รอรักเคียงใจ

-

เขียนโดย 0ilz

วันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2561 เวลา 21.31 น.

  9 บท
  0 วิจารณ์
  10.15K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 เมษายน พ.ศ. 2561 21.44 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

9) ความสัมพันธ์บางเบา

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่7

ความสัมพันธ์บางเบา

            “คุณมุกมณีคนสวยของพี่ธีร์ไปไหนแล้วคะ พริมไม่เห็นหลายวันแล้ว”หลังจากที่สนามแข่งรถก็ไม่เห็นหญิงสาวอีกเลย ทั้งๆที่มักจะเกาะติดธีทัตแจอย่างกับปาท่องโก๋

                “มุกเขากลับกรุงเทพฯไปแล้ว บริษัทส่งมาดูงานแค่ไม่กี่วัน อีกอย่างที่เราต้องพูดใหม่ให้ถูกก็คือ มุกไม่ใช่ของพี่”

                “ใครจะไปรู้ล่ะคะ เห็นปล่อยให้เกาะแขน เบียดกระแซะขนาดนั้น ก็นึกว่าคนพิเศษ”

                พูดไปก็ทำท่าทางประกอบด้วย แต่ไอ้เบียดกระแซะนี่เห็นจะไม่ใช่ เหมือนเธอเอาทั้งไหล่ทั้งศอกมากระแทกอกเขามากกว่า เรื่องความแรงไม่มีปัญหา แต่มีปัญหาตรงที่เขาหมั่นไส้ จึงแจกมะเหงกบนหน้าผากกลมมนไปหนึ่งที คนโดนเขกหน้าผากแบบไม่ทันตั้งตัวถึงกับต้องยกมือขึ้นลูบป้อยๆ

                งานนี้คงต้องหารางวัลตุ๊กตาทองมาแจก เจ็บได้สมบทบาทมาก ทุกคนได้แต่คิดในใจ

                “โอ้ย...เขกมาได้ ถ้าพรุ่งนี้มันโนจะทำไง”

                “ก็ดีจะได้นอนพักผ่อนอยู่บ้าน ไม่ต้องไปสอนพิเศษ วันเสาร์ควรจะได้หยุดดันรับงานเพิ่มแถมไม่ได้เงินอีกต่างหาก”

                “นี่ไงต้นตอที่ทำให้คุณภาพเด็กไทยเสื่อมถอย อีกอย่างนะคนที่เกิดมาบนกองเงินกองทองจะเข้าใจอะไร”คำพูดประชดประชันส่งผ่านให้รอบโต๊ะอย่างทั่วถึง เพราะคำว่าเกิดมาบนกองเงินกองทองหมายใจให้กระทบทุกคน

                “รถที่มีเหมือนกันทุกบ้าน แต่กำลังเติมน้ำมันมีไม่เท่ากันหรอกนะ บางคันเติมได้เต็มถังก็วิ่งไปถึงจุดหมายที่ต้องการ บางคันน้ำมันน้อยก็คว้าเอาจุดหมายใกล้มือไว้ก่อนแต่อาจจะไม่ใช่สิ่งที่หวัง แล้วคนที่ไม่มีรถล่ะ พวกเขาต้องวิ่งคว้าฝันตัวเอง ก็เหมือนเด็กที่ไม่มีกำลังเงินต้องพยายามมากกว่าคนอื่นอาจจะสองเท่าหรือสามเท่า แล้วสิ่งที่พริมทำมันไม่ดีตรงไหน นักเรียนพริมไม่มีเงินลงเรียนพิเศษ ตะลุยโจทย์แอดมิชชั่น พริมเพิ่มโอกาสให้เขาด้วยการสอนฟรี ก็แค่เหนื่อยเพิ่มนิดหน่อย แต่รู้ไหมเวลาที่เด็กๆเหล่านั้นเดินมาบอกว่าแอดฯติดคณะที่ตัวเองใฝ่ฝันน่ะ มันมีความสุขมากแค่ไหน”

                รอบโต๊ะถึงกับเงียบกริบนั่งฟังผู้มีจิตวิญญาณแม่พิมพ์ของชาติสาธยายหลักการและเหตุผลกันตาปริบๆ ไม่มีใครกล้าค้าน เกรงว่าจะกลายเป็นต้นตอที่ทำให้คุณภาพเด็กไทยเสื่อมถอยไปอีกคน

                “ผมว่าพี่พริมทำถูกแล้ว”คชายกนิ้วให้

                “ใช่พี่ คนที่ค้านเลวมากบอกเลย”จีรวัฒน์พยักหน้าหงึกหงักช่วยเสริมอีกแรง

                แต่คนคิดดีกลับไม่ได้รับกรรมดีตอบแทน เก้าอี้ที่นั่งอยู่ถูกเท้าฝั่งตรงข้ามถีบผ่านใต้โต๊ะมาอย่างแรงจนล้มหงายท้องตึง เจ็บจุกและร้าวระบมไปหมด คนเจ็บส่งสายตาอ้อนวอนสองเพื่อนรักให้ช่วยประคองลุกขึ้น แต่กลับได้รับเสียงหัวเราะเยาะมาเสียอย่างนั้น

                รักกันจริงๆ ไอ้เพื่อนบังเกิดเกล้า!

                “เป็นไงล่ะจิ พี่เคยบอกแล้วว่าอย่าลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์”

                พริมมาดาร่วมหัวเราะผสมโรงไปกับสองหนุ่ม มีเพียงปราณภพที่ยังรักษาภาพพจน์ของคุณหมอผู้สุขุมด้วยการยิ้มขำเท่านั้น

                เมื่อเสียงหัวเราะเงียบลงพริมมาดาทำท่าจะลุกไปช่วยพยุงหนุ่มรุ่นน้องที่ยังนั่งจุ้มปุ๊กอยู่ที่เดิม เพราะโต๊ะของเธอกลายเป็นจุดสนใจจากคนรอบข้าง บางคนเริ่มจ้องมอง ชี้มือมาทางนี้และซุบซิบกันอย่างสนุกปาก เพื่อนๆที่หวังพึ่งพาก็ไม่คิดจะดูดำดูดี ใจดำเหลือเกิน แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้ขยับขาออกจากเก้าอี้ แรงกระตุกที่ชายเสื้อก็ทำให้เธอต้องหล่นกลับไปนั่งอยู่ที่เดิม พร้อมกับเสียงห้วนดังสำทับตามมา

                “ไม่ต้อง ให้มันลุกเอง”

                “ใจร้าย”หญิงสาวทำหน้ากระเง้ากระงอดกับคำประกาศิตของพี่ใหญ่สุดในวง

                “แล้วผมจะจำไว้ว่าเพื่อน พี่ น้องพึ่งพากันไม่ได้”คนเจ็บลุกขึ้นมาปัดฝุ่นออกจากตัวแล้วแจกค้อนหนักๆให้ทุกคน แต่มีหรือที่มนุษย์พวกนี้จะรู้สึก

                จีรวัฒน์เก็บเก้าอี้ที่นอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้นขึ้นมาแล้วลากกลับมานั่งที่เดิม ใบหน้างอง้ำตวัดสายตาขุ่นๆไปทางต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องลงไปคลุกฝุ่น พร้อมกับบริภาษในใจ จริงๆก็อยากด่าตรงๆอยู่หรอก ถ้าไม่กลัวว่าคืนนี้จะไปจบลงที่ห้องใดห้องหนึ่งในโรงพยาบาล

                “พี่ๆดูสนิทกันมากเลยนะคะ โดยเฉพาะพี่พริมกับพี่ธีร์ เป็นพี่น้องที่รักกันดีจนน่าอิจฉา”นับดาวยิ้มขำกับความสนิทสนมของหนุ่มๆที่ปกติแล้วไม่ค่อยมีภาพแบบนี้ให้เห็นบ่อยนัก เพราะในเวลาทำงานพวกเขามักจะจริงจังและทำหน้าตาเคร่งเครียดกันตลอด

                รวมทั้งความน่ารักของสองพี่น้องที่ระยะหลังมานี้มักจะมีหยอกล้อกันให้เห็นบ่อยๆ จนหลายๆคนนึกอิจฉา

                หากแต่รอยยิ้มใสซื่อของนับดาวกลับดับรอยยิ้มของอีกคนไปทันตา คำว่าพี่น้องที่ถูกตอกย้ำมันทำให้พริมมาดาตระหนักถึงความสัมพันธ์ที่ถูกขีดเส้นไว้อย่างชัดเจนมาตลอด เธอกับธีทัตเป็นพี่น้องกัน ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง และอาจจะไม่มีการพัฒนาต่อ แต่ทำไมความรู้สึกของเธอมันถึงพัฒนาไปไกลขนาดนี้เล่า

                ตั้งแต่เธอกับธีทัตกลับมาเข้าใจกันเหมือนเดิม เขาก็คอยดูแลห่วงใยเธออย่างมากมาย มีมุมน่ารักที่ทำให้เธออบอุ่นในหัวใจเสมอ จนบางครั้งก็ทำให้คิดว่าเขารู้สึกพิเศษด้วย แต่ความเอาใจใส่เหล่านี้เธอก็ได้รับจากปราณนต์และปราณภพไม่ต่างกัน อีกทั้งก็ยังไม่ต่างจากที่ชายหนุ่มเคยทำในวันวานไม่ใช่หรือ ดังนั้นจึงไม่สามารถวัดได้ว่าเขาก็มีความรู้สึกดีๆให้เธอเหมือนอย่างที่เธอรู้สึก

                อาการที่แสดงออกว่าหวงก็อาจจะเป็นเพียงแค่ พี่ชายหวงน้องสาวเท่านั้นเอง

                ทั้งที่อะไรๆต่างก็ดูคลุมเครือ ไม่ชัดเจนสักอย่าง...แล้วเธอเอาอะไรมาคิดเข้าข้างตัวเอง?

                หลังจากที่นับดาวพูดแทรกขึ้นมากลางวง พริมมาดาก็นิ่งเงียบไป ไม่พูดอะไรอีกเลย สามหนุ่มหันมองหน้ากัน แม้จะไม่ได้พูดอะไรแต่ก็เข้าใจความหมายที่ส่งผ่านทางสายตา งานนี้ต้องมีใครสักคนเสียสละตัวเอง

                พงศกรส่ายหน้าหวือก่อนใคร ในขณะที่จีรวัฒน์ก็ตามมาติดๆ มีเพียงคชาเท่านั้นที่เบือนหน้าหนีบ่งบอกว่าอย่างไรเสียเขาก็ไม่ไป

                “ไอ้ตูนมึงไป”พงศกรตัดสินใจให้เสร็จสรรพโดยไม่สนใจประชาธิปไตยใดๆทั้งนั้น เพราะมันไม่เคยเต็มใบในหมู่พวกเขาอยู่แล้ว

                “เรื่องอะไรมาใช้กู มึงก็ไปเองสิ”คนที่ถูกโยนระเบิดมาให้ปฏิเสธเสียงแข็ง

                “งั้นไอ้จิไป”

                “ไม่ต้องเถียงกัน มาโอน้อยออก”จีรวัฒน์ทนรำคาญไม่ไหวจึงต้องหาทางยุติ ไม่อย่างนั้นอาจจะเป็นตัวเขาเองที่ซวย

                “มาๆ ขาดมือใคร”พงศกรยื่นมือไปกลางวง แต่นับแล้วได้แค่สาม “คุณหมอครับอย่าเนียน มืออยู่ไหน”

                “พี่ว่าเรื่องนี้พี่ไม่ยุ่งดีกว่า”บอกไปอย่างนั้นทั้งๆที่ไม่รู้หรอกว่า ‘เรื่องนี้’ คือเรื่องไหน

                เมื่อได้รับการปฏิเสธอย่างรวดเร็วราวกับไม่ต้องใช้สมองอันชาญฉลาดคิด สามหนุ่มจึงพร้อมใจกันเบ้ปาก นี่พวกเขาไม่คนใดก็คนหนึ่งต้องเป็นผู้รับชะตากรรมอีกแล้วใช่ไหม

                แล้วผลที่ออกมาก็ทำเอาผู้ถูกเลือกถึงกับฟุบหน้าลงบนโต๊ะ คชาขยี้ผมตัวเองแรงๆก่อนตัดใจลุกจากเก้าอี้อย่างเซ็งๆ

                “ต้องมีคนไปช่วยถือ คนเดียวไม่ไหวหรอก”

                “ป่ะพี่ไปด้วย”พริมมาดาขันอาสา จะปล่อยให้หนุ่มรุ่นน้องที่ไม่มีความเต็มใจไปเบียดแย่งซื้ออาหารไม่รู้ว่าเที่ยงคืนจะได้กินหรือเปล่า

                “เจ๊ไม่ต้อง”จีรวัฒน์รีบยกมือปรามอย่างรวดเร็ว “นับดาวไปกับไอ้ตูน เป็นน้องต้องบริการพี่ ถูกไหม๊?”

                แหม...ทำมาเป็นถามเสียงสูง อย่างไรก็บังคับให้เธอไปอยู่แล้วจะถามทำไม นับดาวได้แต่คิดในใจอย่างระอา แต่ก็ยอมลุกจากเก้าอี้แต่โดยดี ไม่มีการโต้เถียง เพราะรู้ว่าอย่างไรก็ไม่ชนะ

                หญิงสาวมองแผ่นหลังของคนตัวใหญ่ที่เดินนำหน้าอยู่โดยไม่แม้แต่จะรอเธอ ตั้งแต่เดินออกมาจากหน้าเวทีประกวดนางนพมาศ นี่ก็ราวๆห้านาทีแล้ว แต่ชายหนุ่มยังไม่แวะสักร้าน เขาเดินวนไปวนมา ชะโงกหน้ามองเมนูอาหารที่วางขายแล้วก็เดินผ่านไป

                ไม่รู้ว่าแกล้งให้เธอเดินจนขาลากหรือเปล่า

                นับดาวเดินตามคชาไปเรื่อยๆ จนในที่สุดความหิวบวกกับเสียงท้องร้องก็ทำให้ความอดทนของเธอหมดลง แต่ชายหนุ่มอยู่ห่างจากเธอมากพอสมควร อีกทั้งคนก็เบียดเสียดกันจนน่าอึดอัด ทางเดินที่เล็กอยู่แล้วยิ่งไม่มีที่ให้แทรกตัวผ่านขึ้นไปข้างหน้าได้เลย แต่นาทีนี้เธอต้องยอมเสียมารยาท

                ร่างเล็กพยายามแทรกตัวผ่านฝูงชนที่แน่นราวกับปลากระป๋องถูกอัดเพื่อให้ไปถึงตัวคนที่อยู่ข้างหน้า หลายครั้งที่ถูกกระแทกจากคนหนึ่งจนตัวเองเซไปชนกับอีกคนหนึ่งแต่เธอก็ยกมือไหว้ขอโทษเพื่อไม่ให้เกิดปัญหา กว่าจะคว้าไหล่คนที่เดินตัวปลิวอย่างสบายใจได้ก็ทำเอาเหงื่อโซมกาย

                “จะเดินไปถึงไหน หิวแล้วนะคะ”

                คชาหันกลับมามองแว็บเดียวแล้วก็หันกลับไปเหมือนเดิม ทำราวกับไม่ได้ยินที่เธอพูด

                “เออ...อยากจะไปไหนก็ไป ซื้อเองก็ได้”คนที่ไม่มีอะไรตกถึงท้องมาตั้งแต่เย็นนึกฉุน ประกอบกับทิฐิที่มีในใจทำให้ไม่คิดจะง้อหนุ่มรุ่นพี่อีกต่อไป รู้หรอกว่าไม่ชอบหน้าเธอ ไม่อยากแม้แต่จะมอง แต่คนอื่นรออาหารอยู่ช่วยสำนึกหน่อยเถอะ

                ร่างบางสะบัดหน้าหนีแล้วเดินเข้าไปในร้านขนมจีนน้ำเงี้ยวเพราะคนน้อยที่สุด ข้างๆกันคือร้านส้มตำไก่ย่าง หญิงสาวก็ไม่ลืมที่จะเดินเข้าไปสั่งไว้แล้วกลับมารอที่ร้านขายนมจีนเหมือนเดิม ตอนนี้ซื้ออะไรได้ก็ต้องซื้อไว้ก่อน หากมัวแต่เลือกมากคงอดกันพอดี

                หลังจากที่รออยู่ราวๆยี่สิบนาที นับดาวก็หอบหิ้วของพะรุงพะรังเดินฝ่าฝูงชนเพื่อจะกลับไปยังหน้าเวทีประกวดนางนพมาศอีกครั้ง แต่เธอนึกขึ้นได้ว่าลืมซื้อน้ำ

                “โอ้ยตั้งเจ็ดขวด จะหิ้วไปหมดไหมเนี่ย”นับดาวโอดครวญซ้ำยังหงุดหงิดใครบางคนที่ไม่คิดจะมาช่วยเลยสักนิด ทั้งที่เป็นความรับผิดชอบของตัวเองแท้ๆ ป่านนี้คงกลับไปนั่งรอสบายใจอยู่ที่โต๊ะแล้วกระมัง

                หงุดหงิดไปก็ไม่ได้ช่วยอะไร คิดได้ดังนั้นนับดาวก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วเดินเข้าไปต่อแถวที่ยาวจนน่าตกใจว่าเป็นแค่ร้านขายน้ำเปล่าจริงๆหรือ

                นับดาวอดทนรอให้แถวขยับไปข้างหน้าเรื่อยๆอย่างใจเย็น ตอนนี้แขนทั้งสองข้างเริ่มมีความรู้สึกเมื่อยล้า เพราะสิ่งที่อยู่ในมือรวมๆกันแล้วมีน้ำหนักไม่น้อย ด้วยความที่มัวแต่ก้มหน้าก้มตาจัดแบ่งถุงให้เท่ากันทั้งสองข้างเพื่อลดน้ำหนัก ทำให้ไม่เห็นคนเมาที่เดินโซซัดโซเซเข้ามาใกล้ รู้สึกตัวอีกทีก็โดนกระแทกจากด้านหลังอย่างแรงจนร่างบางเซไปหลายก้าว คาดการณ์ว่าต้องล้มหน้าคะมำแน่ๆ

                แต่แล้วพื้นกลับไม่ได้แข็งอย่างที่คิด ความรู้สึกคล้ายกับสัมผัสสิ่งมีชีวิตอะไรสักอย่าง ไออุ่นกับเสียงหัวใจที่เต้นตุบตับอยู่ข้างหูทำให้หญิงสาวมั่นใจมากขึ้นว่าเธอเซมาปะทะอกของใครบางคน

                “ทำไมไม่รู้จักระวัง”น้ำเสียงดุๆลอยมากระทบโสตประสาท เรียกสติที่กำลังหลุดลอยให้กลับมาได้อย่างรวดเร็ว เมื่อรู้ว่าเป็นใครก็ทำให้ต้องเก็บคำขอบคุณที่คิดจะพูดลงคอไปทันที

                “ก็ไม่มีตาหลังนี่ จะเห็นได้ไง”

                “จะเอาอะไร”เสียงทุ้มถามขึ้น นับดาวรู้สึกว่าเสียงเขาอ่อนลงกว่าเดิมมากทีเดียว

                “น้ำเปล่า”

                “ส่งของมา แล้วยืนรออยู่ตรงนี้”

                ดวงตากลมโตช้อนมองคนตัวสูงกว่าด้วยความแปลกใจ เธอแทบไม่เชื่อหูตัวเอง เขาน่ะหรือจะใจดีกับเธอถึงสองครั้งติดต่อกัน ถ้าพรุ่งนี้ร้อนสัก 20 องศายังจะพอเป็นไปได้ สภาพอากาศแปรปรวนยังน่าเชื่อกว่าอารมณ์คชาแปรปรวนจากร้ายมาเป็นดีแบบนี้

                “อย่ามัวแต่งง ส่งของมาสักที”เมื่อคนตรงหน้ายังยืนนิ่ง มือแกร่งจึงเอื้อมไปคว้าเอาถุงอาหารในมืออีกฝ่ายมาเสียเอง แล้วเข้าไปต่อแถวเพื่อซื้อน้ำ ไม่นานเขาก็กลับออกมาพร้อมกับน้ำเจ็ดขวดตามจำนวนคนไม่ขาดไม่เกิน

                ขากลับคชาเดินช้าลง คล้ายกับจะรอให้อีกคนตามทัน แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรจนกระทั่งนับดาวตัดสินใจถามอะไรบางอย่างออกไป

                “พี่ตูนกลับมาสูบบุหรี่ตั้งแต่เมื่อไหร่”

                “ไม่ใช่เรื่องของเธอ”

                “รู้ว่าไม่ใช่เรื่องของดาว ก็แค่ถามตามประสาคนรู้จักกันไม่ได้เหรอคะ ดาวแปลกใจเพราะเห็นพี่เลิกไปตั้งนานแล้ว ทำไมถึงกลับมาสูบมันอีก”

                “รู้แล้วได้อะไร”หางคิ้วข้างหนึ่งเลิกขึ้นอย่างสงสัย แต่แล้วก็หันกลับไปเพราะไม่ต้องการคำตอบ และไม่คิดจะตอบคำถามของเธอด้วย

                “ช่างเถอะค่ะ ไม่อยากรู้แล้วก็ได้”หญิงสาวตัดบทด้วยน้ำเสียงเง้างอนเหมือนขัดใจ แล้วเร่งฝีเท้านำหน้าชายหนุ่มไปยังโต๊ะที่มีเสียงหัวเราะลอยมาแต่ไกล

                พอไปถึงก็โดนต่อว่าชุดใหญ่ที่หายไปนานจนบนเวทีได้นางนพมาศมาเดินเฉิดฉายโชว์สายสะพายให้คนถ่ายรูปกันแล้ว

                เกือบห้าทุ่มเป็นเวลาอันเหมาะสมที่จะแยกย้ายกันกลับบ้านไปหลับนอนเสียที หลังจากรับประทานอาหารเสร็จก็ตระเวนไปโซนปาโป่งและสวนสนุกจนตอนนี้ทั้งพริมมาดาและนับดาวต้องหอบตุ๊กตาไว้เต็มอ้อมแขน หนุ่มๆพวกนี้มีความอดทนมากจนน่าตกใจ พวกเขาปักหลักอยู่ร้านยิงปืนจุกน้ำปลาร่วมชั่วโมง สาเหตุที่ไปร้านอื่นไม่ได้ก็เพราะความแม่นราวกับจับวางนั้นให้โทษ

                โดยเฉพาะปราณภพนั้นถูกไล่ออกจากร้านปาโป่งมาแล้วทุกร้าน ร้านเหล่านี้ถ้าปาแตกทุกลูกเกินสามครั้งพวกเขาจะไม่ให้เล่นอีก คงเพราะกลัวจะขาดทุน หากปล่อยให้คนน่ากลัวอย่างปราณภพเล่นจนงานเลิก และคำถามที่มักจะได้ยินเหมือนๆกันก็คือ

                ‘มาจากค่ายทหารหรือเปล่า?’

                ซึ่งชายหนุ่มก็เพียงแต่ยิ้มแล้วเดินออกจากร้านโดยไม่ตอบคำถามเหล่านั้น

                นี่ยังดีนะที่ปราณนต์กับรมิตาขอตัวกลับไปก่อนหลังจากลอยกระทงเสร็จ ไม่อย่างนั้นตุ๊กตาที่ได้คงต้องจ้างคนขนกลับบ้าน เพราะรมิตาเป็นนักแม่นปืนชนิดที่หาตัวจับยาก สมัยเรียนมัธยมเคยคว้าแชมป์ยิงปืนระดับเอเชียที่ประเทศฟิลิปปินส์มาแล้ว ยิงตุ๊กตาระยะใกล้ๆแค่นี้สำหรับเธอถือว่าง่ายเสียยิ่งกว่าง่าย

                “แยกย้ายกันตรงนี้ ขับรถกลับดีๆ อย่าซ่า อย่าซิ่ง”ธีทัตบอกทุกคนหลังจากเดินมาถึงบริเวณลานจอดรถที่ตอนนี้โล่งพอสมควร แต่ประโยคท้ายเน้นกับพงศกรเป็นพิเศษ

                “พวกผมเอารถมากันคนละคัน พี่พริมกลับกับผม แล้วนับดาวจะไปกับใคร”

                “มากับใครก็กลับกับคนนั้นแหละ”คชาทิ้งก้นบุหรี่ลงพื้นก่อนจะใช้เท้าขยี้แรงๆแล้วเดินเข้ามาในวงสนทนา

                “แต่ทางไปคอนโดนับดาวกับคอนโดมึงมันทางเดียวกัน ใจคอจะให้พี่ธีร์วนกลับไปกลับมาหรือไง”

                “เออ!”สั้นๆได้ใจความ แต่ไม่ได้ใจคนฟัง

                คชาไม่รอให้พรรคพวกรุมสวด เขาหันหลังเดินไปขึ้นรถของตัวเองโดยไม่เอ่ยคำล่ำลาใดๆอีก

                “เดี๋ยวนี้พึ่งพาอะไรไม่ได้แล้วนะมึง”พงศกรตะโกนตามหลังเพื่อนไป แต่ก็ยังช้ากว่าใครบางคนที่กระโจนขึ้นไปนั่งข้างคนขับเป็นที่เรียบร้อยด้วยความเร็วแสง ก่อนจะโยนตุ๊กตาในอ้อมแขนไปไว้ที่เบาะหลัง

                “เฮ้ย...ลงไป”

                “ไม่ลง เกลียดดาวมากใช่ไหม งั้นก็กระอักเลือดตายไปเลย”

                “เธอนี่มัน...”ชายหนุ่มโมโหจนพูดไม่ออก ได้แต่สบถแล้วสตาร์ทรถขับออกไปด้วยแรงอารมณ์

                หลังจากคชาไปแล้ว คนที่เหลือก็ทยอยขึ้นรถ สรุปว่าพริมมาดาต้องไปกับธีทัตเพราะชายหนุ่มจะค้างที่คอนโดในเมืองเช่นเดียวกับเธอเพราะมีสอนพิเศษเช้าวันเสาร์ ส่วนคนอื่นๆนั้นกลับไปนอนบ้านซึ่งล้วนแต่ไปกันคนละทาง

                บรรยากาศในรถค่อนข้างเงียบ ธีทัตตั้งใจขับรถไปเรื่อยๆก่อนจะออกมาเขาบอกว่าถ้าง่วงก็หลับได้เลย ถึงแล้วจะปลุกเพราะตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว พริมมาดาอยากจะย้อนถามเสียเหลือเกินว่า

                ‘ไกลเน๊อะ’

                จากสวนสาธารณะที่จัดงานลอยกระทงมาถึงที่พักของเธอใช้เวลาไม่น่าจะเกินสิบห้านาที แล้วจะหลับทันได้อย่างไร

                พริมมาดาอยากจะชวนคุยเพื่อไม่ให้บรรยากาศมันเงียบและวังเวงเกินไป แต่ก็ไม่รู้จะคุยอะไร สุดท้ายจึงหยิบยกประเด็นที่สงสัยขึ้นมาถาม

                “พี่ธีร์เคยเจอคู่หมั้นของนับดาวไหมคะ”

                “ถามทำไม”

                “อยากรู้เฉยๆค่ะ นับดาวมาทำงานไกลบ้านแบบนี้ แถมมีแต่หนุ่มๆหน้าตาดีทั้งนั้น ไม่กระทบความสัมพันธ์บ้างเลยเหรอ”

                “พี่ก็ไม่เห็นเขาจะมีปัญหาอะไรกัน”

                “นั่นสิเน๊อะ หมั้นกันมาได้ตั้งเจ็ดปีแสดงว่าเข้าใจกันดี”

                พริมมาดาพยายามจับสังเกตธีทัต แต่ก็ไม่พบพิรุธอะไรเลย แบบนี้คิดได้สองทางคือเธอคิดมากไปเองหรือไม่เขาเก็บความรู้สึกเก่งซึ่งข้อหลังถือว่าเป็นความถนัดของธีทัตเลยก็ว่าได้ ตั้งแต่เด็กเวลาชายหนุ่มมีเรื่องอะไรในใจแล้วเขาไม่อยากให้ใครรู้ เขาจะปกปิดเอาไว้ชนิดที่ไม่มีใครจับได้ จะได้รู้ก็ต่อเมื่อเขาอยากจะเปิดเผยออกมาเองนั่นแหละ

                เฮ้อ...แบบนี้ไม่ดีเลย

                “ว่าแต่เราเถอะ อายุก็ปาไป26 แล้ว มีใครมาจีบบ้างไหม”

                อยู่ๆก็เปลี่ยนเรื่องเสียอย่างนั้น แล้วไอ้สายตาคาดคั้นที่มองมาหมายความว่าอย่างไร ทำราวกับเธอทำผิดร้ายแรงแล้วเขาเป็นผู้สอบสวน หากตอบไม่มีมีหวังเป็นเรื่องขึ้นมาอีก

                “โหย...บ้างาน แถมวันหยุดก็แทบไม่มีอย่างพริมจะเอาเวลาที่ไหนไปหว่านเสน่ห์ผู้ชาย”

                “ดีแล้ว ถ้าใครมาจีบก็บอกไปเลยว่าพี่หวง”

                เขารู้ตัวไหมในสิ่งที่พูดออกมา แล้วเขาจะรู้บ้างไหมว่าเพียงแค่ประโยคสั้นๆแต่กลับทำให้หัวใจเธอสั่นไหวรุนแรงขนาดนี้

                ‘พี่หวง’ หวงในฐานะอะไร?

                พี่ชายหรือฐานะอื่น อยากถามใจจะขาด แต่ก็ไม่กล้า กลัวคำตอบที่ได้รับจะทำให้สิ่งที่สวยงามตรงหน้าพังครืนลงอย่างไม่เป็นท่า

                หากคำพูดเมื่อกี้ของเขาเปรียบเสมือนแผ่นดินไหว ประโยคต่อมาก็คงเปรียบได้กับอาฟเตอร์ช็อกที่จะทำให้หัวใจของเธอต้องทำงานหนักไปตลอดทั้งคืน

                “แล้วพี่จะไม่ยอมให้ผู้ชายคนไหนเข้าใกล้พริมด้วย”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา