช่นนั้น นางยังจะเป็นข้ารับใช้แห่งสวรรค์อะไรได้อีก? อีกอย่าง ภาษาญี่ปุ่นคือของสิ่งใดกัน? ไม่เห็นจะเคยได้ยินมาก่อน เดาว่าน่าจะเป็นสิ่งที่นางแต่งขึ้นเพื่อโกหกหลอกลวงทุกคนแน่

“ซ่าเอ่อร์ตัว เจ้าได้ยินที่นางพูดแล้ว ได้เห็นตัวนางแล้ว เจ้าคิดว่าข้ารับใช้แห่งสวรรค์จะแต่งตัวชอบกล พูดไม่เป็นภาษาอยู่อีกหรือไม่” เชวี่ยจิ้งเทียนยิ้มเยาะว่าที่แท้แล้วซ่าเอ่อร์ตัวก็แค่เข้าใจผิด

แต่งตัวชอบกล? พูดไม่เป็นภาษา? เจียงซือฉี่ขมวดคิ้วสวย อดกลั้นที่จะไม่ระเบิดอารมณ์ออกมา เขาคงกำลังพูดถึงตัวเองอยู่สินะ? เธอใส่เสื้อสายเดี่ยวกับกางเกงขาสั้นแสนน่ารัก นี่มันดูชอบกลตรงไหน? คำพูดของเธอก็ปกติดี ไม่ได้พูดภาษาดาวอังคาร แล้วมันไม่เป็นภาษายังไง? ถ้าจะให้เทียบกันจริงๆ เขาต่างหากที่เป็นคนแต่งตัวชอบกลพูดไม่เป็นภาษา เห็นชัดว่าตัวเองเป็นโจรแล้วยังตะโกนให้จับโจรอีก!

“เอ่อ... หม่อมฉันไร้คำพูดแล้ว” หลังจากที่ซ่าเอ่อร์ตัวฟังคำอธิบายของเจียงซือฉี่จนจบ ก็มีสีหน้าโง่งมทันควัน ในใจนึกสงสัยว่าตนเองคงจะเข้าใจผิด

“ไร้คำพูดรึ! ทหาร! เอาตัวข้ารับใช้สวรรค์จอมปลอมผู้นี้ไปตัดหัวเสีย!” เชวี่ยจิ้งเทียนเปลี่ยนสีหน้าอย่างฉับพลัน เกรี้ยวกราดอย่างหนัก

“พ่ะย่ะค่ะ!” องครักษ์ที่อยู่ด้านข้างตอบรับว่องไว ชักดาบออกมาเตรียมจะตัดหัวเธอ

“ช้าก่อน! อย่าเพิ่งตัดหัว! ท่านอ๋อง! อย่าตัดหัวของข้าไปเลยนะ!” เจียงซือฉี่ไม่รู้ว่าการตอบความจริงจะนำความตายมาสู่ตน ตกใจจนร้องขอชีวิตแทบไม่ทัน

“ท่านอ๋อง...” ซ่าเอ่อร์ตัวใจไม่แข็งพอ คิดจะร้องขอความเมตตาแทนเจียงซือฉี่

“นางทำผิดฐานหลอกลวงเบื้องสูง สมควรถูกประหาร!” เหล่าเสนาบดีไม่ยินยอมให้ใครหน้าไหนมาหมิ่นเกียรติเซียวอ๋อง ต่างพากันโมโหจนตีปีกพับๆ

“ข้าไม่เคยพูดว่าข้าเป็นข้ารับใช้แห่งสวรรค์เลยนะ จะเรียกว่าหลอกลวงเบื้องสูงได้อย่างไร?” เจียงซือฉี่ตะเบ็งเสียง

ตั้งแต่ต้นจนจบ เธอไม่เคยบอกเลยว่าตัวเองเป็นข้ารับใช้แห่งสวรรค์อะไรนั่น แล้วยังจะมาตัดหัวเธอ ความยุติธรรมอยู่ตรงไหนกัน? แล้วคนพวกนี้ก็เฮงซวยสิ้นดี งมงายลัทธิเถื่อนจนหัวปักหัวปำ แม้แต่คำอย่าง ‘ข้ารับใช้แห่งสวรรค์’ ยังคิดออกมาได้ บางทีสถานที่ที่คนพวกนี้ควรจะไปคงไม่ใช่คุก แต่เป็นโรงพยาบาลบ้าต่างหาก!

“ท่านอ๋อง แม่นางเจียงกล่าวถูกต้องแล้ว เป็นหม่อมฉันที่ทำพลาดไป ความผิดนี้สมควรให้หม่อมฉันเป็นผู้รับไว้” หากสืบสาวเอาความแล้ว เป็นเขาเองที่เรียกเจียงซือฉี่ว่าข้ารับใช้แห่งสวรรค์ นางไม่ได้เรียกตัวเองแบบนั้นจริงๆ

เซียวอ๋องยกมือขึ้นหยุดองครักษ์ เจียงซือฉี่ที่เก็บชีวิตน้อยๆ ของตนกลับมาได้อีกครั้งก็ตกใจจนเหงื่อไหลพราก

“กราบทูลท่านอ๋อง ถึงแม้ที่ราชครูพูดมาจะเป็นความจริง ทว่าขอพระองค์ทรงเห็นแก่ที่ราชครูภักดีต่อแว่นแคว้นเสมอมา ได้โปรดอภัยให้กับความผิดที่เขาทำในครั้งนี้ด้วย”

“ขอท่านอ๋องทรงเมตตา!” เหล่าเสนาบดีไม่อยากเห็นราชครูศีรษะหลุดจากบ่า ร้องขอให้เซียวอ๋องอภัยในความผิดพลาดของเขา

เจียงซือฉี่แม้แต่หายใจแรงๆ ยังไม่กล้า กลัวว่าจะพูดอะไรผิดๆ ออกไปแล้วจะถูกตัดหัวเข้าให้ ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่ถึงหนึ่งวัน ชีวิตน้อยๆ ของเธอกลับถูกข่มขู่ครั้งแล้วครั้งเล่า ได้รับความตกใจจนวิญญาณแตกกระเจิงไปตั้งนานแล้ว

“ซ่าเอ่อร์ตัว ข้าจะเห็นแก่ที่เจ้ามีใจเมตตาประชาชน จึงได้ตัดสินใจพลาด จึงลงโทษให้เก็บตัวสำนึกผิดอยู่แต่ในบ้านหนึ่งเดือนเป็นการตักเตือน” เชวี่ยจิ้งเทียนไม่ได้มีเจตนาจะเอาชีวิตของซ่าเอ่อร์ตัวแต่แรก ดังนั้นจึงยอมคล้อยตามคำขอร้องของทุกคน ลงโทษเพียงสถานเบา เพื่อให้ซ่าเอ่อร์ตัวจำไว้เป็นบทเรียน

“ขอบพระทัยท่านอ๋องที่ทรงเมตตา!” ซ่าเอ่อร์ตัวน้อมกายแสดงความขอบคุณ

“ส่วนเจ้า...” เชวี่ยจิ้งเทียนสีหน้าดำมืด พลางครุ่นคิดว่าจะลงโทษเจียงซือฉี่อย่างไรดี

เจียงซือฉี่มองสายตาที่สวยเกินใครของเขาอย่างกระสับกระส่าย เหงื่อเย็นค่อยๆ ไหลลงมาจากหน้าผาก กลัวเขาจะพลิกสีหน้า ต้องการชีวิตของเธออีก

“พวกเจ้าดูนั่น!” ทันใดนั้นเอง เสนาบดีผู้หนึ่งชี้นิ้วไปที่ท้องฟ้าพลางร้องเสียงตื่นตกใจ

ทุกคนเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงร้อง พลันพบว่าขณะที่พวกเขากำลังถกเถียงกันไม่จบสิ้น ฝนก็หยุดลงแล้ว ท้องฟ้าที่เคยเต็มไปด้วยเมฆหนาปกคลุมได้เปลี่ยนมาแจ่มใสไร้เงาเมฆไปหมื่นลี้โดยที่ไม่มีใครรู้ตัว ยามทุกคนแหงนหน้าขึ้นมองนั้นเอง แสงอาทิตย์ที่ไม่ได้พบเห็นมาเนิ่นนานก็พลันเยื้องกรายออกมาสาดแสงลงบนแผ่นดินราวกับมีปาฏิหารย์

ภาพที่ปรากฏทำเอาทุกคนอัศจรรย์ใจจนลิ้นจุกปากพูดไม่ออก จ้องมองเจียงซือฉี่ที่ยังดูไม่เข้าใจเรื่องราวอย่างไม่อยากจะเชื่อ แต่ก็ไม่รู้จะอธิบายการโผล่ออกมาของแสงอาทิตย์ที่ราวกับปาฏิหารย์นี้อย่างไร

“ท่านอ๋อง ข้าเป็นผู้บริสุทธิ์” เจียงซือฉี่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดอยู่ดีๆ ทุกคนก็ทำหน้าราวกับเจอปาฏิหารย์ แล้วก็ไม่เข้าใจว่าพวกเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่ รู้แค่ว่าการปั้นหน้าไร้เดียงสาเอาไว้ ก็คือถูกต้องแล้ว

“ท่านอ๋อง สวรรค์มีเมตตาไม่อาจทนเห็นพระองค์ลงทัณฑ์แม่นางเจียง จึงดลบันดาลเรื่องอัศจรรย์ให้เกิดขึ้น ขอท่านอ๋องทรงละเว้นนางด้วยเถิด!” เมื่อเห็นว่าดวงตะวันโผล่ออกมาแล้ว ซ่าเอ่อร์ตัวจึงมั่นใจว่าเป็นเรื่องน่ายินดี เพราะอาทิตย์ส่องแสงได้ถูกจังหวะเวลา จึงสามารถหยิบยืมโอกาสนี้มาบรรเทาไฟโทสะในใจของเซียวอ๋องได้

เหล่าเสนาบดีคิดว่าซ่าเอ่อร์ตัวกล่าวออกมาได้มีเหตุมีผล ต่างก็พากันเหล่ตามองเซียวอ๋อง รอคอยคำพิพากษาอันเป็นธรรมจากเขา

“ความจริงแล้ว... ข้ามีวิธีที่ดีกว่านั้น ใครให้ข้ายืนเงินสักร้อยหยวนได้บ้าง แล้วก็บอกข้าทีว่าป้ายรถเมล์ไปทางไหน ข้าจะรีบขึ้นรถจากไปทันที จะทำเหมือนว่าเรื่องทั้งหมดนี้ไม่เคยเกิดขึ้น” ข้ารับใช้สวรรค์บ้าบออะไร เรื่องไร้สาระทั้งนั้น มันไม่เกี่ยวกับเธอสักหน่อย เจียงซือฉี่ไม่ยอมให้ใครมาชี้นิ้วตัดสินชะตาของเธอ แผนการตอนนี้ก็คือ ใช้น้ำมันทาเท้า[3] ...เผ่นสิ

“หรือว่าเจ้าโง่เง่าจนไม่รู้ว่า ณ ที่แห่งนี้ คำของข้าถือเป็นที่สิ้นสุด?” สายตาคมกริบของเชวี่ยจิ้งเทียนกวาดมองที่ร่างของนาง ต้องการให้นางเข้าใจแจ่มแจ้งเสียทีว่า ที่แห่งนี้ไม่มีที่สำหรับให้นางเอ่ยปาก

“…” ประสาท! ไอ้บ้า! เจียงซือฉี่โมโหจนตัวสั่น ก่นด่าเขาอยู่ในใจเพื่อให้ตัวเองรู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง

ทำอย่างไรได้เล่า สิ่งที่เขาพูดคือความจริง ตอนนี้คำพูดของเขาถือเป็นใหญ่ที่สุด เธอสาบาน รอให้คนพวกนี้ถูกตำรวจลากตัวไปเสียก่อนเถอะ เธอจะเอาคำพูดทุกคำที่เขาเคยพูด ตอกหน้าเขากลับไปแรงๆ!

“ท่านอ๋อง แม่นางเจียงได้รับความไม่เป็นธรรมเพราะหม่อมฉันจริงๆ” ซ่าเอ่อร์ตัวรู้สึกว่าเซียวอ๋องไม่ใคร่จะชอบหน้าเจียงซือฉี่นัก จึงพยายามขอความเมตตาให้เจียงซือฉี่ต่อ

“ราชครูช่างเป็นทุกข์เป็นร้อนแทนประชาชนยิ่งนัก เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้าจะลงโทษให้นางทำงานในวังหลวงเป็นเวลาสามเดือน ถือเป็นโทษสถานเบา” หญิงที่ไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวอย่างนาง สิ่งที่จำเป็นต้องเรียนรู้มากที่สุดก็คือความนอบน้อมและกฎระเบียบ และทั่วทั้งแคว้นเฟิง สถานที่ที่มีกฎระเบียบเคร่งครัดมากที่สุดก็คือวังหลวง พวกนางกำนัลจะต้องทำให้นางกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนใหม่ได้แน่ๆ

“ทำงานสามเดือน?” เจียงซือฉี่อึ้งงัน ทั้งๆ ที่เธอเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่กลับถูกลากให้ติดร่างแหไปด้วย เธออับจนถ้อยคำแล้วจริงๆ

“เจ้าคิดว่าข้าลงโทษเบาไปหน่อยหรือ?” เชวี่ยจิ้งเทียนเลิกคิ้วถามด้วยท่าทีอันตราย

“ไม่ๆ! กำลังดีเลย! ท่านอ๋องทรงปรีชา ลงโทษได้สมควรยิ่ง!” สวรรค์! เธออยากจะอาเจียน แต่ทำได้เพียงปากอย่างใจอย่าง

“ท่านอ๋องทรงปรีชา!” เหล่าขุนางได้ยินคำตัดสินอันเป็นธรรมของเซียวอ๋อง ต่างประสานเสียงร้องเห็นชอบ

“กลับวัง!” เชวี่ยจิ้งเทียนออกคำสั่ง ไม่อยากได้ชีวิตน้อยๆ ของนางอีกต่อไป

“พ่ะย่ะค่ะ!” องครักษ์ไม่ให้เธอคุกเข่าอีก ดึงเธอให้ลุกยืนขึ้นเพื่อกลับวัง

“ขอบพระทัยท่านอ๋อง!” ซ่าเอ่อร์ตัวกล่าวขอบคุณเซียวอ๋องที่ทรงเมตตาละเว้นชีวิตแทนเจียงซือฉี่

ด้วยเหตุนี้ เหล่าองครักษ์รับหน้าที่เปิดทาง ขันทีคอยรับใช้อยู่ซ้ายขวา เซียวอ๋องนำขบวน ราชครูและเหล่าขุนนางติดตามอยู่เบื้องหลัง เดินทางกลับวังหลวงกันอย่างยิ่งใหญ่อลังการ

“เดี๋ยวก่อน! พวกเจ้าจะพาข้าไปไหน” เจียงซือฉี่เพิ่งรู้ว่าสถานการณ์ไม่ถูกต้องเมื่อทุกอย่างสายเกินไป เธอไม่อยากจะไปรังซ่องสุมของคนพวกนี้! ทำงานสามเดือนอะไร? เธอไม่เอานะ! เธอนี่มันโง่เง่าเกินคนจริงๆ! ทำไมเมื่อกี้ถึงพูดว่าเขาปรีชาสามารถ? เธอต้องการจากไป ไม่ได้อยากไปข้องเกี่ยวกับเขาสักนิด! พอคิดได้ถึงตรงนี้ เธอก็แค้นใจจนอยากเย็บปิดปากของตนนัก

“ท่านอ๋องทรงมีเมตตาท่วมท้น อนุญาตให้เจ้าร่วมทางกลับเข้าวัง” องครักษ์ที่จับตัวเธออธิบายให้ฟังอย่างหวังดี ให้เธอรู้จักสำนึกในความกรุณาขององค์เหนือหัว

“ข้าไม่กลับวังไปกับพวกเจ้านะ! พวกเจ้ารีบปล่อยข้าไปเร็วเข้า!” ความหมายของการเข้าวังคงไม่ใช่ว่าต้องเข้าร่วมลัทธิหรอกนะ? สวรรค์ เธอไม่อยากทำแบบนั้น

เจียงซือฉี่ดิ้นรนสุดแรงอย่างหวาดกลัว คงมีแต่สวรรค์ที่รู้ว่าสิ่งที่คนพวกนี้เรียกว่าวังหลวงเป็นสถานที่พิลึกแบบไหน ถ้าพวกเขาใช้เธอเป็นเครื่องบูชายัญขึ้นมาจะทำอย่างไรล่ะ? ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว เธอจึงยิ่งออกแรงดิ้นมากขึ้นกว่าเก่า

เธอพอจะนึกภาพออก หากวันหนึ่งตำรวจสืบพบลัทธิเถื่อนนี้เข้า แล้วนักข่าวตามดมกลิ่นจนพบว่าตัวเธอมีส่วนเกี่ยวพันกับเรื่องนี้ พาดหัวข่าวจะน่าสะเทือนขวัญขนาดไหน

 

ยี่สิบปีก่อนถูกทิ้งไว้ที่ตู้เก็บของในสถานีรถไฟ ยี่สิบปีต่อมาใช้ชีวิตตกต่ำ เข้าร่วมลัทธิเถื่อน!

 

“ช่วยด้วย...” เพียงแค่จินตนาการ หนังศีรษะของเจียงซือฉี่ก็ชาหนึบ เธอยอมตายไม่ยอมแพ้ แต่ก็จนใจที่เรี่ยวแรงน้อยนิดไม่อาจสะเทือนชายร่างใหญ่สองคนที่ขนาบอยู่ซ้ายขวาสองข้างของเธอได้ อย่างไรก็ต้องถูกคุมตัวไปอยู่ดี

เซียวอ๋องสาวเท้าอย่างองอาจอยู่เบื้องหน้า ไม่สนใจเสียงเอะอะเล็กๆ ที่ลอยมาจากด้านหลังเลยสักนิด...

 

-- อ่านต่อได้ที่ http://bit.ly/2TNCDhQ --

ติดตามโปรเจกต์เสี่ยวเปยและร่วมพูดคุยกับพวกเราได้ที่

https://www.facebook.com/xiaobei.fiction

 

[1] ทาเคชิ คาเนชิโร่ เป็นนักแสดงและนายแบบลูกครึ่งไต้หวัน-ญี่ปุ่น

[2] รักษาม้าตายเหมือนม้าเป็น เป็นสำนวนจีน เปรียบถึงทั้งๆ ที่รู้ว่าเรื่องราวไม่อาจแก้ไขได้ แต่ก็ยังกอดความหวังเล็กๆ เอาไว้ ทดลองทำให้ถึงที่สุด มักใช้แสดงถึงการลงมือทำครั้งสุดท้าย

[3] น้ำมันทาเท้า หมายถึง พอเห็นท่าว่าสถานการณ์ไม่ค่อยดี ก็รีบหนีเอาตัวรอด

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้นำมาจากแหล่งอื่นและได้รับการอนุญาตจากเจ้าของแล้ว

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา