กาลครั้งหนึ่งของผม
เขียนโดย HANTEI
วันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2561 เวลา 22.32 น.
แก้ไขเมื่อ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2561 10.23 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) กาลครั้งหนึ่งดีใจ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 4
เช้าวันต่อมาที่แสนสดใสแสงแดดอุ่นๆ ในยามเช้าพาให้ร่างกายผมชุกตัวอยู่ในผ้าห่มขดปลายเท้าที่โผล่พ้นชายผ้าห่มให้เข้ามาเนื่องจากถึงแม้ว่าอากาศข้างนอกมันจะอุ่นแค่ไหนห้องที่ผมอยู่นั้น ไม่ต่างอะไรกับโรงเพาะพันธุ์เพนกวินสายพันธุ์ใหม่2018 อันมีนามว่า จุมพล
สงสัยชาติตระกูลมันมาจากขั้วโลกเหนือมั้งครับโดนแดดนิดแดดหน่อยเหงื่อก็ไหลโชกหยั่งกับเขื่อนแตก เสื้อนิสิตของมันไม่ต้องพูดถึงเลยครับวันไหนที่แดดแรงๆ เปลี่ยนบ่อยยิ่งกว่าเปลี่ยนกระดาษซับหน้ามัน
จะว่าไปแล้ว เช้านี้ผมไม่มีเรียนครับแต่ใช่ว่าผมสามารถนอนเหยียดกายทำตัวขี้เกียจไปวันๆ นะครับ เพราะดูเหมือนพี่กล้าพี่คุมวินัยผู้เป็นที่เกลียดชังของเหล่าน้องๆ ปี1จะมีญาณทิพย์หยั่งรู้ประหนึ่งเทวดาผู้มองลงมาจากฟากฟ้า ประกาศกร้าวว่าวันนี้ปีหนึ่งทุกคนต้องมารวมตัวในหอประชุมของคณะก่อนแปดโมงเช้า ห้ามขาด ห้ามสาย!!
ซึ่งสายข่าวผมบอกมาว่าวันนี้จะมีกิจกรรมเปิดห้องเชียร์ครับ เป็นกิจกรรมสบายๆ(?) เฉลยสายรหัสอะไรประมาณนี้แหละครับ ผมไม่ค่อยรู้เรื่องหรอกเพราะมัวแต่หมกตัวอยู่บ้านตั้งเดือนกว่า ใครทำอะไร ที่ไหน อย่างไร อันนี้อย่าถามผมเด็ดขาดผมไม่รู้ ไม่รู้ ไม่รู้เหี้ยอะไรเลย!!!
แต่ผมก็ยังหวัง หวังว่าจะได้สายรหัสดีๆ เป็นบารมีกับเค้าบ้าง(?) เผื่อว่าเคราะห์ซ้ำกรรมซากจะได้ดลบันดาลให้ผมสอบผ่านเรียนจบได้เป็นหมอได้สวมเสื้อกาวน์อย่างที่ได้โม้ไว้กับคุณย่าบ้าง ผมไม่ได้ขอยากอะไรเลย จริงๆ นะ!
และเมื่อตื่นแล้วทำตัวขี้เกียจก็ไม่ได้ช่วยอะไร ผมจึงจัดการพับผ้าปูเตียงให้เรียบร้อย คว้าผ้าเช็ดตัวมาพาดบ่าเป่าปากลั่นล้าเข้าห้องน้ำอาบน้ำให้สบายตัวเสร็จแล้วจึงหยิบเสื้อผ้าใช้แล้วของตัวเองทั้งหมดมาใส่ตะกร้าเพื่อเตรียมซัก แต่
ไอ้จุมพลมันทำนิสัยแบบนี้อีกละ..
นิสัยที่ชอบเอาเสื้อใช้แล้วมาใส่ในเครื่องซักผ้าแต่ไม่คิดจะซักเนี่ยยยยยย
“ไอ้จุมพล ตื่นนนนนนนนน” ผมตะโกนแหกปากอยู่นอกระเบียงแล้วเดินย้ำเท้าไปหามัน “ไอ้สัส ตื่น! ไปเอาเสื้อออกจากเครื่องซักผ้าด้วยกูจะซักต่อ ตื่นสิวะ ตื่นโว้ยยยยย”
“โว้ยยย แหกปากอะไรแต่เช้า รำคาญว้อยยย” มันเอาหมอนมาปิดหูพลิกตัวหนีผม
“รำคาญก็ตื่นสิวะ รู้ไหมทำแบบนี้กูจะซักผ้าต่อยังไง ใส่เครื่องไปแล้วก็ซักไปเลยมันจะยากตรงไหนวะ ลุก!!”
“โว้ยยย บ่นๆๆๆๆ บ่นเป็นคนแก่เลย คนจะนอน หุบปาก!”
“จะไม่ให้กูบ่นยังไง ดูมึงทำตัวแบบนี้อะ นี่แน่ะ” ผมใช้ผ้าขนหนูผืนเดิมม้วนเป็นเกลียวแล้วตีตูดมันอย่างหมั่นไส้แต่มันก็ยังนิ่งเฉยทำเมิน ด้ายยย มึง ด้ายยยย รู้จักไอ้เทรซน้อยไปซะแล้ว หึหึหึ ไม่ตื่นใช่มั้ย งั้นโดนไปร้อยที ดูดิ๊ จะทนได้ซักกี่น้ำเชียว
นี่แน่ะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
“ไอ้-เตี้ย” มันครางเสียงต่ำ ดีดตัวขึ้นช้าๆ คว้าผ้าขนหนูของผมขณะที่กำลังจะประทุษร้ายมันจากนั้นก็ดึงเข้าหาตัวอย่างไวว่องจนผมที่กำผ้าอีกข้างหนึ่งลอยหวืดไปสู่เงื้อมือที่มันกางแขนรอไว้เรียบร้อย “มึง จะ โดน มิ ใช่ น้อย เตี้ย”
โดนอะไร ไอ้สัส!
“ปล่อยกู” ผมทำเสียงเข้มสู้มัน
“ปล่อยทำไม มึงมาหากูเองนิ” มันพูดยิ้มๆ ทำหน้ากวนตีนแบบที่มันชอบทำแล้วจับผมที่อยู่ในท่าอุบาดพลิกไปนอนหงายใต้ร่างมัน..
แม่ง...ท่านี้อุบาดกว่ามั้ย..
“มึงจะทำอะไร จะทำอะไร!!” เสียงผมเริ่มร้อนรนทิ้งมาดพ่อบ้านใจกล้ามาเป็นนางเอกละครหลังข่าวไปซะฉิบเลยกู..เหี้ยย
“กูจะทำอะไรดีน้า ตอบแทนที่มึงทำร้ายร่างกายกู”
“ก็..ก็มึงไม่ตื่นเองอะ กูปลุกดีๆ แล้วนะ จะให้กูทำไงวะ”
“ไม่รู้สิ ยังไงๆ กูก็ต้องทำโทษคนผิด” มันยิ้มกริ่มก้มหน้าหล่อๆ ของมันเข้ามาเรื่อยๆ เป่าลมอุ่นๆ เข้าหูผมจนขนลุกซู่ ผมหดคอหนีเมื่อมันทำท่าจะซุกหน้าเข้ามาใกล้
ถามจริง นี่ผมผิดหรอ ไอ้การที่แค่มาบอกมันว่าให้ไปซักเสื้อไม่ได้ทำอะไรรุนแรง(?) ที่สมควรแก่การโดนแบบนี้เลยครับ คืออันที่จริงผมก็ผิดแหละ นิดนึง แต่ๆๆๆ ทำแค่นั้นผมต้องมาโดนมาจับกดเลยหรอวะ แค่คิดแล้วก็แม่ง...
“ทำแค่นี้มันยังน้อยไปว้อยยยย” ผมใช้เท้ายันพุงมันโครมใหญ่จนตัวมันเด้งออกอย่างน่ากลัวจะชนกำแพง
“ไอ้เตี้ย! แค่นี้มึงถึงต้องถีบกูเลยหรอวะ มาให้กูเตะคืนซะดีๆ”
“สมน้ำหน้า จะเป่าลมใส่กูดีนัก แบร่ แน่จริงก็จับให้ได้เด่” ผมรีบถีบตัวเองออกจากอาณาเขตของมัน คว้าลูกบิดประตูมาดึงขั้นมันไว้แต่...แรงคนรึจะไปสู้แรงช้าง ไอ้จุมพลมันกระชากแปปเดียวประตูก็เปิดอ้าซ่าเผยหน้าตาอันบูดบึ้งพร้อมจะประทุษร้ายผมเต็มที
ซวยแล้วไง ไอ้จุมพลมันโกรธจริง!
ผมค่อยๆ ถอยออกมาช้าๆ ขณะที่มันย่างเท้ามาใกล้พร้อมหน้าตาที่ไม่หลงเหลือรอยยิ้มใดทั้งสิ้น แต่มันลืมอะไรไปรึเปล่า นี่ใครครับ นี่มันไอ้เทรซไงครับ อดีตเด็กเกเรประจำโรงเรียนผู้ครองตำแหน่งตีนผีของชั้นปี ห้องปกครองงั้นเหรอ!? อย่าหวังว่าจะได้แอ้ม!
ผมใช้จังหวะที่หลังผมแตะกับโซฟาแล้วกระโดดไปอีกฝังคว้าหมอนแถวนั้นปาใส่หน้ามันอย่างแรงจนหน้ามันสั่นจากนั้นจึงรีบใส่เกียร์หมาไปตรงประตูห้องก่อนที่ไอ้จุมพลมันจะไหวตัวทัน
แต่..ดูเหมือนผมจะคิดตื้นไป
“น้องเทรซ คอไปโดนอะไรเหรอครับ”
“ยุงครับยุง ห้องผมยุงเยอะม้ากมาก”
“ให้พี่ไปช่วยดูมั้ยครับ กัดเต็มคอเลย”
“อ้ะ ไม่เป็นไรครับพี่ต้น ผม ผมฉีดยาไล่ไปแล้ว ฮ่ะฮ่ะฮ่าฮ่าๆๆ...”
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว พี่เป็นห่วง”
ไอ้บ้าเอ้ย แม่ง ตั้งแต่ออกมามีแต่คนมองแปลกๆ ทำไมวะ ยุงกัดเต็มคอแค่นี้(?) มองหยั่งกับควายออกลูกเป็นกบไปได้ โว้ยย ไอ้บ้านั่น ทำผมไว้แสบมาก ทำตรงอื่นไม่ได้รึไงวะ มาทำที่คอเนี่ย แล้วจะให้กูปิดยังไง ฮะ! ครั้นจะพันผ้าพันคอไปเรียนขี้คร้านโดนมองแปลกกว่าเดิม แถมวันนี้ยังเป็นวันสำคัญอีก ผมคงมองหน้ารุ่นพี่ไม่ติดแหง่แซะเลย โอ้ย เครียดๆๆๆ
ผมทำทีเป็นเดินเกาคอมาจนถึงคณะแพทยศาสตร์โดยทิ้งไอ้เหี้ยจุมพลไว้ที่หอเพราะไม่อยากเดินร่วมโลกกับมัน แล้วเปิดประตูหอประชุมเข้าไป พบว่าเพื่อนๆ พี่ๆ มาเกือบจะครบแล้ว ดังนั้นผมเลยต้องเดินด้อมๆ แทรกตัวเองเข้าไปนั่งประจำที่ เหลือก็แต่ที่ของไอ้จุมพลที่ยังคงบ่อแบ่เพราะเจ้าตัวยังมาไม่ถึง
จากนั้นพี่ๆ พูดเกริ่นถึงกิจกรรมที่จะมีในค่ำวันนี้ ให้น้องๆ ทุกคนทำความเข้าใจถึงประเพณีของคณะแพทยศาสตร์ จนกระทั่งไอ้หล่อของคณะเดินหน้ามึนเข้ามานั่งข้างผม ผมเหลือบมองมันแวบหนึ่งอย่างเหม็นขี้หน้า เพราะแม่งทำอะไรผิด มาสาย มาช้า พวกพี่ก็แม่งไม่กล้าทำไรมัน จึงได้แต่ก่นด่าสาปแช่งความไม่เป็นธรรมอยู่ในใจเงียบๆ
เมื่ออธิบายความเข้าใจคร่าวๆ เสร็จแล้ว พวกพี่ๆ ก็ปล่อยให้ไปกินข้าวแล้วค่อยมาเจอกันอีกทีตอนเย็นนู้นเลยครับ เพราะกิจกรรมที่ว่าจะจัดช่วงหัวค่ำ เห็นพี่เค้าบอกว่า ‘เพื่อความสมจริง!’
แล้วจะให้กูตื่นเช้ามาทำแมวอะร๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย ตอบ!!!
“เทรซ ไปกินข้าวด้วยกันนะ”
หือ ใครวะ เสียงคุ้นๆ ผมหันไปมองเจ้าของเสียงและพบว่ามันคือ...ไอ้บอย ตัวเป็นๆ ยืนทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยมโดยมีสมุนอย่างไอ้กิต ไอ้เบนยืนเป็นแบ้คอยู่ข้างหลัง แล้วคือ กูต้องทำหน้ายังไงวะครับ เมื่อวานเพิ่งจะรบกันแม่บๆ มาวันนี้ มาชวนผมไปแดกข้าวเฉย เฮ้ย จูนแปปนะ
“เอ่อ...” เอาแล้วไงกู โรคขี้สงสารกำเริบ เห็นมันทำหน้าหมาหง่อยแล้วผมปฏิเสธไม่ออก แง๊
“เตี้ย ไปเกมเซ็นเตอร์กัน” โอ้ จอร์ด สวรรค์โปรดไอ้จุมพลมาพอดีครับ วินาทีนี้ต่อให้เหม็นขี้หน้ายังไงแต่ขอหนีความอึดอัดนี้เป็นพอ
“เออ ไปดิ่ ไปๆ รีบไปเด่วร้านปิด!” ผมรีบตอบรับอย่างเร็วรี่ โดยไม่ลืมขอโทษไอ้บอยที่ยืนเก้อทำหน้าผิดหวังมาให้ “ไอ้บอย ‘โทษด้วยนะเว้ย พอดีกูมีนัดแล้ว ไว้คราวหน้านะ” จากนั้นก็โกยแน่บไม่ลืมหนีบมือไอ้จุมพลไปด้วย
“เนื้อหอมจริงๆ” อยู่ดีๆ ไอ้หล่อนี่มันก็พูดลอยๆ ขณะพวกผมเดินเข้าร้านเกมส์ ผมมองมันแล้วทำหน้างง ประหนึ่งมันมาบอกว่า กูกำลังจะมีลูก จากนั้นมันก็เหลือบมองรอยบนคอผม “หึ ไม่ช่วยไรเลยสินะ”
“ช่วยไรวะ เฮ้ย มึงจะไปไหน กลับมาพูดให้รู้เรื่องก๊อนนนนน” แม่ง เดินตูดปอดไปไม่รอกูเลย เวง อยากกระทืบมันนัก ชอบทำให้อยากแล้วจากไป
แล้วจากนั้นผมก็ทำได้แค่นั่งมองมันเล่นเกมRov กับคนที่มาท้าสู้ 1-1 แต่มันก็ยังคงชนะขาดลอยจนมันเริ่มเบื่อ ถึงได้เริ่มยกก้นออกจากร้านแล้วแวะไปแดกข้าวที่ฟิวเจอร์ เสร็จแล้วก็ขึ้นไปดูหนังสือเกี่ยวกับตำราแพทย์ ผมได้มาเล่มหนึ่งเพราะเห็นชื่อแล้วมันรู้สึกถึงพลัง รังศีแปลกประหลาดที่มันแผ่ออกมาทำให้ผมอดที่จะเอื้อมไปหยิบไม่ได้
“ไม่ยากถ้าอยากเป็นหมอ? เหอะ เป็นคนขยันให้ได้ก่อนเถอะ” หน๊อยแนะ! ทำมาเป็นแขวะ มึงมันก็ไม่ต่างกันหรอกน่า ไหนเอามาดูดิ้ ซื้ออะไรเยอะแยะวะ ผมแย่งหนังสือที่มันถือไว้มาดูแล้วพบว่า...กูอ่านไม่ออก T_T
“เอ้อ..เด่วกูไปดูหนังสือตรงนู้นแปป รู้สึกว่ามีอะไรน่าสนใจ” กว่าการที่ต้องมายืนเป็นไอ้โง่ให้มันหัวเราะเล่นอีกสาสสสสสสสสสสสสสส งึด
ตกเย็นผมกับไอ้จุมพลก็เดินแบกหน้าหล่อๆ เข้ามหาลัย ย้ำครับ ‘เดิน’ เข้ามหาลัย เนื่องจากว่าพวกผมทั้งคู่ไม่มีรถ ช่วงนี้เลยต้องอาศัยคนขับรถประจำตัวอย่าง พี่วิน พี่แท็กซี่ พี่รถเมล์ กันไปก่อน ซึ่งแม่ง ลำบากเหี้ยๆ เพราะอะไรน่ะหรือครับ? เพราะผมต้องออกตังอยู่คนเดียวทั้งๆ ที่กูไปธุระของมัน ไอ้จุมพล!! ไอ้ฟ้าคคคคคคค
แม่งหน้าตาก็ดีเสือกไม่มีตังจ่ายค่าแท็กซี่ เวง อ้อ ค่าข้าวด้วยครับ ไม่อยากจะเซ่ดให้มากความทำได้แต่ฮึดฮัดควักตังจ่ายไปให้จบๆ เพราะเห็นแก่เค้กมื้อนั้นหรอกนะ บอกไว้ก่อน!
“อ้าว เทรซ ไปไหนมา” เท้าแตะพื้นหอไม่ทันไรอาจารย์รพีผู้ที่แลดูว่างตลอดกาล ดูเหมือนว่างเว้นจากการเล่นเกม Rov (สงสัยรอโหลดเพราะตายแหง่แซะ) แถมท่วงท่าในการนั่งของอาจารย์แม่งก็ไม่ธรรมดานะครับ เก้าอี้รับแขกที่นั่งกันได้หลายๆ คน พี่แกเล่นเหยียดตีนยาวๆ ก่ายโต๊ะ กระดิกยิกๆ ผิวปากฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีจนคนแถวนั้นไม่กล้าไปขัดอารมณ์อาจารย์แกเลย เห็นแล้วรู้สึก..คิดถึงบ้านครับ ไม่ใช่อะไรหรอกแต่พี่แกทำตัวอย่างกับอยู่บ้านเลยเว่ย ชิวเว่อร์
ผมเดินลงไปนั่งข้างๆ เผื่ออาจารย์แกมีอะไรจะเรียกใช้แต่เปล่าเลย อาจารย์รพีแม่งก็นั่งเล่นเกมของแกไปเสมือนลืมไปแล้วว่าได้ถามอะไรกูก่อนหน้านั้น เมื่ออยู่ต่อก็ไม่ได้เห้ไร เลยหันไปหาไอ้จุมพลเผื่อแม่งอยากขึ้นห้องไปก่อน แต่สภาพมันก็ไม่ต่างจากอาจารย์ข้างตัวผมเท่าไรเลย
ไอ้นี่ก็อีกคน ติดเกม สัด!
สรุปมีแต่กูคนเดียวใช่มั้ยที่ยังนั่งโง่ๆ รอมนุษย์ติดเกมสองรายกำลังแบทเทิลกันอย่างเมามันส์อะ โว๊ะ อยากจะไปฟ้องกระทรวงว่าเพราะไอ้เกมพวกนี้ทำให้ คนแถวนี้ไม่ทำมาหากินอะไรเลย เฮอะ ซ้ำยังทำกูเสียเวลาอีก
“กุ๊กๆๆ กรู้วว” ผมหันไปตามเสียงก็เห็นอาจารย์รพีนั่งผิวปากส่งสายตาล้อเลียนผู้ชายข้างตัว เลยหันไปตามที่มองจึงเห็นว่าหน้าไอ้จุมพลบูดเป็นตูดลิงเลยครับ ฮ่าๆๆๆๆ เกิดอะไรขึ้นวะ
“ไอ้ภูม มึงขี้โกง”
“ไก่เองไอ้น้อง กุ๊กๆๆๆ”
“ทีมมึงแม่ง ตามดึงกูอยู่ได้ รุมว่ะ”
“เป็นไก่ ก็ยอมรับว่าเป็นไก่สิจุมพล”
“แม่ง!! เตี้ย กูจะขึ้นห้องละ” และแม่งก็เดินตึงตังขึ้นไปไม่รอกูเลย
บทจะอยู่ก็อยู่บทจะไปก็ไป ตามไม่ทันเลยวุ้ยยยยย
“แล้วสรุปไปไหนมากับจุมพลเหรอเทรซ” อาจารย์รพีถามอีกครั้งเมื่อละจากโทรศัพท์
“ไปซื้อหนังสือครับ แหะๆ” เค้าไม่ได้โกหกน้า เค้าแค่บอกไม่หมดเองงงง
“หนังสืออะไร ไหนเอามาให้ดูหน่อย”
“เอ่อ..” จะดีหรอวะ หวังว่าผมคงไม่โดนแขวะเหมือนกับที่ไอ้หล่อมันแขวะผมหรอกนะ กลัวใจ..
“ไม่ยากถ้าอยากเป็นหมอ..” อาจารย์รพีเงียบไปพักใหญ่หลังจากที่อ่านปกหนังสือที่ผมยื่นให้ สงสัยกำลังปลาบปลื้มใจ ไม่ก็ภูมิใจในตัวผมอยู่ก็เป็นได้เพราะเห็นอาจารย์แกเอามือปิดปากแถมตัวสั่นนิดๆ คงกำลังกลั้นน้ำตาแห่งความปิติยินดีอยู่แน่ๆ ผมเลยต้องรีบพูดถ่อมตัวเผื่อเรียกคะแนนนิสิตดีเด่น
“มะ แหม..ธรรมดาแหละครับอาจารย์ ส่วนใหญ่ผมก็จะอ่านอะไรที่มันมีสาระแบบนี้แหละครับ เรื่องปกติครับ อาจารย์ไม่ต้อง..”
“อุ้บ..ฮ่าๆๆๆๆๆๆ โอ้ยย กลั้นไว้ไม่อยู่แล้วววววว ฮ่าๆๆๆๆๆ ไม่ยากถ้าอยากเป็นหมอ..ไม่ยาก..?โอ้ยยย กับเทรซนะ ต้องยากมากๆ ๆๆๆ หนังสือเล่มเดียวเอาไม่อยู่หรอก ฮ่าๆๆๆๆ”
กูเพิ่งรู้ว่า ยังไงๆ เลือดมันก็ยังคงเป็นเลือด สายเลือดเดียวกัน แม่งก็เหี้ยไม่ต่างกันเลย สัด!
“หึหึหึ..’โทษๆ ลืมตัว ไม่โกรธนะ โอ๋ๆๆๆ หน้าหงิกเชียว ฮ่าๆๆๆๆ” ว่าแล้วอาจารย์แกก็จับแก้มผมโยกซ้ายโยกขวาอย่างมั่นเขี้ยว ยิ่งเห็นผมหน้าหงิกยิ่งชอบใจหัวเราะยกใหญ่ เสียใจว่ะ
นี่กูร้องไห้กับคนๆ นี้จริงๆ ใช่มั้ยวะ? โอ้ยยยยย แม่งเหมือนกันทั้งพี่ทั้งน้องเลย!
“ผมขอตัวขึ้นห้องนะครับ” คือกูไม่สนุกเว่ย กูเลยเสียงเข้มใส่ หยิบหนังสือของผมมาถือไว้จากนั้นก็ยกก้นตัวเองออกโดยมีหน้าหงิกๆ ของผมเป็นฉากอารมณ์ ชิ อุตสาห์มีกะใจจะเรียน เหี่ยวเลยครับหัวใจกู..
“เทรซ เดี๋ยว ไม่งอนสิ ล้อเล่นนิดเดียว มาๆ นั่งก่อน ฉันมีเรื่องจะคุยด้วยหน่อย” นิดหน่อยของอาจารย์ทำผมหน้าบางไปเยอะเลยนะครับ แต่ก็ยอมนั่งตามที่ชวนแหละ พอดีเป็นคนว่านอนสอนง่ายย
“ครับ” ผมนั่งลงที่เดิม ทำตัวเงียบเชียบอย่างไม่รู้จะพูดอะไร
“ค่ำนี้อย่าลืมไปห้องประชุมคณะ แต่งตัวให้เรียบร้อย ถูกระเบียบ ฝากบอกจุมพลด้วย”
“ครับ”
“เทรซกลัวความมืดมั้ย”
“ไม่กลัวครับ”
“ก็แล้วไป ฉันออยากคุยแค่นี้แหละ ไปเตรียมตัวได้แล้วไป ให้รุ่นพี่รอนานๆ ไม่ดี” ก็แล้วใครกันครับ ที่รั้งผมไว้!
อาจารย์รพีก็แม่งถามแปลกๆ กลัวความมืดมันเกี่ยวไรกับกิจกรรมเปิดห้องเชียร์วะครับ งงในงง เออ แต่ช่างแม่งไปก่อน เพราะเดี่ยวผมจะสายเอา ผมเข้าห้องมาก็เจอไอ้จุมพลในสภาพเปลือยบนเดินโท่งๆ ออกมาจากห้องน้ำ ผมเลยต้องรีบเข้าต่อเนื่องจากต้องทำเวลา เพราะต้องรีบไปให้ถึงห่อประชุมก่อนพิธีจะเริ่ม
เสร็จแล้วพวกผมก็ออกจากหอด้วยเครื่องแต่งกายที่ถูกระเบียบตั้งแต่หัวจรดตีน ซ้ำยังต้องแขวนป้ายบ้าบอเท่าหลังคาบ้านให้มันปลิวมาตีหน้าให้เจ็บเล่นๆ อีก แล้วคือแม่งไม่รู้จะทำใหญ่เว่อร์วังไปทำไม ชื่อผมก็แค่เนี่ย มองจากสะพานควายยังเห็นเลยมั้งนิ
แต่บ่นไปก็แค่นั้น พี่มันไม่แคร์หรอกเพราะแม่งสะใจไง เห็นน้องๆ โอดครวญแล้วแม่งภูมิใจเหมือนตัวเองสอบใบขับขี่ผ่านรอบเดียว เฮอะ รอให้ผมเป็นพี่ก่อนเถอะผมจะปฏิวัติ จะให้น้องแขวนป้ายชื่อเล็กเท่าจิ่มมด คอยดูเด่ะ!
เมื่อมาถึงหอประชุมคณะรุ่นพี่จะแจกผ้าสีดำไว้ให้แต่ละคน ซึ่งผมก็รับมางงๆ แล้วเข้าไปต่อแถวรอเข้าห้องประชุม ผมไม่รู้ว่าหลังจากนี้รุ่นพี่จะทำอะไร ให้ผ้าสีดำมาทำไม จนกระทั่งรุ่นพี่เดินมาบอกให้ทุกคนเอาผ้าที่ได้ปิดตาของเพื่อนข้างๆ
ผมกับไอ้จุมพลสลับกันผูกให้อย่างทุลักทุเลเพราะแม่งสูงชะลู้ดจนผมต้องถีบตีนขึ้นไปผูกให้เนื่องจากมันไม่ยอมก้มหน้าลงมา สึด! เถียงสู้มันแม่งก็หาว่าผมเกิดมาเตี้ยเอง
ผิดกูอี้กกกกกกกกกกกกก
เสียงจอแจเริ่มเงียบลงเมื่อทุกคนต่างปิดตากันหมด พี่ๆ บอกให้เอามือแตะไหล่คนข้างหน้า เพื่อช่วยให้เดินกันอย่างเป็นระเบียบ ดีหน่อยที่ไอ้หล่อเลวมันอยู่ข้างหลังไม่งั้นนะมึงเอ๊ยยยยย จากไหล่จะกลายเป็นเอว แต่จะว่าไปแล้วทำแบบนี้รู้สึกคิดถึงช่วงอนุบาลครับ คำว่า เอามือแตะไหล่คนข้างหน้าได้ยินบ่อยจนเอือน แม่งไม่อยากจะเชื่อว่าขึ้นมหาลัยยังต้องเจอ เก๋าไปอีก
เมื่อประตูห้องประชุมเปิดออกอากาศเย็นยะเยือกพัดผ่านมากระแทกหน้าเข้าอย่างจัง หนาวสะท้านไปจนถึงหะมอยในร่มผ้า แม่งจะเร่งแอร์ทำไมเนี่ย กูไม่ได้เอาเสื้อหนาวมา! หนาวมากจนขนตูดลุกเลยครับ มือที่เกาะเพื่อนข้างหน้าสั่นงันหงึก และขอเดาว่าห้องประชุมไม่ได้เปิดไฟไว้ครับ มันมืดมากขนาดที่ปิดตาแล้วยังสัมผัสได้
แถวหยุดลง ทุกคนนั่งลงตามที่พี่สั่งจากนั้นก็มีเสียงฝีเท้ามากมายเดินหมุนรอบๆ ผมเห็นแสงแว่บๆ คล้ายว่าน่าจะเป็นเทียนถูกจุดไว้เรียงรายรอบห้องประชุม เมื่อเสียงเดินเงียบลง ทุกๆ อย่างเลยตกอยู่ในความสงบ
ผมไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น เพราะความไม่รู้ เพราะความหนาว หรือเพราะมองไม่เห็นอะไร มันจึงทำให้ผมรู้สึกกลัว แต่ความกลัวก็หายเป็นปลิดทิ้ง เมื่อมีมืออุ่นๆ ยื่นมาลูบหัวผม ยีหัวแรงๆ และผละออก ผมรู้ว่าเป็นมือของใคร ก็ไอ้คนที่อยู่ด้านหลังผมไง ไอ้ควายตัวโตๆ ที่นานๆ ทีจะทำเรื่องดีๆ กับเขาบ้าง
อยู่ดีๆ เสียงเพลงก็ถูกขับร้องกึกก้องทั่วทั้งหอประชุม เสียงของเหล่ารุ่นพี่รอบๆ เสียงเพลงที่สะท้อนอยู่ข้างในหัวใจ รู้สึกถึงพลัง ความฮึกเหิม และแม่งโคตรขนลุก
จากวันนั้นเพื่อนขวัญ เคยร่วมกันขับขานร่วมจิตใจ
สู่วันนี้พี่น้องร่วมฝ่าภัย จากใจถึงทุกคน
ด้วยความรักเปี่ยมล้นบนเส้นทาง สว่างไสวในศรัทธา
ร่วมกันสร้างพรุ่งนี้ของประชา ที่สดใสให้เป็นจริง
* ชีวิตเธอนั้นมีค่ามวลประชาเฝ้ารออยู่ รอเธอเป็นผู้ก้าวไป
ดังมวลไม้ที่งอกงามยามถึงคราชูช่อใบ ไปเถิดจงไปทั่วแดน
** อยากให้เธอเป็นเทียนเล่มน้อยที่ส่องแสงสู่หนทางมืดมน
เทียนสว่างไสวอยู่ในใจผู้คนตราบจนนิรันดร
เสียงเพลงจบลงแถวของผมเริ่มขยับ รุ่นพี่นำทางหัวแถวเดินเป็นวงกลมจนกระทั่งเพลงที่สองได้ถูกขับร้องขึ้นมา ทุกอย่างยังคงมืดสนิทนอกจากแสงเทียนรอบๆ แล้วผมสัมผัสถึงอะไรไม่ได้เลย อ้อ ความหนาวนี้ตัดทิ้งไป หนาวจนเยี่ยวแข็งแล้วเหอะ ผมกัดฟันกรอดๆ ระงับความหนาวเหน็บเพื่อฟังบทเพลงที่ยังคงขับร้องไม่จบอยู่เงียบๆ
ถ้าหากฉันเกิดเป็นนกที่โผบิน ติดปีกบินไปให้ไกล ไกลแสนไกล จะขอ เป็นนกพิราบขาว เพื่อชี้นำชาวประชา สู่เสรี ถ้าหากฉันเกิดเป็นเมฆ บนนภา จะนำพาความร่มเย็น เพื่อท้องนา หากฉันเกิดเป็น เม็ดทราย จะถมกายเป็นทางเพื่อมวลชน ชีวา ยอมพลีให้ มวลชน ที่ทุกข์ทน ขอพลีตน ไม่ว่าจะตายกี่ครั้ง
เสียงเพลงจบลงพร้อมๆ กับผ้าปิดตาที่ถูกคลายออก เสียงไฟยังคงมืดสนิทและเทียนได้ถูกดับไปแล้ว ผมรู้สึกได้ว่ามีคนยืนอยู่ตรงหน้าผม แต่เพราะผมยังไม่ชินในความมืด ผมจึงไม่รู้ว่าคือใคร จนกระทั่งแสงไปในห้องประชุมสว่างวาบ ปรากฏใบหน้าของผู้ชายร่างโปร่งคนหนึ่งที่หน้าตาดีมาก โคตรหล่ออภิมหาหล่อ และผมก็รู้จักดีด้วย
เขาคือ อาจารย์รพี..
ผมงงเป็นไก่ตาแตกเมื่อรู้ว่าคนตรงหน้าไม่ใช่รุ่นพี่ในสายรหัสของผม แต่กลับเป็นผู้ชายหล่อๆ ที่ชอบพกพารอยยิ้มอารมณ์ดีอยู่เสมอแทน
แม่ง งงว่ะ คือถ้าไม่มีใครเฉลยอะไรกู เห็นทีต้องเดินไปถามอธิการบดีเองแล้วมั้ง
แล้วคือ ทุกคนก็งงไม่ต่างจากผมครับ เว้นแต่พวกรุ่นพี่ที่ดูเหมือนจะรู้อยู่แล้ว แต่นี้กูครับ กูยังไม่รู้ แล้วดูดิ๊ ไอ้หล่อข้างผมยังมองแรงเลยครับ ญาติมันเองแท้ๆ เสือกไม่รู้ไร โอ้ย สงสารรร
“อาจารย์มาทำอะไรตรงนี้เหรอครับ แล้วพี่รหัสผมอะ?”
“ชิ่วไปแล้ว ฉันเลยอาสามาแทน ไง อึ้งไปเลยสิ” อาจารย์แกยิ้มหล่อมาให้พลางยักคิ้วหลิ่วตาอย่างอารมณ์ดี
“แล้ว..” แล้วกูต้องทำยังไงต่อไปเนี่ยยยยยยยย กูไม่มีพี่รหัสหรอออ ม่ายยยยยยยยย
“เทรซไม่ต้องเสียใจไปนะ ถึงฉันจะไม่ใช่พี่รหัสของเทรซแต่ฉันก็อยู่ในสายรหัสเดียวกับเทรซ หึหึ บังเอิญจริงๆ” จริงดิ?
“โม้ป่ะเนี่ย!?” ผมถามกึ่งอึ้งกึ่งทึ่ง
“จริง ฉันเคยเรียนที่นี้”
“T^T ฮืออออออออออ ดีจายยยยยยยยยยยย” และผมแม่งก็โผเข้ากอดอาจารย์รพีโดยไม่อายประชาชีแถวนี้เลยสักนิด
คุณไม่เข้าใจหรอก คุณคาดหวังมากว่าจะมีแต่คุณไม่มี สุดท้ายคุณกลับได้คนที่รู้จักแถมยังเป็นถึงบุคคลแรร์ไอเท็มที่ทุกคนต่างอยากเข้าใกล้ อยากได้มาเป็นคอลเล็คชั่น แม่ง โคตรเซอร์ไพรส์อะ บอกเลย!
เมื่อดราม่าจนสมใจ อาจารย์รพีจึงเสนอว่าจะพาผมไปเลี้ยงสายรหัสแทนปู่รหัสที่อยากเจอผมมากกกก แต่กลับติดสอบย่อยมาร่วมพิธีไม่ได้จึงสัญญาว่าจะมากินให้ได้ ส่วนลุงรหัสโดนอาจารย์แกชี้นิ้วสั่งให้ไปจองโต๊ะเนื่องจากร้านที่อาจารย์จะพาไปเป็นร้านดังแถมอร่อยเหาะ! ไม่รู้ว่าแม่งโม้เกินจริงรึเปล่า แต่ตอนนี้กูหิวมาก อะไรก็ได้กินได้ทุกอย่างเลยครับ
ผมมองหาไอ้จุมพลจนไปเห็นมันอยู่กับผู้หญิงตัวเล็กๆ ซอยผมสั้นยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้มัน ส่วนรายนี้ทำได้แต่ทำหน้าปั้นปึงไม่พอใจซ้ำยังจะเดินหนีลูกเดียวอีก ขอเดาว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นพี่รหัสมันชัวร์ ฟันธงครับ! ว่าแล้วก็ย่องเบาไปเสือกหน่อยดีกว่า
“น้องบิ๊กอย่าดื้อสิคะ ไปเลี้ยงสายกับพวกพี่แค่นี้เองอะ”
“ไม่ไปครับ”
“น้องบิ๊กอะ ไปนะๆๆๆๆ”
“ไม่ครับ”
“เพื่อนพี่สวยๆ กันทุกคนเลยนะ”
“ไม่เอาครับ”
“ไปกินซูชิไง สนมั้ย”
“ไม่หิวครับ”
“เนื้อย่างเกาหลีล่ะ”
“ไม่ชอบครับ”
“หมูกระทะเป็นไง”
“เมาควันครับ”
“เมาอะไรกันไม่ใช่เหล้าสักหน่อย เอางี้ พี่เลี้ยงเหล้าเลย!! แหกมันทุกกฏ”
“กินที่ไหนดีครับ” ป้าดดดดดดดดดดดด มันเอาแล้วครับมึ้ง เหล้าฟรีใครแม่งจะไม่ชอบ
“ถ้าไม่ชอบอีก เอาเป็นเบียร์ก็ได้...เอ่ะ เมื่อกี้น้องบิ๊กพูดว่าไงอะ” มันบอกว่าจะไปครับเพ่ อย่ามัวแต่อึ้งเดี่ยวแม่งเปลี่ยนใจไม่รู้ด้วยนะครับ คนยิ่งไม่ปกติอยู่ ฮ่าๆๆๆๆ
“...” เงียบใส่ซะงั้น
“โอเค งั้นพี่โทรบอกพี่ก้อยแปปนะ”
จากนั้นพี่รหัสมันก็ออกไปคุยโทรศัพท์ผมจึงถือโอกาสเข้าไปบอกมันว่าผมจะไปเลี้ยงสายรหัส ไม่ต้องเป็นห่วง(?) นอนก่อนได้เลย เมื่อเดินเข้าไปในระยะสายตามัน ไอ้หล่อแม่งหันควับมาเลยครับ
“เตี้ย ไปไหน” ดูมันถาม..นี่ไม่คิดว่ากูจะเจ็บกับคำว่า ‘เตี้ย’ ของมึงบ้างไง๊?
“กูจะไปกินเลี้ยงสายรหัส”
“เกี่ยวไรกับไอ้ภูมิ” พูดแล้วส่งสายตาอาฆาตไปให้ญาติมัน
“อาจารย์รพีเป็นตัวแทนพี่รหัสกู เป็นคนในสายรหัส โคตรบังเอิญเลยเว่ย” ไม่อยากจะโม้ แต่ขอโม้ให้มันแปป แบบคนมันดีใจเว่อร์
“ให้มันจริง” โว๊ะ ไอ้นี่ ดีใจกับกูหน่อยก็ไม่ได้ ใช่ซี่ พี่รหัสมันผู้หญิงแถมยังน่ารักอีกนี่หว่า ผมจะไปสู้อะไรมันได้ล่ะคร้าบบ
“สึด มึงจะไปไหนก็ไปไป๊” เหม็นขี้หน้ามัน ชิ่วๆ
ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ผมก็เดินออกมาเอง ฮา..
จากนั้นอาจารย์รพี่ได้อัญเชิญผมขึ้นรถ BMW i8 สีขาว รถที่ต่อให้มีเงินซื้อผมแม่งยังไม่กล้าขับ กลัวมันจะไปไถถนนเล่นให้สะเถือนใจกันไปข้าง แต่ตอนนี้ผมมีคนขับให้เว้ย หายห่วงแถมไม่ต้องเสียค่าน้ำมัน ว่าแล้วก็ขอแทรกตัวเข้าไปนั่ง อยากสัมผัสถึงความมีสไตล์ของพี่รหัสในนาม แอร้ยย คิดแล้วแม่งดีใจไม่หาย
เมื่อมาถึงร้านพนักสาวก็ยิ้มต้อนรับอย่างเป็นมิตรพลางผายมือเชิญเข้าด้านใน ผมเดินตามอาจารย์รพีเตาะแตะมาจนถึงโต๊ะที่มีผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่งกับอาหารเต็มโต๊ะกำลังนั่งอ่านหนังสือคร่ำเคร่งจนไม่ได้สังเกตเห็นพวกผม แต่อาจารย์ผมมีรึจะทัก แกนั่งเลยครับ ผมเห็นดังนั้นจึงหย่อนก้นลงตามไปติดๆ สักพักผู้ชายคนนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาเห็นผมกับอาจารย์รพีนั่งหน้าสลอนเงียบๆ แกถึงกับตกใจสะดุ้งเฮือก
“อาจารย์! ทำไมมาไม่บอกล่ะครับ มาเงียบๆ เชียว แล้วนี่..น้องเทรซใช่มั้ย โห้ น่ารักอย่างที่ได้ยินจริงๆ ด้วย”
“ฉันเห็นว่าเธอกำลังอ่านหนังสืออยู่ก็เลยไม่ได้เรียก เทรซ ทักทายสิ นี่ลุงรหัสของเธอ”
“สวัสดีครับ ผมชื่อเทรซครับ”
“ดีๆ พี่ชื่อ นน นะ ดีใจที่ได้เจอ ตัวจริงน่ารักมากๆ เลย มีแฟนยังครับ” ไม่ถามเปล่า พี่แกยังเหลือบมามองตรงคอผมด้วย วั้ยไต๋แล๊วว หลักฐานมัดคอขนาดนี้ บอกไปจะเชื่อมั้ยวะ ว่ากูไม่มีแฟน กูยังโสด แถมซิงด้วย!..
“เอ่อ..ไม่มีครับ” หน้าตาไม่เชื่อกูอีก “คือ ตรงนี้..ยุงกัด..ครับ”
“ฮ้า!! จริงดิ่ ไม่อยากจะเชื่อว่ายังไม่มี ทำไงดี อืม..อาจารย์ ปล่อยไว้แบบนี้ไม่ดีแน่ๆ ครับ ผมรับรองได้เลย”
“ฉันกำลังคิดอยู่ว่าจะทำยังไง” อะไรวะ งง กูโสดแล้วน้ำจะท่วมโลกรึไง ถึงปล่อยกูไว้ไม่ได้อะ ผมมองทั้งสองสลับไปมาเพื่อหวังว่าจะมีใครสักคนเฉลยให้ แต่แม่งไม่เห็นหัวกันเลยครับ
“ผมว่าขืนช้ากว่านี้ เทรซไม่รอดแน่ อาจารย์ก็รู้ว่า..”
“น้องเทรซของพี่!! พี่มาแว้วววววว รอนานมั้ยคร้าบ”
ผมมองบุคคลที่สามที่ริมาขัดจังหวะบทสนทนา(ที่กูกำลังเสือกแบบแนบเนียน)อย่างจาบจ้วง ความสงสัยเป็นอันต้องตัดจบเมื่อ..ขอเดาอีกนั่นแหละว่า ปู่รหัสของผม ยิ้มหน้าบานเป็นจานดาวเทียมเดินเปียกเหงื่อหอบจับมาถึงโต๊ะ สภาพแทบบอกไม่ได้ว่าไปทำอะไรมาระหว่างปีนเขาเอเวอร์เรสหรือทาสีกำแพงเมืองจีน
“อ้าว พี่ดิวไปทำไรมาทำไมเหงื่อท่วม” ผมกำลังสงสัยเลยครับพี่นนนนน
“วิ่งมาครับ”
“ทำไมวิ่ง” กลัวกินไม่รอครับ ขอต่อเองพอดีเสือก กร้ากๆ
“กลัวไม่ทันเจอหน้าน้องเทรซน่ะสิครับ ใช่มั้ยจ๊ะ น้องเทรซ” อ้าว เกี่ยวไรกูครับพี่ เห็นเป็นคนใจร้อนหรอ กลับไม่รองี้ คิดแล้วแม่งต้องรีบแย้งให้ไว ไม่งั้นเสียภาพพจน์ (เคยมีหรอ?)
“ผมต้องรอสิครับ! พี่ผมทั้งคน” เกิดไม่รอแล้วใครจะจ่ายค่าข้าวผมล่ะ (อ้าว)
“งุ้ยยยย น้องใครว่ะ น่าร้ากกกก มากอดที” พูดแล้วแม่งจะเดินมากอดผมจริงๆ เว้ยเฮ้ย
“อะแฮ่ม นั่งๆ จะยืนค้ำหัวฉันอีกนานมั้ย” อาจารย์รพีได้ทีเอ็ดพี่ดิวจนพี่เค้าลนลานรีบนั่งอย่างเร็วรี่
“ขอโทษครับ อาจารย์ อิอิ”
“ว่าแต่ พี่กายกับพี่เอกอะ ไม่มาด้วยกันหรอ”
“ติดเวรน่ะสิ ทุกคนฝากนี่มาให้น้องเทรซด้วยนะ”
พี่ดิวยื่นของสองอย่างมาให้ชิ้นแรกเป็นพวงกุญแจลักษณะเหมือนมีดหมอครับ ท่าจะแพงอยู่ส่วนอีกชิ้นเป็นกล่องกระดาษสี่เหลี่ยมบรรจุแมสปิดหน้าที่ขายตามร้านยาและห้างสรรพสินค้า -_- งึด
“อ้อ เทรซ” ผมละจากของสองชิ้นมามองอาจารย์รพีที่นั่งท้าวคางมองผมอยู่
“ครับ”
“ต่อไปนี้ เรียกฉันว่า ‘พี่ภูมิ’ นะ”
“ให้เรียก..ทำไมล่ะครับ?”
“ฉันเป็นตัวแทนพี่รหัสของเทรซ ก็เหมือนฉันเป็นพี่ของเธอ ต่อไปเรียกฉันว่าพี่ภูมิ”
“งั้นผมต้องเรียกอาจารย์ว่าน้องภูมิน่ะสิ อาจารย์เป็นตัวแทนพี่รหัสของเทรซก็เหมือนเป็นน้องของผม ฮ่าๆๆ”
“นน ไม่ยุ่งนะ”
“ขอโทษครับอาจารย์”
“ฉันยกเว้นให้เทรซเรียกคนเดียว”
แง้ววววว สิทธิ์พิเศษของน้องรหัสใช่มั้ยยยยย งื้ออออ ดีใจอะ! ผมยิ้มแก้มแทบปริ แอบขำกับท่ารูดซิปปากของพี่นนรวมทั้งพี่ดิวที่กำลังคุ้ยอาหารโดยตั้งใจเขี่ยพักชีไว้ริมจาน
“ครับ พี่ภูมิ” ผมตอบรับอย่างดีใจ
“ดีมาก” แล้วอาจารย์รพี เอ้ย พี่ภูมิก็ยิ้มร่าเริงพลางยื่นมือยีหัวผมเบาๆ
“เอ้อ นน พี่สงสัยว่ะ ทำไมในร้านไม่มีคนเลยวะ ปกติเวลานี้คนเยอะแทบไม่มีที่จะนั่ง มึงมาจองโต๊ะเห็นใครสักคนยัง”
เออว่ะ นี่ผมก็เพิ่งจะสังเกตตอนที่พี่ดิวมันบอกนี่แหละ ไหนอาจารย์รพี เอ้ย พี่ภูมิบอกร้านนี้เป็นเจ้าดังคนเยอะมาก ตั้งแต่ผมมาถึง นอกจากพวกผมแล้วมีแต่พนักงานไม่กี่คนเองครับ งงในงง
“อ่อ ก็..ไม่รู้ดิพี่ ผมมาก็เป็นแบบนี้แล้วอะ”
พี่นนแม่งทำตัวน่าสงสัยว่ะ มันต้องมีเหตุผลเว้ย แถมอาหารแต่ละอย่างนะจัดอย่างพรีเมี่ยม สวยและน่ากินสุดๆ ซึ่งตอนนี้กูคิดว่าน่าจะเย็นชืดเป็นศพเกยตื้นแล้วล่ะครับถ้าไม่เริ่มกินสักที ไอ้ผมจะกินก่อนก็แปลกได้แต่รอเวลาให้ใครสักคนเริ่มชวน หิวง่ะ T^T
มองจานข้าวแล้วตาละห้อยสัด แง๊ หิวววววววววววว
“เอ้า ไม่ต้องสงสัยอะไรมาก ดูหน้าเทรซบ้าง หิวจะแย่แล้ว กินๆ”
พี่ภูมมมมมมมมิ ร้ากกกกกกกกก
“น้องเทรซครับ ไหนๆ ก็เจอกันแล้วพี่ขอเบอร์นองเทรซไว้ติดต่อหน่อยดีกว่า”
พี่ดิวยื่นโทรศัพท์มาให้หลังจากเดินมาถึงที่จอดรถ ผมมองมือถือตรงหน้าอย่างลังเล ไม่ใช่ว่าเล่นตัวหรือไม่อยากให้ แต่เพราะผมไม่ได้ใช้โทรศัพท์มานาน ป่านนี้เครื่องที่พ่อซื้อให้ก่อนหน้ายังนอนตายอยู่ในลิ้นชัก เครื่องยับหมอไม่รับเย็บครับ เกินเยียวยาจริงๆ แถมผมเองไม่ค่อยอยากใช้เท่าไรนัก
“ขอโทษครับพี่ดิว ผมไม่ใช้โทรศัพท์อะ”
“อ้าว สะดวกออกนะ ทำไมไม่มีไว้สักเครื่องล่ะครับ”
“ครับ เพราะมันสะดวกมาก ขนาดวันที่คุณย่าเสียชีวิตผมยังมารู้ผ่านเจ้าเครื่องนี้เลยอะ”
อ้าว ดราม่าเฉยเลยกู
“คือพี่..ขอโทษนะ ทำให้น้องคิดถึงเรื่องคุณย่าเลย”
“ไม่เป็นไรครับ ผมชอบที่ได้คิดถึงคุณย่าของผม แต่เรื่องเบอร์ติดต่อ คือ โทรศัพท์ของผมผมทำพังไปตั้งนานแล้วผมคิดว่ามันตามตัวได้ง่ายเหมือนมีเชือกผูกคออะ ผมไม่ค่อยปลื้มเท่าไรครับ”
“อ้าว แล้วพี่จะติดต่อน้องเทรซยังไงล่ะทีนี้” พี่ดิวทำหน้าเครียดใหญ่เลยครับ ฮ่าๆๆๆ
“พี่ติดต่อผ่านหอผมได้มั้ยอะ คือส่วนใหญ่ผมจะอยู่หอตลอดครับ” ผมเกาหัวอย่างเกรงใจแบบไม่รู้จะเสนอทางเลือกไหนแล้ว เพราะโทรเข้าหอแม่งต้องเสียค่าโทรแพงกว่าโทรเข้ามือถือไงครับ
“ก็ยังดีกว่าติดต่อไม่ได้เลยครับ แต่ถ้าน้องเทรซเปลี่ยนใจอยากใช้โทรศัพท์เมื่อไรอย่าลืมบอกพี่นะครับ”
“ครับผมมม”
ผมแยกตัวออกมากับพี่ภูมิส่วนพี่ดิวกับพี่นนกลับด้วยกัน เมื่อถึงหอพี่ภูมิก็ต้องไปทำธุระประจำวัน นั่นคือเช็คชื่อครับ งานช้างแต่ต้องทำเพราะเป็นหน้าที่ของหัวหน้าหอ ส่วนผมขอขึ้นห้องไปอาบน้ำนอน
เข้าห้องมากลับไร้วี่แววไอ้รูมเมทหน้าหล่อ สงสัยยังเมาไม่สุด นี่ก็เพิ่งจะสี่ทุ่ม อีกนานครับไปแดกเหล้าฟรีทั้งทีคงกะเอาให้คุ้ม หลังจากอาบน้ำจนตัวหอมฟุ้ง ทาแป้งเด็กแปะๆ กระโดดขึ้นเตียง หมุนตัวไปมา ตีลังกากลับหลัง หยิบหนังสือมาอ่าน(?) และก็เผลอหลับไป รู้ตัวอีกทีตอนได้ยินเสียงกุกกักหน้าประตูจึงลุกไปดูสภาพไอ้หล่อด้วยความเป็นห่วง
พบว่า..มันเมาเหล้าครับ อันนี้ไม่แปลกเท่าไรเพราะไปแดกเหล้ามา แต่แม่งหัวแตกเลือดโชกเลยครับพี่น้องงงง
“เชี่ย ไปโดนอะไรมาวะ” ผมรีบปรี่ไปพยุงตัวมันอย่างไวเลยครับ
“กูสะดุดเชือกรองเท้า”
“โง่อีก” มีโอกาสต้องรีบด่าครับ ตอนเมาใครมันจะไปรู้เรื่อง ฮ่าๆๆๆๆ
“ด่ากูเหรอเตี้ย” รู้อีก สัด
“เปล๊า! มึงอะ ทำไมกลับเอาป่านนี้” ผมรีบเปลี่ยนเรื่องทันที
“กู..ตามพี่ผู้หญิงคนหนึ่งเข้าโรงแรม..อืม เอากันเสร็จก็ออกมา” โคตรเลวเลย สัด แบดบอยมากว่างั้นเถอะ อิจฉาแม่งว่ะ(อ้าว)
“เออช่างเหอะ รีบทำแผลก่อนเหอะว่ะ แม่ง เมาแล้วยำเปแบบนี้ก็ไม่ไหว”
ผมลากไอ้เมามานั่งโซฟาจัดแจงทำแผลให้มันเสร็จเรียบร้อยแม่งก็เดินตัวปลิวเข้าห้องน้ำสบายใจเฉิบและออกมาในสภาพเปลือยบนเหมือนเคย แถมยังหน้ามึนเดินมาผลักผมลงบนเตียงโดยไม่ทันตั้งตัวจากนั้นมันก็ตามลงมาทับตัวผม
เฮ้ย เดี๋ยวนะ!
มึงจะทำอะไรเนี่ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ