อังซูเรย์ ยะรีกอ เขี้ยวเพชรฆาตรวิญญาณอสูร

10.0

เขียนโดย DANTE07

วันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 เวลา 19.51 น.

  8 ตอน
  0 วิจารณ์
  10.00K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 20.11 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) ช้างบุก

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
อังซูเรย์ ยะรีกอ เขี้ยวเพชรฆาตรวิญญาณอสูร
.......กองไฟกองน้อยส่งเสียงปะทุลั่นปลุกให้บุรุษทั้งสองที่นั่งอยู่ตื่นจากภวังค์ เสียงกาแฟในหม้อสนามเดือดปุดส่งกลิ่นหอมอบอุ่นตัดกับกลิ่นละอองดองไม้ป่าและความชื้นของอากาศยามดึก มะอีซาขยับตัว รินกาแฟส่งให้ พันโทพิทักษ์ อัครเศวตวงค์ ที่นั่งตรงข้ามกันพลางกล่าวชวนคุย “นายครับ อากาศปลอดโปร่งดีอย่างนี้เห็นที ‘อังซูเรย์’ คงไม่ได้อยู่ละแวกนี้เป็นแน่ ผมเห็นว่า มันคงเตลิดขึ้นไปทางสันเขาแม่ละตา แล้วกระมังครับ”
“อืมห์ ฉันก็คิดว่ามันคงไม่ได้อยู่เขตนี้หรอกในคืนนี้ แต่ฉันคิดว่า มันจะไม่ยอมทิ้งห่างพวกเรา
รอก มันคอยจ้องวนเวียนจะสู้กับพวกเรายาวทีเดียว แล้วมะอีซาเคยสำรวจเขาแม่ละตาถึงไหนแล้วละ เข้าออกทะลุปรุโปงหรือไม่”
พิทักษ์ รับกาแฟมา จิบแล้วถามกลับ
“ไม่หรอกนาย เคยเข้าไปสองสามครั้งเอง ไปกับพ่อของ มะอีซา สมัยท่านยังมีชีวิตอยู่ เป็นป่าดิบชื้นนัก ชุ่มเย็นตลอดทั้งปี แต่ พวกทากนี้ชุมนัก มีเป็นดงเลยทีเดียว ไปทางไหนก็เจอ ยกเว้นบนสันเขาที่เป็น ทุ่ง เป็นดงหญ้า เก้ง กวาง วัวแดง กระทิงมีออกให้พรึบ เสียแต่ว่าทางขึ้น มันลำบากซับซ้อนนัก”
“ทุ่ง? ทุ่งอะไรบนสันเขา” พิทักษ์ขมวดคิ้วถาม
“ผมจะอธิบายยังไงดีละนาย พอขึ้นถึงสันเขา มันจะมีทางตัดขึ้นไปอีก เป็นเหมือนที่ราบสูง กว้างไกลนัก บนนั้นก็ยังมีภูเขาอีก” มะอีซา พูดตอบด้วยสำเนียงและลิ้นของชาวป่า
“อืมห์ เห็นจะไม่ต้อง ดั้นด้นไปถึงขนาดนั้นหรอกกระมัง เราแค่มุ่งตามรอย 
‘อังซูเรย์’ เท่านั้น แต่หากมันคิดหนี ไปทางนั้นจริงก็เห็นว่าต้องตามไปทำงานให้สำเร็จ ฉันก็อยากเห็นทุ่งที่ว่านั้นเหมือนกัน ว่าแต่มันมีชื่อหรือไม่ทุ่งนั้น”
“ทุ่งแก้วครับนาย เห็นเขาเรียกอย่างนั้น เพราะหินสีๆบนเขา มันสวยงามเหมือนแก้ว มีสีเขียวสีแดงสีขาวสีดำเต็มไปหมด”
“หือ?” พิทักษ์ ยิ้มแยกเขี้ยวเห็นฟันเขี้ยวขาววับ “มะอีซา” เขากล่าวหนัก “ฉันว่า คงเป็นพวกเพชรพลอยกระมัง มีใครเคยเอามาขายในตัวเมืองรึป่าว”
“ไม่มีดอกนายไม่เคยมีใครกล้าแตะต้องเลย เพราะเจ้าป่าเขาหวงนัก ไปยิงสัตว์ก็พอได้กินแต่ไม่เคยมีใครเก็บหิน สีๆมาเลย มันเกลื่อนเต็ม ริมทุ่งไปหมด”
“เอ.. ชักอยากไปเห็นสะแล้วสิ” พิทักษ์ ยิ้มเล็กน้อย ดวงตาเป็นประกาย แล้วยกกาแฟอุ่นในมือขึ้นจิบการสนทนา พลันต้องหยุดชะงักลง เมื่อมีใครบางคนผลุดลุกขึ้น ฉันพลัน ทั้งคู่หันขวับไปดู ร่างล่ำสั้นที่นอนชิดกองไฟติดกอไผ่ ลุกขึ้นแล้วเดินตรงลิ่วมาที่มานั่งยองๆตรงหน้าพิทักษ์ ใบหน้าและแววตาส่อแสดงสิ่งผิดปกติ 
“ท่าจะไม่ดีแล้วนาย”
“มีอะไรหรือ พะตี้เย” พิทักษ์ขมวดคิ้วถาม
“นายลองตั้งใจฟังเสียงนั้นดู”
พิทักษ์ วางแก้วกาแฟ กระชับ ซีแซด 30-06 ในมือ แล้วเงี่ยหูฟังอยู่ครู่
“ไม่ได้เห็นได้ยินอะไรเลย อังซูเรย์ หรือ”
“ไม่ใช่นาย” เสียงของ พะตี้เย ขาดเพียงเท่านั้น ก็บังเกิดเสียง กิ่งไม้หัก และใบไม้เสียดสีกันกับวัตถุบางอย่าง ก็แว่วลอยขึ้นมาพร้อมกับกลิ่นอับโคนที่ลอยตามลม ขุนพิทักษ์ขมวดคิ้ว พะตี้เย ทำสัญญาณมือเป็นหูโบกและงวงแกว่ง เพียงเท่านั้น พันโทพิทักษ์ อัครเศวตวงค์ ก็รู้อะไรเป็นอะไรแล้วโดดผึ่งขึ้นมาทันที ส่งเสียงเบาลอดไรฟัน “ปลุกพวกเราเร็ว”
พะตี้เย ย่องไปปลุกพันตรีชำนาญ และนายช่างณรงค์ ส่วนมะอีซา รีบสุ่มไฟให้แรงขึ้นแล้วโดดปราดไป ปลุกคนที่เหลือ ทั้งคณะต่างงัวเงียขึ้นมา มองหน้ากันไม่ทันจะมีใครอ้าปากถาม พิทักษ์ กล่าวขึ้นเบาๆสีหน้าจริงจังว่า “ลุกเร็วมีช้างป่ามาด้อมๆมองๆใกล้กับปางพักเรานี้ดูท่าจะคุมโขลงขึ้นมาเสียด้วย” เพียงเท่านั้น ทุกคนกะโดดขวับขึ้นมา กระชับปืนขึ้นลำกล้องกันดังแกรกกราก ‘เอาไงดี’ เสียงใครบางคนพูดขึ้น “เก็บของ แล้วถอยไปหาที่กำบังก่อน” พิทักษ์พูด เหล่าพรานพื้นเมือง อันประกอบด้วย พะตี้เย มะอีซา ลามู และโอบะจิ รีบเข้าไป เก็บสัมพาระที่พอเก็บได้ เข้าไปซุกไว้ใต้โคนไม้ ส่วน พิทักษ์ ชำนาญ และนายช่างณรงค์ ต่าง พากันถอยเข้าโคน ต้นไทร ใหญ่ซุ่มดูเหตุการณ์ พิทักษ์รู้สึกใจคอไม่ค่อยดีเพราะ ปืนที่อยู่ในมือ เป็นปืนขนาดเล็ก ไม่มีแรงปะทะพอที่จะหยุดโขลง คชสารได้หากมันกรูเข้ามาจริง “ให้ตายสิถ้า ผม มีปืนที่ขนาดใหญ่กว่านี้ จะไม่หวั่นใจเลย หากมันตะลุยโขลงเข้ามา แต่ที่ถืออยู่นี้เห็นที่จะต้อง ปีนต้นไม้หนีเป็นลิงเป็นค่างแน่” “คุณพิทักษ์จะแลกปืนกับกระผมรึป่าวครับกระบอกนี้ใหญ่สุดในคณะแล้ว” พันตรีชำนาญ ขยับ เมาเซอร์ 10.75ในมือยื่นให้ “ไม่เป็นไรหรอกคุณ ผมไม่คุ้นเคยกระปืนแคริเบอร์ขนาดนั้น”พิทักษ์ยกมือห้าม “แล้วเรื่องอะไรที่จะเอาเปรียบคุณด้วยในเมื่อผม เป็นคนประมาทป่านี้เอง มี เมาเซอร์ ของคุณกับ .375 แม๊กนั่ม ของ ณรงค์ก็น่าจะเอาอยู่แม้จะเสี่ยงไปสักหน่อยก็ตามที” พิทักษ์ ปฎิเศษแล้วส่งเสียงในลำคอเบาๆ พลางคัดลูกออกจากรังเพลิงเปลี่ยนจากลูกหัวอ่อนเป็นแบบเจาะเกราะ ซีแซดขนาด 30-06 จัดเป็นปืนขนาดเล็กที่เอาไว้จัดการกับพวกสัตว์หนังบางบางประเภท เช่น กวาง และเสือ แต่เมื่อต้องมาเจอ ช้างหรือกระทิง มันก็แทบจะไร้ความั่นใจ “พวกนั้นช้ากันเสียจังขอรับ” เสียงนายช่างณรงค์ บ่นอุ่บในความมืด 
พะตี้เย และลามู วิ่งเข้ามาสมทบ มีปืนลูกซอง แบบเดี่ยวและแฝดติดมากันคนละกระบอก ส่วน มะอีซา กับ โอบาจิ ปีนขึ้นโขดหินริมผาคุมเชิงอยู่อีกด้าน ซึ่งทั้งสองก็มีแต่เพียงลูกซองเดี่ยวเช่นกัน
“โขลงใหญ่รึไม่ พะตี้” ชำนาญ ถาม “ไม่ใหญ่ดอกนาย สักยี่สิบกว่าตัวได้ ซุ่มอยู่ ธารน้ำด้านล่างนี้เอง” 
“เอ..ไอ้พวกนี้พฤติกรรมน่าสงสัย มีรึไฟออกกองใหญ่อย่างนี้ยังลับๆล่อๆเข้ามา” นายช่างนรงค์ พูดลอยๆขึ้น “ป่านี้มันเอาแน่ไม่ได้นาย สัตว์มันดุนักหนา ดีไม่ดี มันก็คุมโขลงขึ้นมา เหยียบปางพักเราแบนเท่านั้น
“ยิงไล่ดีรึป่าวครับนาย เผื่อมันสิตกใจหนีไปทางอื่น” ลามู กล่าวแสดงความคิดเห็น “ฉันว่าก็ดีเหมือนกัน แต่ระวังไว้ให้ดี ประเหมาะวิ่งเตลิดมาทางนี้ละยุ่งกันแน่ ถ้าเห็นท่าไม่ดีก็ขึ้นต้นไม้หนีก่อนนะพวกเรา” พิทักษ์สรุปง่ายๆ แล้วพยักหน้าให้กับ ลามู ไม่ทันที่ลามูจะตั้งท่ายิง เสียงปืน ลูกซองก็ดังขึ้นสนั่นในความมืดทำเอาทุกคนตกใจ กันหมด บึ่ม!! บึ่ม!! สองนัดซ้อนแต่นัดสองห่างจากนัดแรกหนึ่งช่วงจังหวะ ตามมาด้วยเสียงช้างร้องแปร้แปร๋นๆ เซ็งแซ่เป็นโกลาหน ไม่ทันที่ ชาวคณะด้านล่างจะทันรู้อะไรเป็นอะไร สีดอตัวขนาดมหึมา ก็พุ่งทะยาน ผ่านแนวไฟ เข้ามา ตามด้วยด้วย โขลงช้างทั้งโขลง ที่วิ่งกันเป็น พัลวัน ตูม!! 30-06. ในมือของพิทักษ์ก็ระเบิดกึกก้องปลุกคนที่เหลือให้ลั่นไกตาม นัดแรกที่พิทักษ์ยิง กระสุนเจาะเข้าที่ใต้ตาขวาของเจ้าพลาย ตัวที่เหมือนจะวิ่งตรงมาทางกลุ่มมนุษษ์ที่สุด มันสะบัดหัวคว้างเบนออกไปก็พอดีกับ ที่กระสุนขนาด .375 แม๊กนั่มของนายช่างนรงค์พุ่งเข้าที่ขมับพอดี มันทรุดลงไปกองกับพื้น ฝ่ายมนุษย์ ช่วยกันกระหน่ำยิง เท่าที่จะเห็นเป้าได้ถนัด อำนวยผลการยิงได้มากที่สุดคือ เมาเซอร์10.75 ของ พันตรีชำนาญ นัดเดียวเข้าแสกหน้าเป็นได้ ก้นจ้ำเบ้าทุกตัว มีเจ้าพังอยู่ตัวหนึ่ง วิ่งเหยาะๆหันรีหันขวาง เพราะพวกมันไม่เห็นฝ่ายมนุษย์ได้ถนัดว่าอยู่หนใดกัน กระสุนปืนหน้าตัดขนาดใหญ่ ของชำนาญก็ลอยละลิ่วเข้าตัดซอกขาหน้ากระสุนคว้านตีกระดูกแตกมันทรุดตัวลงกันพื้นร้องโอ๊ก ยาว ทุกคนช่วยกันยิงซ้ำ อย่างไม่ให้มันทรมาณ ยิงพลางร้องตะโกนพลาง โขลงช้างที่ตื่นตระหนก วิ่งชุลมุนชุลเก เหยียบกองไฟบางกองแตกดับกระจายหมด เสียงปืนก็ระเบิดกันที่ยิบเท่าที่ทักษะการยิงปืนลูกเลื่อน ละปืนลูกซองเดี่ยวจะอำนวยผลได้มากที่สุด ปืนลูกซองแม้จะไม่สามารถทำอันตรายแก่ ช้างได้ถึงตายคาที่เหมือนปืนไรเฟิลแต่การยิงอย่างชำนาญและระยะประชิด ด้วยทักษะพราน ก็ทำให้มันบาดเจ็บเลือดสาด ตาบอดไปหลายตัวเช่นกัน เจ้าพรายรุ่นตัวหนึ่ง งาสั้นขนาดศอกเดียวพยายามปีนหินขึ้นไปหา มะอีซาทางด้วนริมผา มะอีซาและโอบาจิ สอดกล้องปืนลูกซองเดี่ยวกดตูมไปที่เนินน้ำเต้าเหนือโคนงวง ยิงห่างไม่ถึงสองศอกผลคือ เจ้าพลายร้องโฮก แค่คำเดียวหงายหลังทรุดลื่นไถลตกผาไปขาดใจด้านล่าง 30-06. และ.375 แม๊กนั่ม ก็เช่นกัน แม้หน้าตัดจะไม่ใหญ่แต่อำนาจทะลวงมีมาก และไม่ได้ยิงอย่างพรานสมัครเล่นแต่เป็นการยิงอย่างผู้ชำนาญ ทุกนัดจึงแทบไม่สูญเปล่าเลย การยิงของ พิทักษ์ เป็นการยิงแบบ ยุทธ์วิธี สงคราม คือ มือซ้ายจับที่กระโจมมือ ส่วนมือขวาไม่ได้จับคอปืนเวลาจะเหนี่ยวไก แต่คว่ำมือลง กำที่ลูกเลื่อนทำการกระชากคัดปลอกเมื่อตบลูกเลื่อนลงก็ใช้นิ้วนางเหนี่ยวไก แล้วก็สลั่ดลูกเลื่อนคัดปลอกกระสุนแล้ว ผลักป้อนกระสุนใหม่ตามกลไก วิธียิงแบบนี้ ทำให้การยิงเป็นไปได้อย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว เพราะไม่ต้องมาเสียเวลากระชากลูกเลื่อนแล้วปล่อยมือมากำคอปืนถึงเหนี่ยวไกได้ เป็นการยิงแบบรวดเร็ว โดยคนที่จะยิงได้แบบนี้ต้องเป็นคนที่ร่างกายแข็งแรงที่ฝึกมาอย่างชำนาญมาก แต่ข้อเสียคือคือ กระสุนจะหมดเร็วและค้อนข้างขาดความแม่นยำ เสียงปืนขาดหายไปบ้างเพราะต้องผลัดกันใส่ กระสุน เป็นอีกครั้งที่เมาเซอร์ 10.75 แสดงถึงขีดความสามารถสูงสุดในการเดินป่าผจญกับสัตว์ร้าย เพราะนอกจากจะมีแรงปะทะอันหนักหน่วงแล้ว การบรรจุกระสุนก็สามารถทำได้รวดเร็วมาก เพราะมีแหนบบรรจุ โดยนำแหนบมาวางตรงช่องแล้วกด กระสุนลงไปในช่องทีเดียว 5 นัดเลย ทำให้การบรรจุกระสุนชุดใหม่เสียเวลาไม่ถึงสองวินาที เสียงการยิงปะทะดังสนั่นป่าเหมือนหนังสงคราม โขลงช้างป่าผู้ดุร้ายไม่อาจทนต่ออำนาจกระสุนปืนฝรั่งได้ บัดนี้พวกมันกำลังแตกพ่ายถอยร่นอย่างอลหม่าน ผงคลีฟุ้งไปหมดตลบอบอวน ไอ้พลายตัวหนึ่งสูงใหญ่ทมึนเหมือนภูเขาเลากายืนสะบัดงวงโบกหูอยู่ข้างกอไผ่แสงไฟกระทบโคลนที่สีข้างเป็นมันระยับ มันชูงวงส่งเสียโกญจนาถ ยาวขึ้น ประหนึ่งสัญญาณถอย ตัวมันเองก็วิ่งเหยาะๆมาทางต้นรังใหญ่ที่จะตัดลงสู่ลำห้วยเพื่อหนีทางกระสุนปืนของฝ่ายมนุษย์ แต่สายไปเสียแล้ว บัดนี้บันท้ายอันมหึมาของมันถูกจับด้วยศูนย์เปิดของ ไรเฟิลเอ็ฟเอ็น ขนาด .375 ฮอลแลนด์ แอนด์ ฮอลแลนด์ แม็กนั่ม มันคำรามลั่นเป็นนัดปิดท้ายกระสุนความเร็วสูง พุ่งทะยานเข้าโคนหางอย่างจังเหมือนจับวางกระสุนร้อยพวงตีเครื่องในแหลกเละเกิดเป็นคลื่นช็อคย่างรุนแรง มันไม่ร้องซักแอะแต่พุ่งหน้าทรุดลงกับพื้นหน้าคว่ำคะมำ งายาวข้างหนึ่งปักลงกับดินทานน้ำหนักไม่ไหวก็หักสะบั้นแตกลง นั้นนับเป็นกระสุนประกาศิตที่ปลิดได้ชีวิตอย่าง เฉียบคม เป็นอันยุติศึกระหว่างโขลงช้างป่ากับฝ่ายมนุษย์ เพราะเสียงโขลงช้างป่าแตกอู้ไปทางป่าด้านล่างไกลลิบมันคงไม่หวนกลับมาอีกแน่ ควันปืนที่ฉุนกึก เบาบางลงเสียงใครบางคนถอนหายใจอย่างโล่งอก “เอาซี้นึกว่าเสร็จมันเหมือนกันไม่มีใครเป็นอะไรใช่มั้ย” เสียงนายช่างณรงค์ตะโกนถาม
“ยังอยู่ดีแต่ยิงเสียจนลำกล้องร้อนฉ่าเป็นไฟเลย” พิทักษ์ตอบมายิ้มๆ “ผมนี้ยิงเสียจน ไหล่แทบทรุดเลย ไอ้แก่มรกดคุณพ่อนี้ถีบแรงใช่เล่น ยิงแบบนี้ทุกวันมีหวังขยาดพอดี” ชำนาญพูดขณะ เดินเลาะพงหญ้าเข้ามาสมทบ มือซ้ายก็นวดคลึงที่ไหล่ ขวาที่ดูท่าจะ ขัดๆเพราะแรงถีบของ ไรเฟิลขนาดหนัก
“พะตี้เย กับ ลามูไปสำรวจกองไฟและข้าวของว่าอะไรที่ชำรุดเสียหายไป หรืออะไรที่ควรจัดการก็แล้วแต่เลย ประเดี๋ยวฉันจะไปสำรวจรอบๆสักหน่อย แหม่มีศพช้างมานอนตายกลางแค้มแบบนี้ มันวังเวงแปลกๆ” พิทักษ์สั่งงานพรานพื้นเมืองแล้วแบบลวกๆ ก่อนนำทีมสามสหายไป สำรวจดู บริเวณรอบปางพักว่ามีช้างเจ็บตายมาน้อยเพียงใด ก็พอดีกับที่ โอบาจิ และ อะอีซาเดินลงเนินสวนมาพอดีหน้าตาบุคคลทั้งสองขาวซีด แล้วก็รายงานข่าวใหม่ให้คณะนายจ้างฟัง ข่าวใหม่ที่โอบาจิ และมะอีซาเล่า ทำให้แทบจะลืมเรื่องช้างบุกไปได้เลย 
จับใจความได้ว่า ขณะที่สองพรานพื้นเมือง ขึ้นไปหมอบรอดักช้างบนเนิน ก็พลันแว่วเสียงคน คุยกันพึมพำอยู่ในชายป่าด้านล่าง โอบาจิทำท่าว่าจะลงไปดูเพราะคิดว่าเป็นกลุ่มเจ้านาย แต่มะอีซาห้ามไว้ เพราะไม่มั่นใจในสถานการณ์
ขณะกำลังสงสัยกันอยู่นั้นเสียงนั้นก็เงียบไป ก็ปรากฏเสียงหายใจของช้างดังฟืดฟัด แทน แต่ในความเงียบนอกจากเสียงหายใจอันฟืดฟัดของช้างแล้วแล้ว ยังมีเสียงตะกุยดิน เสียงหินเกร็ดร่วงกราว อยู่ที่ทางขึ้นเนินด้านหลังที่สองพรานนอนพังพาบอยู่ โอบาจิ เอะใจเลยหันไปส่องไปดูทันที่ที่แสงไฟกระทบเป้าหมาย ขนในกายก็ลุกชันเลือดแทบจับเป็นก้อน เรี่ยวแรงที่มีพลันหายไปหมด เพราะแสงไฟจากไฟฉายอันเตอร์ขนาดแปดท่อน สาดจับไปกระทบเข้ากับ ดวงตาสีทับทิมสดใสและฟันขาวแวบในปากสีแดงฉานลายเหลืองดำพร้อย ที่อยู่ห่างออกไปไม่ถึง 20เมตรตรงหน้านั้นเอง อำนาจแห่ง เจ้าป่า ข่มให้พรานหนุ่มนอนฉายไฟแน่นิ่ง มันก้าวฉับๆเข้ามากว่าจะถึงระยะ ลูกซองในมือ มะอีซาก็ลั่นขึ้น ยิงแล้วโยนทิ้ง ก่อนจะคว้าปืนของ โอบางจิ มากด ต่ออีกนัด สิ้นเสียงปืน ก็บังเกิดเสียง โกญจนาถ ของฝูงช้างที่ยกทัพเข้ามาเหยีบปางพักหมายให้กลุ่มมนุษย์ราพนาสูน แต่เจ้าร่างขนาดใหญ่สีลายดำสลับเหลืองกลับอันตรธานหายวับไปทันทีที่ควันปืนจาง “เป็นมันแน่ครับนาย ‘อังซูเรย์’แน่นอน”
โอบาจิ ยืนยัน
“ตัวมาใหญ่มากครับนาย ไม่มีเสือตัวใดในป่านี้ที่จะมีขนาดเท่านี้ เราตามรอยมันมาจนแทบจะลูบรอยเท้าก็จำได้”
มะอีซาสมทบมา ปากคอสั่น
“ได้สำรวจบริเวณรอบๆแล้วรึยัง” พิทักษ์ถามเรียบๆดวงตาสีน้ำตาลเข้ม ส่อแววกังวล “ยังเลยนาย ทั้งเสือทั้งช้าง พอมันเตลิดไปผมทั้งสองก็รีบ มารายงานให้นายทราบก่อนครับ
“ผมว่าเราลองไปตรวจดู สักหน่อยเถิดครับ เผื่อ จะได้อะไรเพิ่ม เห็นท่าชักจะไม่ค่อยดีเสียแล้ว ที่มีเสือกินคนมาป้วนเปี้ยนใกล้แคมป์เราทั้งที่เราเป็นฝ่ายล่ามันก่อนก็ตามที” ชำนาญ แสดงความคิดเห็น พลางขยับไฟฉายในมือกราดไฟไปมา
“ก็ดี แต่ผมว่าเรียก สองพรานนั้นมาฟังความก่อนดีกว่า จะไปก็ไปกันหมดนี้แหละตอนนี้ยังไม่อยากแยกกัน” พูดจบพิทักษ์ก็ส่งสัญญาณ และโบกมือให้ พะตี้เย และ ลามูเดินมาสมทบ
“มีอะไรหรือนาย” พะตี้เย ผู้สำเหนียกถึงสิ่งผิดปกติของเหตุการณ์ ได้เร็วกว่าทุกคนยิงคำถามก่อนจะมีใครเอ่ยปากออกมา
“ไอ้ตัวที่เราตามล่าอยู่นะสิ ตอนนี้มัน ย้อนรอยกลับมาล่าเราแล้ว” 
“อังซูเรย์ !!” พะตี้เย และลามูสะอึกคำพูดออกมาพร้อมกัน 
“ใช่ มันนั้นและ พะตี้ ลองถาม มะอีซาดู” 
พรานพื้นเมือง วัยฉกรรจ์หันไปส่งภาษาถิ่น ทำไม้ทำมือเสียงดังล้งเล้ง สอบถาม ความกันอยู่ครู่ ก็บังเกิด สีหน้าแววตา พิลึกที่ไม่มีใครอ่านออก 
‘อังซูเรย์’ เสียงแผ่วเบาลอด ออกจากปากของ พะตี้เย เสียงนั้นเลื่อนลอย เบาหวิวคล้ายดังคนถูกมนต์สะกด สายตา ของพรานผู้เจนจัดต่อป่า หันมาสบตา คณะนายจ้างโดยตรง แล้วมาหยุดที่หัวหน้าคณะอย่าง พิทักษ์ พูดแผ่วเบาว่า
“นายตบะมันร้ายเหลือเกิน มันเป็นมากกว่าสมิง เป็นวิญญาณร้าย อังซูเรย์ ใช้มนต์บังคับโขลงช้าง ให้มาโจมตีเราเพราะมันรู้ว่าเรากำลังตามล่ามัน นาย มันไม่ใช่เสือธรรมดา อย่างที่นายคิด นายจะตามมันอีกหรือ นาย” เสียงของพะตี้เย หยุดลงเพียงเท่านั้น แววตาที่กำลังสบสน และหวั่นเกรงของ พะตี้เย ถูกสบ โดยดวงตาสีน้ำตาลเข้มอันมั่นคงคู่หนึ่ง มันเป็นดวงตา ของหัวหน้าคณะ มือข้างหนึ่งของเขากุมที่ไหล่ของพรานเฒ่า
“ พะตี้เย” เสียงนั้นกล่าวขรึมๆ
“ขะรับนาย” พะตี้เย ขานตอบ
“เราก็รู้อยู่แก่ใจมิใช่หรือ ว่า ไอ้เสือเวรนี้ มันเป็นสมิง แต่กระนั้นฉันและเพื่อนก็อาสาติดตามมาปราบให้ ไม่ใช่ว่าฉันจะเป็นผู้วิเสษมาจากไหน เพียงแต่ว่า ฉันคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ กับ ผู้คนที่หมู่บ้าน ว่าจะตามล่าตามล้าง ไอ้เสือตัวนี้ให้จงได้ ซึ่งพะตี้เย ก็อาสารับนำทางมา พะตี้เย จำได้หรือไม่”
“จำได้นาย”
เสียงพะตี้เยดู มั่นคงขึ้น
“ดีแล้ว การที่พะตี้ แสดงอาการเหมือนหวาดกลัวก็ย่อม ทำให้คณะเราเสียกำลังใจ เพราะพะตี้ เป็นพรานใหญ่หากพรานใหญ่แสดงความหวาดวิตกแล้ว พรานรุ่นน้องและกลุ่มนายจ้างก็จะคอยไขว้เขว พะตี้ยังคิดจะให้ฉันล้มความตั้งใจในการ ล่า อังซูเรย์ หรือไม่”
“ไม่ขะรับนาย พระคุณนายนั้นมีล้นฟ้าที่ได้ช่วย พะตี้และลูกเมียไว้ แม้จะบุกป่าลุยน้ำพะตี้ก็จะไม่ทอดทิ้งนายจะติดตามรับใช้นายไปทุกหนแห่ง” พะตี้เย พูดพร้อมกราดมอง กลุ่มนายจ้าง
“ดีแล้ว ตอนเห็นพะตี้เหม่อๆเมื่อกี้ฉันใจหายหมด” ชำนาญ กล่าวยิ้มๆ
“แต่ฉันว่าน่าจะมีสิ่งผิดปรกตินะ” ณรงค์แย้งมา ดวงตาสีฟ้าจับจ้องไปที่ใบหน้าอันซีดเซียวของพะตี้เย 
“หรือว่าพะตี้จะไม่สบาย” พิทักษ์ กล่าวขึ้น เลื่อนมือขึ้นไปอังซอกคอ ของพะตี้ดู “เอ้ ตัวก็ไม่ร้อนนิ ให้นายช่างณรงค์ตรวจหน่อยมั้ยพะตี้ หยูกยาฉุกเฉินก็พอจะมีมาอยู่” “ผมไม่เป็นอะไรครับ นาย ไม่ได้ป่วยเพียงแต่ว่า จิตใจช่วงนี้ไม่ค่อยปรกติ เท่านั้น”
“ยังไง” 
เสียงใครบางคนซักมา ระหว่าง ที่ทั้งสี่ยืนพูดคุย สามพรานพื้นเมืองหนุ่มก็ พากันขยายกองไฟ ไว้ในที่ต่างๆรวมถึง บริเวณปากทางเข้าแคมป์ ที่ทั้งหมดยืนคุยกันด้วย แสงไฟทำให้เห็นใบหน้าและดวงตากันชัดเจน
“ก่อนช้างจะบุก” เสียงพะตี้ พูดเนิบๆ 
“ผมฝันเห็น เสือโครงตัวใหญ่ มันมาเดินลัดเลาะปางพักของเรา บนหลังมีหญิงชรา ผมหงอกขี่หลั่งคร่อม มาด้วย หญิงชรา จะใช้ไม้ตะพดตีที่ตัวเสือ เวลาที่ต้องการให้มันทำบางอย่างหรือไปทางใหน” “อืมห์ เข้าท่าแล้วไงต่อ” ชำนาญซัก ส่วน พิทักษ์ กับ ณรงค์เหลียวมองหน้ากัน อย่างบังเอิญ
“หญิงชรา ขี่เสือมาตรงที่ผมนอนพอดี” พะตี้เยเริ่มเล่าต่อ
“หญิงชรา ชี้เหน้าผมด้วยไม้ตะพดแล้วพูดภาษาที่ผมเองไม่เข้าใจ เสือใหญ่ตัวนั้น ยืนแยกเขี้ยวโง้งยาวขาววับ ดวงตามันจ้องเขม็งมาที่ผม ผมพยายามหยิบปืนแต่ร่างกายมันหนักไปหมด เสือตัวนั้นมันก้าวตรงที่ที่ผมแล้วมันก็หยุดชะงัก ร้องคำรามและเอาท้าตะกุยอากาศเบื้องหน้า มันไม่สามารถก้าวพ้น แนวไฟเข้ามาในปางได้ มันคำรามอย่างกร้าวโกรธ หญิงชรา ก็เอาไม้ตะพดตีอย่างแรงแล้วเสือแล้วมันก็ม้วนตัวกลับ แต่ก่อนที่มันจะก้าวลับไปไนราวไม้ หญิงชราก็หัวเราะดังแหบห้าว พร้อมบ่นเป็นภาษาที่ฟังไม่เข้าใจ เสือใหญ่นั้น ได้หยุดเดินแล้วเหลียวกลับมาดูในแคมป์ มันไม่ได้มองมาที่พะตี้ แต่มองมาผ่านเข้าไปในใจกลางแคมป์ดวงตามัน เหมือนคนอย่างที่สุด แต่ผมอ่านความหมายไม่ออก จากนั้นผมก็ตื่น” เสียงใครบางคนลัดนิ้วดังเปาะ ตามด้วยเสียงผิวปากดังวืด เมื่อพะตี้เย หยุดเล่า ทั้งสามเหลียวมองหน้ากัน ก่อนจะกระเดือกน้ำลายฝืดๆลงคออันแห้งฝาก “เอาเข้าจริงแล้วไง” ชำนาญพูดพลางลูบขนแขนอันลุกเกรียว “แล้วหลังจากพะตี้ตื่นละ” พิทักษ์ถาม “ผมรู้สึกและได้ยินเสียง ช้างขอรับ จึงรีบจะมาปลุกเจ้านาย แต่ เห็นนายพิทักษ์ ที่นั่งยามอยู่กับมะอีซาพอดี” “อ้อ คุณพิทักษ์ ออกมานั่งยามตั้งแต่ตอนไหนครับผมเห็นหลับไปตั้งแต่ หัววัน” ณรงค์ ถามขึ้นตัดจังหวะ “ผมลุกมาธุระเบาครับเห็นมะอีซานั่งอยู่คนเดียวเลยเข้าไปนั่งเป็นเพื่อน ก็นั่งกันอยู่ครู่ใหญ่ก็เห็น พะตี้เย ลุกมาบอกว่าช้างมาล้อมปางอยู่ จากนั้นก็วินาศสันตะโรกันอย่างที่นั้นนี้แหละครับ”
“ความฝันของพะตี้เย ดูพิลึกน่ากลัวปนสยอง เหมือนกัน แต่มันก็เป็นเพียงความฝันนะ พะตี้ ไม่ต้องคิดมาก อย่าได้เก็บมาใส่ใจเป็นเรื่องหนัก เราตามรอยล่า เสือกินคน มาเป็นอาทิตย์แล้ว ก็มีบ้างที่จิตพะวงจนเก็บมาฝัน” พิทักษ์ปลอบ เขารู้ดีว่าจิตใจพรานของเขา ผ่านอะไรมามากมายในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ เรื่องบางอย่างก็เก็บเอาไปคิดจนทำให้จิตใจ เกิดฟุ้งซ่านและห่อเหี่ยวสับสนจนผิดจากที่เป็นอยู่
“คะรับนาย แต่มันเหมือนจริง จนแยกแทบไม่ออกทีเดียว เหมือนกันว่า มันเกิดขึ้นจริงๆ” “พะตี้หมายความว่าไง” พิทักษ์ซักต่อ แววตาดูเข้มขัง พะตี้เยขยับตัวเข้ามาใกล้ พูดเบาๆตอบ “พะตี้คิดว่า เสือในฝันคืออังซูเรย์” เสียง ชำนาญกับณรงค์อุทานหลุดมาเหมือนจะพูดอะไร แต่พิทักษ์ยกมือห้ามไว้ พยักหน้าให้ พะตี้เล่าต่อ 
“ผมคิดว่ามันมีวิญญาณร้ายที่แก่กล้าสิงอยู่ มันคงจะมาป้วนเปี้ยน แถวปางพักเราอยู่ครู่ใหญ่แล้วแต่มันไม่ใกล้าเข้ามาด้วย อำนาจไฟ และพิธีกรรมบางอย่างที่เราทำไว้ตั้งตอนตั้งแคมป์ มันก็เลย”
“ก็เลย ไปใช้อาคมหรือเวทมนต์ บังคับช้างให้มา เหยียบเราแทน ใช่หรือไม่”ชำนาญ สอดมา พิทักษ์เหลียวหน้าไปมองสหายรักอย่างฉงน “ทำไมคุณชำนาญ คิดแบบนั้นครับ” “ก็รูปการมันบอกอย่างนั้นนี้ครับ พะตี้ฝันเป็นเรื่องเป็นราวว่า มีเสือมาวนเวียนรอบแคมป์ แต่ว่ามันเข้ามาไม่ได้ แล้วเสือมันก็หายในป่า ใช่มั้ยตะตี้” ประโยคน์หลังชำนาญหันถาม พะตี้พยักหน้ารับ “ตอนนั้นพะตี้เยคงไม่รู้ว่ามันหายไปไหน แต่พอเกิดเหตุการณ์จริงตอนช้างบุกแล้ว มะอีซากับโอบาจิ ไปเจอเสือใหญ่ พะตี้มารู้เข้าก็คงเอามาเหมาเป็นเรื่องราวเดียวกัน ถึงกับหน้าซีดกันเลยเมื่อกี้ ฉันพูดมาถูกต้องมั้ยพะตี้” “ขะรับนายเป็นอย่างที่นายทหารว่า”พะตี้เย ตอบเสียงอ้อมแอ้ม “คุณชำนาญ เข้าใจประติดประต่อเรื่องนะครับ หากไปเป็นคนเขียนนิยายแนวลึกลับคงจะขายดีไม่น้อย” ณรงค์แซวมายิ้มๆ “เอาหละไว้ค่อยคุยกันเวลาอื่นตอนนี้เราไปสำรวจรอบๆก่อนเผื่อจะได้อะไรเพิ่มเติม นอกจากกองซากช้างตายเป็นพะเนินนี้” พิทักษ์ตัดบท “ก็ดีเหมือนกัน เอ้า!!ก่อนไป ดื่มสักหน่อยพะตี้เลือดลมจะได้เป็นปรกติ” ชำนาญ ส่งแบนเหล้าแสตนเลส ให้พะตี้เย กรอกลงคอไปอึกใหญ่ แล้วส่งวนเวียนไปครบทุกคน ก่อนที่จะเหลือกลับมาที่ตัวเองเพียงน้อยนิด จึงยกซัดเรียบหมดแบน “ว้า ..หมดเสียแล้ว รู้งี้น่าจะติดมาขวดใหญ่ๆก็ดี ทิ้งไว้หมู่บ้านหมด เวลาแบบนี้ช่วยเรื่องเลือดลมและกำลังใจดีนัก” ชำนาญบ่นอย่างเสียดาย “อย่าไปเสียดงเสียดาย อะไรกับเหล้าเลย ถ้าจะเสียดายนะคือผมเอาปืนมากระเล็กเกินไปป่านี้มันลองดีกับเราเข้าแล้ว” พิทักษ์พูดพลาง เกร็ดบุหรี่ใส่ปากแล้วป้องไฟจุด แล้วโยนทั้งซองให้สองสหาย เขาอัดควันเข้าลึกแล้ว ปล่อยยาว ลมดึกตีควันฟุ้ง พิทักษ์หนีบไรเฟิลที่ซอกแขนมือคีบบุหรี่ “ไปพวกเรา เริ่มจะดูจากตรงที่ มะอีซายิงเสือ ดูทีว่าจะได้อะไรเพิ่มเติม” ขณะกำลังลังจะก้าวไป นายช่างณรงค์ ก็สะกิด แขนพิทักษ์ ดวงตาสีฟ้าครามคู่นั้นสบตาตรงมีประกายลึกลับกล่าวยิ้มๆให้ได้ยินแต่เพียงสองคนว่า “ถ้าเสือ ในฝัน ของพะตี้เย เป็นจริงดังว่า ก่อนมันจะกลับเข้าไปในป่ามันได้เหลียวกลับมาดูในกลางปางพัก ผมว่ามันคงจ้องดู คุณกระมัง” กล่าวจบก็พาดปืนขึ้นบ่าเดินอาดๆตามพวกนั้นไป ทิ้งให้ นายทหารหนุ่ม ยืนเสียวสันหลังวูบเขากระเดือกน้ำลายฝืดๆลงคอ ก่อนจะอัดควันลึก แล้วดับบุหรี่ลงด้วยพื้นรองเท้าคอมแบท เขาสาวท้าวเดินตามไป โดยมี ลามู เป็นคนระวังหลังให้นายจ้างผู้รั้งท้ายสุด
.......................................................................................
Dante

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา