กุ่ยสิงเทียนเซี่ย หนึ่งหนู หนึ่งแมว ผ่าคดีปริศนา (ลิขสิทธิ์ สำนักพิมพ์ เรือนหอมหมื่นลี้ B2S)
เขียนโดย จอมยุทธ์หญิงนักแปล
วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2561 เวลา 16.00 น.
แก้ไขเมื่อ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2561 16.26 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) บทที่ 1 ตอน ตำนานหม่าฟู่แห่งแม่น้ำอี (ปรับปรุง)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 1 ตำนานหม่าฟู่แห่งแม่น้ำอี
ณ บริเวณเมืองฉวีซาน มีตำนานเล่าขานเกี่ยวกับหม่าฟู่แห่งแม่น้ำอีว่ากันว่า...
แม่น้ำอีที่ไหลมาจากภูเขาฉวีซานนั้น ใต้น้ำมีปิศาจร้ายซ่อนอยู่ นามว่า “หม่าฟู่” ตามที่” คัมภีร์ซานไห่จิง” ได้บันทึกไว้ “หม่าฟู่” เป็นปิศาจร้าย ที่มีตัวเป็นเสือ มีหัวเป็นคน ชอบร้องเสียงดังโหยหวนเหมือนเด็กทารก และกินมนุษย์เป็นอาหาร มันอาศัยอยู่ในน้ำมาเป็นเวลานาน รอคอยเวลาที่มนุษย์ขี่ม้าข้ามแม่น้ำ มันก็จะอาศัยจังหวะนี้กระโจนพุ่งเข้ากัดที่ท้องของม้าจึงเป็นที่มาของชื่อ หม่าฟู่ (ท้องม้า)
ด้วยเหตุนี้เอง ไม่ว่าน้ำจะลึกหรือจะตื้นเพียงใด ผู้คนในละแวกเมืองฉวีซานก็หลีกเลี่ยงที่จะขี่ม้า หันไปใช้เรือหรือไม่ก็แพไม้ไผ่ข้ามแม่น้ำแทน
ขึ้นหกค่ำเดือนหนึ่ง
ยังไม่ทันที่ชาวเมืองฉวีซานจะได้ฉลองปีใหม่ก็เกิดเรื่องขึ้น.....
ที่ปลายสายของแม่น้ำอี มีศพเด็กหนุ่มสามศพลอยอยู่ในน้ำ ศพที่อายุน้อยที่สุดคือสิบปี อายุมากสุดคือ สิบห้าถึงสิบหกปี สภาพศพ มีสีม่วงคล้ำเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ดูเหมือนว่าจะเป็นพวกขอทานที่ตกลงไปในน้ำแล้วจมน้ำตาย เมืองฉวีซานตั้งอยู่ในทิศตะวันออกเฉียงใต้มีเส้นทางสายสำคัญสองทาง เมืองนี้จึงเป็นเมืองที่มีคนทุกประเภท ส่วนพวกขอทานนั้นก็จะพบเห็นได้ทั่วไปในเมืองนี้
ศาลอำเภอตัดสินคดีขอทานสามศพนี้แบบลวกๆ รวบรัดตัดตอน ทำแค่เพียงจัดการบรรจุศพไว้ในห้องเก็บศพรอญาติมานำกลับไป ถ้าสามวันแล้วยังไม่มีญาติมาติดต่อขอรับกลับ ก็จะทำการหาเนินดินแล้วฝังอย่างขอไปที เพื่อให้คดีสิ้นสุดโดยเร็ว แต่แล้วในคืนนั้นเองก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนจากยามที่เฝ้าศาลอำเภอนายอำเภอจึงรีบรุดไปตรวจสอบ..ก็พบว่ายามของศาลอำเภอนั้นหน้าเขียวหน้าเหลืองลงไปนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้นดิน ประตูห้องเก็บศพเปิดอ้าออก ผู้คนรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนที่จะเข้าไปดู ทันใดนั้นขนที่หลังของนายอำเภอก็ลุกชัน ศพขอทานทั้งสามศพได้หายไปแล้ว เหลือเพียงรอยเท้าเปียกน้ำเล็กๆ สามรอยบนพื้น
เช้าวันรุ่งขึ้น เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพก็รีบรุดมาตรวจสอบศพ ผลการชันสูตรกระจ่างชัดแล้วเขาจึงสรุปว่า “ยามของศาลอำเภอตกใจกลัวจนถุงน้ำดีแตกตาย”
นายอำเภอก็รู้สึกตกใจกลัวเป็นอย่างมากสั่งห้ามแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปโดยเด็ดขาด
เรื่องนี้เล่าลือกันปากต่อปากไปอย่างรวดเร็ว เมืองฉวีซานก็เกิดความโกลาหลขึ้น ในที่สุดก็มีคนนึกถึงเรื่องราวในอดีตที่หม่าฟู่ทำร้ายคนขึ้นมาได้
ครั้นแล้วเมื่อผู้พิพากษาแห่งลั่วโจวที่บังเอิญมาราชการอยู่ในเมืองฉวีซานได้ยินเข้าก็เกิดหวาดกลัว และในคืนนี้เองเขาก็ได้ส่งมือปราบมาตรวจสอบคดีนี้อย่างละเอียดมือปราบผู้นี้เป็นชาวยุทธ์ เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง แซ่ของเขาก็คือ เหลียง มีนามว่า เหลียงเป้าผู้มีฉายาว่า “มือปราบดาบทอง” แต่ทว่าผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในคดีนี้ก็ได้เสียชีวิตไปหมดแล้ว ดังนั้นเขาจึงต้องส่งคนมาเพื่อประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินสำหรับเมืองนี้ เพื่อตรวจสอบเรื่องศพขอทานทั้งสาม
พริบตาเดียว วันที่ 15 เดือนอ้ายก็มาถึงแต่คดีก็ยังไม่คืบหน้า
ยามเที่ยงวัน ที่ประตูเมืองมีคนเข้าแถวรอตรวจคนเข้าเมืองเป็นจำนวนมาก ด้านข้างนั้นมีโรงน้ำชาเล็ก ๆ ตั้งอยู่ สำหรับผู้ที่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าก็จะไปแวะพักจิบชา
ในโรงน้ำชาโต๊ะที่อยู่ริมสุดมีหญิงสาวสองคนนั่งอยู่ พวกนางอายุยังไม่ถึงยี่สิบปี หญิงสาวสวมเสื้อสีเทากับกระโปรงยาว ไม่มีเครื่องประดับ ถือห่อผ้า ดูแล้วทั้งสองคนน่าจะเป็นพี่น้องกันผิวพรรณหยาบกระด้างเล็กน้อย ไม่น่าจะใช่บุตรธิดาของผู้มีฐานะ และมักจะปลอมตัวเป็นนักพรต หมอผีอีกด้วย
“พี่คะ ทำไมถึงตรวจกันเข้มเช่นนี้ละ”
“น่าจะตรวจจับนักโทษหนีคดีน่ะ พวกเราก็ระวังตัวกันหน่อย”
“กลัวอะไร พวกเราก็แค่โจรชั้นปลายแถวไม่มีชื่อเสียงสักหน่อย”
หญิงสาวทั้งสองแซ่เหยียน คนหนึ่งชื่อ ซานเฟิ่ง อีกคนหนึ่งชื่อซื่อเฟิ่ง ตั้งแต่เล็กทั้งสองก็พเนจรอยู่ในยุทธภพ มีวิชาหมัดมวยติดตัวเล็กน้อย อาศัยการฉกชิงวิ่งราวขโมยข้าวของบ้านเศรษฐีผู้มีอันจะกิน และยังปลอมตัวเป็นนักพรต หมอผี ขับไล่วิญญาณร้ายหลอกลวงผู้คนเพื่อแลกเงิน ในยุทธภพพวกนางมีฉายาว่า “หญิงงามบนขื่อคาน”
“นี่ ๆ” ซื่อเฟิ่งสะกิดซานเฟิ่ง แล้วพูดขึ้นว่า “พี่คะ ก่อนเข้าเมืองพวกเราคำนวณเงินกันก่อนดีหรือไม่ มิเช่นนั้นจะไม่พอพักแรมที่โรงเตี๊ยม”
“เจ้าจะกลัวอะไรกัน” ซานเฟิ่งยิ้มแล้วกล่าวว่า “เจ้าไม่ได้ยินที่ผู้คนบนถนนพูดกันหรอกหรือว่าเมืองนี้มีภูตผีวิญญาณอาละวาด พวกเราได้ตั๋วใบใหญ่แล้วล่ะ!”
ซื่อเฟิ่งพยักหน้าเห็นด้วยแต่แล้วสายตากลับเหลือบไปเห็นไกลๆ มีคนกำลังเดินตรงมาทางนี้!
“พี่คะ! “ซื่อเฟิ่งลดเสียงต่ำลง “คนที่ใส่เสื้อสีฟ้านั่น รูปงามอะไรเช่นนี้”
ซานเฟิ่งเอื้อมมือไปบิดหูซื่อเฟิ่ง “เจ้าจะไปสนใจทำไมว่าเขารูปงามหรือไม่ สิ่งสำคัญเจ้าควรจะสนใจว่าเขามีเงินหรือไม่ต่างหากเล่า”
“จริงๆ นะ” ซื่อเฟิ่งคว้าแขนเสื้อของพี่สาวแล้วเอ่ยว่า “ดูนั่นเร็ว”
บนถนนที่เห็นอยู่ไกลๆ นั้น มีขบวนของกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งผู้ร่วมขบวนนั้นดูน่าประหลาดยิ่งนัก คนหนึ่งตัวใหญ่ สองคนตัวเล็ก ม้าหนึ่งตัว และอีกตัวหนึ่งนั่นก็คือ...หมีน้อย?
ที่เดินอยู่หน้าสุดของขบวนคือเด็กชายชุดดำอายุยังไม่ถึงสิบปี เขาแบกดาบสีดำเล่มใหญ่ขนาดเท่าลำตัวของเขาไว้บนหลัง เด็กชายคนนี้มีรูปโฉมงดงามสะอาดตา ถึงแม้ว่าเขาจะดูเด็กมาก แต่ก็รับรู้ได้ถึงความห้าวหาญและแข็งแกร่ง
ในมือข้างซ้ายของเด็กน้อยจูงบังเหียนสีลูกท้อของม้าตัวใหญ่ค่อย ๆ ก้าวเดินไป.
ชายผู้สวมเสื้อสีฟ้าที่ซื่อเฟิ่งพึ่งจะพูดถึงเมื่อครู่ ก็นั่งลงพอดี
ชายผู้นี้อายุราว ยี่สิบปี รูปร่างสูงใหญ่ดูทรงพลัง ศีรษะก้มลงเล็กน้อย คล้ายกับคนใจลอย เขาสวมชุดสีฟ้าคราม ขอบปากกระบอกแขนกับขอบเอวเป็นสีฟ้าอ่อน ยิ่งทำให้ชายผู้นี้ดูมีรูปร่างที่สูงโปรงและผอมบาง. ไกลออกไปทำให้มองเห็นใบหน้าไม่ค่อยชัด แต่ก็ทำให้ผู้ที่พบเห็นสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและเป็นผู้ทรงความรู้ ดูแล้วน่าจะเป็นพวกบัณฑิต.
ที่น่าแปลกก็คือข้างกายของบัณฑิตหนุ่มผู้นี้มีหมีน้อยตัวหนึ่งเดินตามมาด้วย ส่วนหัวของมันมีลักษณะคล้ายกับลูกม้า แต่ดูกลมและตุ้ยนุ้ยกว่า ขนของมันมีสีขาวดุจปุยนุ่น เดินอย่างเชื่องช้าด้วยทวงท่าสุขุมเยือกเย็น บนหลังของหมีน้อยมีเด็กน้อยอายุราวประมาณ ห้าหรือหก ขวบนั่งอยู่ เด็กน้อยสวมเสื้อสีขาวและสวมเสื้อคลุมกันหนาวที่มีผ้าคลุมปิดใบหน้าสีเหลืองอ่อนลวดลายวิจิตรงดงาม เด็กน้อยคนนี้แก้มยุ้ย ตาโต และมีผมสีดำ ดูน่ารักน่าชังยิ่งนัก
สามคนนี้เป็นใครกัน?
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้นำมาจากแหล่งอื่นและได้รับการอนุญาตจากเจ้าของแล้ว
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ