กุ่ยสิงเทียนเซี่ย หนึ่งหนู หนึ่งแมว ผ่าคดีปริศนา (ลิขสิทธิ์ สำนักพิมพ์ เรือนหอมหมื่นลี้ B2S)
10.0
เขียนโดย จอมยุทธ์หญิงนักแปล
วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2561 เวลา 16.00 น.
19 บท
2 วิจารณ์
27.80K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2561 16.26 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) บทที่ 1 ตอนที่ 1.2 ตำนานหม่าฟู่แห่งแม่น้ำอี
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขณะที่เรือแล่นไปถึงกลางแม่น้ำ ก็เห็นคนเรือเดินมาที่หัวเรือแล้วก้มลงกราบไหว้ หญิงสาวกลุ่มหนึ่งเห็นเข้าก็ทำตาม
หญิงชราผมเป็นสีดอกเลาคนหนึ่งกำลังคุกเข่าอยู่ข้างชายชุดขาว
“ผู้อาวุโส”
หญิงชราได้ยินเสียงคนเรียก น้ำเสียงมีแววเย็นชา จึงเงยหน้าขึ้นมองก็พบกับชายชุดขาวใช้ด้ามของดาบค่อยๆดันหมวกงอบสานขึ้น กำลังถามหญิงชรา “ทำไมจะต้องกราบไหว้ด้วยเล่า ? ”
หญิงชราเบิกตาโพลง ชั่วชีวิตนี้ของนางได้พานพบกับชายหนุ่มมาก็ไม่น้อย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้พบกับคนที่มีลักษณะโดดเด่นเช่นนี้
“โอ้ !” นิ่งไปครู่หนึ่งกว่าที่หญิงชราจะเอ่ยออกมา “เล่ากันว่า ไม่กี่วันนี้ หม่าฟู่ปิศาจร้ายได้ออกอาละวาดอีกแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ ยามที่ข้ามแม่น้ำก็จะต้องกราบไหว้”
ชายชุดขาวขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
“อ่า”
ทันใดนั้นเอง เด็กน้อยคนหนึ่งที่ตามมากับย่า ไม่ทันระวังตัวได้สะดุดล้มลง มือฟาดไปด้านหน้าปะทะเข้ากับขากางเกงของชายร่างสูงคนหนึ่ง
กางเกงของชายร่างสูงผู้นั้นเป็นกางเกงที่เพิ่งซื้อมาใหม่เมื่อเห็นขากางเกงเป็นรอยนิ้วมือเปื้อนโคลน สองตาถึงกับจ้องเขม็ง
เด็กน้อยรีบกระโจนเข้าไปหาผู้เป็นย่าเพราะตกใจกลัว
ผู้เป็นย่านั้นรีบขอโทษขอโพย แต่ชายร่างยักษ์นั่นดูก็รู้แล้วว่าหาใช่ผู้มีจิตเมตตาไม่ ชายร่างยักษ์กระชากลากคอหญิงชราขึ้นมาเพื่อต้องการให้พวกนางชดใช้เงินค่ากางเกง เป็นจำนวนสิบตำลึง หญิงชราทำได้เพียงแค่ขอขมา แต่ชายร่างยักษ์ไม่ยอม จะต้องเอาเงินให้ได้ ท่าทางของเขานั้นทำให้เด็กน้อยกลัวมากจนร้องไห้ออกมาไม่หยุด
ชายชุดขาวที่อยู่ในเหตุการณ์มองเพียงเล็กน้อยดวงตาสีอำพันก็เข้มขึ้น แววตาเย็นชา เวลานี้กำลังได้ยินหญิงชราพึมพำเสียงต่ำว่า “รนหาที่ตายจริงๆ อยู่กลางแม่น้ำอียังกล้ารังแกเด็กกับสตรี ความตายอยู่ไม่ไกลเจ้าแล้ว”
สิ้นเสียงหญิงชรา ชายร่างยักษ์ก็ตัวแข็งจากนั้นก็โซเซก่อนที่จะหงายหลังล้มลงเลือดออกเจ็ดทวารเสียชีวิตทันที
คนในพื้นที่นี้ต่างพากันกราบไหว้ขอให้หม่าฟู่ปิศาจระงับความโกรธ ในท้ายที่สุดคนเรือก็จัดการโยนศพชายร่างยักษ์ลงไปในแม่น้ำอี เรือจึงกลับมาเริ่มเดินใหม่อีกครั้ง
ครู่ต่อมา เรือก็มาจอดที่ท่าเรือข้ามฟากอย่างปลอดภัย ชายชุดขาวเมื่อขึ้นฝั่งได้ก็รีบเดินทางเข้าเมืองอย่างรวดเร็ว
ชายชุดขาวผู้นี้ก็คือ หนูขนทอง ไป๋อวี้ถัง…
เขาเพิ่งจะกลับถึงเกาะเสี้ยนคงได้ไม่นาน กงซุนก็ส่งคนนำจดหมายมามอบให้แก่เขา ในจดหมายกล่าวว่าจั่นเจาได้รับบาดเจ็บ แล้วยังเดินทางไปเมืองฉวีซานเพียงลำพังเพื่อตามหาพี่ชายที่หายสาบสูญอีก ท้ายประโยคในจดหมายไม่ลืมที่จะแจ้งแก่เขาว่า ตอนนี้ จั่นเจานั้น ตามองไม่เห็น เขาจึงอยากจะขอให้ไป๋อวี้ถังนั้นช่วยเหลือ จั่นเจานั้นช่างไม่คำนึงถึงชีวิตตัวเองบ้างเลย
ไป๋อวี้ถังโยนจดหมายทิ้ง เขาถึงเมืองฉวีซานเมื่อสองวันก่อน หลายวันมานี้มีข่าวแพร่กระจายออกมามากมาย ที่ได้ยินได้ฟังมากที่สุดก็คือเรื่อง หม่าฟู่ปิศาจร้าย
ภายในประตูเมืองทางด้านเหนือของเมืองฉวีซาน มีสี่แยกถนนใหญ่อยู่สายหนึ่ง สองข้างทางถนนเรียงรายไปด้วยโรงน้ำชาและโรงเตี๊ยม
เมืองฉวีซานสถานที่แห่งนี้ภายในตัวเมืองหาได้มีสินค้าอะไรที่โดดเด่นเป็นพิเศษไม่ เพียงแต่บนถนนนั้นคราคร่ำไปด้วยผู้คนมากมายที่เดินกันขวักไขว่ ที่หน้าประตูร้านรวงต่างๆ ยังเต็มไปด้วยแผ่นป้ายปิดประกาศที่พัก
จั่นเจาพาเสี่ยวซื่อจึและเซียวเหลียงเดินตรงเข้าไปในเมือง
เสี่ยวซื่อจึกวาดตามองไปรอบๆ “มีโรงเตี๊ยมมากมายเลยล่ะ เราจะพักที่ไหนกันดีนะ?”
จั่นเจาครุ่นคิดชั่วครู่จึงหันไปถามเสี่ยวซื่อจึและเซียวเหลียง “พวกเจ้าช่วยข้าดูหน่อยซิโรงน้ำชาและโรงเตี๊ยมพวกนี้ชื่อมีตัวรื่อ 日อยู่ข้างๆ ตัวหนังสือหรือไม่”
“ตัวรื่อ 日อยู่ข้างๆ ตัวหนังสือ?” เสี่ยวซื่อจึส่งสายตาเป็นประกายด้วยความเจ้าเล่ห์ “เหมือนคำว่าเจา 昭 ใช่หรือไม่?”
จั่นเจาพยักหน้า อดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปหยิกแก้มของเสี่ยวซื่อจึเบาๆด้วยความเอ็นดู
“พวกเราเดินไปข้างหน้ากันเถอะ เดินไปหาไป” เซียวเหลียงจูงม้าเดินตรงไปข้างหน้าช่วยกันกับเสี่ยวซื่อจึสำรวจดูซ้ายทีขวาทีระหว่างทางที่เดินไป
“ ที่นี่มีโรงน้ำชาโรงหนี่งชื่อ โรงน้ำชา晴(โรงน้ำชาฉิง)” เซียวเหลียงหยุดม้า ถามจั่นเจา
จั่นเจาทำท่าคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงส่ายหัว “น่าจะไม่ใช่”
“เมี้ยวเมี้ยว ตรงนั้นมีโรงเตี๊ยมชื่อรื่อเยว่日月” เสี่ยวซื่อจึชี้ไปที่โรงเตี๊ยมที่อยู่ด้านหน้า
“รื่อเยว่日月……” จั่นเจาหันไปเอ่ยกับเซียวเหลียงว่า “เสี่ยวเหลียง เจ้าช่วยไปถามให้ข้าหน่อยสิว่าที่นั่นมีคนชื่อ จั่นห้าวเคยมาพักหรือไม่”
“ได้ขอรับ” เซียวเหลียงวิ่งไปไม่นานก็กลับมา “พี่จั่น คนที่โรงเตี๊ยมนั้นบอกว่าไม่มี”
“งั้นหรือ……” จั่นเจามีสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย ส่งสัญญาณว่าให้เดินตามหาต่อไป”
ทั้งสามเดินมุ่งหน้าต่อไปอีก ทันใดเสี่ยวซื่อจึหันไปเอ่ย “เมี้ยวเมี้ยว นั่นโรงเตี๊ยมเฉาฮุย朝辉 ”
เซียวเหลียงยิ้มถาม “เด็กน้อยมีตัวรื่อ日 อยู่ตรงไหนล่ะ ?”
“แทรกอยู่ตรงกลางนั้นอย่างไรเล่า” เสี่ยวซื่อจึหัวเราะคิคิ “เซียวเหลียง ไปถามสิ”
เซียวเหลียงวิ่งเข้าไปซักพักไม่นานก็ออกมา “ก็ยังไม่มีอยู่ดี”
พวกเขายังคงมุ่งหน้าเดินต่อไปเรื่อยๆ จนสุดถนนเส้นนี้ ก็เห็นโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งชื่อ ซวี่หยาง 旭阳
เซียวเหลียงไม่ต้องรอให้จั่นเจาสั่งก็วิ่งเข้าไปเลย สักพักไม่นานก็วิ่งออกมาด้วยความดีใจ “พี่จั่น เมื่อสาม วันก่อนเขาเพิ่งออกจากโรงเตี๊ยมไป เขาพักห้องชั้นหนึ่งของโรงเตี๊ยม เสี่ยวเอ้อก็เลยจำได้แม่น”
ในที่สุดจั่นเจาก็ยิ้มออกได้ เยื้องกายลงจากม้า
เมื่อเสี่ยวเอ้อเห็นแขกเข้ามาก็รีบกุลีกุจอ ไปรับบังเหียนม้า แล้วก็ให้คนจูงเข้าไปไว้ยังโรงเลี้ยงม้า เพื่อดูแลให้อาหารอย่างดี แต่ทว่าเขาหันไปจ้องเจ้าสือโถวนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ เขาไม่เคยเห็นตัวอะไรประหลาดเช่นนี้มาก่อน คิดว่ามันคือตัวอะไรนี่? ลูกม้าอะไรทำไมตัวใหญ่ขนาดนั้น ขนาดเท่าครึ่งหนึ่งของหมีเลยก็ว่าได้….ใบหูและหางดูแล้วคล้ายจะซื่อบื้อหน่อยๆ จึงได้เอ่ยถามว่า “ตัวนี้ต้องเอาไปขังไว้ในโรงเลี้ยงม้าด้วยหรือเปล่า” กัดคนหรือไม่ ?”
“ไม่ได้ให้นอนในโรงม้า นอนกับพวกเรานี่แหล่ะ เสี่ยวซื่อจึตบที่ตัวสือโถวเบาๆแล้วจึงพาจั่นเจาเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยม ค่อยๆ ดึงแขนเสื้อของเขา พาก้าวข้ามธรณีประตูไปพลางพูดขึ้นมาว่า “ในร้านมีคนไม่มาก ทุกคนล้วนแต่กำลังกินข้าว”
จั่นเจาก้าวข้ามธรณีประตูไปด้วยความแม่นยำ ตรงไปยืนอยู่ด้านหน้าทางซ้ายมือของโต๊ะเก็บเงินอย่างง่ายดาย
เสี่ยวเอ้อรู้สึกว่าเสี่ยวซื่อจึน่ารักสดใส ช่างพูดช่างเจรจา คงเป็นเพราะเขามองไม่ออกว่าจั่นเจาตาไม่ดี จึงไม่รู้ว่าที่เสี่ยวซื่อจึทำนั่นก็เพื่อช่วยนำทางให้เขา
“เสี่ยวเอ้อ ข้าต้องการห้องพักชั้นหนึ่งของโรงเตี๊ยมนี้”
“คุณชายห้องพักชั้นหนึ่งของเราแพงนะ”
จั่นเจายิ้มน้อยๆ “ไม่มีปัญหา”
“ได้ขอรับ” เถ้าแก่รีบขอชื่อไว้ทันที “คุณชาย เขียนชื่อตรงนี้หน่อยขอรับ”
จั่นเจารับพู่กันมา ก้มตัวลง จรดปลายพู่กันเขียนชื่อลงบนสมุดทะเบียน ไม่ทันตั้งใจ ชื่อที่เขียนลงไปก็เลยเป็นเฉินเจา
“โอ้ !” เถ้าแก่ร้องขึ้นมาเมื่อเห็นชื่อสองชื่อที่อยู่ติดกัน “คุณชาย ชื่อของท่านกับแขกคนก่อนหน้าช่างมีวาสนาต่อกันจริงๆ ชื่อเหมือนกันเลย”
เสี่ยวเอ้อขัดจังหวะขึ้น “สงสัยจะรู้จักกันหรือไม่ เจ้าเด็กน้อยคนนี้ก็เพิ่งจะมาถามถึงเมื่อสักครู่”
จั่นเจาพยักหน้าให้กับเสี่ยวซื่อจึและเซียวเหลียงให้เดินตามเสี่ยวเอ้อขึ้นชั้นบนไปยังห้องชั้นหนึ่งของโรงเตี๊ยม
หลังจากเข้าไปในห้องแล้ว เซียวเหลียงก็จัดแจงนำสัมภาระเดินทางวางไว้บนเตียง มองไปพบว่าในห้องมีเตียงสองเตียง ห้องสะอาดและกว้างขวาง รู้สึกพอใจเป็นอย่างยิ่ง
“เสี่ยวเอ้อ” จั่นเจาเรียก แล้วก็หย่อนตัวนั่งลงที่ข้างโต๊ะ หยิบเงินขึ้นมาจำนวนหนึ่งวางไว้บนโต๊ะ แล้วเอ่ยถามเสี่ยวเอ้อว่า “ข้าอยากจะถามเรื่องของแขกที่มาพักก่อนหน้าสักหน่อย”
เสี่ยวเอ้อพอเห็นว่ามีรางวัล ก็ยิ้มหน้าบานขึ้นทันที “คุณชาย ท่านถามมาได้เลย”
“เขามาคนเดียวหรือไม่”
“ถูกต้องขอรับ มาคนเดียว” เสี่ยวเอ้อพยักหน้า “แต่ว่า แขกคนนั้นดูสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่”
จั่นเจาขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “ป่วยหรือว่าบาดเจ็บ ?”
“ไม่ใช่ขอรับ เหมือนกับว่าจะมีเรื่องร้อนใจหรือเรื่องกังวลใจมากกว่า” เสี่ยวเอ้อนึกย้อนไปในตอนนั้น ผ่านไปไม่นานเขาก็มาพักไปครึ่งเดือนแล้ว แต่ว่าเขาดูมีฐานะมาก
“เขาบอกหรือไม่ว่าจะไปไหน”
“อันนี้เขาไม่ได้บอก มาถึงเขาก็จองที่พักเหมาเลยครึ่งเดือน จ่ายเงินล่วงหน้าก่อนเลยขอรับ ก่อนถึงครึ่งเดือนสามวัน เรามาดูที่ห้องก็พบว่าเขาไปแล้ว ดังนั้นก็เลยจัดการทำคืนห้องให้เขา”
“จะว่าไปก็คือ พวกเจ้าก็ไม่รู้แน่นอนด้วยซ้ำว่าเขาไปวันไหน ใช่หรือไม่” จั่นเจาถามกลับ
“ใช่ขอรับ ไม่แน่ใจจริงๆ !” เสี่ยวเอ้อตอบอย่างไม่เต็มปาก “แขกคนนี้เหมือนไม่ใช่มนุษย์ ไม่พูดไม่จากับใคร กลางวันนอนทั้งวัน พอกลางคืนก็ออกไปข้างนอก”
“ยังมีอะไรที่ทำให้เจ้ารู้สึกว่าเขาแปลกอีกหรือไม่ ?”
“อืม… เอ้อ ! ท่านเคยได้ยินเรื่องที่ว่าที่นี่มีคดีฆาตรกรรมเกิดขึ้นหรือไม่ ?” เสี่ยวเอ้อก้มศรีษะเอ่ยถามออกมาด้วยเสียงต่ำๆ
จั่นเจายิ้มเล็กน้อย อย่างมีนัย “ไม่ใช่เพียงแค่ได้ยิน แต่ยังเห็นกับตาอีกด้วยนะ”
“อะไรนะ?” เสี่ยวเอ้อถึงกับตกใจ
“ตอนที่พวกเราเพิ่งจะเข้าเมืองฉวีซานมาก็ได้เห็น” เซียวเหลียงถาม “จริงสิ อะไรคือหม่าฟู่ ไอ้มือปราบคนนั้นเพิ่งถีบขอทานคนหนึ่ง ถีบแค่ทีเดียวเท่านั้น ก็เลือดออกเจ็ดทวารตายคาที่ทันที”
“อั้ยหย๋า อามิตตาพุทธ” เสี่ยวเอ้อยกมือขึ้นไหว้ประงกประงก “เป็นไปไม่ได้ ท่านจะต้องฟังข้าก่อนนะ ที่ฉวีซานนี้ทำอะไรก็ได้ แต่ห้ามรังแกคนอื่นเป็นอันขาด ไม่งั้นล่ะก็จะตายโดยไม่มีสาเหตุ” ว่าแล้วเสี่ยวเอ้อก็ทำท่าปากยื่นปากยาวเล่าเรื่องตำนานแม่น้ำอีให้กับจั่นเจาฟัง
เสี่ยวซื่อจึ และ เซียวเหลียงฟังอย่างตกตะลึง
จั่นเจาฟังไปก็ผงกหัวขึ้นลงไป “หม่าฟู่ที่เจ้ากำลังพูดถึงนี่ กับ จั่นห้าวมีอะไรที่เกี่ยวข้องกันอย่างนั้นหรือ?”
‘โอ้ ! ดูเหมือนว่าเขาจะมีความสนใจเรื่องหม่าฟู่มาก’ เสี่ยวเอ้อ ครุ่นคิดพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยออกมาว่า “จริงสิ เขายังพูดมาอีกสองประโยคที่แปลกมากๆ ด้วยขอรับ”
“อะไร ?” จั่นเจารีบถามกลับรู้สึกว่าอาจจะได้เบาะแสอะไรบ้าง
“อืม……เขาพูดว่า คนไม่ดีหมาไม่กินอะไรประมาณนี้แหล่ะขอรับ” เสี่ยวเอ้อพูดอย่างไม่เต็มปากเต็มคำ “ยังพูดเอ่อ เอ่อ ……”
“อะไรอีกล่ะ” เสี่ยวซื่อจึไล่ถามเขาจนหายใจแทบไม่ทัน
“ตอนนั้นเขาพูดติดอ่าง” เสี่ยวเอ้อพูดไปก็เกาหัวไป “เขาพูดว่า…. ตะวันออก ตะวันตก ออก ออก ตก ใต้เหนือใต้ ใต้เหนือ ไม่ออก ไม่ตก ไม่ใต้ ไม่เหนือ ก็คือพูดออกตกใต้เหนือ วนไปมาไม่จบเสียที”
จั่นเจาถึงกับนิ่งอึ้งไป คำพูดพวกนี้ของพี่ใหญ่คืออะไร ?
เสี่ยวซื่อจึและเซียวเหลียงสบตากันแล้วก็แทบกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ พูดพึมพำในใจ ‘พี่ชายจั่นเจาผู้นี้ไม่ใช่คนติดอ่างนี่นา ทำไมถึงได้พูดจาประหลาดเช่นนี้ล่ะ? ‘
เสี่ยวเอ้อนึกอะไรไม่ออกแล้ว
จั่นเจาก็ไม่ถามต่อแต่หันไปบอกกับเขาว่า “ช่วยจัดหาสำรับอาหารมาให้ข้าด้วย”
“ได้ขอรับ” เสี่ยวเอ้อรับเงินมาด้วยความดีอกดีใจ ถามจั่นเจา “คุณชายจะรับประทานอะไรดีขอรับ”
จั่นเจาให้เขาเลือกอาหารขึ้นชื่อมา สองสามอย่าง ขอรสจืดๆ พร้อมทั้งขอเพิ่มน้ำแกงไข่ไก่ สองถ้วยและน้ำแกงปลาหนึ่งถ้วยการที่พาเจ้าเด็กสองคนนี้มาด้วยก็ต้องเลี้ยงดูให้กินดีๆ เสียหน่อย มิฉะนั้นหากผอมไปล่ะก็ เขาจะมีหน้าไปอธิบายกับกงซุนและเจ้าผู่ได้อย่างไร
ไม่นานนัก อาหารก็มา
เสี่ยวซื่อจึช่วยคีบกับข้าวให้จั่นเจา เซียวเหลียงช่วยคีบกับข้าวให้เสี่ยวซื่อจึ แม้ที่นี่จะห่างไกลความเจริญ แต่ฝีมือการทำอาหารถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว สือโถวชอบกินข้าวอบไก่มาก กินอย่างเอร็ดอร่อยจนหางโบกสะบัดไปมาเลยทีเดียว
“พี่จั่นขอรับ หม่าฟู่นั่นมีจริงๆ หรือ?” เซียวเหลียงยังคงรู้สึกสนใจมาก “มีคนฆ่ามือปราบนั่นตายหรือมีผีจริงๆ ทำไมอยู่ดีๆ คนถึงมาตายแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุยได้”
เสี่ยวซื่อจึพอได้ยินว่ามีผีก็กระเถิบตัวเข้าไปจนชิดเซียวเหลียงทันที “น่ากลัวจัง”
เซียวเหลียงจัดการปิดปากเจ้าเด็กน้อยด้วยกระดูกหมูชิ้นหนึ่งที่ลอกกระดูกออกหมดแล้ว
“ข้ายังไม่เคยได้ยินจริงๆ น่าเสียดายที่กงซุนไม่อยู่ เขาเป็นผู้ที่อ่านหนังสือเยอะมาก น่าจะรู้” จั่นเจาเผยยิ้มอย่างอ่อนโยนพร้อมบอกกับเสี่ยวซื่อจึว่า “เสี่ยวซื่อจึ เจ้าไม่ต้องกลัวนะ หม่าฟู่จะจัดการกับคนที่รังแกคนอ่อนแอเท่านั้น ถือว่าเขาเป็นคนที่ยุติธรรม เจ้าเป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่ง เขาจะมาทำร้ายเจ้าได้ยังไงกัน? วางใจเถอะ”
“อย่างนี้นี่เอง” เสี่ยวซื่อจึค่อยรู้สึกสบายใจขึ้นมาหน่อย เงยหน้าพร้อมส่งยิ้มนัยน์ตาบ้องแบ้ว มองไปที่ใบหน้าที่กำลังยิ้มของจั่นเจา พลันก็รู้สึกว่าคนที่ทำให้เมี้ยวเมี้ยวตามองไม่เห็นนี่มันช่างเลวจริงๆ เมี้ยวเมี้ยวยามยิ้มดวงตาช่างดูดีที่สุดเลย
กินอาหารเสร็จสรรพ จั่นเจาก็หันไปถามสองคนว่า “เหนื่อยหรือไม่?”
ทั้งสองคนต่างก็ตอบกลับว่าไม่เหนื่อย
จั่นเจาผงกหัวเป็นเชิงรับรู้ “งั้นกินข้าวเสร็จแล้ว เราลุกขึ้นไปออกกำลังกายย่อยอาหารกันเถอะ”
เด็กน้อยสองคนเอียงคอมองด้วยความสงสัย “ออกกำลังอย่างไรขอรับ?”
ช่วยข้าค้นดูทั้งกำแพง ตู้ ใต้เตียง ดูว่ามีอะไรซ่อนอยู่หรือไม่”
“เมี้ยวเมี้ยว ท่านกำลังจะบอกว่าพี่ชายของท่านอาจจะซ่อนของเพื่อทิ้งเบาะแสไว้ให้ท่านอย่างนั้นหรือ?”
จั่นเจาปล่อยหัวเราะ แล้วก็ยื่นมือไปลูบศีรษะเสี่ยวซื่อจึด้วยความเอ็นดู “เจ้านี่ ฉลาดจริงๆ”
เสี่ยวซื่อจึและเซียวเหลียงจึงได้แยกย้ายพากันเริ่มลงมือค้น
-------------------------------โปรดติดตามตอนต่อไป อัพตอนใหม่ทุกวัน จันทร์ พฤหัส เสาร์ ตอน 2ทุ่มครึ่งค่ะ--------------------------------
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้นำมาจากแหล่งอื่นและได้รับการอนุญาตจากเจ้าของแล้ว
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ