Secret Love ลิขิตรัก

-

เขียนโดย PMIX

วันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 เวลา 14.06 น.

  12 ตอน
  0 วิจารณ์
  12.77K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 14.29 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

บทนำ

เริ่มก้าวสู่โลกกว้าง

      "สายแล้ว!!..สายแล้วป้า!! ไม่รู้รถไฟจะออกหรือยัง”

       
      เสียงหญิงสาววัย สิบแปด ตะโกนขึ้น แข่งกับเสียงจอแจของผู้คน ขณะก้าวลงจากรถโดยสารสีแดงที่จอดเทียบข้างฟุตบาท ในมือทั้งสองข้างเต็มไปด้วยกระเป๋าใส่สัมภาระใบใหญ่หลายใบ

      
       ทันทีที่ก้าวพ้นจากบันไดรถ เด็กสาวก็กึ่งเดินกึ่งวิ่ง นำ หญิงท่าทางสมส่วนที่ถูกเรียกขานว่าป้า แต่แกยังดูดี เพราะรู้จักดูแลสุขภาพตนเองเป็นอย่างดี ใบหน้าได้รับการแต่งแต้มเครื่องสำอางอย่างลงตัว
        
       
      ร่างผอมเล็กของป้า อยู่ใน เสื้อลูกไม้สีชมพูหวาน กระโปรงผ้าซิ่นทออย่างดี ในมือข้างซ้ายหล่อนหิ้วกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ไม่แพ้กันกับหลานสาว มืออีกข้างถือชะลอมหลายใบ เดินตุปัดตุเป๋ตามหญิงสาวมากระชั้น

      
           
      ด้วยร่างอันบางเล็กของป้ากรอปกับกระเป๋าใบยักษ์ทำให้ดูเกะกะ เมื่อต้องเดินเบียดฝ่าฝูงชนที่บ้างต้องการออกจากสถานี และอีกมากที่พยายามเบียดเข้าไม่แพ้ร่างสูงปราดเปรียวของเธอ

            
           
      "แจ่มบอกป้าแล้วนะจ๊ะ.. ว่าให้ลุงอ้ายเอารถมาส่งก็ไม่เชื่อ! เห็นไหมล่ะ?.. หาเรื่องลำบากเองแท้ๆเลย!!”

  เด็กสาวหันมาบ่นเสียงขุ่น

        
         
      "ก็ไอ้ฉันก็กลัวว่ามันจะ เสียเวลาเค้านี่ อีกอย่างเขาต้องไปดูน้ำเข้านาอีก แกก็รู้ว่าปีนี้ฝนมันเยอะ.. น้ำก็เยอะ ไหนจะท่วมอีก ต้องสูบออก”

      หญิงวัยกลางคนแห๊วขึ้น อย่างอารมณ์เสีย โดยไม่ทันได้สังเกตปาก ขมุบขมิบของผู้ที่เดินอยู่ข้างหน้าตน

        
          

      ทั้งคู่เดินมาหยุดตรงชานชาลาหมายเลขสอง ผู้คนยังคงจอแจกัน ไม่ต่างอะไรกับตลาดสดย่อมๆ บ้างนั่งลงบนม้านั่งยาวพร้อมสัมภาระที่วางไว้บนตัก บ้างยืนคุยกันด้วยท่าทางอาลัยอาวรณ์ อย่างไม่แคร์สายตา สับปะรด แถวนั้น

        
     "เนี้ย!!  เป็นเพราะป้าคนเดียวเลย.. ไม่รู้รถไฟมันออกไปแล้วมั้ง โธ่เอ้ย!”เด็กสาวโวยวาย

           
     ท่าทางกระฟัดกระเฟียด พร้อมกับก้มลงล้วงค้นหาอะไรบางอย่างจากกระเป๋า โดยไม่ได้สนใจใยดี ใบหน้าอันสลดๆเหยเก ของใครบางคน

         
      "เออ ๆ!!..ฉันผิด” ผู้เป็นป้าพึมพำเบาๆ

        
          
        
      "ฮู้!!..หายไปไหนเนี้ย?...ก็จำได้ว่าครั้งสุดท้ายเก็บไว้ในนี้นี่นา” เด็กสาวพูดเสียงดังอย่างหัวเสีย

      มืออันบอบบางของเธอก็ยังคงควานหาของในกระเป๋าเอาจริงเอาจัง

         
         
      "นั่นแก..หาอะไรของแก เฮอะ!! ยัยแจ่ม?” ป้าก้มลงดูของในกระเป๋าหลานที่กำลังป่วนด้วยน้ำมือหลานสาว ทั้งที่เมื่อคืน หล่อนเห็นหลานสาวรีดเสีย เรียบแล้วเรียบอีก

          
             
       "ก็ตั๋วหนะสิป้า แจ่มจำได้ว่า..แจ่มเอาใส่ไว้ในนี้ มันหายไปไหนแล้วล่ะ?”

         
  
            
      "อ้าว!! อะไรของแกเล่า?..ก็อยู่ที่ฉันนี้ไง ก็แกเองไม่ใช่เร้อ?..ที่ยื่นให้ฉันบนรถแดง”ป้าแกว่า ยึดตัวขึ้นพร้อมกับล้วงกระดาษแผ่นเล็กยาว สองใบส่งให้เด็กสาว นามว่า แจ่มใส

   
      
      แจ่มใส ยึดตัวขึ้นตามมองป้าของตนพร้อมสายตาที่คาดโทษ

            
     "แล้วป้าทำไม.. ไม่บอกแจ่มตั้งแต่แรกเล่า?” พูดจบเด็กสาวก็ดึงตั๋วจากมือป้าของตน แล้วทรุดตัวลงนั่ง ปากก็ยังคงบ่นขมุบขมิบไม่หยุด เพียงแต่ไม่มีเสียงลอดออกมาให้ได้ระคายหู

        

     "เอ๊ะ!!..ยัยนี่ แล้วแกถามฉันสักคำไหมล่ะ?..ห๊ะ!!  แกนี่มันพาลจริงๆ”

     
      หล่อนเท้าสะเอว มองเขม็งมาที่หลานสาวอย่างหงุดหงิด ยังไม่ทันที่หล่อนจะได้พูดอะไรต่อ เด็กสาวก็ลุกพรวด เล่นทำเอาคนที่จ้องถึงกับสะดุ้ง!!
     

      ป้าของแจ่มใส มองอาการเลิกลักของหลานอย่างข้องใจ ก่อนที่จะทันได้เอ่ยอะไรเด็กสาวก็โพลงขึ้นมา

        
     "ทำไมไม่มาสักทีนะ?” มองนาฬิกาข้อมือที่ป้าของเธอซื้อให้เมื่อวันเกิดปีที่แล้ว

   

      ถึงแม้ว่ามันจะเป็นนาฬิกาที่ไม่แพงมากนัก เพราะเป็นนาฬิกาสายหนังธรรมดา ไม่ได้มียี่ห้ออะไร
           
       แต่แจ่มใสเองก็รู้สึกชอบของขวัญชิ้นนี้ของป้ามากกว่าของขวัญวันเกิดอีกหลายๆชิ้นที่ป้าเคยให้ในแต่ละปี ซึ่งจะรวมกันอยู่บนหัวเตียงไม้เก่าๆของเธอ ไม่ว่าจะเป็นตุ๊กตาหมีตัวเล็กๆ ตุ๊กตาหมียักษ์ ของกระจุกกระจิก อย่างนาฬิกาทราย หรือเสื้อผ้าที่เธอใส่เป็นประจำก็ตาม
      
           
       เพราะเป็นชิ้นเดียวที่เธอมีโอกาสได้เลือกด้วยตนเอง วันนั้นแจ่มใสจำได้ว่าเป็นวันเกิดของเธอ

        

        
      ป้า พาเธอไปซื้อของมาขายที่ร้านของชำของหล่อน


         

           

      
ร้านขายของของป้าอิ่ม เป็นร้านขายของ ร้าน เล็กๆ ในตัวหมู่บ้าน มันเป็นร้านเก่าแก่ที่ป้าบอกว่าได้รับตกทอดมาจากยายของเธอ

        
     "ยัยแจ่ม นั่นแกจะเดินไปไหนล่ะนะ?” หญิงวัยกลางคนเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นท่าทางเลิกลัก และกำลังจะก้าวห่างออกไป

               
                        

          
     "แจ่มจะไปถามนายสถานีหน่อยจ๊ะป้า เดี๋ยวแจ่มมา”

    
     ผู้เป็นป้ามองตามหลังเด็กสาวอย่างห่วงใย หล่อนเองดูแลและรัก แจ่มใส เหมือนดั่งลูก แม้ว่าตัว หล่อนเองก็ไม่ได้ให้กำเนิด และไม่ได้ให้น้ำนมจากอก
     

         
     แต่หล่อนก็เลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็ก แต่น้อย หล่อนยังจำได้ถึงวันนั้น วันที่รับเอาเด็กหญิงตัวน้อยวัย ห้าขวบ ที่ช่างพูด ช่างคุย ช่างประจบ
       
       
     หล่อนนึกรักเด็กหญิงคนนั้นตั้งแต่แรกเห็น แม้ว่า เอม น้องสาวคนเดียวของหล่อนจะไม่ได้ฝากฝัง ให้หล่อนช่วยดูแลอย่างเป็นทางการ อันที่จริงจะเรียกว่า ไม่ได้กล่าวสั่งเสีย หรือล่ำลากันด้วยซ้ำ
     

           
      เพราะความตาย อันร้ายกาจจะมาพราก เอมไปจากหล่อนและลูกสาวตัวเล็กๆ และคนที่รักเอมไปอย่างทันด่วน
    
     
     เมื่อหล่อนได้รับโทรศัพท์ จากโรงพยาบาล ว่ารถยนต์ ที่น้องสาวของหล่อนนั่งมา ประสบอุบัติเหตุพลิกคว่ำ ขณะน้องสาวของเธอเดินทางจาก กรุงเทพฯ จะมาเยี่ยมเธอที่เชียงใหม่

     ทั้ง เอมและดล น้องเขยของหล่อนเสียชีวิตในทันที เหลือเพียงเด็กน้อย รอดมาได้อย่างปาฏิหาริย์

        
     เพียงบาดเจ็บเล็กน้อย ไม่มีน้ำตาแม้สักหยด จากแจ่มใสน้อย เด็กหญิงได้แต่ทำหน้าสลดแล้วพร่ำแต่ว่า ป๊ะกับมิ ของเธอ จะมองดูเธอจากบนสวรรค์ อิ่มผู้ป้า ก็แสนเวทนาเด็กน้อยยิ่ง จึงไม่กล้าถามว่าใครสอนเด็กหญิงให้คิด และพูดจาอย่าง รู้เกินตัวเช่นนี้

        
             
   
         
      เด็กน้อยเติบโตมาอย่างว่าง่าย แต่ติดที่มีนิสัยเอาแต่ใจตัวเองเล็กน้อย และหัวรั้น ไม่ผิดไปจากเอมแม่ของเธอ แต่ถึงจะดื้อ และรั้น แต่แจ่มใสเองก็ไม่เคยทำตัวให้ ป้าอิ่มของเธอต้องวุ่นวายใจ
     

      แจ่มใสเองมักมีเรื่องให้อิ่มได้ภูมิใจและแปลกใจไม่น้อยอยู่เสมอ
       
    
  ไม่ว่าจะเป็นประกาศเกียรติคุณ นักเรียนมารยาทดี ระดับประถม ระดับมัธยมต้น หรือรางวัลการประกวดร้องเพลง ซึ่งแจ่มใสจะนำมาอวดป้าของเธอเสมอ     
    

    
      แต่บางทีอิ่มก็อดนึกขันไม่ได้ว่า หลานจอมซุ่มซ่าม และเด็กกะโปโลอย่างหลานหล่อน คว้ารางวัล อย่างนั้นมาได้อย่างไร

     
      
       

 
    เวลาผ่านไปซักพัก หล่อนก็ชะเง้อและสอดส่ายสายตาทางซ้ายที ขวาที มองหาหลานสาวด้วยความเป็นห่วง

      "แฮ่....บร้า...ป้า...อิ่ม”

    

    "อุ๊ย...ตาเถร...ตกท่อ!!” ป้าอิ่มเผลออุทาน แถมสะดุ้งโหยง เมื่อมีนิ้วของหลานสาวและเสียงแหย่ให้ตกใจ
       
     ทำให้ผู้ที่แอบย่องมาทางข้างหลังหล่อน หัวเราะชอบใจ อย่างมีชัย
  

       
               

       
         "ตาเถร...ที่ไหนเหรอป้า?...ไม่เห็นมีสักคน ท่อแจ่มก็ว่าไม่มีนะ” เด็กสาว  ไม่วายแหย่ต่อ

     
          

     "เอ๊ะ...ยัยนี่นี้...เดี๋ยวเหอะ” พูดไปมือข้างหนึ่งก็ทำท่าจะเขกหัว ผู้ที่หัวเราะชอบใจตรงหน้า เด็กสาวหลบวูบอย่างรู้ทัน

   
     "ก็รู้อยู่นะ ว่าฉันขี้ตกใจ มันน่าเขกหัวให้สักทีไหมล่ะ?.. แล้วไงได้เรื่องว่าไงบ้าง?.. ฉันยืนรอแกจนเมื่อยแล้ว”

       
        
      ป้าพูดพลางลากกระเป๋าไปทางม้านั่งยาว ที่ชายแก่ ผู้นั่งอยู่ก่อนลุกขึ้นเดินหายลับตาไป แจ่มใสยกกระเป๋าตามมานั่งใกล้ๆ

   
        

      
     
 ผู้คนเริ่มบางตาลงเยอะ อันเนื่องจากต่างคนต่างทยอยกันขึ้นรถไฟเที่ยวก่อนหน้านี้ไปเยอะแล้ว บ้างที่ลงจากรถเมื่อถึงสถานีปลายทาง ก็ทยอยกันกลับยังที่พำนักของตน คงเหลือค้างที่ยังไม่ได้ขึ้นรถ และผู้มาถึงใหม่ไม่กี่คนมานั่งม้านั่งตัวถัดไป

   

      แจ่มใสทำหน้าแหย๋ๆ ก้มลงมองพื้น อิ่มหันมาทางหลาน มองอากัปกิริยาหลานอย่างพินิจ

    
       
      "ว่า ยังไงล่ะจ๊ะ แม่คุ๊ณ..?” พูดเสียงยานคาง อย่างที่หล่อนชอบทำ เวลาทวงหนี้ลูกค้าแล้วโดนผลัดไม่มีผิด

      




      แจ่มใส มักจะได้ยินเสมอ เวลาหยุดเรียนแล้วต้องมาเฝ้าร้านกับป้า ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นวันเสาร์ หรือ อาทิตย์ หรือไม่ก็ช่วงปิดเทรม ส่วนวันธรรมดา ป้าจะไม่ให้ช่วย เพราะป้าจะย้ำเสมอให้แจ่มใสทำการบ้าน และตั้งใจเรียน

       
     
     ถึงแม้ว่าเด็กสาวจะไม่ชอบมากนักที่เห็นป้าต้องทวงหนี้ ลูกค้าเพราะรู้สึกอึดอัด แจ่มใสทั้งอึดอัดแทนผู้ที่ถูกทวง และ ผู้ทวง แจ่มใสเองก็รู้ว่า ที่ป้าต้องทำอย่างนั้นก็เพราะความอยู่รอดของร้าน
     
               
      ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังอดสงสารลูกค้าบางคนไม่ได้ ที่ไม่มีเงินจริงๆ เพราะต้องทำงานหาเช้ากินค่ำ บางครั้งเธอเองก็ต้องทำเป็นหูทวนลม แต่วันนั้นแจ่มใสก็ต้องใจอ่อน

         
    "ไงจ๊ะ..ยายแช่ม จะได้เวลาจ่าย...ไอ้ ที่ค้างไว้หรือยัง นี้มันยาวเป็นหางว่าวแล้วนะจ้าาาา..” หล่อนลากเสียงยาว
  
     
     แจ่มใสคิดว่า มันยาวพอกับจำนวลบิลที่หล่อนอ้างถึง

    
       
     "แล้วนั่นนะที่กำลังถือมาหน่ะ ฉันคงให้เชื่อเพิ่มไม่ได้แล้วล่ะจ้า” ป้าแกยังว่า
      

         
     แจ่มใส แสร้งทำเป็นไม่สนใจ สายตาของหญิงสาว จับจ้องอยู่ที่หน้าโทรทัศน์ เครื่องใหม่ที่ ป้าของเธอพึ่งซื้อมาใหม่  
      
      
      เนื่องจากเครื่องเก่า มันเสียแล้วเสียอีก เหตุจากอายุการใช้งานที่ยาวนาน เธอยังคิดเลยว่าเครื่องนั้น น่าจะเป็นมรดกตกทอดมาจากยายของเธอด้วยแน่ๆ

     

       
"ขอฉันอีกครั้งเถ้อะ.." เสียงนั้นวิงวอน "นมนี้ฉันจะเอาไว้ชงให้ไอ้อ๊อดม้านนน..” เสียงแกเครือๆ เมื่อพูดถึงหลานของแก

      

         ทั้งที่ตาเธอ ดูตลกที่เล่นกันอย่างตลกขบขัน มีเสียงผู้ชมในโทรทัศน์ส่งเสียงฮาอย่างสะใจ เหมือนแกล้งทำ
       

        
      แต่แจ่มใสกับรู้สึกหดหู่อย่างบอกไม่ถูก    เมื่อหูได้ยินเสียงหายใจแรงๆ ของป้าแว่วมาแต่ไกล ใจมันก็ตวัด ถึง อ๊อด เด็กตัวเล็กๆ ที่เดินเตาะแตะๆ ยิ้มแป้น เมื่อเห็นเธอ เดินผ่าน

     
       
      ด้วยว่าจากปากทางเข้ามาถึงร้านขายของชำของป้าอิ่ม เธอต้องเดินผ่านบ้านเด็กอ๊อด ซึ่งเป็นทางผ่านต้องเจอกับอ๊อด ซึ่งกำลังน่ารักน่าชังเป็นประจำ หลายครั้งที่เธอแอบป้าไปเล่นด้วยจนเย็น

      
     ลูกอ๊อด เป็นเด็กที่พ่อแม่ทิ้งไว้เพราะพ่อแม่ต้องไปทำงานในเมืองกรุง ทิ้งลูกอ๊อดให้เป็นภาระไว้กับยายแก่ๆ ซึ่งมีอาชีพ ทำขนมขายตามหมู่บ้าน สามีแกตายมาหลายปี แกเป็นลูกค้าประจำของร้านป้าอิ่ม

     
          
     เสียงทั้งคู่ยังไม่หยุดกวนหูเธอ   ต่างฝ่ายต่างงัดเหตุผลที่ฟังแล้วน่าเห็นใจทั้งคู่

    
         
     "ให้ป้าแช่มไปเถอะป้านะ แจ่มขอ สงสารลูกอ๊อดมัน” แจ่มใสลุกขึ้น มองไปทางหน้าร้าน

         
          
     อิ่มผู้เป็นป้า อ้าปาก กะจะด่าหลานซะหน่อย แต่พอเห็นหน้าหลาน ที่หดเหลือแค่ สอง นิ้ว เหมือนกับว่าที่หล่อนพูดมาทั้งหมด หล่อนกำลังถือหอกแหลมทิ่มแทง หลานของตัวเองไปด้วย เท่านั้นเองความสงสารก็พุ่งมาจุกตรงอกของหล่อน

            
           
         "เออ..เออ ก็ได้ เอาไปเถอะ แล้วยายก็ทยอยเอามาให้ฉันบ้างล่ะกันนะ นังโสภา กับไอ้เอกหน่ะ ก็หัดขอตังค์มันบ้างสิยาย ทิ้งลูก ทิ้งเต้าไว้ให้แล้วมันต้องส่งเงินมาให้บ้าง ไม่ใช่หายต๋อม ไม่งั้นยายก็แย่ ไอ้ฉันมันก็จะแย่ไปด้วย”              
      

      หญิงสูงอายุ ยกมือท้นหัว มันช่างเป็นภาพที่หน้าเวทนายิ่ง

        
     แจ่มใสยังเคยคิดนะ ว่าเมื่อไหร่ คนจนๆ จะหมดไปจากโลกนี้ซะที

        
         


         ที่สถานีผู้คนเริ่มทยอยมาแน่นขนัดอีกครั้งสองป้าหลานยังคงรอรถไฟ อย่างใจจดใจจ่อ

    
      แจ่มใสยังทำท่าอึกอัก จนป้าเธอต้องสะกิด

   
      
    "จ๊ะ ป้า แฮ่ แฮ่ แจ่มดูเวลาผิดหน่ะ คือนาฬิกาแจ่มมันเร็วไป นิดหน่อยนะป้า เร็วไปแค่ ชั่วโมงเดียวเอง”

         

              
      "ชั่ว...โมงเดียว เนี้ยนะ!!”   แกทำเสียงแหลมที่สุดเท่าที่แกจะทำได้

         
       
               
      แจ่มใสทำหน้าแหย๋ๆ เมื่อหันไป เห็นหน้าป้าอิ่ม 
หล่อนทำหน้าไม่ค่อยต่างจากจินตนาการของเธอที่มีต่อนางยักษ์ในเรื่องพระอภัยมณี ที่แจ่มใสเคยเรียนมาเลย

        
              

        
           "ให้มันได้อย่างนี้ซี... ทุกทีเลยนะเรา” หล่อนพูดตามแบบฉบับของหล่อน

         
            "แล้วมันกี่โมงแล้วล่ะตอนนี้?” หล่อนถามเสริม

          
           


                  
            "บ่าย 2 โมงจ๊ะป้า รถออกบ่าย 3 โมง” คนพูดยังคงทำหน้าเหยๆ ดูน่ารักน่าหยิก ในสายตาของผู้ที่กำลังจ้องเธอ เขม็ง

      
        
          

         
พระอาทิตย์ ยังคงทอแสงจ้า มองเห็นเปลวแดด ไหวๆ มองดูคล้ายกำลังร่ายรำกลางรางรถไฟ เป็นปกติของช่วงเดือนพฤษภาคมเช่นนี้ แม้จะไม่ร้อนเหมือนเดือนเมษายนที่ผ่านมา แต่ก็เป็นอีกเดือนหนึ่งที่แจ่มไม่ชอบเลย   
      
          

      เพราะแจ่มใสเป็นคนขี้ร้อน เหงื่อไหลได้ง่ายทั้งที่ไม่ใช่คนเจ้าเนื้อเลย ติดจะ ร่างเล็กผอม ไปด้วยซ้ำ

        
           
     
 เธอกับป้าไม่ได้พูดอะไรกันเลยหลังจากนั้น ป้าของหล่อน นั่งอ่านหนังสือ นิยายเล่มเล็กๆ ที่หล่อนมักจะใช้ฆ่าเวลาเสมอ เวลาไม่มีลูกค้าเข้าร้าน แจ่มใสคิดว่าป้าของเธอจัดเป็น พวกรักการอ่านเหมือนกัน
       
                 
       แจ่มใสนั่งฟังซาวเบาว์ ที่ได้จากการเก็บเงินค่าขนม จากป้าที่ให้ เธอนั่งฟังเพลินๆ เพลงแล้วเพลงเล่า ลุกเดินไปมาบ้างเพื่อยืดเส้นยืดสาย

      
               
      แต่ป้าของเธอก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเปลี่ยนท่า บางทีก็นั่งอมยิ้มอยู่กับตัวหนังสือที่ถืออยู่
 

       
     จนเธอเห็นก็อดยิ้มตามไม่ได้ เวลาช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้า ใน ความคิดของผู้รอคอยเสมอ

        
   
             

    
  รถไฟขบวน หนึ่งเลื่อนกายอย่างช้าๆ 
  เข้ามาเทียบในชานชาลาที่ สอง แจ่มใสแน่ใจทันทีว่าเป็น ขบวนของตน ป้าอิ่มละสายตาจากนิยาย เล่มเล็ก ของหล่อน แล้วมองมาทางหญิงสาว

        
          
           "ขบวนนี้เหรอ ใช่แน่นะ?”


             


          "แน่นอน ร้อย เปอร์เซนต์ เลยจ๊ะป้า”

        
      หญิงสาว พูดอย่างมั่นใจเต็มประดา และดูตื่นเต้นจนออกนอกหน้านอกตา

      



           "เออ..ป่ะ ช่วยกันขนกระเป๋าขึ้นสิลูก”ป้าอิ่มว่า ทั้งคู่ขนสัมภาระอย่างทุลักทุเล
    
     “ตั๋วที่นั่งเบอร์ไรเหรอ แจ่ม?” หญิงวัยกลางคนถามขี้นเมื่อก้าว พ้นบันไดขั้นสุดท้าย

      
           

      22-23 
เป็นที่นั่งของทั้งรถไฟแล่นออกไปแล้วจากสถานีอย่างช้าๆ และค่อยเร่งเร็วขึ้น
        

              
      เสียงวู๊ดรถไฟดังก้องหลายปู๊น แจ่มใสรู้สึกตื่นเต้น นี้เป็นครั้งแรกเลยที่เธอเคยได้นั่งรถไฟ มันร้องปุ๊นๆ อย่างที่เธอเคยเล่นเป็นรถไฟกับเพื่อนๆ

      




             
 แจ่มใสยิ้มร่า   และใจลิงโลดอย่างที่สุด

                                        .............

ป.ล. 

 

     อย่าลืม!! มาติดตาม เอาใจช่วย แจ่มใสด้วยนะค่ะ

รับรองเข้มข้นทุกตอน ละค่ะ 

       ขอบคุณทุกกำลังใจ ทุกเม้นท์ ด้วยนะ!! 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา