Sacred Pond อภินิหารบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์

-

เขียนโดย ทาเน็น

วันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 เวลา 21.20 น.

  4 บท
  0 วิจารณ์
  5,241 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 22.12 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

บทนำ

                

               โอนิแกรนด์คือดินแดนที่กว้างใหญ่ไพศาล ดินแดนแห่งนี้ถูกเชื่อว่าตั้งอยู่ระหว่างสุดขอบโลกฟากฝั่งหนึ่งไปจรดกับสุดขอบโลกอีกฟากหนึ่ง ย้อนกลับไปเมื่อห้าสิบปีก่อน โอนิแกรนด์คือที่ตั้งของอาณาจักรยิ่งใหญ่ห้าอาณาจักร นั่นคือ เฟนเดรีย โอนิบาน วราดิม พีดาสกิโม และ วลันเทีย โดยเฟนเดรีย โอนิบาน วราดิม นั้นปกครองโดยเผ่าพันธุ์มนุษย์ วลันเทียปกครองโดยเผ่าพันธุ์เอลฟ์ และ พีดาสกิโม ปกครองโดยเผ่าพันธุ์ยักษ์ เดิมทีทั้งห้าอาณาจักรนั้นเป็นมิตรต่อกัน แต่ภายหลังสิ้นสุดมหาสงครามกับจอมมารซาทารอธ แต่ละอาณาจักรก็ต่างแย่งครองความเป็นใหญ่เหนือกันและกัน (มูลเหตุแห่งความขัดแย้งจะถูกกล่าวต่อไปในบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์) สงครามห้าอาณาจักรกินเวลาต่อเนื่องยาวนานเป็นเวลากว่ายี่สิบปี จนในที่สุดอาณาจักรเฟนเดรียภายใต้การปกครองของกษัตริย์เฟนดริกที่สามผู้ทรงธรรมก็สามารถพิชิตทุกอาณาจักรลงได้ในที่สุด หลังกุมชัยชนะเหนือทุกอาณาจักร พระองค์จึงทรงรวมแผ่นดินก่อตั้งจักรวรรดิโอนิกรันเดียและปราดาพระองค์ขึ้นเป็นองค์จักรพรรดิปกครองดินแดนแห่งนี้สืบมาจวบจนปัจจุบัน สงครามสิ้นสุด ความสงบสุขร่มเย็นปรากฏขึ้นอีกครั้งในโอนิแกรนด์ ทว่าความสงบสุขก็อยู่ได้ไม่นาน...

                กองทหารม้านับพันเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วไปตามแนวสันเขาดรันมัธมอล เสียงเกือกเหล็กกล้ากระแทกพื้นดินดังกระหึ่มราวกับเสียงกัมปนาทของอัสนิบาต ฝุ่นดินคละคลุ้งลอยโขมงเป็นทางไปตามเส้นทางที่ขบวนอาชาท่องไป จุดหมายของพวกเขาคือวิหารสีเทาที่มองเห็นลิบๆเป็นจุดสีเทาท่ามกลางทุ่งหญ้าสีน้ำตาลแห้งแล้งอันกว้างใหย๋ ดวงอาทิตย์ยามบ่ายสาดแสงร้อนแรงไปทั่วทุ่งพาร์ค วิหารเริ่มปรากฏกายใหญ่ขึ้นเมื่อขบวนอาชาเคลื่อนเข้าไปใกล้

                “หยุด” นายกองตะโกนพลางโบกมืออาณัติสัญญาณ กองทหารม้าค่อยๆชะลอความเร็วลง และหยุดกึกในที่สุด

ชายในชุดเกราะที่สวมทับด้วยผ้าคลุมสีเข้มปักลายวิจิตรบรรจงบังคับม้ามาหานายกอง

                “นั่นไง” เขาชี้ไปยังอาคารสีเทามอซอเบื้องหน้า “วิหารบราเว็นที่พำนักของเหล่าพ่อมด”

                “ฝ่าบาท มั่นใจแล้วหรือว่าพระองค์จะเสด็จเข้าไปจริงๆ เหล่าพ่อมดหันหลังให้กับทุกสรรพสิ่ง เร่ร่อนไปทั่วดินแดน นับตั้งแต่สงครามรวมแผ่นดิน พวกเขาอาจไม่ใช่มิตรที่ดีอีกต่อพระองค์อีกต่อไปแล้วก็ได้” นายกองว่า

                “หากท่านหมายถึงเหล่าพ่อมด ท่านพูดถูกอัลเดียเอ๋ย แต่ข้าไม่ได้มาหาเหล่าพ่อมด ข้ามาเพื่อพ่อมดเพียงคนเดียว และหากสัตยาบันแห่งเฟนเดรียยังศักดิ์สิทธิ์อยู่ พวกเขาจะทำร้ายข้าไม่ได้”

                “ตามที่พระองค์ประสงค์” นายกองพยักหน้า “ข้าจะเตรียมทหารอารักษ์ขาไปกับท่าน”

                “ไม่ต้อง ข้าต้องเข้าไปคนเดียว นายทวารไม่ไว้ใจใครนอกจากข้า ท่านจงสั่งทหารให้รอข้าอยู่ที่นี่ วางกำลังป้องกันวิหารนี้เอาไว้ ข้าอาจไม่อยู่สองถึงสามวัน”

                “แต่ฝ่าบาท...”

                จักรพรรดิเฟนดริกผายพระหัตถ์ข้างหนึ่งออกไปเป็นเชิงว่าการสนทนานี้จบสิ้นลงแล้ว นายกองพยักหน้า พระองค์ลงจากหลังม้าแล้วก้าวอาดๆไปยังวิหารเบื้องหน้า สายตาของบรรดาทหารม้าจับจ้องไปยังพระองค์

หากเอ่ยว่าอาคารเบื้องหน้านี้คือวิหารที่ยิ่งใหญ่นั่นคงจะเป็นคำที่หรูเกินไปสำหรับเคหาสน์แห่งนี้ ด้วยว่ามันเป็นเพียงอาคารซอมซ่อ มีรอยร้าวปรากฎตามผนังสีหินอ่อน กระเบื้องด้านบนผุพังเป็นรูโบ๋อยู่ทั่วไปหมด ในขณะที่ยอดวิหารนั้นก็มีสภาพไม่ต่างกัน มันกุดราวกับต้นสนที่ถูกตัดยอดทิ้ง ที่นี่ไม่เหลือเค้าความรุ่งเรืองในอดีตเลยแม้แต่น้อย

                จักรพรรดิเฟนดริกหยุดอยู่ที่ประตูไม้บานมหึมาที่เต็มไปด้วยรอยผุและเชื้อราสีดำเป็นหย่อมๆ ในพระทัยพระองค์ปราศจากซึ่งความกลัว นี่ไม่ใช่การเสด็จเยือนวิหารบราเว็นครั้งแรกของพระองค์ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าเหตุใดพระองค์จึงมีความคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้มากกว่าขุนศึกนายกองคนใด จักรพรรดิเฟนดริกดันประตูให้เปิดออก ประตูไม้เปิดออกช้าๆ  นายกองสั่งการทหารม้าให้ตรึงกำลังรักษาแนวเอาไว้เพื่อเตรียมรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน

                ด้านในวิหารนั้นเป็นเพียงโถงว่างเปล่า มีเพียงซากโต๊ะและเก้าอี้เก่าๆวางกระจัดกระจายอยู่ใต้กองฝุ่นหนาเตอะ แสงอาทิตย์ส่องลอดรอยช่องแตกของกระเบื้องมากระทบกับเศษซากเหล่านั้นเป็นดวงๆ อีกฟากของประตูคือแท่นหินสำหรับประกอบพิธีบางอย่าง เหนือแท่นหินมีเชิงเทียนตั้งอยู่ ด้านหลังเป็นภาพวาดหอคอยขนาดใหญ่ที่ถูกวาดติดผนังไว้ มันดูเก่ามอซอ พระองค์ก้าวช้าๆผ่านโถงไปยังแท่นหินนั้น

                “ท่านคือผู้ใด” เสียงใครบางคนดังออกมาจากมุมมืดของโถงใหญ่

                “ข้าคือผู้เดินทางผ่านมา” จักรพรรดิตอบ “และต้องการจะผ่านไป”

                “ยูดูซาเล็บ ซาราบาฮี เวบัคคาซี” ชายในมุมโถงก้าวออกมาจากมุมมืดพร้อมกับพูดภาษาประหลาด เขาอยู่ในชุดผ้าคลุมสีดำปกคลุมดวงตาและจมูก เผยให้เห็นแค่ปาก

                “คุนดูซาเล็บ เบรเว็นคราดิน” จักรพรรดิว่าแล้วโค้งคำนับ

                “บาธซา” ชายชุดดำผายมือไปที่เชิงเทียน เทียนที่ถูกจุดแปดเล่มปรากฏขึ้นเหนือเชิงเทียน แสงจากเปลวเทียน  เผยให้เห็นประตูเหล็กกล้าซึ่งเมื่อครู่มันยังเป็นรูปภาพวิหารเก่าๆนั่นเอง เขาเอื้อมมือไปเปิดประตูเหล็กที่ทั้งหนาและหนักได้อย่างง่ายดาย เสียงประตูเหล็กดังครืนไปทั่วห้องโถง ประตูค่อยๆเผยอออกพร้อมกับที่มีแสงนวลๆลอดเข้ามาจากอีกด้าน

                “เชิญ” ชายชุดดำว่า

                จักรพรรดิเฟนดิกโค้งคำนับอีกครั้ง ก่อนจะเดินเข้าไปที่ช่องประตู พระองค์เอามือป้องตาไว้แล้วค่อยๆย่างเท้าเข้าไป ทุกอย่างสว่างวาบ ก่อนพระองค์จะรู้ตัวว่ากำลังยืนอยู่บนถนนที่ปูด้วยหิน ด้านหลังประตูคือโลกอีกใบที่แตกต่างจากดินแดนที่พระองค์จากมาอย่างสิ้นเชิง ผู้คนในชุดผ้าคลุมเดินขวักไขว่ในลานกว้าง ใจกลางลานมีบ่อน้ำพุและรูปปั้นทองคำรูปคนชูคฑาสูงใหญ่สามคน รอบบ่อน้ำพุถูกประดับด้วยดอกไม้หลากสีสรรสวยงามตระการตา เหล่าภูตจิ๋วบินวนเวียนอยู่รอบดอกไม้เหล่านั้น บนท้องฟ้าเหล่าสัตว์มีปีก ทั้งม้า สิงโต สุนัข หรือแม้แต่หมู บินว่อนมองเห็นเป็นจุดเล็กๆกระจัดกระจายมองดูคล้ายฝูงผึ้งที่กำลังบินล้อเล่นลม เบื้องหน้าคือหอคอยขนาดใหญ่ซึ่งตั้งตระหง่านสูงชะรูดเสียดฟ้า มันดูสวยงามและระยิบระยับยามต้องแสงอาทิตย์ทั้งสิบสองดวง

                “ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด” องค์จักรพรรดิเฟนดริกตรัส แล้วมุ่งหน้าไปยังหอคอย พระองค์ก้าวขึ้นบันไดไปพร้อมๆกับบรรดาคนในชุดคลุมสีดำและเทา ไม่มีใครสนใจในตัวพระองค์เลยแม้แต่คนเดียว เพราะเหล่าพ่อมดมักไม่ค่อยให้ความสำคัญกับสิ่งใดนักนอกจากอักรขระและเวทมนต์ (ที่สำคัญสำหรับใครที่สามารถสัญจรไปมาใน “ในทวารแห่งนอวาเร็น” ได้ นั่นหมายความว่าบุคคลผู้นั้นได้รับอนุญาตโดยผู้เฝ้าทวารแห่งนอวาเร็นเรียบร้อยแล้ว ถือว่าไม่เป็นอันตรายใดๆต่อประชากรในโลกแห่งนี้) 

      องค์จักรพรรดิเดินทอดน่องเข้าไปยังโถงชั้นที่หนึ่ง ทุกอย่างดูสว่างไสว สลับซับซ้อนและสวยงามด้วยสีทอง สีแดง และสีเขียว เหล่าภูตจิ๋ว บินว่อน ข้าวของล่องลอยอยู่ในอากาศราวกับความฝัน แม้แต่ความงดงามของโถงพระราชวังของพระองค์เองก็ยังไม่อาจเทียบได้ 

     องค์จักรพรรดิเลือกเส้นทางหนึ่งที่ได้พาพระองค์ลงไปยังบันไดหินและนำพระองค์ไปยังชั้นใต้ดินของหอคอย ก่อนเส้นทางจะถูกบีบให้เล็กด้วยผนังที่เปลี่ยนจากสีอ่อนเป็นสีเข้มเหมือนผนังถ้ำที่มืดแต่ก็สว่างวูบวาบด้วยคบเพลิง เสียงกึ้งกั้งดังสลับกับเสียงครืนครานดังกังวารอยู่ที่สุดปลายทาง หลังจากเดินไปได้สักพัก พระองค์ก็เดินมาถึงโถงถ้ำขนาดใหญ่ มีสะพานเหล็กที่ทอดไปสู่ปากถ้ำอีกฟาก เบื้องล่างเป็นลำธารที่มีกระแสน้ำเชี่ยวกราก หลังเดินข้ามข้ามสะพานไปยังปากถ้ำ ณ จุดนั้นเป็นบันไดหินสูงชันซึ่งทอดลงไปยังโรงหลอมขนาดมหึมา ที่เต็มไปด้วยเบ้าหลอม เปลวเพลิงและเหล่าคนแคระที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยเหงื่อใครที่กำลังง่วนอยู่กับการตีเหล็กและประดิษฐ์ประดอยข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ อากาศในนี้ร้อนอบอ้าว พระองค์เริ่มรู้สึกได้ถึงเหงื่อที่ไหลอยู่ตามร่างกายและพระพักต์ ที่สุดโถง บนชะง่อนหินสูงขึ้นไป คือจุดหมายที่องค์จักรพรรดิกำลังจะมุ่งหน้าไป "ห้องทำงานของโกรินคนแคระจอมขมังเวทย์"

                ห้องทำงานของโกรินมองดูคล้ายคลังสรรพาวุธมากกว่าจะเป็นห้องทำงาน ทั้งผนังห้องและตามชั้นวางต่างๆเต็มไปด้วยศาสตราวุธนานับชนิด ทั้งแบบปกติเช่น หอก ดาบ ธนู ขวาน         และอาวุธหน้าตาแปลกประหลาดอย่างเช่น แส้ที่มีปลายเป็นเหมือนคมขวาน หรือ หอกที่หนามแหลมที่ด้ามจับ เป็นต้น

                “ข้าประหลาดใจมากที่นายทวารไม่แปลงร่างเป็นงูยักษ์แล้วเขมือบท่านลงท้อง” โกรินพูดโดยไม่หันไปมองแขกผู้มาเยือน เขากำลังง่วนอยู่กับการสลักอักขระเวทย์ลงบนด้ามคฑา “ท่านมีธุระอะไรจงรีบแถลงมาเถิดสหาย เพราะข้าคงไม่มีเวลาจะเสียให้กับมนุษย์ผู้กระหายอำนาจ หรือพวกเอลฟ์จอมยโส หรือ พวกยักษ์ผู้โง่เขลา ที่โลกภายนอกนั่นอีกแล้ว”

                “สัตยาบันแห่งเฟรนเดียยังไม่เลือนไป  ได้โปรดท่านโกรินจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ หากไร้ซึ่งหนทางข้าคงไม่ยอมตามหาวิหารแห่งบราเว็นแทบพลิกแผ่นดินเพื่อมาพบท่านหรอก”

                โกรินวางมือจากธุระที่เขากำลังทำค้างไว้อยู่ คนเคราะจอมเวทย์ผู้นี้มีร่างสูงเพียงสามฟุต แต่ร่างกายล่ำสันเต็มไปด้วยมัดกล้าม เครายุ่งเหยิงสีดอกเลาของเขายาวจรดรองเท้าบูทหนังคู่โต เขามีจมูก มือ และ เท้าใหญ่ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งกาลเวลา โกรินมองจักรพรรดิเฟนดริกด้วยหางตา เขาหามีแววได้หวั่นเกรงต่อจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ไม่ ตรงกันข้ามกลับกลายเป็นว่าองค์จักรพรรดิกลับเป็นผู้น้อบน้อมให้เขาเสียมากกว่า โกรินเดินมาประจันหน้ากับจักรพรรดิเฟนดริกด้วยท่าทีถมึงทึง

                “ในช่วงศึกซาทารอธ ราชโอรสแห่งกษัตริย์เฟนดริกที่สองแห่งเฟนเดรียและพันธมิตรของพระองค์ เดินทางมาขอความช่วยเหลือจากเหล่าพ่อมด อ้อนวอนให้พวกเขาเข้าร่วมพันธมิตรต่อต้านจอมมาร เหล่าพ่อมดยอมเข้าร่วมสงครามเพื่อพิทักษ์โอนิแกรนด์แผ่นดินมาตุภูมิของพวกเขา และข้า...ได้มอบสุดยอดศาสตราวุธให้แก่เหล่าพันธมิตร จนสุดท้ายพวกเขาก็สามารถปราบจอมมารซาทารอธลงได้” โกรินเดินไปหยิบดาบที่วางอยู่บนชั้นหินใกล้ๆ เขามองดาบด้วยแววตาเศร้าสลด “แต่ด้วยความโลภและความลุ่มหลงในอำนาจของพวกเขา พวกเขากลับนำศาสตราวุธที่ข้ามอบให้นั้นมาประหัตประหารกันเอง เหล่าพ่อมดถูกบีบให้จำต้องทำศึกเข่นฆ่ากัน” โกรินหันไปมองที่องค์จักรพรรดิด้วยสายตาแข็งกร้าว “พวกเขาทอดทิ้งพ่อมดที่มีพระคุณให้ตายอย่างอำมหิต” 

                องค์จักรพรรดิไม่พูดอะไร เกิดความเงียบงันที่น่าอึดอัดระหว่างสองผู้ยิ่งใหญ่ แต่ในที่สุดพระองค์ก็เอ่ยขึ้น

                “ข้าเข้าใจความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับท่านและเหล่าพ่อมดที่แสนดีทั้งหลาย และไม่มีวันใดเลยที่ข้าไม่เสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ขอให้ท่านจงเชื่อข้าเถิดตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาข้าพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อแก้ไขเหตุสิ่งผิดพลาดนั้น เพื่อให้โอนิแกรนด์กลับมาสงบสุขเหมือนดังที่เคยเป็น และข้าทำสำเร็จ ข้ารวมแผ่นดินนี้ให้เป็นปึกแผ่น ข้ามอบเสรีภาพและความยุติธรรมให้กับผู้คนไม่ว่าจะเผ่าไหน และข้าขอสาบานด้วยชีวิตของข้าต่อหน้าเดอะเกรทออฟซอว์ด”

               องค์จักรพรรดิเฟนดริกชักดาบออกมาจากฝักที่เหน็บอยู่ข้างเข็มขัดของพระองค์ ดาบเดอะเกรทออฟซอว์ดเป็นประกายสีเงิน ส่องสว่างท่ามกลางความมืดสลัวของห้องทำงานของโกริน ศาสตราวุธทุกชนิดในห้องทำงานสั่นครืนราวกับฝูงสุนัขกำลังดีใจที่ได้พบกับเจ้าเหนือหัว    

               “หากการที่ข้าพูดนั้นเป็นเท็จ ข้าก็ขอให้ชีวิตข้า บัลลังค์ของข้า และครอบครัวของข้ามีแต่ความวิบัติ” 

โกรินจ้องมองไปที่ดาบแล้วพูด “และนั่นคือเหตุผลเดียวที่ทำให้ท่านยังมายืนอยู่ที่นี่ได้” เขาหันขวับและจ้ำอ้าวไปที่โต๊ะทำงานพลางกวักมือเรียกองค์จักรพรรดิเฟนดริกให้ตามเขาไป

องค์จักพรรดิยิ้มมุมปากพร้อมตรงไปยังโต๊ะทำงานของจอมขมังเวทย์แคระ

               “ว่ายังไง” โกรินถาม

องค์จักรพรรดิเฟนดริกล้วงพระหัตถ์เข้าไปในผ้าคลุม พระองค์ดึงถุงผ้าเล็กๆออกมาจากกระเป๋า แล้วค่อยๆคลายเชือกและเทบางสิ่งลงบนโต๊ะ มันคือเศษหินสีดำทมิฬขนาดพอๆกับฝ่ามือ หินกลิ้งไปบนโต๊ะแล้วหยุด

               โกรินตะลึงงัน

               “นี่มัน...”

               “ศิลาทมิฬ” จักรพรรดิตอบ “ผู้คนเรียกมันอย่างนั้น ชิ้นนี้ถูกพบที่เมืองเฟรอสทางตอนใต้ของเฟนเดรีย” จักรพรรดิล้วงพระหัตถ์เข้าไปในกระเป่าอีกครั้ง คราวนี้พระองค์นำผ้าชิ้นหนึ่งออกมากางบนโต๊ะ มันคือภาพวาดด้วยหมึกของวัตถุที่มีลักษณะคล้ายหอคอยสีดำขนาดใหญ่ เหนือยอดของมันเป็นภาพประกายแสงเป็นริ้วๆเปล่งออกมา

                 จักรพรรดิพูด “ชาวเมืองที่พบเห็นเล่าว่ามันงอกขึ้นมาจากพื้นดิน ต้นไม้ บริเวณรอบๆที่แท่งศิลานี้ปรากฎขึ้นนั้นต่างเหี่ยวเฉาและแห้งตายลงในทันที ผู้คนตกอยู่ในความหวาดกลัว บ้างถึงกับอพยพหนีไป” 

โกรินชี้ไปที่ชิ้นส่วนศิลาที่อยู่บนโต๊ะ

               “และนี้คือชิ้นส่วนของมัน”

                “ถูกต้อง” องค์จักรพรรดิว่าพลางใช้ดาบเดอะเกรทออฟซอว์ดแตะไปที่ชิ้นส่วนศิลานั้น เกิดประกายแสงสีแดงขึ้น เจ้าศิลาสั่นด้วยความรุนแรงราวกับสัตว์ที่โดนน้ำร้อน

               “ไม่มีศาสตราวุธไหนทำลายมันได้ ยกเว้นเดอะเกรทออฟซอว์ด ชิ้นนี้ข้าเป็นคนตัดมันออกมาด้วยตัวเอง ข้าคาดว่าว่าวิทช์อาร์มที่ท่านสร้างอาจทำลายมันได้ ทว่ามันมีสิ่งที่ต้องแลก...”

               องค์จักรพรรดิเฟนดริกถอดถุงมือหนังข้างซ้ายของพระองค์ออก เผยให้เห็นพระหัตถ์สีเทาที่มีแขนงเส้นเลือดสีดำมองดูคล้ายแขนงของรากไม้ขึ้นเต็มไปหมด “มือข้าติดพิษร้ายจากมัน”

               โกรินมองพระหัตถ์องค์จักรพรรดิเฟนดริกด้วยความเวทนา

               “ข้าพอจะรู้แล้ว นี่คือศิลาซินทัว ศิลาที่เกิดจากการเล่นแร่แปรธาตุและหลอมรวมวิญญาณผีร้ายบรรจุเป็นลงไปเป็นส่วนผสม เมื่อศิลานี้ปรากฏขึ้นที่ใด มันจะนำความแต่ความมรณาไปสู่สถานที่แห่งนั้น ในโอนิแกรนด์มีเพียงผู้เดียวที่เคยสร้างเจ้าสิ่งนี้ขึ้นมานั่นคือจอมมารซาทารอธ”

               องค์จักรพรรดิเฟนดริกมีอาการตื่นตกใจขึ้นมาฉับพลัน เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นมาบนพระพักต์ของพระองค์

               โกรินเดินไปยังเก้าอี้ไม้โยกตัวโปรดของเขา จอมขมังเวทย์หยิบกล้องยาสูบขึ้นมาจุด แล้วปล่อยควันสีเทาให้ล่องลอยไปกับพร้อมกับความคิด เขาเล่า

               “ย้อนไปเมื่อครั้งสงครามจอมมาร ช่วงเวลานั้นข้ายังมีความคิดสร้างสรรและความกระตือรือร้นกว่าตอนนี้มากนัก ซาทารอธคือโจทย์ที่ข้าต้องขบคิด มีเพียงความคิดเดียวที่อยู่ในหัวข้านั่นคือ ข้าจะเอาชนะเขาได้อย่างไร  หลังจากนั้นข้าจึงได้ลงมือสร้างศิลาชิ้นหนึ่งขึ้นมา เป็นศิลาเวทย์ที่มีพลังมหาศาล ข้าตั้งชื่อให้มันว่าเทียร์สโตน” โกรินสูดควันจากกล้องเข้าไปอีกครั้งแล้วเป่า “ข้าใส่ส่วนประกอบหลายอย่างลงในเทียร์สโตน หนึ่งในส่วนผสมหลักคือน้ำอัมฤทธิ์จากบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งเทือกเขาคราเมีย นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเทียร์สโตนถึงตอบสนองต่อทั้งความดีและความชั่ว เมื่อมันได้สัมผัสกับผู้ครอบครองที่คู่ควรและมีคุณธรรมมันจะมอบพลังเหลือคณาให้แก่คนผู้นั้น แต่หากมันได้สัมผัสกับผู้ชั่วร้าย มันจะมอบแต่หายนะอันน่าสะพรึงให้ด้วยเช่นกัน” เขาหยุดและจ้องไปที่พระพักต์องค์จักรพรรดิ และชี้ไปยังดาบเดอะเกรทออฟซอว์ด “หลังจากนั้น ข้าแบ่งเทียร์สโตนเป็นห้าส่วน และบรรจุมันลงในอาวุธห้าชิ้น ซึ่งก็คือวิทช์อาร์มทั้งห้านั่นเอง”

               “หมายความว่าพลังอำนาจของวิทช์อาร์มมาจากเทียร์สโตนใช่หรือไม่”

               โกรินพยักหน้า

               “ซาทารอธรู้เรื่องวิทช์อาร์มที่ข้าสร้าง เขาจึงพยายามสร้างซินทัวและใช้เป็นอาวุธเพื่อต่อกรกับมัน เจ้าศิลานี้เป็นวัตถุที่มีพลังขั้วตรงข้ามกับเทียร์สโตนของข้า แม้ซาทารอธจะถูกกำจัดลงไปแล้ว แต่ตอนนี้เรารู้แล้วว่าเขาสร้างศิลาซินทัวได้สำเร็จ และหากไม่รีบทำลายมัน อีกไม่นานโอนิแกรนด์คงต้องตกอยู่ในความมืดเป็นแน่”

               “แล้วเราจะทำลายมันได้อย่างไร”

               “ท่านไม่สามารถทำลายศิลาอาถรรภ์นี้ได้ด้วยวิทช์อาร์มเพียงชิ้นเดียว หนทางเดียวที่จะทำลายมันได้คือต้องทำลายมันด้วยวิทช์อาร์มทั้งห้าชิ้นพร้อมๆกัน”

               “หากเป็นเช่นนั้นข้าคิดว่าเราคงหมดหวังแล้ว เพราะทั้งปฐพีนี้เหลือผู้คู่ควรที่จะดึงพลังอำนาจแห่งวิทช์อาร์มสเพียงแค่เพียงข้าผู้เดียวเท่านั้น เพราะคนที่เหลือ” องค์จักรพรรดิพูดเสียงสั่นเครือ “รีดีสแห่งวลันเทีย คราเวนแห่งโอนิบาน บาร์คแห่งพีดาสกิโม และซอเร็นแห่ง...ล้วนตายไปแล้วในสงครามรวมแผ่นดิน”

               “เพราะความลุ่มหลงในอำนาจพวกเขาได้ทรยศต่อสัตยาบันศักดิ์สิทธิ์ พลังแห่งวิทช์อาร์มจึงนำพวกเขาไปสู่ความตายในที่สุด ทางเลือกเดียวคือท่านต้องหาผู้คู่ควรจะครอบครองศาสตราที่เหลือ”

               “และคำชี้แนะของท่านคือ...”

               “หากท่านยังไม่ลืม ก่อนที่ข้าจะเลือกผู้ถือครองวิทช์อาร์มส ข้าได้ให้ท่านและพันธมิตรของท่านดื่มน้ำอัมฤทธิ์จากหุบเขาคราเมียและขอให้พวกท่านให้สัตยาบันแก่วิทช์อาร์มสว่าจะนำมันไปใช้ในทางที่ถูกต้อง...”

               “ท่านกำลังจะบอกว่าข้าจำเป็นจะต้องหาผู้ที่คู่ควรและให้พวกเขาดื่มน้ำอัมฤทธิ์นั้นใช่หรือไม่”

               “ถูกต้อง และข้าได้ใช้น้ำอัมฤทธิ์ที่เหลือนั้นไปหมดแล้ว ท่านจึงต้องเดินทางไปยังบ่อน้ำอัมฤทธิ์นั้นและดื่มมันด้วยตัวเองเอง เพราะนอกจากน้ำอัมฤทธิ์นี้จะมอบอำนาจในการดึงพลังของวิชท์อาร์มสให้แก่ผู้ถือครองแล้ว มันยังสามารถถอนคำสาบให้ท่านได้อีกด้วย”

               “ข้าเคยได้ยินตำนานแห่งหุบเขาคราเมียมันคือดินแดนลับแลที่ไม่มีใครรู้ว่ามันอยู่ที่ใด หากท่านยังเห็นแก่ความสัมพันธ์ดีแก่สหายเก่า คำชี้แนะของท่านคงเป็นโอกาสทองที่เราจะพาให้โอนิแกรนด์พ้นภยันตรายครั้งนี้”

               “ท่านยังคงเป็นนักเจรจาชั้นยอดน่ะองค์จักรพรรดิ เห็นแก่ความดีของท่าน” โกรินลุกขึ้นและเดินต้วมเตี้ยวไปยังชั้นเก็บเอกสารเตี้ยๆซึ่งตั้งอยู่มุมห้อง เขาค้นมันอยู่พักนึงและหยิบหนังสือเล่มหนาออกมา แล้วนำมันมาวางที่โต๊ะ จอมขมังเวทย์แคระ เปิดหนังสือที่เหมือนจะมีเศษผ้าแนบไว้มากมาย เขาหยิบเศษผ้าชิ้นหนึ่งออกมากาง มันเป็นเศษผ้าสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีอ่อนๆ ไม่มีข้อความใดบนเศษผ้านั้น

               “นี่คือแผนที่ที่จะนำท่านไปยังบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์นั่น จงนำมันไปจุ่มน้ำในคืนพระจันทร์เต็มดวง แผนที่จะปรากฎให้เห็น แต่ขอบอกไว้ก่อนว่าหนทางแห่งบ่อน้ำนั้นเต็มไปด้วยอุปสรรคและบททดสอบมากมาย แม้แต่ผู้มีพลังอำนาจอย่างข้าก็ยังเกือบเอาเอาชีวิตไม่รอด และยังมีหลายสิ่งที่ข้ายังไม่รู้อีกมาก มีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งและมีปณิธานแน่วแน่เท่านั้นที่จะไปถึงบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์นั้นได้”

               องค์จักรพรรดิรับเศษผ้านั้นไว้แล้วพับมัน ก่อนจะนำไปใส่ไว้ในผ้าคลุม

               “ข้าขอขอบคุณในความเอื้อเฟื้อของท่าน และขอพูดด้วยความสัตย์จริงว่าข้าไม่รู้จะตอบแทนความมีน้ำใจนี้ได้อย่างไร โกรินจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ หากมีเรื่องอะไรให้ข้าช่วย ข้าพร้อมจะช่วยเต็มที่แม้ต้องแลกด้วยชีวิตของข้าก็ตาม” องค์จักรพรรดิน้อมคำนับด้วยความจริงใจ

               “ไม่ต้องขอบคุณ ทุกอย่างมีราคาต้องจ่าย แล้วท่านจะค้นพบเองว่ามันคืออะไร อีกอย่างข้าแค่พยายามจะทำเพื่อเหล่าพ่อมดที่เหลืออยู่ จงรีบไปซะ ขอให้ท่านโชคดี”

โกรินหยิบโบกไม้โบกมือในอากาศ ทวารแห่งนอวาเร็นปรากฏขึ้นในทันใด องค์จักรพรรดิน้อมคำนับอีกรอบ ก่อนจะดันประตูเหล็กกล้าแล้วเดินเข้าไป พระองค์หันมามองโกรินครั้งสุดท้ายแล้วหายไปในประตู โกรินสูบกล้องเอาควันเฮือกสุดท้ายเข้าไป ประตูปิดลง และหายวับไปในอากาศ

               องค์จักรพรรดิเฟนดริกกลับมาอยู่ที่โถงในวิหารบราเว็นอีกครั้ง นายทวารยังยืนอยู่ที่มุมห้อง

               “หนทางแห่งบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์นั้นงดงาม แต่ก็อันตรายเช่นกัน” นายทวารพูด “คุณธรรม ความกล้าและความเสียสละเท่านั้นถึงจะพาท่านไปสู่บ่อน้ำได้ ข้าจะไปส่งท่านที่ประตู”

               องค์จักรพรรดิพยักหน้า

               “ท่านกล่าวเหมือนกับว่าท่านเคยไป ณ สถานที่แห่งนั้นมาแล้ว”

               “เปล่า แต่ข้ารู้”

               ทั้งคู่เดินมาที่ประตู

               “ถ้าหากเป็นเช่นนั้น ข้าควรจะรู้อะไรอีกไหม”

               นายทวารไม่พูดอะไร เขาเปิดประตู  

               “เชิญ” นายทวารว่า

               “ขอบคุณ”

               องค์จักรพรรดิเดินกลับไปยังกองทหารม้าที่ตั้งค่ายรอพระองค์อยู่ ยามนี้เป็นเวลาเช้าตรู่ หยาดน้ำค้างที่เกาะตามใบหญ้าสะท้อนอาทิตย์ทอแสงสีทองอ่อนๆเปลี่ยนทุ่งหญ้าแห้งแล้งเป็นลานแสงสดใสระยิบระยับสวยงาม

               “องค์จักรพรรดิเสด็จกลับมาแล้ว” ทหารนายหนึ่งร้อง

กองทหารอารักษ์ขาจำนวนสิบห้านายวิ่งเข้าไปต้อนรับพระองค์

                “ฝ่าบาท สำเร็จหรือเปล่า” นายกองถาม

                “สำเร็จ ข้าไปนานแค่ไหน” จักรพรรดิเฟนดริกตอบ

               “ห้าวัน”

               “บอกทุกคนให้เตรียมพร้อมออกเดินทาง เร็วที่สุด” จักรพรรดิเฟนดริกสั่งการ

               “ครับ”

               องค์จักรพรรดิเฟนดริกหันไปมองยังที่ตั้งของวิหารบราเว็นที่ตอนนี้ไม่มีอาคารใดๆตั้งอยู่แล้ว วิหารหายไปเหลือเพียงทุ่งหญ้าว่างเปล่าไกลสุดลูกหูลูกตา

  

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา