มนต์รักในคำสัญญา
เขียนโดย Hanuna
วันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2561 เวลา 00.42 น.
แก้ไขเมื่อ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2561 00.44 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) เสียงใครกัน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“อารัตครับ อาศินกลับบ้านกี่โมงครับ” ตอนนี้ใกล้สี่โมงเย็นแล้ว แต่พศินยังไม่มีวี่แววจะกลับมาบ้านเลยสักนิดเขาจึงเป็นห่วง
“คงค่ำหน่อยจ๊ะ เขาบอกอาว่า จะต้องทำธุระให้เรียบร้อยก่อนกลับเข้าบ้าน”
“ครับ” นทีพยักหน้าแล้วหันไปสนใจข่าวในโทรทัศน์ตรงหน้าต่อ
“แล้วพ่อหนุ่มข้างเราเมื่อไหร่จะกลับสักที มาขลุกที่บ้านคนอื่นตั้งแต่เช้าแล้วนะ”
รัตนาหมั่นไส้เด็กข้างบ้านที่ชอบมาขลุกตัวอยู่กับนที ทั้งที่เมื่อก่อนนทีไม่อยู่ที่นี่ไม่เห็นจะมา มาแต่อาศัยฝากท้องทานอาหารแทบทุกมื้อ พออิ่มก็กลับไปไม่เคยเกรงใจเจ้าของบ้านจนเคยตัวเป็นนิสัย มารดาของเธอไม่เคยห้าม มีแต่เปิดโอกาสให้มาเต็มที่ นี่ถ้าไม่เห็นว่าเป็นคนรู้จักกันมานาน คงโดนเตะกลับบ้านไปนานแล้ว
“หึ สงสัยจะตื่นยากครับ” นทีหันไปมองเพื่อนรักที่หลับเหมือนกับว่าที่นี่เป็นบ้านของตน และดูทีท่าจะไม่ตื่นเสียด้วย จึงปล่อยเลยตามเลย
“อาว่า ควรปลุกให้ตื่นได้แล้วนะ เพราะตอนนี้มันเริ่มเย็นแล้ว เดี๋ยวจะนอนทับตะวันเอา” รัตนาบอกหลานให้รีบปลุกเพื่อน ไม่เช่นนั้นจะนอนทับตะวัน มันไม่ดี โบราณเขาถือ
“ครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง”
นทียกยิ้มกับความคิดที่แทรกเข้ามาในหัวสมอง ที่จะจัดการคนข้างกายที่หลับบนโซฟาอย่างสบายใจเกินหน้าเกินตาจนน่าหมั่นไส้ เขาได้ยกขาขึ้นถีบคนที่นอนหลับตกลงหน้าทิ่มพื้นทันที
“อุ๊ย! /โอ๊ย! ใครถีบตูว่ะ”
รัตนาเห็นหลานตนถีบเพื่อนหน้าทิ่มไปจูบกับพื้น เธอจึงยกมือปิดปากกลั้นหัวเราะทันที ส่วนปัถวีที่ถูกถีบต้องตื่นจากความฝันอันแสนหวาน ได้เอามือลูบหน้าผากที่ทิ่มกับพื้นอย่างแรง ด้วยความหงุดหงิดคนที่ทำตนเอง
“ตูเอง มีปัญหาเหรอวี” นทียิ้มเยาะเย้ย พร้อมยกเท้าน้อยขึ้นชูให้ปัถวีเห็น
“ไม่คร๊าบ ไม่เลยคร๊าบ” ปัถวีพอรู้ว่าเป็นนทีเขาจึงหุบปากสงบคำ จะต่อว่าได้ยังไงเขาต้องทำคะแนนไม่ให้เพื่อนคนนี้หงุดหงิดได้
“หึหึ ดีมาก”
“กี่โมงแล้ว” ปัถวีถามเพื่อนและยันตัวลุกขึ้นยืนด้วยความยากลำบาก เพราะเมื่อยตามแขนขาไปหมด คงเป็นเพราะตนนั้น นอนอัดบนโซฟาที่แคบจนเกินไป
“ใกล้สี่โมงแล้วล่ะ” นทีได้ตอบปัถวีพร้อมกับมองนาฬิกาเรือนโต ที่ติดกับผนังบ้านอย่างตั้งใจ
“แล้วเราจะอยู่ทานอาหารเย็นไหม” รัตนาถามขึ้นพร้อมมองปัถวีที่ทำท่าทางตลก เพื่อนั่งข้างนทีอย่างเอาใจ
“ไม่ครับ ผมคิดว่าจะกลับบ้านก่อน วันนี้คุณพ่อกับคุณแม่กลับมาบ้านครับ ผมต้องไปเตรียมต้อนรับพวกท่าน” ปัถวีพูดเสียงเบา พอให้ได้ยินเพียงแค่รัตนากับนทีเท่านั้น เขาไม่อยากกลับตอนนี้ แต่ต้องรีบกลับไปทำความสะอาดบ้านให้เรียบร้อย ก่อนที่มารดาของเขาจะบ่นว่าบ้านสกปรก
“กลับมาพร้อมกับพี่พศินเลยนะ” เธอคิดว่าเป็นวันดีจริง ที่คนรอบกายอยู่พร้อมหน้ากันแบบนี้
“ครับ ผมไม่รบกวนแล้วครับ ไปก่อนนะที” ปัถวีลุกขึ้นยืนอย่างอ้อยอิ่งด้วยความขี้เกียจ ส่วนนทีอยากออกไปสูดอากาศข้างนอกอีกครั้ง จึงเสนอตัวไปกับปถวี
“เดี๋ยวเราไปส่ง”
“ดีจัง ขอบใจนะ” ปัถวีฉีกยิ้มขานรับอย่างไว อย่างน้อยคนตรงหน้ายังมีน้ำใจไปส่งเขาถึงที่
รัตนามองคนทั้งสองแล้วส่ายหน้าอย่างเอือมระอา อีกหนึ่งไม่รู้ว่าอีกคนเเอบชอบอยู่ ส่วนอีกคนพยายามจะหาทางเข้าใกล้ จะสงสารปัถวีดีหรือจะเห็นใจดี อาจจะต้องทั้งสองอย่างเพราะหลานของเธอนั้น ไม่มีวี่แววว่าจะชอบปัถวีเลยสักนิด น่าจะรีบบอกความในใจไปได้แล้ว จะได้รู้ไปเลยว่าชอบไหม เก็บไว้แบบนี้มีหวังโดนใครคาบไปครอง
เธอก็ไม่เคยคาดหวังกับหลานชาย ว่าจะต้องมีหลานสะใภ้หรือจะไม่มีใครก็ได้ เธอไม่สนใจเรื่องแบบนั้นอยู่แล้ว เธอรักนทีเหมือนลูกเพราะเธอไม่มีลูกกับสามี น่าดีใจแทนพี่ชาย ที่เด็กตัวน้อยเติบโตมาจนเป็นหนุ่ม
รัตนายืนคิดถึงความหลังอยู่สักพัก ก็นึกขึ้นได้ว่า ตนต้องเข้าไปเตรียมของในครัว จึงหายตัวไปทำงานต่อ
เมื่อนทีมาส่งปัถวีตามที่ตนรับปากเอาไว้ เขาได้ไปส่งที่เดิมตรงรอยโหว่ของกำแพง เขาดึงกิ่งไม้แห้งออก ให้ปัถวีเตรียมมุดกลับเข้าบ้าน ปัถวีส่งยิ้มกว้างมาให้นที แต่นทีเพียงแค่ยกยิ้มเป็นการตอบกลับเท่านั้น
“ขอบใจนะที่มาส่ง”
“ไปได้แล้ว เดี๋ยวทำความสะอาดไม่ทัน ก่อนคุณป้ากลับมา” นทีดันหัวไหล่ปัถวีเบา ๆ เป็นการกระตุ้นให้คนตรงหน้ารีบกลับเข้าไป
“แฮะ แฮะ รู้ทันจนได้”
ปัถวีรู้ว่าไม่สามารถเก็บเรื่องบ้านสกปรกกับนทีได้เพราะพวกเราโตมาด้วยกัน นทีจึงรู้ว่าเขานั้นขี้เกียจมากเพียงใด ผิดกับนทีที่เป็นคนเจ้าระเบียบและสะอาดจนผู้หญิงชิดซ้าย ไม่อยากคิดภาพ ถ้านทีมาอยู่กับตนจะเป็นยังไง คงจะสบายไปหลายขุม เพราะมีคนคอยทำความสะอาดบ้านให้
“คิดอะไรของนายอยู่ รีบกลับไปได้แล้ว” นทีเห็นเพื่อนเหม่อคิดอะไรอยู่ในใจ จึงได้เรียกสติให้กลับมา
“แฮะ แฮะ ขอโทษครับ คิดอะไรเพลินไปนิด” ปัถวีรีบเก็บอาการอย่างเร็ว เดี๋ยวนทีรู้ความในใจของตน เพราะยังไม่ถึงเวลา
“ไปได้แล้ว” นทีกวักมือไล่ให้คนข้างหน้าหมุดตัวกลับไปเสียที
ปัถวีจึงรีบทำตามอย่างรวดเร็ว เขามุดและปิดรอยโหว่อย่างเรียบร้อย พร้อมกับตะโกนเสียงดังข้ามฝั่งมาหานทีว่า ‘ฝันดีนะ’ ทั้งที่ยังไม่มืดเลยสักนิด
ทำให้นทีถึงกับอายเลยทีเดียว จะไม่อายได้ยังไง ถัดไปมีแต่คนงานที่มาทำสวน ถ้าพวกเขาได้ยินเข้า เขาไม่ต้องมุดดินกลับบ้านหรือไงกัน เพื่อนคนนี้ชอบทำเรื่องให้เขาต้องเขินอายได้ตลอด นทีรีบเดินกลับเข้าบ้านทันที ระหว่างทางกลับถึงบ้าน เขาต้องผ่านเส้นทางเดิม เหมือนกับเมื่อวานที่เจองูเห่าตัวใหญ่ แต่ครั้งนี้อาจจะไม่มี นทีคิดเช่นนั้น
“แม่จันนน...” เสียงร้องแผ่วเบาหลงเข้ามากระทบหูของนที ทำให้เขาถึงกับขนลุกชัน
“ค...ใครน่ะ” นทีมองไปรอบตัว ว่าเสียงมาจากแห่งไหนแต่กลับไม่เห็นอะไรเลย ซึ่งทุกอย่างมองดูปกติดี
“แม่จันนนน...”
เสียงเรียกเริ่มยาวขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งที่เขาไม่ใช่คนชื่อจัน แต่ทำไมกลับนึกว่าเสียงนั้นกำลังเรียกตนอยู่ หรือว่าจะไม่ใช่คน
พอคิดได้อย่างนั้น นทีเสียวสันหลังวาบ รีบก้าวขาหนีเข้าบ้านไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมามองอีกเลย ถ้านทีหันหลังกลับมาสักนิด เขาจะเห็นร่างของชายหนุ่มโปร่งแสงยืนมองเขาอยู่
“หึ โทษฐานที่คุยกับชายอื่น” ร่างโปร่งแสงยกยิ้มกับความสำเร็จที่ได้แกล้งคนรัก
“เอาอีกแล้วนะพ่อศร ทำไมถึงทำให้แม่จันกลัวแบบนั้นกัน”
หญิงสาวไว้ผมทรงดอกกระทุ่ม สวมใส่เสื้อแพรไหม ลูกไม้ตัดแบบตะวันตกคอตั้งสูง แขนยาวพองฟู เสื้อผ้าจีบเข้ารูปคาดเข็มขัด สะพายแพร สวมถุงเท้ามีลวดลายปักสี สวมรองเท้าส้นสูง ปรากฏตัวข้างร่างโปร่งแสง
ร่างโปร่งแสงเริ่มมีร่างเข้มขึ้น บ่งบอกว่าพลังงานได้รวมตัวกันเป็นรูปร่าง ให้หญิงสาวที่มีรูปแบบพลังงานเหมือนตนได้เห็นชัดเจน
“ฉันจะไม่ทน เห็นแม่จันคุยกับชายอื่น เห็นแล้วมันน่าหงุดหงิดใจ อยากบีบคอชายผู้นั้นให้สิ้นลม แม่จันจะได้ไม่ชายตามองใคร”
ศรรับรู้ถึงกระแสความคิดของชายที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิท แต่กลับคิดไม่ซื่อกับคนรักของเขา และที่ทำให้เขายิ่งหงุดหงิดใจมากกว่านั้นคือ นทีกลับเขินอายและรู้สึกดีไปกับชายหนุ่ม ยิ่งคิดยิ่งไม่ชอบใจ อยากให้ชายคนนั้นหายตัวไปจากโลกใบนี้ ถ้าเป็นไปได้ยิ่งดี
“ทำแบบนั้นไม่ได้นะ เท่ากับบั่นทอนพลังงานของเราให้ดับลง เป็นบาปกรรมติดตัว นรกจะดึงลงไป”
เธอได้ตักเตือนผู้ที่อายุน้อยกว่าด้วยความเอ็นดู ถึงจะไม่มีกายหยาบเหมือนมนุษย์ทั่วไป เป็นกายละเอียดจึงต้องมีความระมัดระวังเป็นพิเศษ ถ้าทำผิดพลาดขึ้นมาบาปนั้นจะสนองอย่างเร็วเพราะทุกอย่างมีกฎ ไม่ว่าจะอยู่ในภพภูมิไหนก็ตาม
ชายหนุ่มร่างทิพย์ได้พยักหน้าเป็นที่เข้าใจ ว่าตนไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้ ถึงภายในจะร้อนรนมากมายเพียงใด ต้องทำใจว่าเราทั้งสองอยู่คนละภพกัน
ทางด้านนที ที่รีบวิ่งกลับบ้านด้วยขนลุกชันไปทั้งตัว เขานึกหวาดกลัวขึ้นมาว่า ถ้าเป็นผีร้ายจะมาทำอันตรายเขาไหม จะฆ่าเขาตายหรือเปล่า คิดในใจอย่างเดียวว่า อย่าเจออีกเลย แล้วจะส่งบุญไปให้
“ทีมาทานข้าวเย็นกัน เดี๋ยวอาศินกลับมาแล้ว” รัตนาเห็นนทีวิ่งพรวดพราดเข้ามาในบ้านจึงร้องทักขึ้น
“วันนี้ผมขอตัวนะครับ พอดีผมยังอิ่มอยู่ ไม่หิวครับ” พูดจบ นทีรีบขึ้นห้องโดยไม่ฟังเสียงอาของตนเลยสักนิด
“ที เดี๋ยว! อะไรกันเด็กคนนี้” รัตนาบ่นพึมพำไม่เข้าใจว่าหลานตนเป็นอะไรกันแน่ ถึงไม่หยุดฟังคนอื่นพูดให้จบเสียก่อน
เวลาผ่านไปได้หนึ่งชั่วโมง พศินได้เดินทางกลับมาบ้าน โดยมีภรรยาอย่างรัตนาและพิมสาวใช้ ต้อนรับเป็นอย่างดี
“อ้าวทียังไม่มาหรือ” พศินแปลกใจว่าทำไมไม่เห็นหลานนอกไส้ เพราะเขารู้มาว่ากลับมาบ้านตั้งแต่เมื่อวานแล้ว
“ขอตัวขึ้นห้องไปค่ะ” รัตนาตอบสามีด้วยรอยยิ้มที่ดีใจ ว่าสามีของเธอได้กลับมาบ้านเสียที
“คงเหนื่อยสินะ” พศินไม่ซักไซ้ถามต่อ เพราะเขาไม่ใช่คนเรื่องมากอะไร
“ถ้าแบบนั้นพี่มาทานข้าวเถอะ รัตเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วค่ะ” พศินพยักหน้ารับ แล้วโอบเอวภรรยาเดินไปทานข้าว โดยมีพิมคอยบริการอย่างเต็มที่
ทางด้านนทีที่กลับเข้าห้องนอน เขารีบนอนคลุมโปงทันที
“พ่อจ๋า แม่จ๋า ช่วยทีด้วย ไม่ต้องมาหาทีนะ ทีกลัว แค่อย่าได้ยินเสียงแบบนี้อีกก็พอ ฮือ ทีกลัวแล้ว ไปที่ชอบที่ชอบเถอะนะ ฮือ”
ทั้งคืนนทีจะพูดซ้ำแล้วซ้ำเหล่า กับคำพูดเดิม ๆ จนเผลอหลับไปในที่สุด ส่วนทางด้านตัวการอย่างศร กลับรู้สึกผิดขึ้นมาเสียอย่างนั้น เขาไม่คิดว่านทีจะกลัวได้ขนาดนี้
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ