สายสืบสุดอึด
10) บทที่ 10
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
“ดี...”
ถิรนัยมีท่าทีผ่อนคลายหลังจากเคลียร์กับลูกน้องที่นั่งอยู่ตรงหน้าทั้ง 2 แล้ว ก่อนที่จะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้แล้วว่าเสียงจริงจัง
“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้พวกแกทั้งคู่ก็ไปเริ่มงานกับคุณเจตน์ได้เลย ส่วนรายละเอียดกับขอบเขตการดำเนินงานอะไรต่างๆนั้น คุณเจตน์จะกำหนดให้เอง และพรุ่งนี้เขาจะส่งคนมารับหวังใจว่าพวกแกคงจะเข้าใจตรงกันนะ?”
“ครับผม...”
คู่หูต่างวัยรับคำอย่างแข็งขัน
“ถ้าอย่างนั้นวันนี้ฉันก็หมดเรื่องของงานกับพวกแกแค่นี้แหละ เอาเป็นว่าวันนี้อนุญาตให้พวกแกไปพักผ่อนกันก่อนได้ แต่ที่สำคัญต้องพยายามบอกคนรู้จักและทางบ้านยังไงก็ได้ ว่าแกได้ไปทำงานต่างประเทศเท่านั้น ห้ามบอกเรื่องไปทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายไปโดยเด็ดขาด ทุกอย่างคือความลับ หวังว่าคงจะเข้าใจล่ะ”
“ครับผม”
คู่หูต่างรุ่นรับคำเสียงหนักแน่นกับหัวหน้างานของตน ก่อนที่จะออกจากห้องของหัวหน้างานพวกตนและก็แยกย้ายกันกลับที่พักของใครของมันก็ในทันที...
* * *
ตอนเช้าอีกวัน หลังจากที่โด่งระบือและโอบกิจมาถึงที่สำนักงานสายสืบพิเศษเพื่อรอการมารับของเจตน์ตามที่นัดหมายเอาไว้แล้ว และพวกเขาก็รอกันไม่นานเลย อย่างชนิดที่เรียกว่าดื่มกาแฟไม่ทันหมดแก้วเลยด้วยซ้ำไป คนของเจตน์ก็มารับพอดี
ไม่ต้องมีการสั่งการอะไรซ้ำอีกสำหรับหัวหน้างานกับลูกน้อง เพราะต่างรู้ก็หน้าที่กันดีอยู่แล้ว จึงทำให้คู่หูน้าหลานของหน่วยสายสืบพิเศษไปกับคนของเจตน์ที่ส่งมารับอย่างไม่ต้องซักถามอะไรให้มากความกันอีก เพราะถึงคิดจะถามอะไรคนที่ถูกใช้ให้มารับก็คงตอบไม่ได้อยู่ดี
ไม่นานโด่งระบือและโอบกิจก็ได้มาพบกับเจตน์ที่เซฟต์เฮ้าส์แห่งหนึ่งซึ่งอีกฝ่ายจัดเอาไว้เป็นที่ประชุมลับในเบื้องต้นระหว่างพวกเขาเพื่อการซักซ่อมในสิ่งที่จะต้องดำเนินการต่อไป พอมาถึงห้องแล้ว 2 คู่หูต่างวัยก็รอผู้ที่เรียกตนเองเพื่อให้ทำงานไม่นานนัก
“สวัสดีครับคุณทั้งสอง หวังใจว่าผมคงจะไม่ช้าจนเกินไปนะ?”
“ไม่หรอกครับท่าน”
โด่งระบือรับคำขรึมๆ ขณะที่โอบกิจไม่พูดอะไรยิ้มรับเฉยๆ ขณะที่ผู้ที่เรียกสายสืบพิเศษทั้ง 2 มาช่วยงานก็ผายมือ
“ถ้าอย่างนั้นก็ขอเชิญคุณเจ้าหน้าที่โด่งระบือกับคุณโอบกิจนั่งตรงนี้เลยครับ เดี๋ยวผมจะว่าแผนการที่จะให้ทำการต่อไปทั้งหมดให้ฟัง”
“ครับผม”
รับคำอย่างแข็งขันทั้งคู่
จากนั้นเจตน์ก็เล่าแผนการต่างๆที่จะให้ 2 คู่หูต่างวัยจากหน่วยสายสืบพิเศษ ดำเนินการต่อไปโดยที่ภายในห้องนั้นไม่มีใครมารับรู้อะไรทั้งสิ้น เพราะมีเพียงแค่เจ้าของสถานที่ซึ่งก็คือเจตน์กับ โด่งระบือและโอบกิจเท่านั้น
* * *
จากนั้นอีกวันที่บริษัท เจตน์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เช้าวันนี้ค่อนข้างจะคึกคักเป็นพิเศษเนื่องจากว่ามีการประกาศล่วงหน้าแล้วว่า ทายาทแสนล้านคนเดียวของท่านประธานใหญ่ของบริษัทจะมาเริ่มทำงาน
หลังจากเจ้าหน้าที่บริษัทหลายสิบคนของบริษัทได้ยืนเฝ้ารอ ไม่นานนักประธานใหญ่ของบริษัท ซึ่งก็คือคุณเจตน์ก็ปรากฏตัวขึ้นด้วยรถเข็นระบบขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์โดยเจ้าของรถที่นั่งอยู่เป็นคนขับเคลื่อนมาเอง พอมาถึงก็เปิดยิ้มกว้างกับพนักงานทุกคนที่มารอรับพร้อมกับรับไหว้ไปด้วย
และพอทักทายกันเรียบร้อยแล้ว เจตน์ก็กระแอมขึ้นมาเสียก่อนเพื่อเป็นการเรียกเสียงของตนเองและเป็นรวบรวมความคิดขึ้นมาเสียก่อนว่าตนเองจะต้องพูดอะไรออกมาบ้าง จากนั้นก็เอ่ยจริงจัง
“ผมคิดว่าพนักงานทุกคนคงจะทราบจากประกาศข่าวกันไปบ้างแล้วว่า ทายาทคนเดียวของผมเรียนจบและได้กลับมาจากเมืองนอกแล้ว...”
ว่าได้เพียงนั้นแล้วประธานกรรมการใหญ่ของบริษัท เจตน์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ก็หันไปมองโดยรอบ คล้ายกำลังชั่งใจพร้อมกับใช้สายตาสำรวจเพื่อหาคนที่จะมาคิดร้ายกับทายาทคนเดียวของตนเองให้ได้ แต่หลังจากที่กวาดสายไปโดยรอบแล้วก็เอ่ยต่อเนื่อง
“อาจจะจำกันไม่ค่อยจะได้โดยเฉพาะคนที่เคยเห็นตัวเขาเมื่อตอนเป็นเด็กวัยรุ่น เนื่องจากเขาไปใช้ชีวิตที่เมืองนอกมาโดยตลอด เอาเป็นว่าผมขอแนะนำอย่างเป็นทางการล่ะนะ...ทุกคนครับนี่คือจรัสพงศ์บุตรชายคนเดียวของผมซึ่งก็คงจะต้องรับงานทำต่อจากผมไปในอนาคต”
จบคำโด่งระบือซึ่งตอนนี้กำลังอยู่ในคราบของจรัสพงศ์ทายาทคนเดียวของนักธุรกิจแสนล้านก็เคลื่อนตัวมายืนข้างๆเจตน์ ทีแรกเขายังค่อนข้างจะเกร็งกับการที่จะต้องกลายเป็นทายาทมหาเศรษฐีอยู่เหมือนกัน เพราะแม้ที่ผ่านมาด้วยอาชีพสายสืบพิเศษของตนเองที่ต้องแฝงตัวไปเป็นใครต่อใครมาหลากหลายชีวิตแล้วก็ตามที
แต่กับการต้องมาเป็นทายาทของคนรวยระดับนี้ เขาไม่เคยต้องทำมาก่อนมันก็เลยทำให้ไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวอย่างไรถึงจะเข้ากับบทบาทที่ได้รับในตอนนี้ได้อย่างแนบเนียนที่สุด แต่พอได้เม้มปากและกลั่นใจนิดหนึ่งแล้วโด่งระบือก็ค่อยๆเงยหน้าขึ้นจากการที่ก้มหน้าไปครู่หนึ่งตอนที่เดินเข้ามายืนข้างๆคนที่มอบงานให้ทำ
ด้วยท่าทางที่ดูเนี๊ยบเฉียบเริ่มจากใบหน้าที่ถูกโกนหนวดและเคราจนเกลี้ยงเกลา เนื่องจากตอนที่เป็นโด่งวิบากนั้นเขาโกนแค่หนวดที่มันขึ้นเหนือริมฝีปากทิ้งไปเท่านั้น ส่วนเคราอ่อนๆข้างแก้มและใต้คางนั้นไม่ค่อยได้รับโกนทิ้งให้ดูดีเลย เพราะโด่งระบือคิดเอาเองเสมอว่าเป็นลูกผู้ชายชาตรีนั้นจะต้องมีเคราอ่อนๆ จึงจะดูมาดเท่
แต่ตอนนี้ด้วยคำสั่งและแผนการของเจตน์ได้เล่ารายละเอียดเกี่ยวกับบุตรชายของตนเองว่าเป็นชายหนุ่มประเภทเนี๊ยบทุกกระเบียดนิ้ว เจ้าหน้าที่สายสืบพิเศษอย่างเขาก็เลยไม่มีทางเลือก นอกจากจะต้องกระทำการตัวเองให้เหมือนกับคนที่ตนเองมาสวมบทบาทให้ได้มากที่สุดเท่านั้น
ใบหน้าจึงเกลี้ยงเกลา และแถมทรงผมซึ่งโดยปกตินั้นโด่งระบือคนเดิมก็จะไม่ค่อยจะได้ใช้หวีเพื่อจัดการกับทรงผมตนเองเท่าไหร่เลย แต่คราวนี้เขาก็ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองด้วยชโลมเยลเอาไว้จนทั่วทั้งศีรษะจากนั้นก็จะทำการหวีจนเรียบแปร๋เลยก็ว่าได้ และเพิ่มมาดที่ดูเปลี่ยนไปกว่าเดิมอีกนั่นก็คือการสวมแว่นตากระจกใสกรอบทองคำซึ่งทางผู้ให้มาทำงานนี้ได้เตรียมเอาไว้ให้แล้วนั่นเอง
จึงทำให้มาดของอดีตสายสืบของหน่วยสืบพิเศษแทบจะไม่เหลือเค้าเดิมเลยแม้แต่น้อย หลังจากชั่งใจได้ครู่หนึ่งเขาก็เงยหน้าขึ้นมองไปโดยรอบตรงหน้า ซึ่งมีเจ้าหน้าที่บริษัท เจตน์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ยืนอยู่เรียงรายไปหมด ก่อนที่จะยกมือไหว้พร้อมกับเอ่ยทักทาย
“กราบสวัสดีทุกๆท่านครับ...”
“สวัสดีคะ…”
“สวัสดีครับ…”
เสียงตอบรับกลับมาอย่างทันที ที่เขาเอ่ยคำจบลง จากนั้นเขาก็เอ่ยต่อเนื่อง
“ผมต้องขอขอบพระคุณมากเลยนะครับที่ทุกท่านให้การต้อนรับตัวผมเป็นอย่างดี ที่ผมมาในวันนี้ก็เพื่อจะมาเริ่มทำงานเหมือนกับทุกๆท่านแหละครับ อย่าได้มองว่าเป็นเรื่องสำคัญหรือวิเศษพิเศษมากกว่าพนักงานทั่วไปเลยครับ ขอให้คิดเสียว่าผมเป็นน้องใหม่ในการทำงานให้กับบริษัทก็แล้วกันนะครับ…ขอบคุณมากครับ”
เสียงปรบมือกราวใหญ่ดังขึ้นทันทีเมื่อโด่งวิบากในมาดของจรัสพงศ์ว่าจบลง และขณะที่เอ่ยคำพูดอยู่นั้น สายตาของสายสืบพิเศษก็สอดส่ายมองไปทั่วเพื่อหาข้อพิรุธว่าจะมีใครที่จะมาคิดร้ายกับจรัสพงศ์ตัวจริงได้หรือไม่โดยตลอดขณะที่เอ่ยคำอยู่นั้น
และพอเสียงปรบมือหยุดลงแล้ว เจตน์ซึ่งอยู่บนรถเข็นที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ ก็ยกมือขึ้นและเอ่ยจริงจังอีก
“ยังไงผมก็ขอฝากเจ้าลูกชายคนเดียวของผมด้วยก็แล้วกันนะ เพราะแม้จะร่ำเรียนมามากก็จริง แต่การทำงานนั้นก็ต้องใช้ประสบการณ์จากชีวิตจริงๆเสียมากกว่า ใครมีอะไรจะชี้แนะหรือแนะนำอย่างไรก็เต็มที่ได้เลย ไม่ต้องเกรงใจว่าเป็นลูกของประธาน โดยเริ่มแรกของการทำงานนี้ผมจะให้เจ้าจ๋ายหรือจรัสพงศ์นั้นไปทดลองงานทุกแผนกเลยก็แล้วกันนะ”
ว่าจบประธานใหญ่ของบริษัทก็หันไปมองโดยรอบ ก่อนที่จะว่าเพิ่มเติมอีก...
(หมายเหตุ : รีดฯท่านใดที่ติดตามอ่านงานของไรท์ฯอยู่ ต้องการมีข้อตำหนิติเตียนหรือเสนอแนะอย่างไร หรือเพียงแค่จะทักทายเฉยๆก็แชทมาได้เลยครับที่กลุ่มนิยายพวงพลอยในเฟสฯ หรือจะเข้ามาร่วมกลุ่มกันก็ได้นะครับ ไรท์อยากทราบผลตอบรับการเขียนงานให้ท่านอ่านกันว่าเป็นอย่างไรถูกใจหรือไม่ประการใด ทักเข้ามานะ...)
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ