กาลครั้งหนึ่งของผม
เขียนโดย HANTEI
วันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2561 เวลา 22.32 น.
แก้ไขเมื่อ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2561 10.23 น. โดย เจ้าของนิยาย
บทนำ
บทนำ : Interview (สัมภาษณ์)
ภายในห้องโถงกว้างสีขาวสะอาดตาเด็กหนุ่มร่างเล็กเดินอ้อยอิ่งตรงไปยังเก้าอี้ว่างตัวเดียวภายในห้องที่เปิดแอร์เย็นเฉียบ เบื้องหน้าเขามีมนุษย์หน้าตาหลากอารมณ์นั่งเรียงรายประจัญหน้ากับเขาอยู่ห้าคนเป็นผู้ชายสามคนหน้าตาดีแถมยังหนุ่มกับอีกสองคนที่เหลือเป็นผู้หญิงวัยกลางคนสวมแว่นและหญิงสาวตาดุอีกคน
“เชิญนั่ง” ผู้หญิงวัยกลางคนสวมแว่นที่เด็กหนุ่มมองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าต้องเรียกยังไง ‘อาจารย์ป้า’ ไม่รู้ว่าถ้าพูดออกไปให้แกได้ยินเข้าละก็จะโดนดุไหม
“ขอบคุณครับ” เขากล่าวขอบคุณด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มก่อนจะยื่นพอร์ตโฟลิโอให้อาจารย์ป้าตรงหน้าแล้วนั่งลง
“อ่า จิรนนท์ใช่ไหม” อาจารย์ป้าก้มลงอ่านพอร์ตโฟลิโอที่เด็กหนุ่มเตรียมมาแล้วพลิกอ่านคร่าวๆ อย่างไม่ละเอียดมากนัก
“ครับ” เด็กหนุ่มตอบรับอย่างขันแข็ง
“งั้น..นายจิรนนท์ฉันอยากรู้ว่าทำไมเธอถึงอยากเรียนหมอ?” อาจารย์ป้าที่เด็กหนุ่มแอบตั้งนามสมมติเล่นๆ ส่งสายตาเฉียบคมไปยังเด็กหนุ่มเพื่อที่จะอ่านความรู้สึกหรือที่เรียกอีกอย่างคือจิตวิทยา เธออยากรู้ว่าเด็กคนไหนที่มาเรียนจริงๆ ไม่ใช่เข้ามาเพราะอยากวัดกึ๋นหรือเพราะเป็นคณะที่เขาฮิตกันเลยอยากเข้าตามคนอื่นๆ สายตาของเธอที่ใครต่อใครก็บอกได้เลยว่าเฉียบขาดในการอ่านใจคนมานักต่อนักนั้นกำลังสบมองเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างเงียบๆ รอคอยคำตอบ
“คุณย่าผมป่วยครับ ผมแค่..อยากดูแลท่าน” เด็กหนุ่มไม่ได้สบมองตอบกลับอาจารย์ป้า เขาหลุบตามองพื้นแล้วส่งเพียงรอยยิ้มแห้งๆ กลับไป
“คุณย่าป่วยเป็นอะไร?” เธอถามต่อเพื่อดูเชิง
“เป็นมะเร็งสำไส้ใหญ่ครับ” เด็กหนุ่มตอบเธอด้วยสีหน้าที่สลดแต่ยังคงมีรอยยิ้มแห้งๆ แต่งแต้มบนใบหน้าขาวซีด นั่น
“ตอนนี้คุณย่าของเธอดีขึ้นหรือยัง?” เธอจี้ถามเรื่อยๆ เนื่องจากอยากรู้สาเหตุที่ใบหน้าขาวซีด ที่ดูก็รู้ว่าเคยแบกความสุขมานานทำไมวันนี้ถึงได้ดูหดหู่นักเมื่อพูดถึงเรื่องคุณย่าของเขา เธออยากรู้...ไม่สิ ต้องบอกว่า เป็นห่วง ถึงจะถูก
“คุณย่าอยู่ระหว่างทำคีโมที่โรงพยาบาลรามาครับ แต่อาการไม่ดีขึ้น...เลยครับ..” หลังจากได้ฟังที่เด็กหนุ่มเล่าเธอก็เริ่มเป็นห่วงหนักกว่าเดิม ทำไมน่ะหรือ เพราะคนที่ทำคีโมนั่นมักจะแสดงอาการชัดเจนมากว่าใครจะอยู่หรือใครจะไป...เธอเห็นอนาคตของคุณย่าของเด็กหนุ่มชัดเจน อ่า...ทำไมหัวใจของเธอถึงได้รู้สึกหดหู่ขึ้นมาได้นะ พอคิดได้แบบนั้นก็เหลือบมองเพื่อนร่วมโต๊ะที่แสดงสีหน้าไม่ต่างกัน อยากจะยื่นมือเข้าไปสวมกอดเด็กตรงหน้าตามประสาคนที่เคยมีหลานแต่เสียชีวิตไปตั้งแต่อายุยังน้อย เธอกล้ำกลืนฝืนทนทำได้เพียงกล่าวให้กำลังใจและปล่อยให้อาจารย์ท่านอื่นสอบประวัติต่อ
“ขอให้คุณย่าเธอแข็งแรงไวๆ ล่ะ”
“นายจิรนนท์ คุณดูแลคุณย่าคุณยังไงบ้างผมอยากรู้” อาจารย์หนุ่มตาตี่ร่างบางผิวน้ำผึ้งที่เด็กหนุ่มสบมองแวบแรกก็ได้ฉายาไปว่า ‘อาจารย์ตาสระอิ’ เพราะเวลาแกส่งยิ้มมาให้แต่ละทีตาก็จะปิดคล้ายตัวสระอิ
เด็กหนุ่มพยายามเค้นหาว่าตัวเองทำอะไรให้คุณย่าในระหว่างเฝ้าไข้ท่านแต่สิ่งที่เขาพอนึกออกกลับทำให้เหล่าอาจารย์ตรงหน้าขำพรืดออกมาซะงั้น
“ผมป้อนข้าว ป้อนน้ำ นอนเฝ้าทุกวันหลังเลิกเรียนครับ”
นั่นคุณย่าหรือสัตว์เลี้ยงครับ นายจิรนนท์!!
“เฝ้าทุกวันเลยเหรอ” อาจารย์ตาสระอิรีบปั้นหน้าให้นิ่งหลังจากหลุดมาดไปเมื่อครู่ จริงๆ เขาอยากได้คำตอบที่มันวิชาการกว่านี้ เช่นว่า ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ต้องดูแลยังไง อาหารที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยเป็นมะเร็ง หรืออะไรก็ตามที่ไม่ใช่ ป้อนข้าว ป้อนน้ำอะ!! แต่ในเมื่อเขาเองที่ถามไม่เคลียร์จะไปโทษเด็กไม่ได้ด้วยสิ เลยได้แต่เปลี่ยนมาถามอย่างอื่นแทน
“ครับ เฝ้าทุกวัน” เด็กหนุ่มตอบไปด้วยใบหน้าซื่อๆ แต่คนฟังกลับแปลกใจสุดขีดในคำตอบนั้น
“เฝ้าทุกวันเลยหรอครับ คุณพ่อกับคุณแม่ล่ะ” เพราะไม่ได้ตั้งอ่าน Portfolio ให้ดีเขาจึงได้หลุดปากถามในสิ่งที่เด็กหนุ่มไม่อยากนึกถึง
“ผม...อยู่กับคุณย่ากันสองคนครับคุณปู่เสียเมื่อสี่ปีที่แล้วคุณแม่เสียตอนผมยังเด็กส่วนคุณพ่อ...ทำงานอยู่ต่างประเทศครับ กลับมาไม่ได้”
เศร้าแท้!!!! ไม่น่าถามออกไปเลย อาจารย์อยากจิครายยยยยยยย
ใครก็ได้มาสานต่อผมทียยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย์
และอาจารย์ตาสระอิก็เงียบปากไปซะอย่างนั้นพร้อมๆ กับสาปแช่งไอ้คุณพ่อของจิรนนท์อย่างเงียบๆ...
“อะแฮ่ม เท่าที่ฉันอ่านประวัติเธอดูแล้วเกรดมัธยมต้นกับมัธยมปลายต่างกันมากเลย ไม่คิดว่าจะพัฒนามาถึงขั้นสอบเข้ามาเรียนแพทย์ได้เลย” อาจารย์สาวนัยตาดุยังคงก้มอ่านประวัติขณะตั้งคำถาม
“ครับ คือ ช่วงนั้นผมค่อนข้างเกเรอะครับ แหะๆ ที่ทำได้ถึงขนาดนี้เพราะผมได้เพื่อนคนหนึ่งคอยช่วยเหลือผมอยู่ตลอดครับ อ้ะ คนที่ชื่อรเมศไงครับเขามาสัมภาษณ์วันนี้ด้วยรึเปล่าครับ” เด็กหนุ่มบอกเล่าด้วยใบหน้าตื่นเต้นดีใจระคนชื่นชมในตัวเพื่อนคนนั้นมาก ก็ไม่แปลก คงจะเป็นเด็กที่เก่งมากๆ หรืออัจฉริยะเลยก็ได้ที่สามารถทำให้เด็กเกเรตรงหน้าข้ามหน้าข้ามตามาติดหมอได้ขนาดนี้ หนำซ้ำยังติดท้อปสิบอีกต่างหาก!
“ไม่รู้สิ ไว้ถ้าฉันจำได้จะบอกเขาให้ละกัน” เธอตอบผ่านๆ อย่างไม่คิดใส่ใจแต่จะจำไว้ก็แล้วกัน “เข้าเรื่องละนะ นายจิรนนท์... ฉันอยากรู้กระบวนการทำงานของหัวใจทั้งหมด เธอพอจะบอกฉันคร่าวๆ ได้ไหม” อาจารย์สาวหน้าดุพูดรัวเร็วซะจนเด็กหนุ่มนึกถามตัวเองด้วยความไม่มั่นใจ
อะไรคือ กระบวยหัวใจฟ่ะ?
ถึงสมองจะประมวลผลไปแล้วว่าคือคำถามแบบที่อาจารย์สาวหน้าดุถามไปข้างต้นแต่จะให้ทำไง เขาลืมไปแล้วนี่หว่า! ใครมันจะไปรู้ว่าจะถามแบบนี้ล่ะ
ไหนใครบอกว่าสอบเข้าแค่สอบติดก็ไม่ต้องกลัวห่าไรแล้วไง!!
เสียงกรีดร้องที่ไม่มีใครได้ยิน...
“อ่า อือ..เอ่อ หัวใจมีสี่ห้อง..อ่า บนขวา... บนขวา ล่าง ปอดฟอก บน ล่างซ้าย...” ปากสีแดงเรือพึมพำไม่ได้ศัพท์อยู่พักใหญ่ก่อนจะหลุดยิ้มออกมาเมื่อเรียบเรียงได้อย่างถี่ถ้วน “อืมมม หัวใจมีสี่ห้องครับจะรับเลือดดำเข้าสู่หัวใจห้องบนขวาไหล่ลงไปห้องล่างขวาหลังจากนั้นจะฉีดไปยังปอดเพื่อฟอกแล้วฉีดไปยังห้องบนซ้ายลงล่างซ้ายสุดท้ายล่างซ้ายจะฉีดเลือดออกสู่ร่างกายครับ...แหะๆ ประมาณนี้ได้ไหมครับ...”
“ถึงไม่ใช่คำตอบที่ดีเท่าที่ฉันต้องการแต่ก็ถือว่าผ่าน” อาจารย์สาวหน้าดุพูดบอกเสียงเรียบนิ่งทั้งที่ในใจกลับรู้สึกโล่งที่เขาตอบได้
แอบเชียร์เธออยู่นะจ๊ะ แต่เธอไม่รู้บ้างเลย...
“นายจิรนนท์” ผู้ชายส่วนแว่นผิวแทนเรียกเด็กหนุ่มด้วยเสียงโทนเดียว
“ครับ” เขาสบมองอาจารย์ผิวแทนพลางส่งยิ้มอ่อนให้
“อย่าว่าอย่างนู้นอย่างนี้เลยนะ ผมแค่อยากมั่นใจอะไรหน่อยน่ะ” อาจารย์ผิวแทนกล่าวหน้าเครียด
“ครับ...” เขาตอบรับอย่างหวั่นใจอยู่ลึกๆ
“ถ้าเกิดว่าในอนาคตคุณย่าของคุณ..”
“หมอลี!” อาจารย์ป้าทักเสียงแข็ง แต่อาจารย์ตาสระอิกับอาจารย์สาวหน้าดุทำได้เพียงสายหน้าให้ปล่อยไป เด็กหนุ่มที่เห็นท่าทางแปลกๆ ของเหล่าอาจารย์ตรงหน้าจึงทำได้เพียงแค่สงสัยอยู่ในใจแต่แล้วความสงสัยของเขาก็กระจ่างแจ้งเมื่ออาจารย์ผิวแทนอาจหาญถามเขาในสิ่งที่เขาไม่อยากพบเจอที่สุดในชีวิต...
“ผมอยากรู้ว่าหากในอนาคตคุณย่าของคุณทนการรักษาไม่ไหวและเสียชีวิตระหว่างทำคีโมคุณจะว่ายังไง ขอโทษละกันนะที่ต้องถามแบบนี้”
“......!!” เขาไม่ได้คิดเผื่อไอ้เรื่องบ้าบอพรรค์นี้!! ทำไมต้องมาแช่งให้ย่าเขาตายด้วยวะ! เขาไม่ได้อยากเป็นหมอเพื่อรักษาคนอื่นที่ไหนซะหน่อย ถ้าเกิด...ถ้าเกิดคุณย่า....ตาย...งั้นเหรอ?
“คุณจิรนนท์?” ไอ้อาจารย์ผิวแทนปากหมาที่เขาเผลอตั้งชื่อด้วยความชังสะกิดเขาเบาๆ เมื่อเห็นว่าเขาเงียบไปนานเกินไป
“ผมไม่รู้...” ตอบกลับไปด้วยเสียงสั่นเครือ “ผมไม่รู้ว่าผมจะมีชีวิตอยู่ยังไงถ้าไม่มีคุณย่า...ถ้าอาจารย์บอกผมว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีกับคุณย่าในอนาคตผมจะพยายามทุกวิถีทางเพื่อเปลี่ยนมัน”
“อืม...” อาจารย์หนุ่มขานรับเงียบๆ เขาไม่มีอะไรจะพูดไปมากกว่านี้กลัวบางคำของเขาจะไปกระตุ้นอารมณ์บางอย่างในตัวเด็กหนุ่มเข้า อย่างเมื่อกี้ก็จ้องมองเขาด้วยแววตาดุดันภายใต้กรอบหน้าน่ารักนั่น
...น่ากลัวใช่เล่น
เอาเถอะ เขาหมดคำถามที่จะถามแล้ว สิ่งที่เขาถามเด็กหนุ่มไปข้างต้นก็สามารถบอกอะไรหลายๆ อย่างได้แล้วละปราการสุดท้ายขึ้นอยู่กับไอ้รพี เพื่อนหน้าหล่อใจทรามที่ชื่นชอบเห็นความทุกข์ของคนอื่นเป็นเรื่องสนุกและเขาพอจะรู้แล้วว่าไอ้เด็กหน้าเล็กนี่มันจะเป็นยังไง
“โอเคครับ คุณจิรนนท์ ขอแสดงความยินดีด้วยนะครับคุณได้เข้ามาเป็นนิสิตของสถาบันของเราแล้ว”
นั่นไง!
ไม่ทันขาดคำ อาจารย์หนุ่มหน้าหล่อทะลุบาเรียพูดขึ้นด้วยใบหน้าเรียบๆ กดยิ้มมุมปากส่งให้เด็กหนุ่มหน้าละอ่อนตรงหน้าแล้วตัดจบพรึบ
“จบสัมภาษณ์ครับ”
เฮ้ย !! จบงี้เลยหรอ!!!!!!!??
(จิรนนท์กลุ้ม)
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ