Sacred Pond อภินิหารบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์

-

เขียนโดย ทาเน็น

วันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 เวลา 21.20 น.

  4 บท
  0 วิจารณ์
  5,240 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 22.12 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) จัสมินและสองสหาย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

               

               ถือว่าเป็นกิจวัตรประจำวันมาช้านานสำหรับผู้เฒ่าบรู๊ค ที่แกมักจะหายไปเข้าไปในป่าตั้งแต่เช้าตรู่พร้อมทิ้งอาหารเช้าไว้ให้ทาเน็น และจะกลับมาตอนช่วงโพล้เพล้พร้อมของติดไม้ติดมือกลับมาด้วย ไม่ว่าจะเป็น เนื้อสัตว์ หรือ พืชผักหรือปลา หลายครั้งหลายคราที่ทาเน็นเคยถามผู้เฒ่าบรู๊ค ว่าแกหาของพวกนี้มาได้อย่างไร เขามักจะได้คำตอบที่ไม่ค่อยจะตรงคำถามทุกครั้งไป คำตอบที่สมเหตุสมผลที่สุดนั่นคือตาเฒ่านั้นรู้จักกับกลุ่มพรานป่า แล้สกลุ่มพรานป่าก็ชอบเรื่องเพ้อเจ้อที่แกเล่าเสียด้วยพวกเขาจึงแบ่งอาหารที่หามาได้ให้แก และหลายครั้งหลายคราอีกเช่นกันที่ทาเน็นพยายามแอบตามรอยผู้เฒ่าบรู๊คเข้าไปในป่าเพื่อหาคำตอบ แต่สุดท้ายเขาก็ต้องคว้าน้ำเหลวไม่ต่างกัน

               หลังทานมื้อเช้าที่ผู้เฒ่าบรู๊คเตรียมไว้เสร็จสรรพ ทาเน็นเตรียมสิ่งของที่จำเป็นสำหรับเดินทางเข้าเมือง ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าหนังใบเล็ก อาหารแห้ง และเหรียญทองนิดๆหน่อยๆ เขาสวมเสื้อคลุมสีเปลือกไม้และเหน็บดาบทาเท็นไว้ที่ข้างเข็มขัด แล้วมัดผมหยักศกสีน้ำตาลที่ยาวเฟื้อยให้เป็นระเบียบ

               ทาเน็นยืนแกว่งดาบฆ่าเวลาระหว่างรอสหายดัสตินอยู่บนเนินหญ้าเตี้ยๆข้างถนนที่มุ่งหน้าไปยังเมืองชีคบาน เกวียนขนข้าวโพดหนึ่งเล่มที่บรรทุกข้าวโพดมาเต็มกระบะหลังกำลังจะผ่านไป มีชาวไร่เป็นชายสัยกลางคน บังคับเกวียนมาพร้อมกับลูกสาวของเขา ทาเน็นคาดว่าสองพ่อลูกคงจะนำข้าวโพดที่เก็บเกี่ยวได้ไปร่วมงานประเพณีสำหรับวันมะรืนนี้แน่ๆ เด็กสาวที่วัยน่าจะพอๆหรือน้อยกว่าทาเน็นสักหนึ่งปีส่งยิ้มหวานหยาดเยิ้มให้กับเขา ชายหนุ่มยิ้มกว้างตอบด้วยความจริงใจ ชาวไร่ผู้เป็นพ่อตีมือลูกสาวของตน เพี๊ยะ! นางสะดุ้งตกใจแล้วหันไปเบ้ปากให้กับพ่อของตน ชาวไร่เหร่มองทาเน็นด้วยสายตาไม่สบอารมณ์แว่บหนึ่งก่อนจะหันไปบังคับเกวียนต่อไป ในขณะที่ลูกสาวของเขาหันมายิ้มพร้อมทั้งขยิบตาให้ชายหนุ่มอีกครั้ง ทาเน็นหน้าแดง มือเขาอ่อนแรงจนเผลอทำดาบตกลงพื้น ทาเน็นทำทีเป็นยืนกอดอก เขาทำหน้าเรียบเฉย นางหัวเราะก่อนเกวียนจะหายไปที่สุดขอบโค้งมุ่งสู่หมู่บ้าน

           เพียงชั่วครู่รถม้าของบ้านเฟริกซ์ก็เคลื่อนตัวออกมาจากโค้งนั้นด้วยความรวดเร็วราวกับลมพายุ

               "อรุณสวัสดิ์สหายพี่เบิ้ม รอนานหรือเปล่า" ดัสตินร้อง เขาอยู่ในชุดคลุมสีม่วงที่มีลายปักสีทองมองดูคล้ายทั้งพ่อค้าและขุนนางอยู่ในที ชายร่างเล็กกระชากสายบังเหียนบังคับม้าให้หยุดกระทันหัน เหล่าม้าชะงักกระทันหัน พวกมันยกขาหน้าตามแรงกระชาก ตู้รถส่ายไปมาจนเกือบจะพลิกคว่ำ มีเสียงโวยวายดังมาจากข้างในตู้รถ ทาเน็นแปลกใจ จัสมินเปิดหน้าต่างออกมา นางหันหน้าไปตะโกนใส่ดัสตินซึ่งนั่งอยู่บนที่นั่งคนขับ

               “พี่ทำบ้าอะไรของพี่เนี่ย” จัสมินพูด

               ทาเน็นสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเห็นหน้าหญิงสาว เขารู้สึกได้ถึงขนที่กำลังลุกซู่ไปตามใบหน้าและลำคอ ซึ่งจัสมินก็รู้สึกไม่ต่างกัน

ทาเน็นคิดอะไรไม่ออก และเขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าอะไรดลใจให้เขาพูด

               “ชุดนั่น...ข้าลองสวมมันดูแล้วน่ะ เมื่อคืนนี้ มันเล็กไปหน่อย แต่ เอ่อ...ก็พอใส่ได้”

               จัสมินทำตาล็อกแล็ก แก้มป่องๆของนางปรากฎสีชมพูขึ้นมา นางได้แต่พยักหน้าอ้ำอึ้งก่อนจะหันขวับหายไปลับไปหลังหน้าต่าง

               “ขึ้นมาเลยสหาย เวลาไม่ค่อยท่า เงินตรารอเราอยู่” ดัสตินพูด เขาดูกระตือรือร้นเกินความจำเป็น

               ทาเน็นเหมือนหลุดจากภวังค์ เขาส่ายหน้า แล้วปีนขึ้นไปนั่งข้างดัสติน ดัสตินทำทีไม่สนใจเรื่องระหว่างสหายของเขากับน้องสาวของตน

               “นี่ท่านพาจัสมินมาด้วยทำไม” ทาเน็นถาม

               “ข้าเปล่า นางเลือกจะมาเอง และเจ้าก็รู้ว่าข้าขัดนางได้ซะที่ไหน” ดัสตินตอบเสียงเรียบ  เขาบังคับม้าให้ทะยานออกไป รถม้าขนาดสองแรงม้าแล่นฉิวไปตามถนนมุ่งหน้าสู่เมืองชีคบาน

               สองข้างทางระหว่างหมู่บ้านอิสบานไปจนถึงเมืองชีคบานนั้นร่มรื่นและสวยงามไปด้วยหมู่แมกไม้ เช่น ต้นแอช ทั้งแดงและเหลิอง ต้นเบิร์ช และต้นสน หลายครั้งที่ทาเน็นสังเกตเห็นกระรอกและเหล่าสัตว์ตัวจิ๋วกระโจนไปมา นี่ไม่ใช่ประสบการณ์ครั้งแรกสำหรับทาเน็นในการเดินทางไปชีคบาน แต่มันก็ยังทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นและมีชีวิตชีวาได้ทุกครั้ง ทว่าที่ผ่านมาเขาก็ไม่ได้สัญจรไปมาบ่อยนัก หากไม่มีธุระจำเป็น เช่นต้องออกมาหาซื้อหยูกยา หรือ อุปกรณ์เครื่องมือช่าง เป็นต้น แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป...

               “นี่ รู้อะไรไหมอีกวันมะรืนนี้ ข้ายังลังเลอยู่ว่าข้าจะเชิญสาวน้อยคนไหนมาเต้นรำกับข้าดี” ดัสตินพูดขณะบังคับสายบังเหียน “ระหว่างจาเนีย บ้านครอนเน่ หรือ ลอเรีย บ้านเฮเดอร์ ข้าคิดว่าทั้งคู่ต่างหมายตาข้าไว้เช่นกัน” ชายร่างเล็กคุยฟุ้ง “แต่ข้าก็คิดอยู่น่ะว่า เฟรย์ จากบ้านรินแซน ก็คงอยากได้ข้าเป็นคู่ครองเช่นกัน ถึงพ่อของนางจะไม่ปลื้มข้านักหรอก”

               ทาเน็นพูด “ท่านช่างมีเสน่ห์ต่อผู้หญิงมากนัก”

               ดัสตินยืดอกแล้วบอก

               “แน่นอน เราเกิดเป็นชายอกสามศอก คงเสียชาติเกิดแท้ๆหากต้องไร้คู่ครองไปจนเก่าเฒ่าเหมือนดอกลิวอิสที่แห้งเฉารอวันตายไปวันๆ ไม่ๆ ข้าไม่ยอมเป็นแบบนั้นแน่”

               ชายหนุ่มเงยหน้าเหม่อมองท้องฟ้าแล้วพร่ำต่อ “แต่ข้าว่าเจ้าคงไม่เข้าใจเรื่องแบบนี้หรอก เป้าหมายของเจ้ามันอยู่ที่ปลายขอบฟ้า เป็นยอดนักดาบ อยู่ในตระกูลอัศวิน ที่เวลาเดินจะต้องวางมาดราวกับหมีอกยักษ์”

               เขาเลียนเสียงใหญ่ๆแบบทาเน็น

               “ข้าลอร์ดทาเน็น ใครอยากลองดีกับข้า ก็เชิญเข้ามา เจ้าจะได้รู้ว่าระหว่างคอของเจ้าคมกับดาบของข้าใครจะคมกว่ากัน”

               ทาเน็นหัวเราะแล้วพูด “ฮ่าๆๆ ข้าจะบอกท่านยังไงดีล่ะสหาย อันที่จริงข้าคิดว่าข้าเข้าใจน่ะ ตลอดชีวิตของข้าแสวงหาแต่การพจญภัยบ้าบอ ครอบครัวในอุดมคติที่ไม่รู้ว่ามีอยู่จริงหรือเปล่า จนบางครั้งข้าก็ลืมคนที่อยู่รอบข้าง ข้ายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้าจะทำยังไงต่อไป ข้าสับสน ข้าควรจะอยู่ทำงาน ออกเรือน ใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไปหรือออกเดินทางเพื่อตามหาสิ่งที่ไม่แน่นอนที่ปลายขอบฟ้ากันแน่”

               “ว้าว” ดัสตินร้อง “ชกข้าที ล้อเล่นน่ะ  ไม่อยากจะเชื่อว่าข้าจะได้ยินคำนี้จากคนสมองทึบอย่างเจ้าน่ะสหาย ไม่สบายหรือเปล่า หรือเจ้าไปกินเห็ดผิดมา”

ทาเน็นเอียงคอพร้อมกับเบ้ปาก

               “แล้วงานวันมะรืน เจ้าว่าเอายังไง” ดัสตินถาม

               “แน่นอน ข้าต้องไป” ทาเน็นตอบ

               “วู้ววว” ดัสตินร้องเขาพรางควบม้าแรงขึ้น รถม้าทะยานไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งฝุ่นโขมงไว้เป็นทาง

....................................................................................

               รถม้าแล่นไปถึงประตูเมืองที่ตั้งอยู่ในแนวเดียวกับกำแพงหินสีเทาสูงใหญ่ เหนือกำแพงคือเหล่าพลธนูและทหารสังเกตการณ์ที่เดินไปมาคอยตรวจตราความเรียบร้อย เบื้องล่างเหล่าทหารยามกลุ่มหนึ่งยืนเฝ้าอยู่ พวกเขาอยู่ในชุดเราะสีทองที่มีลวดลายรูปนกอินทรีสีแดงเข้มอันเป็นสัญลักษณ์ของอาณาจักรโอนิบาน (ซึ่งยามนี้ถูกรวมให้เป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโอนิกลันเดียแล้ว) สลักอยู่กลางหน้าอก ทหารยามตรวจตราผู้คนที่ผ่านเข้าออกอย่างเข้มงวด เกวียนหลายเล่มต่อแถวอยู่ในช่องตรวจตราพาหนะ ดิสตินบังคับรถม้าไปที่ช่องตรวจ เขากระซิบเบาๆ

               “เจ้านิ่งไว้น่ะ เดี๋ยวข้าพูดเอง”

               นายตรวจคนหนึ่งเดินมารถม้าของบ้านเฟริกซ์

               ดัสตินกล่าวทักทาย “สวัสดีนายท่าน มีอะไรให้กระผมรับใช้ไหมครับ”

               “สวัสดี” นายตรวจเป็นชายร่างอ้วน อ้วนเสียจนขนาดว่าไม่สามารถกลัดเสื้อเกราะให้รัดพุงย้วยๆของเขาได้ และตอนนี้เขาแสดงท่าทีเบื่อหน่ายกับสิ่งที่กำลังทำอย่างชัดเจน เขาพูดราวกับว่าโดนคำสาบให้ต้องพูดอย่างเดิมซ้ำๆเป็นพันๆครั้ง

                “ไม่ทราบว่าท่านเป็นใคร มีธุระอะไร และมากี่คน” นายตรวจถาม

                “ข้าเป็นพ่อค้าผ้าจากเวลบานจะมารับผ้ากลับไปขายที่เมืองของเรา เรามากันสามคน ข้าดัสเตียน และ นี่เท็นเดอร์นักดาบฝีมือฉกาจที่ข้าจ้างมา ใครมีเรื่องกับเขาเป็นต้องมีเสียแขนขากันทุกคน ส่วนคนที่อยู่ในรถนั่นเป็นคนรับใช้ของข้าเอง นางสติสตางค์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ จัสลีน เปิดประตูให้นายตรวจที”

               จัสมินเปิดประตูแล้วลงจากรถม้าช้าๆ นางจ้องพี่ชายของนางตาขวาง ก่อนจะหันไปเล่นตามบท “สวัสดีค่ะนายตรวจ วันนี้อากาศดีน่ะค่ะ” จัสมินพูดเอื่อยๆ พลางมองไปข้างหน้าด้วยตาลอยๆ นางทำเหมือนกับว่าไม่มีใครยืนอยู่ตรงนั้น

               นายตรวจนิ่วหน้าแล้วมองเข้าไปในตู้รถม้าที่ว่างเปล่า

               “ไป ได้แล้ว” เขากวักมือไล่

               จัสมินโค้งคำนับ ขณะที่นางกำลังจะปีนขึ้นรถม้า นางสังเกตเห็นใบหน้าทาเน็นหันมายิ้มให้ จัสมินยิ้มตอบก่อนจะเข้าประตูไป  

               “ขอบคุณ ขอให้ท่านมีวันที่ดีน่ะ” ดัสตินแสร้งยิ้มพลางกระชากสายบังเหียน รถม้าเคลื่อนตัวไปตามขบวนเกวียนและรถเข็นเข้าไปในประตูเมือง

               “ทำไมต้องโกหก” ทาเน็นถาม

               “คงไม่มีใครอยากเผยว่าตัวเองเป็นใครหรอกน่ะ ถ้าเขาคนนั้นไม่มีงานสกปรกรออยู่ข้างหน้า” ดัสตินตอบ

ทาเน็นพยักหน้า

                หลังพ้นเขตประตู รถม้าก็แล่นเอื่อยๆไปตามถนน  ผู้คนในชุดหลากสีสันมากมายเดินขวักไขว่อยู่ตามถนนยากจะแยกแยะว่าใครเป็นใคร ทาเน็นสังเกตเห็นว่ามีนักดาบอยู่สองสามคนเดินอยู่ข้างทาง เขามั่นใจเพราะสังเกตเห็นดาบที่พวกเขาเหน็บไว้ข้างเข็มขัด  

               “เอาล่ะ ทีนี้ถึงเวลาที่เราจะต้องไปทำธุระของเรากันได้แล้ว ก่อนอื่นเราจะต้องหาลูกหนี้ของเราให้เจอก่อน”

               “แล้วท่านรู้รึเปล่าว่าเขาอยู่ที่ไหน”

               “ไอ้หมอนี่มันอยู่ไม่เป็นที่หรอก ไม่อยู่ตามร้านเหล้า ก็อยู่ตามบ่อน หรือหอนางโลม ดัสตินเอาหลังมือตีที่หน้าอกทาเน็น “วางมาดเข้มไว้ ปั้นหน้าให้ดุๆ”

               “แล้วจัสมินล่ะ เราจะเอายังไงกับนาง”

               “ข้ามีแผนสำหรับเจ้าหนูตัวแสบไว้แล้ว”

               ดัสตินพูดเสียงเรียบราวกับว่าเขาไม่คิดว่าน้องสาวของตนมีตัวตน “ข้าจะบอกอะไรเจ้าอย่างหนึ่งน่ะทาเน็นเพื่อนรัก ผู้หญิงไม่ว่าจะคนไหน จะมีสิ่งหนึ่งที่พวกนางคลั่งไคล้เสมอ”

               ทาเน็นมองหน้าดัสตินด้วยความฉงน

………………………………………………………………….

 

 

               ตลาดครอทไลน์ถือว่าเป็นตลาดผ้าที่มีชื่อเสียงที่สุด ในโอนิแกรนด์ สถานที่แห่งนี้คือศูนย์รวมช่างตัดเย็บฝีมือดีจากทั้งจากดินแดนนี้และจากดินแดนฟากโพ้นทะเล ดังนั้นท่านจะพบเห็นเหล่าเศรษฐี หรือบรรดาขุนนาง แวะเวียนเข้ามาจับจ่ายหรือใช้บริการเป็นเรื่องปกติ

               ดัสตินส่งจัสมินลงหน้าซุ้มประตู ป้ายไม้โอ๊คขนาดใหญ่ถูกสลักเสลาอย่างสวยงามว่า “ครอทไลน์”

               “หากข้ากับทาเน็นเสร็จธุระแล้ว ภายในหนึ่งชั่วโมงข้าจะมารับเจ้าที่นี่” ดัสตินบอกกับน้องสาวของตน “แล้วอย่าก่อปัญหาล่ะ”

               จัสมินย่อเขาถอนสายบัว แล้วพูด

               “ข้าว่าท่านและสหายของท่านควรห่วงตัวเองว่าจะก่อปัญหาดีกว่าน่ะ” จัสมินยิ้มก่อนจะหันหลังเดินเข้าซุ้มประตู

               จัสมินในวัยสิบแปดปี เป็นหญิงสาวร่างสูงโปร่งได้สัดส่วน ใบหน้าของนางมองดูคล้ายตุ๊กตาชาววัง ดวงตาคู่โตสีเขียวน้ำทะเลดูมีชีวิตชีวา จมูกของนางเป็นสันและแหลมเชิดนิดๆ  มีหย่อมกระเล็กๆขึ้นอยู่บนแก้มป่องๆสีชมพูระเรื่อของนาง ผมสีใบแอชแดงของนางที่ถูกถักเป็นเปียยาวเฟื้อยลงไปถึงเอว ตอนนี้นางอยู่ในชุดเดรสสีฟ้าอ่อนที่มีลายปักรูปดอกเชลซีสีขาว จัสมินเป็นน้องสาวของดัสตินเฟริกซ์และเป็นบุตรคนสุดท้องของนายคัสติน และนางเลร่า เฟริกซ์ แม้จะเติบโตมาในตระกูลที่ร่ำรวยและมีชื่อเสียง แต่จัสมินไม่ใช่ผู้หญิงประเภทลูกคุณหนูเหมือนหญิงสาวที่มีฐานะคนอื่นๆ นางเป็นหญิงสาวที่แข็งแกร่งเกินกว่าที่ใครจะเข้าใจ มีความทะโมนแก่นแก้วส่วนหนึ่งอยู่ในตัว ทว่าก็ยังมีความอ่อนหวานอีกส่วนหนึ่งอยู่ในตัวเช่นกัน ดังเช่นที่นางสามารถลงไร่ หว่าน ไถ และเก็บเกี่ยวได้ ไปพร้อมกับสามารถเย็บปักถักร้อยได้ด้วยนั่นแหละ ด้วยความเพียบพร้อมทั้งความสามรถประกอบกับความสะสวย จัสมินจึงเป็นที่หมายปองอย่างมากของตระกูลต่างๆในอิสบาน

               อีกสองวันจะเป็นงานประเพณีใหญ่ของหมู่บ้านที่ผู้ชายจะต้องเลือกผู้หญิงมาเป็นคู่ครอง แท้จริงแล้วการเดินทางมาที่ชีคบานไม่ได้อยู่ในหมายกำหนดการของจัสมินเลยแม้แต่น้อย ซึ่งเวลานี้นางควรจะหมกมุ่นอยู่กับฝึกซ้อมเต้นรำและหาวิธีประทินความงามให้แก่ตัวเองเหมือนหญิงสาวในวัยเดียวกันคนอื่นๆ และแม่ของนางจะต้องโมโหมากแน่ๆที่รู้ว่าทั้งบุตรชายและบุตรสาวหายตัวไปในช่วงเวลาสำคัญๆอย่างนี้ จัสมินไม่รู้ว่าดัสตินและทาเน็นมีธุระอะไร แต่นางเลือกที่จะมาเพราะต้องการพบทาเน็น ชายที่นางแอบหลงรัก ถึงแม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆก็ตาม เพราะหากถึงวันงานประเพณี จัสมินคิด มีความเป้นไปได้สูงที่ทาเน็นจะไม่ใช่ชายที่มาเชิญนางเต้นรำและนางจำเป็นจะต้องเลือกคู่ครองที่เป็นใครสักคนที่นางไม่ได้มีใจให้ ดังนั้นจัสมินจึงไม่กระตือรือร้นมากนักที่จะใส่ใจต่องานนี้ การได้เที่ยวชมผ้าสวยงามสำหรับนำไปตกแต่งชุดที่จะสวมในวันนั้นอาจเป็นความจรรโลงใจเดียวที่ยังเหลืออยู่ในชีวิต

..............................................................

               ย้อนเวลากลับไปเมื่อห้าปีก่อน ในวันที่เด็กหญิงจัสมินและพี่ชายของนางเดินทางไปเก็บข้าวโพดที่ไร่ของพ่อ ระหว่างทางสองพี่น้องได้พบเข้ากับบอร์และสมุนของมัน บอร์เป็นชายร่างอ้วนใหญ่ เขาเป็นลูกชายของตระกูลเบรเวอร์ซึ่งถือว่าเป็นตระกูลใหญ่และมีอิทธิพลที่สุดในตำบล บอร์เป็นเด็กก้าวร้าวเพราะถูกตามใจมาตลอด เขาเป็นอันธพาลที่ทุกคนรู้จักกันดีในความโหดร้าย และไม่มีใครอยากมีปัญหาเสียด้วย วันนั้นเจ้าบอร์และสมุนที่หุ่นไม่ต่างกันมากยืนจังก้าอยู่กลางถนน ขณะที่ดัสตินบังคับเกวียนมาพบเข้า

               “จะไปไหนเจ้าหัวฟู” บอร์ถามเสียงข่ม

               “ข้าดัสตินและนี่น้องสาวข้าจัสมิน กำลังจะเดินไปเอาข้าวโพดที่ไร่” ดัสตินตอบ เด็กชายตัวสั่นเทา

               “ตอนนี้ตรงแนวจุดที่ข้ายืนอยู่นี้เป็นของข้าแล้วเจ้ารู้หรือเปล่า” บอร์ยิ้ม ตาเล็กๆของเขาปรากฏแววชั่วร้าย

               “หากเจ้าอยากผ่านไปต้องจ่ายค่าผ่านทางมาก่อน”

               “แต่พวกเราไม่ได้พกเหรียญสักกะเหรียญเดียว ถ้างั้นเดี๋ยวข้าและน้องสาวข้าขอตัวกลับไปเอาเหรียญที่บ้านมาก่อนน่ะ”

เจ้าลูกสมุนฝาแฝดของบอร์ชื่อเดทอน และ เอคอน ทั้งสองมีหุ่นใหญ่ไม่ต่างจากบอร์มากนักแต่รังสีความร้ายกาจนั้นแผ่ออกมามากกว่า พวกมันเดินมาที่เกวียนของสองพี่น้อง เจ้าเดทอนพูดพลางชี้ไปที่ถุงผ้าเล็กๆที่เหน็บอยู่ข้างเอวจัสมิน

               “นั่นถุงอะไร เอามาดูสิ”

               จัสมินลุกขึ้นยืนบนเกวียน ระดับความสูงของนางสูงพอๆกับความสูงของเจ้าเดทอนที่ยืนอยู่บนพื้น

               “ถนนนี้เป็นถนนสาธารณะ ไม่ใช่มีใครเป็นเจ้าของ ไอ้พวกหมูตอนสวะ”

บอร์อ้าปากอึ้งไปชั่วครู่ หน้าของเขาแดงก่ำด้วยความโมโห

               “จัสมิน นั่งลง” ดัสตินว่า “เอ่อท่าน บอร์ ข้าต้องขอโทษแทนน้องสาวปากเปราะของข้าคนนี้ด้วยน่ะครับ นางยังเป็นเด็กไม่ประสีประสาอะไร ได้โปรดท่านอย่าถือสานางเลยน่ะครับ”

               “ดัสติน ท่านไม่มีความจำเป็นจะต้องไปกลัวพวกขี้ขลาดพวกนี้เลย ก็แค่พวกเด็กมีปัญหาอยากเรียกร้องความสนใจ”

               เดทอนและเอคอนอ้ำอึ้ง ปกติไม่เคยมีใครกล้าท้าทายบอร์เช่นนี้ บอร์เดินจ้ำอ้าวมาด้วยความโมโห เขาใช้มืออูมๆของเขาดึงจัสมินลงมาจากเกวียน เด็กสาวล้มตกไปที่พื้น เจ้าอันธพาลร่างใหญ่คว้ามือไปดึงห่อผ้าที่เหน็บอยู่ข้างเอวจัสมิน แต่จัสมินคว้าไว้ได้เช่นกัน เกิดการยื้อยุดถุงเหรียญระหว่างเด็กหญิงและเจ้าอันธพาล

               “หยุดน่ะ” ดัสตินร้องแล้วกระโจนไปเกาะที่หลังของบอร์ เขาเอาแขนผอมๆรัดคอเจ้าบอร์ไว้แน่น เจ้าอันธพาลเริ่มลิ้นจุกปากและหายขัด มันเริ่มสะบัดตัวไปมาหวังจะให้ดัสตินหลุด

               เดทอนและเอคอนไม่รอช้า พวกมันรีบมาช่วยนายของมันในทันใด จัสมินกระชากถุงเหรียญมาไว้กับตัวเองได้ ในขณะที่เดทอนและเอคอนช่วยกันทุบและงัดแงะดัสตินออกจากร่างของบอร์ จนในที่สุดดัสตินก็หมดแรง เขาตะโกน 

               “จัสมินหนีไป” 

               บอร์ค่อยๆหายใจเข้าออก เสียงหายใจของมันดังฟืดฟาด มันหรี่ตามองดัสตินซึ่งนอนกองอยู่ที่พื้น ก่อนจะเตะเข้าไปที่ท้องของเด็กชาย ดัสตินตัวงอด้วยความเจ็บปวด ฝาแฝดเดทอน เอคอน มองหน้ากันก่อนร่วมผสมโรงกับนายของมัน พวกมันทั้งเตะทั้งกระทืบดัสตินที่พยายามเอามือกุมหน้าไว้

               “นี่แนะ หยุดน่ะ จัสมินคว้าหินก้อนโตก้อนขึ้นมาจากข้างถนน นางขว้างไปอย่างไม่รีรอ

“โอ๊ย”

               ลูกหินลอยคว้างไปปะทะเข้าที่หางคิ้วของเอคอน เจ้าอันธพาลเอามือกุมที่ตา เลือดสีข้นไหลผ่านร่องนิ้วอวบอูมออกมา หินอีกลูกพุ่งเข้าใส่จมูกของเอทอน นักเลงฝาแฝดต่างบาดเจ็บไปตามๆกัน บอร์เห็นท่าจะไม่ดี เขารีบวิ่งไปหาจัสมินที่กำลังจะก้มเก็บก้อนหินอีกก้อน แต่ช้าไปเจ้าบอร์ถึงตัวของนางแล้ว บอร์ผลักจัสมินอย่างรุนแรง จัสมินกระเด็นก่อนจะล้กลิ้งหลุนๆไปตามพื้น บอร์ย่างสามขุมเข้าไป ฉับพลันปรากฏร่างของเด็กชายปริศนากระโจนออกมาจากพุ่มไม้ข้างทาง เขาพุ่งออกมาขวางระหว่างจัสมินและเจ้าอันธพาล มือข้างหนึ่งถือดาบไม้ที่ถูกสร้างอย่างหยาบๆไว้

               “รังแกผู้หญิงแบบนี้ไม่อายบ้างหรือยังไง เจ้าหมูสกปรก” เด็กหนุ่มปริศนากล่าว เขามีร่างสันทัด ผมยาวรุงรัง

               “มันไม่ใช่เรื่องของเจ้า ถอยไปซะ ก่อนข้าจะต้องจัดการเจ้าอีกคน” บอร์ขบฟัน ถ้าเขาจับไอ้เด็กจอมแส่คนนี้กินได้เขาคงอยากทำมันซะเดี๋ยวนั้นเลย

               เดทอน เอคอน และแม้แต่ดัสติน ต่างมองดูเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าอย่างสนใจ

               เด็กหนุ่มปริศนาหรี่ตามอง เขาเล็งจุดที่จะเข้าโจมตี ก่อนพุ่งด้วยความรวดเร็ว เขาฟาดดาบไม้ ไปที่เข่าสองข้างของบอร์ จากนั้นก็ที่มือ และคอ และสุดท้ายที่หน้าผาก ทุกอย่างรวดเร็วและหมดจด บอร์ เบรเวอร์ ทรุดลงไปกองอยู่ที่พื้นท่ามกลางสายตาที่ตะลึงงันของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นสองพี่น้องน้องเฟริกซ์หรือแฝดลูกสมุนของเบรเวอร์

               “ต่อไปก็พวกเจ้าสิน่ะ” เด็กชายถือดาบไม้ชี้ไปยังฝาแฝด

เดทอนและเอคอนที่คนต่างก็บาดเจ็บจากลูกหิน ตะเกียกตะกายลุกขึ้นแล้วพากันกันเผ่นออกไป เด็กชายเดินช้าๆไปหาจัสมิน เขายื่นมือไปจับมือเด็กสาวแล้วดึงขึ้น จากนั้นทั้งคู่ก็ช่วยกันประคองดัสตินที่มีรอยฟกช้ำตามมือ แขน และขา ไปที่เกวียน

               เด็กชายมองไปยังร่างของบอร์ที่นอนสลบอยู่ เขาพูด

               “ต่อไปนี้ ข้าคิดว่ามันคงไม่กล้ารังแกใครอีกแล้วล่ะ เจ้าเป็นยังไงบ้าง” เขาถามดัสติน

ดัสตินตอบ

               “เจ็บ” ดัสตินหันไปยังจัสมิน “เจ้าล่ะจัสมิน”

               “ข้าไม่เป็นไร” จัสมินตอบ ดัสตินเอามือวางที่ไหล่ของเด็กหนุ่มปริศนา

               “เราสองพี่น้องขอขอบคุณเจ้ามากน่ะ หากไม่ได้เจ้าช่วยไว้ พวกเราจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้”

               “ข้าชื่อทาเน็น ดูรันด้า จริงๆข้าชื่อทาเน็นเฉยๆ แต่เป็นนามสกุลดูรันด้า เป็นนามสกุลที่ผู้เฒ่าบรู๊คตั้งให้ มันแปลว่าผู้กล้า”

               “ข้าดัสติน เฟริกซ์ ส่วนนี่น้องสาวข้าจัสมิน”

               จัสมินยิ้มอ่อนๆให้ทาเน็น เด็กหนุ่มหลบสายตาแทบไม่ทัน จัสมินเปิดถุงเหรียญแล้วหย่อนเหรียญทองสามเหรียญลงมาใส่ฝ่ามือ นางยื่นให้ทาเน็น

               “ข้าคงรับไว้ไม่ได้ ข้าแค่ผ่านทางมาเห็นคนโดนรังแกก็ต้องช่วยเหลือ มันเป็นวิถีของนักดาบนะ”

ดัสตินกล่าว

               “ถ้างั้นทาเน็นหากเจ้าไม่มีธุระอะไร เย็นนี้เชิญไปบ้านกับเราสิ เราจะได้เลี้ยงมื้อค่ำท่านเป็นการตอบแทน”

               ทาเน็นยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นก็ได้”

........................................................

               จัสมินเดินทอดน่องอยู่ในตรอกตรอกหนึ่งที่เต็มไปด้วยเหล่าเศรษฐีในชุดหรูหราหลากสีสันอย่างใจเย็น สองข้างทางคือร้านรวงที่มีเสื้อผ้าอาภรณ์สวยๆหลากหลายรูปแบบ ทั้งชุดปกติทั่วไปไปจนถึงแบบวิจิตรอลังการสำหรับออกงาน ตั้งแสดงอยู่ในร้าน ซึ่งสำหรับจัสมินแล้วนางไม่ได้ต้องการชุดสำเร็จเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย เหตุผลก็เพราะนางมีทักษะในการเย็บปักค่อนข้างเยี่ยมเลยทีเดียว นางสามารถตัดชุดเองได้ สิ่งที่จัสมินต้องการตอนนี้มีเพียงผ้าที่มีลวดลายสีทองระยับหน่อยๆสำหรับตัดชุดไว้เผื่อพิธีวิวาห์หลังงานประเพณีเท่านั้น

               ชั่วเวลานั้นเกิดเสียงอึกทึกขึ้นที่ปลายตรอก บางสิ่งเบียดเสียดผู้คนแหวกออกเป็นทาง จัสมินหันไปยังที่มาของเสียง ผู้คนต่างร้องอุทานด้วยความตกใจเมื่อสิ่งนั้นแหวกพวกเขาออกไปข้างๆ มันคือทาเน็นนั่นเอง ทาเน็นวิ่งเข้ามาหาจัสมินพลางยิ้มอย่างคนสาแก่ใจ เบื้องหลังเหล่าทหารในชุดเกราะทองเบียดเสียดผู้คนเข้ามาเช่นกัน

               “มันอยู่นั่น ไปจับมันเร็ว” ทหารคนหนึ่งตะโกน

               “เกิดอะไรขึ้น” จัสมินถาม

               ทาเน้นคว้ามือจัสมินไว้ แล้วพูด

               “รีบไปกันเถอะ”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา