ฟาริซซา เฟอร์กินส์ กับคำสาปสัตว์ศักสิทธิ์
เขียนโดย kfang
วันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2561 เวลา 13.58 น.
แก้ไขเมื่อ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2561 14.05 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) พบหน้า
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความฟาริซยืนมองเมืองเซอร์บี เมืองแห่งขุนเขาและป่าไม้ เมืองแห่งต้นกำเนิดสรรพชีวิต เมืองแห่งแม่น้ำศักสิทธิ์ เมืองแห่งผู้กล้าและพรานป่า เธอยืนอยู่บนต้นไซปรัสซาต้นใหญ่สูงตระหง่านอยู่บนเทือกเขาเอนดิส กิ่งก้านของมันแผ่ขยายไปเป็นบริเวณกว้าง ลำต้นป็นสีดำ มีใบสีแดงสดเหมือนเลือด ต้นไม้ที่ชาวเมืองเชื่อกันว่าต้องคำสาปเพราะสีของใบที่เหมือนเลือด ลำต้นที่ใหญ่โต และไม่มีต้นไม้ต้นอื่นอยู่ใกล้มันได้ในระยะสิบหลา ต้นไม้ที่โดดเดี่ยวและแข็งแกร่ง เธอรู้สึกสบายใจทุกครั้งที่มาที่นี่ บนนี้สามารถมองไปรอบๆอาณาเขตเมืองได้ทั้งหมด ไกลออกไปเบื้องหน้าเธอคือป้อมปราการแห่งเซอร์บี ป้อมปราการที่สำคัญเป็นอันดับต้นๆของ”อาณาจักรเอสคานทาห์” ป้อมปราการที่แข็งแรงแห่งนี้ทำด้วยหินสีขาวสะอาดตา บนกำแพงมีทหารสวมชุดเกราะสีแดงยืนประจำการอยู่พร้อมกับเครื่องยิงอาวุธขนาดใหญ่เพื่อสอดส่องและยิงอะไรก็ตามที่พยายามจะบุกเข้ามาด้วยประสงค์ร้าย ประตูสู่ป้อมปราการทำขึ้นจากไม้และเหล็กขนาดใหญ่ยากต่อการถูกรุกราน เธอมองปราการแห่งเซอร์บีด้วยความชื่นชม บนถนนเต็มไปด้วยผู้คนที่ต่างรีบร้อนเดินทางไปยังจุดหมาย ถัดไปห้าสิบหลาเป็นตลาดใจกลางเมืองมีการค้าขายของป่า สมุนไพรหายาก เนื้อสัตว์ เครื่องประดับ เสื้อผ้า แม้กระทั่งโรงเหล้าที่มีเสียงเอะอะโวยวายดังมาตามสายลม “กรี๊ดดดดดดด”เสียงหนึ่งดังขึ้นปลุกให้เธอตื่นจากภวังค์ เป็นเสียงแหลมสูงที่กรีดร้องด้วยความกลัว ฟาริซมองหาที่มาของเสียงแล้วเธอก็ต้องชะงักเข้ากับร่างบอบบางร่างหนึ่งที่กำลังวิ่งหนีบางอย่างและสะดุดล้มลงกระแทกพื้นใกล้ๆกับต้นสนต้นใหญ่ เนื้อตัวมอมแมม ผมยาวสีบรอนของเธอมีเศษใบไม้ติดอยู่ ใบหน้ามีรอยแผลจากการถูกทำร้ายจนปูดบวม ชุดกระโปรงสีครีมของเธอขาดวิ่น ฟาริซไม่อยากจะคิดถึงสิ่งที่เธอโดนมา ใครกันมาวิ่งในป่ายามนี้ เวลานี้ไม่ควรมีหญิงใดมาอยู่ในป่าเขา ยกเว้นเธอ เธอไม่ใช่แค่เด็กผู้หญิงแต่เธอเป็นลูกสาวของคาลาย พรานที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เธอเคยรู้จัก เธอก็สังเกตุได้ถึงความผิดปกติบางอย่างเบื้องหลังหญิงสาวผู้โชคร้าย มีชายสามคน กำลังวิ่งตามหญิงคนนี้อยู่ “ปล่อยข้าไปเถิด แล้วท่านอยากได้อะไรก็เอาไป แต่ได้โปรดไว้ชีวิตข้า” หญิงสาวรีบหันกลับมาและพูดกับชายร่างยักษ์ทั้งสามด้วยความลนลาน น้ำเสียงแฝงไปด้วยความกลัวอย่างสุดขีด “สาวน้อย เจ้าอย่าได้ขาดกลัวไปเลย ของมีค่าของเจ้าข้าเอาแน่ ร่างกายของเจ้าก็เช่นกัน ราคาของเจ้าคงทำให้ข้าสบายไปอีกหลายวัน” ชายร่างยักษ์คนหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าพูดขึ้น เขาเป็นชายรูปร่างสูงใหญ่ ผิวสีมะกอก สันกรามใหญ่ หน้าผากกว้าง ตาลึก ใบหน้าเต็มไปด้วยแผลเป็น ฟาริซสังเกตุเห็นวัตถุเงาสีเงินที่อยู่ในมือเขา มันคือมีดขนาดเล็ก แต่ยาวมากพอที่จะเสียบร่างบางๆจนถึงแก่ความตายได้ เธอรู้ทันทีว่า หญิงสาวผู้นี้จะถูกฆ่าเป็นแน่ ใจของเธอสั่นระรัว เธอมองไปที่หญิงสาวผู้โชคร้ายคนนั้น เต็มไปด้วยความสงสาร เธอไม่ต้องการเห็นหญิงสาวผู้นี้ถูกฆ่าตาย พ่อสอนการใช้อาวุธในการล่าสัตว์ให้แก่เธอ เธอต้องทำอะไรสักอย่างก่อนที่ชายร่างยักษ์สามคนนี้จะลงมือ ฟาริซหยิบเอาธนูคู่กายขึ้นมา ขึ้นสายง้างสุดแรงและส่งลูกธนูออกไปปักลงที่เท้าของชายร่างยักคนหนึ่งที่มีใบหน้าเหมือนวัวก่อนที่เขาจะจับโดนตัวของหญิงโชคร้าย เขาตกใจสุดขีดใบหน้าบูดเบี้ยวไปด้วยความเจ็บปวด เขาทรุดลงไปนั่งอยู่ที่พื้นพร้อมจับลูกธนูที่ตรึงเขาไว้กับพื้น ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบ ชายร่างยักษ์อีกคนสบถออกมาด้วยความตกใจ “บ้าเอ้ย ลูกธนูของผู้ใดกันออกมาเดี๋ยวนี้” ฟาริซย่อตัวลงแอบหลังกิ่งไม้ขนาดใหญ่ของไซปรัสซา พวกโจรมองหาที่มาของลูกธนูอย่างระแวดระวัง “ปล่อยหญิงผู้นั้นไป แล้วข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้า” ฟาริซตะโกนออกไป โดยที่ไม่โผล่หน้าให้พวกมันเห็น ความเงียบเกิดขึ้นชั่วขณะ ก่อนที่จะมีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“นี่เจ้าเป็นหญิงอย่างงั้นหรือ” เสียงของโจรคนใดคนหนึ่งดังขึ้นน้ำเสียงเต็มไปด้วยความสงสัยปนย่ามใจ
“ข้าจะขอเตือนเจ้าอีกครั้ง ถอยออกไปจากหญิงผู้นั้น แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า” เธอขู่พวกโจร ในใจรู้ดีว่าเธอไม่สามารถสู้พวกมันได้ การทำให้มันกลัวจนหนีไปอาจจะเป็นเรื่องปลอดภัยกว่า และเพียงชัวขณะก็เกิดเสียงหัวเราะดังขึ้น “เจ้าจักเป็นผู้ใดข้าไม่สน แต่อย่ามายุ่งกับเรา นางผู้นี้เป็นของข้า และข้าจะเอาตัวนางไป” สิ้นเสียงนั้น ก็เกิดเสียงของการฉุดกระชากร่างของหญิงสาวคนนั้น “ช่วยข้าด้วย ขอร้องละ อย่าปล่อยให้มันพาข้าไป ได้โปรด ” ฟาริซฉุกคิด พ่อของเธอสอนให้เธอใช้อาวุธเพื่อล่าสัตว์ แต่ไม่เคยสอนให้สู้กับใคร หรือแม้กระทั่งฆ่าใคร แต่หากเธอปล่อยให้คนพวกนี้นำตัวหญิงโชคร้ายคนนี้ไป เธอตายแน่ ฟาริซยืนขึ้นและง้างธนูขึ้นอีกครั้งก่อนปล่อยไปโดนไหล่ของชายร่างยักษ์คนที่สองที่มีผมสีชา ใบหน้าบิดเบี้ยวไม่เข้ารูป เข้าผงะถอยหลังและปล่อยหญิงโชคร้ายลงกับพื้น “ออกมาซะนังหนู ก่อนที่ข้าจะจับเจ้าถลกหนังออกมาทำรองเท้า” ชายร่างยักษ์ผู้เป็นหัวหน้าพูดขึ้น พร้อมจับตัวหญิงโชคร้ายที่ตอนนี้หวาดกลัวจนยืนไม่อยู่ “หากไม่ออกมา ข้าจะฆ่านังนี่ ก่อนที่เจ้าจะทันได้ง้างธนูเสียอีก” ฟาริซรู้ดีว่าเจ้าตัวหัวหน้าไม่ได้ขู่ เธอมองลอดลงไปจากช่องกิ่งไม้ เห็นได้ชัดว่าเขาจับหญิงโชคร้ายเอาไว้พร้อมมีดจ่อที่คอ ลูกน้องของเขาทั้งสองยังคงพยายามหักลูกธนูออกจากร่างกาย เวลานี้แสงอาทิตย์ใกล้หมดลงแล้ว ทำให้ยากต่อการมองเห็น เจ้าโจรหัวหน้ายังคงมองหาตัวเธอ และใช้มีดกรีดไปที่แก้มของหญิงสาว “อย่า ได้โปรด อย่าทำข้า” เธอร้องด้วยความเจ็บปวดและอ่อนแรง ฟาริซประเมินสถานการณ์เบื้องหน้า เธอไม่เคยต่อสู้ระยะประชิดตัวมาก่อน ไม่รู้วิธีที่จะสู้กับชายร่างใหญ่กว่า แต่หากเธอปล่อยไปเหตุการณ์วันนี้คงต้องตามหลอกหลอนเธอไปตลอดแน่ ฟาริซกระโดดลงไปยังเบื้องล่างและค่อยๆเดินออกไปยังที่โล่งประจันหน้ากับพวกมัน เมื่อชายร่างยักษ์ทั้งสามได้เห็นใบหน้าของเธอ ดวงตาของพวกมันเบิกโพรงด้วยความตกใจ ผมสีดำยาวของเธอปลิวไปตามแรงลม ดวงตาสีทองของเทอจับจ้องไปยังพวกมันและประเมินสถานการณ์ ผิวสีแทนของเธอสะท้อนกับสีของดวงอาทิตย์สุดท้ายก่อนลับตาไป พวกมันผงะถอยหลังด้วยความตกตะลึง “เจ้า..ไม่น่าเป็นไปได้ เจ้าไม่ควรอยู่ที่นี่”ทันใดนั้นเบื้องหลังของชายคนนั้นปรากฏดวงตาเรียวเล็กคู่หนึ่ง มันเป็นดวงตาของสัตว์ป่านักล่า เสียงเหยียบกิ่งไม้ข้างหลังดังขึ้น ก่อนที่หัวหน้าโจรจะทันได้หันกลับไปมอง หมาป่าตัวโตตัวหนึ่งกระโดดเข้ากัดหัวหน้าโจรเข้าที่หลังคอ เขาปล่อยหญิงสาวลง พร้อมส่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ก่อนหมาป่าจะฝังเขี้ยวลงไปที่คอของเขาอีกรอบและพรากลมหายใจของหัวหน้าโจรไป ชายร่างยักษ์อีกคนที่มีผมสีชา หยิบขวานจากหลังของเขาออกมาเตรียมพร้อมจะฟันลงไปที่หมาป่าแต่เจ้าหมาป่าเร็วกว่า มันกระโดดหลบไปด้านข้างจากนั้นกระโจนเข้ากัดไปที่แขนของเขาก่อนถอยออกมาและกระโจนไปฝังคมเขี้ยวเข้าที่คอของเขาตายสนิท เจ้าโจรหน้าเหมือนวัวคนสุดท้ายจ้องมองหมาป่าพรากชีวิตของเพื่อนๆมันไปด้วยความหวาดกลัว ตัวเขาสั่นเทา สายตาตื่นตระหนกพร้อมยกมือขึ้นมาป้องกันตัวเอง แต่ไม่เป็นผล หมาป่าเตรียมกระโจนออกไปฝังเขี้ยวอีกครั้ง “วี๊ดดดดดด” เสียงผิวปากดังขึ้น ฟาริซหยุดการโจมตีของหมาป่าไว้ได้ทันก่อนจะมีคนตายอีกศพ โจรคนสุดท้ายไม่สามารถหนีไปไหนได้เนื่องจากเท้าของเขาถูกธนูของฟาริซตรึงไว้กับพื้น เขาแปลกใจที่หมาป่าหยุดการโจมตี และมองมาที่ฟาริซด้วยความหวาดกลัว หมาป่าเดินมาหยุดอยู่ข้างกายของเธอ เอาตัวมาคลอเคลียและเลียมือเธอด้วยความรัก มันนอนลงและหงายท้องพร้อมเอาขาหน้ามาสะกิดเหมือนอยากจะขอรางวัลจากเจ้านาย “ไว้ทีหลังนะ เบลเซ่” เธอพูดกับมัน “ หงิงงง” เบลเซ่ส่งเสียงคัดค้าน แต่ก็ยอมลุกขึ้นยืนอยู่เคียงข้างเธอ ฟาริซหันไปสนใจโจรหน้าเหมือนวัวอีกครั้ง“เจ้าเป็นใคร แล้วต้องการอะไรจากนาง” เธอพูดพร้อมหันไปมองหญิงสาวโชคร้ายที่ยังคงตกใจอยู่ “ข้าเพียงแค่ต้องการเงินทอง และอาหารเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาฆ่านาง” โจรหน้าเหมือนวัวตอบ “ได้โปรดปล่อยขาไป” ฟาริซมองไปที่โจรอย่างระวัง “เจ้ารีบออกไปจากที่นี่เสีย แล้วจำไว้ว่าเจ้าไม่เคยพบข้าที่นี่” พูดจบฟาริซหันหลังให้กับโจรและเดินไปหาร่างของหญิงผู้โชคร้ายซึ่งตอนนี้ยังคงมองมาที่เธอและโจรด้วยความหวาดกลัว “วี๊ดดดดด เบซคาลา” เบลเซ่ย่อตัวลงและกระโจนเข้าไปฝังเขี้ยวเข้าที่คอของโจรคนสุดท้ายก่อนกระชากเอาคอหอยของเขาออกมาด้วย ฟาริซหันไปมองยังต้นเสียง “ข้าจะต้องบอกเจ้าอีกสักกี่ครั้ง อย่าปล่อยให้ศัตรูรอดไปได้” เคน ชายวัยหนุ่ม อายุราว19 ปี รูปร่างสูง ผิวสีมะกอก เขามีผมสีน้ำตาลอ่อน สันกรามชัด โหนกแก้มสูง ดวงตาสีน้ำตาล ชายผู้เด็ดขาดเหมือนกับพ่อ ชายผู้ยโสในตนเอง และเป็นพี่ชายคนรองของฟาริซ
“วันนี้เบลเซ่ช้าเกินไป ข้าจึงต้องมาตามเจ้ากลับไปให้ทันมื้อเย็น เห็นได้ชัดว่าเจ้ากำลังเถลไถลอยู่” เขาพูดพร้อมใบหน้าบูดบึ้ง เห็นได้ชัดว่าเขารำคาญกับกับสิ่งที่กำลังทำอยู่
“ข้ามีเรื่องต้องทำเคน และข้าไม่เห็นว่าเจ้าจะจำเป็นต้องฆ่าชีวิตผู้นี้ เขาไม่มีอาวุธ อีกทั้งยังบาดเจ็บ” ฟาริซพูดขึ้นด้วยความไม่พอใจนัก เธอกับพี่ชายไม่ลงรอยกันมาตั้งแต่เธอจำความได้
“เผื่อเจ้าจะไม่ทันมองน้องสาวข้า ไอ้เจ้านี่จะฆ่าเจ้าด้วยสิ่งที่มันถืออยู่ แน่นอนว่าข้าคงจะดีใจไม่น้อยหากมันทำสำเร็จ แต่พ่อคงซักข้าไม่เลิกแน่แน่หากข้าปล่อยให้เจ้าตาย” ฟาริซหันไปมองมีดสั้นที่อยู่ในมือของโจรร่างยักษ์คนสุดท้าย ใบหน้าของเธอแดงก่ำด้วยความโกรธ และขายหน้าที่ถูกพี่ชายช่วยชีวิตไว้เพียงแค่รำคาญพ่อ เธอรู้สึกโมโหที่รู้สึกตัวช้า และไม่มีความสามารถมากพอที่จะปกป้องตัวเอง “ผู้ใช้หมาป่า” หญิงผู้โชคร้ายตกตะลึงในสิ่งที่เห็น “ข้าน่าจะรู้ตั้งแต่แรก ว่าเจ้าคือผู้ใช้หมาป่า แต่เจ้าไม่เหมือนกับที่ข้าเคยได้ยินมา” เธอเกือบจะลืมไปแล้วว่ามีหญิงสาวอีกคนอยู่ด้วย
“ขอบคุณเจ้ามากที่ช่วยชีวิตข้า บุญคุณนี้ข้าจะไม่มีวันลืมเลย” หล่อนกล่าว
“เจ้าเป็นใคร มาทำอะไรที่นี่” ฟาริซหันมาถาม
“ข้าชื่อคาร่า ข้ากำลังเดินทางไปทำธุระสำคัญที่การากัส”
“การากัสงั้นรึ เจ้ามีธุระสำคัญอันใดกัน จึงเดินทางไปที่ดินแดนแห่งอัคคีเช่นนั้นเพียงตัวคนเดียว” เคนถามออกไปอย่างสงสัยใคร่รู้
“มันเป็นภารกิจของข้า ข้าต้องไปตามหาน้องชายของข้า เขาหายออกไปกับคณะสำรวจสัตว์ศักสิทธิ์หกสิบราตรีแล้ว ข้าสัมผัสถึงเขาไม่ได้เลย มันแปลกเกินไป” เธอกล่าวพร้อมมองออกไปสีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล “สัตว์ศักสิทธิ์ งั้นรึ เมื่อกี้เจ้าว่าเจ้าสัมผัสถึงเขาไม่ได้ เจ้าคือสิ่งใดกัน” ฟาริซเรื่มสนใจในตัวของคาร่า หล่อนดูเหมือนจะรุ่นราวคราวเดียวกับเธอ แต่ความรู้สึกเก่าแก่ที่ฟาริซสัมผัสได้จากเธอมันคือสิ่งใดกัน ทันใดนั้นเอง เคนชักดาบออกมาจากที่ซ่อน ดึงแขนของฟาริซออกมาให้ห่าง เบลเซ่ยังคงนอนเล่นบนพื้นหญ้าใบหน้าเลอะไปด้วยเลือดของโจร “แม่มด” เคนกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงระแวงปนตกใจ แม่มดเป็นสิ่งมีชีวิตที่อันตรายมาก ฟาริซเคยได้ยินเรื่องเล่าของแม่มดจากพ่อมาบ้าง พวกนางเป็นผู้ใช้คาถาอาคม เจ้าเล่ห์ และมีชีวิตอยู่ด้วยหายนะของผู้คน “เจ้าวางใจข้าได้ ข้าไม่ได้ต้องการทำอันตรายแก่เจ้า ข้าเพียงต้องการไปตามทางของข้า เพื่อน้องชายของข้า” คาร่ากล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาและเต็มไปด้วยความเสียใจ ฟาริซไม่รู้ว่าสิ่งที่คาร่าพูดเป็นความจริงหรือไม่ นางอาจจะล่อลวงใจธออยู่ แต่เธอเชื่อว่าไม่มีเหตุผลใดที่แม่มดจะเผยตัวออกมาทั้งที่รู้ว่าอันตราย สถานการณ์ตอนนี้ เธออาจถูกเคนฆ่าและเผาได้สบายๆ บางอย่างทำให้เธอเชื่อในคำพูดของคาร่า
“ เจ้าบาดเจ็บ เหตุใดมนุษย์พวกนั้นจึงทำร้ายเจ้า” ฟาริซเดินเข้ามาใกล้ตัวนาง เคนชักสีหน้าไม่พอใจ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ไว้ใจนาง คาร่าทำได้แค่ส่ายหน้าและขบคิด
“พวกนั้นพูดถึงบางอย่างเกี่ยวกับการจับตัวเด็กสาวและเงินรางวัล”คาร่าตอบพร้อมเดินเข้ามาใกล้ฟาริซ
“พวกนั้นกำลังตามหาเด็กสาวที่เกิดเมื่อ 16 ปีก่อน ในคืนแห่งโลหิต”
“น้องสาวเจ้าต้องตามข้ามา รวมถึงเจ้าด้วยแม่มด บางทีเรามีเรื่องต้องคุยกับคาลาย” เคนหันหลังกลับ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด
“คาลาย? ผู้นำตระกูลหมาป่าของเจ้างั้นรึ” คาร่าถามน้ำเสียงเต็มไปด้วยความกังวล
“จะพูดอย่างนั้นก็ได้ แต่ถ้าจะให้ถูกทั้งหมด คาลายคือพ่อของเรา” ฟาริซแปลกใจที่คาร่ายอมมากับเธออย่างว่าง่าย แต่อาจจะเป็นเพราะเธอบาดเจ็บและหิวโหย การได้พักสักคืนคงจะดีสำหรับเธอ มากกว่าการอยู่เพียงลำพังในป่า เห็นได้ชัดว่าเธอไม่สามารถเอาตัวรอดได้ดีนัก
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ