รอรักเคียงใจ

-

เขียนโดย 0ilz

วันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2561 เวลา 21.31 น.

  9 บท
  0 วิจารณ์
  10.18K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 เมษายน พ.ศ. 2561 21.44 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) ความสงสัย 50%

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่5

ความสงสัย

                 พริมมาดาขยับตัวยุกยิกอยู่ใต้ผ้าห่มผืนใหญ่ เช้าวันเสาร์เช่นนี้เปรียบเสมือนขุมทรัพย์ล้ำค่าของเธอ ร่างกายที่ทำงานหนักมาตลอดสัปดาห์ทั้งสอนปกติและสอนพิเศษกำลังเรียกร้องการพักผ่อนมากขึ้นไปอีกขั้น แต่อุปสรรคอันใหญ่หลวงก็คืออากาศ ความเย็นที่ปะทะใบหน้าแล้วค่อยๆลามสู่ลำตัวจนทั้งร่างสั่นสะท้านทำให้มือเรียวเล็กดึงผ้าห่มขึ้นคลุมจนมิดศีรษะ

                ในฤดูหนาวเช่นนี้อากาศเย็นจนไม่จำเป็นต้องพึ่งเครื่องปรับอากาศ แล้วหากเธอแซะตัวเองออกจากเตียงได้คงต้องออกไปหาฮีตเตอร์สำหรับพกพามาไว้สักเครื่อง เพราะตั้งแต่อุณหภูมิลดลงแบบไม่มีการแจ้งให้ทราบล่วงหน้าก็ทำเอาร่างกายปรับตัวไม่ทัน

                เสียงไก่ขันจากบ้านพักคนงานก็เป็นอีกหนึ่งอุปสรรคที่ทำให้พริมมาดาเลี่ยงจะกลับมานอนบ้านในช่วงวันหยุดแบบนี้  ไก่ชนที่คนงานเลี้ยงเอาไว้มากมายเสียจนแทบจะตั้งซุ้มไก่ชนได้ และพวกมันก็มีความสามัคคีกันอย่างน่าอัศจรรย์ เรียกได้ว่าโก่งคอขันจนกว่าจะตื่น วัดความอดทนกันไปเลย

                แต่อุปสรรคที่หนักหนาที่สุดเห็นจะไม่ใช่ธรรมชาติหรือสัตว์เลี้ยงแสนรักของคนงาน หากแต่คือน้ำมือของมนุษย์ต่างหาก        เสียงเคาะประตูที่ดังอยู่หน้าห้องบ่งบอกถึงความอดทนของผู้เป็นเจ้าของได้อย่างดี พริมมาดาได้ยินเสียงนั้นดังมานานราวๆห้านาทีแล้ว แต่เธอก็ยังขดตัวซุกใต้ผ้าห่มโดยไม่สนใจจะลุกออกไปดู

                “คุณพริมตื่นเถอะค่ะ ต้องไปงานบ้านโน้นนะคะ”

                บ้านโน้น? บ้านไหนกัน?

                ช่างเถอะ จะบ้านไหนก็ไม่ไปทั้งนั้น พริมมาดาเอามืออุดหูทั้งสองข้างเพื่อตัดปัญหาเสียงรบกวน แต่ถึงอย่างไรเสียงนั้นก็ยังไม่หายไป

                วิไลพรแม่บ้านสาวใหญ่ยังคงไม่ย่อท้อ แม้จะทั้งเคาะทั้งเรียกเท่าไหร่คนในห้องก็ไม่ยอมตื่น

                “คุณพริมเปิดประตูให้ป้าหน่อย คุณธีร์เธอมารออยู่ข้างล่างแล้วนะคะ”

                คราวนี้ได้ผล พริมมาดาเด้งตัวขึ้นนั่งตาสว่างทันที มือบางยกขึ้นสางผมที่ยุ่งเหยิงกระเซิงทั้งศีรษะของตัวเองก่อนจะกระโดดลงจากเตียงแล้ววิ่งไปเปิดประตูห้อง

                “พี่ธีร์มาเหรอคะป้า”วิไลพรส่ายหน้าน้อยๆ ดูเอาเถอะขนาดนางเคาะประตูเรียกตั้งนานไม่ยอมลุกมาเปิดให้ แต่พอหลอกว่าใครบางคนมารอเข้าหน่อยถึงกับแหกขี้หูขี้ตาตื่นแทบไม่ทัน

                “ไม่มาหรอกค่ะ ป้าอำเล่น ถ้าไม่ใช้ไม้นี้คุณพริมก็ไม่ยอมตื่น”คำตอบที่ได้รับทำเอาใบหน้าที่แสดงความดีใจในตอนแรกเหี่ยวแฟบลงราวกับไมยราบโดนสะกิด

                “โธ่ป้าพรอ่ะ พริมไม่ใช่เด็กแล้วนะคะถึงจะต้องหาอะไรมาล่อ”น้ำเสียงกระเง้ากระงอดแบบนี้วิไลพรเห็นมาจนชินตา แม้หน้าตาจะบ่งบอกว่ากำลังแง่งอน แต่คนที่เลี้ยงดูหญิงสาวมาตั้งแต่เล็กไม่มีทางหลงกลแน่นอน

                “ก็มันได้ผลทุกครั้งนี่คะ ไม่เอาไม่คุยแล้ว คุณพริมไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วรีบไปไร่เอื้ออารีเถอะค่ะ ป่านนี้คุณท่านคอยแย่แล้ว”ไม่พูดเปล่าแต่ยังดันร่างบางที่ยืนสะโหลสะเหลให้เดินเข้าห้องน้ำพร้อมกับหยิบผ้าเช็ดตัวส่งให้

                “แต่นี่มันเพิ่งจะหกโมงเองนะคะ พริมยังนอนไม่เต็มอิ่มเลย ขอนอนต่ออีกนิดไม่ได้เหรอ”เมื่อเหลือบสายตามองนาฬิกาที่แขวนอยู่ผนังหัวเตียงก็ทำเอาต้องร้องอุทธรณ์ เพราะนี่ถือว่าเป็นช่วงเวลาพักผ่อนที่แสนจะหายากของเธอ

                “ไม่ได้ค่ะ ต้องไปให้ทันตักบาตรเช้า ป้าจะลงไปรอข้างล่าง เสร็จแล้วรีบลงไปนะคะ”

                จะไปแล้วยังไม่วายกำชับอีกรอบ พริมมาดาจำต้องยอมอย่างไม่มีทางเลี่ยง ทำได้เพียงพยักหน้าในสภาพงัวเงีย ยกมือขึ้นปิดปากหาวจนวิไลพรต้องส่ายหน้าด้วยความเอ็นดู

                พริมมาดาปั่นจักรยานลัดเลาะตามแนวต้นส้มที่ปลูกไว้แบ่งเขตแดนกั้นระหว่างไร่ส้มของเธอกับไร่กาแฟเอื้ออารี คนงานหลายคนสวมหมวกกับผ้าคลุมหน้าเดินออกจากบ้านเตรียมจะไปทำงาน ซึ่งเธอก็ไม่ลืมจอดจักรยานแวะทักทายด้วยความคุ้นเคย กว่าจะไปถึงที่หมายก็ทำเอาโดนดุไปไม่น้อย

                วันนี้ไร่กาแฟเอื้ออารีมีงานทำบุญบ้าน แต่จากที่เห็นเหมือนจะไม่ใช่ทำบุญบ้านธรรมดา ซุ้มอาหารที่ตั้งเรียงรายไม่ต่ำกว่าสิบซุ้มอีกทั้งยังมีของหวานและผลไม้ฝั่งตรงข้ามที่จัดให้หันหน้าเข้าหากัน เธอมั่นใจว่าอาหารมากมายขนาดนี้ สามารถเลี้ยงคนได้ทั้งอำเภอเลยทีเดียว

                วันนี้พริมมาดาอยู่ในชุดเดรสสีชมพูอ่อน ความยาวเลยเข่านิดหน่อย ตัวเสื้อเป็นผ้าตะข่ายที่แต่งด้วยผ้าลายใบไม้ เหมาะสำหรับงานที่มีผู้หลักผู้ใหญ่มาร่วมอย่างคับคั่ง

                ร่างโปร่งระหงแยกตัวจากบิดามารดาเพื่อไปสำรวจซุ้มอาหาร แม้เวลานี้จะยังเช้าเกินไปแต่หากเจออาหารที่ถูกใจก็อาจจะพออนุโลมได้

                ซุปเยื่อไผ่เห็ดหอมกระดูกหมูอ่อน ต้มโคล้งปลากรอบ สลัดกุ้งกรอบและแกงมัสมั่นไก่ถูกตักมาวางไว้บนโต๊ะกลมสำหรับสองที่นั่งก่อนข้าวสวยร้อนๆที่มีไอลอยคลุ้งจะตามมาติดๆ หญิงสาวไม่รอช้าเลื่อนเก้าอี้ออกมานั่ง แต่ยังไม่ทันจะได้รับประทาน เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามก็มีแขกไม่ได้รับเชิญถือวิสาสะเลื่อนมันออก ก่อนที่ร่างสูงใหญ่ของใครบางคนจะนั่งลงทั้งที่ยังไม่ได้รับอนุญาต

                พริมมาดาเงยหน้าจากจานข้าว ส่งสายตาขุ่นขวางไปให้คนที่นั่งอยู่ฝ่ายตรงข้าม แต่พอเห็นอย่างชัดเจนว่าเป็นใครก็ถึงกับร้องอุทานด้วยความดีใจ

                “พี่ภพ! ออกจากห้องผ่าตัดมาสู่โลกกว้างกับเขาก็เป็นเหรอคะ”คำทักทายแรกที่มาจากความดีใจพร้อมกับรอยยิ้มสว่างไสวบนใบหน้ากระจ่างใสทำเอาปราณภพถึงกับหลุดขำ

                เธอพูดราวกับว่าเขาหายหน้าไปนาน ทั้งๆที่เพิ่งจะเจอกันเมื่อห้าเดือนก่อนนี้เอง

                งานที่ชายหนุ่มทำเป็นอาชีพที่ต้องอาศัยความเสียสละ หากจะถามหาเวลากับเขา บอกได้คำเดียวว่าแม้แต่มารดาของเขาก็ยังไม่ได้พบหน้านานราวๆห้าถึงหกเดือนเช่นกัน แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังพยายามหาเวลากลับมาเจอครอบครัวทุกครั้งที่มีวันหยุด

                ปราณภพเป็นศัลยแพทย์ กรมแพทย์ทหารบก ช่วงแรกคุณหมอหนุ่มก็ทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลค่ายในตัวจังหวัด แต่เพิ่งจะผันตัวไปเป็นแพทย์อาสาในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้สองปี และนั่นทำให้เวลาที่จะเจอกันน้อยลงไปอีก

                “พูดไปนั่น พี่ไม่ได้ทำงานในห้องผ่าตัดเสียหน่อย แต่ผ่าทุกที่ที่มีคนเจ็บ กลางดินกลางทรายก็ผ่า แล้วยังจะมาว่าพี่ไม่ออกสู่โลกกว้างอีก”ปราณภพพูดพร้อมกับเอื้อมมือไปหยิบถ้วยอาหารตรงหน้าหญิงสาวมาพิจารณาทีละใบ สิ่งที่เห็นทำให้ชายหนุ่มอมยิ้มน้อยๆ

                พริมมาดายังคงยึดมั่นสโลแกน มื้อเช้ากินอย่างราชาไม่เปลี่ยนแปลง แต่ไม่ว่าจะกินเยอะแค่ไหนเขาก็ไม่เคยเห็นคนตรงหน้าจะกังวลเรื่องรูปร่างสักที คงเป็นเพราะระบบเผาผลาญทำงานได้ดีกว่าคนทั่วไป

                “แหม...เปรียบเปรยหรอกค่ะ”

                “ว่าแต่เราเถอะ มานั่งทานข้าวบ้านนี้ ดีกับลูกชายเขาแล้วเหรอ”เขาก็แกล้งถามไปอย่างนั้นทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้ว

                “ถามแบบนี้แสดงว่าตกข่าว พี่ภพต้องอัพเกรดหน่วยข่าวกรองแล้วล่ะ”

                ปราณภพหัวเราะน้อยๆ ถ้าอดีตเหยี่ยวข่าวมือฉมังอย่างคุณจินดารัตน์มารดาของเขาทำงานล่าช้า วันนั้นพระอาทิตย์คงขึ้นทางทิศตะวันตกแล้วละ

                “พูดถึงก็มาพอดี แต่สาวสวยคนข้างๆเป็นใคร ทำไมพี่ไม่เคยเห็น”ปราณภพชะโงกหน้ามองเลยไหล่ของพริมมาดาไปก่อนจะเอ่ยถาม

                พริมมาดาชะงักช้อนที่กำลังจะตักข้าวใส่ปาก เหลียวมองตามปราณภพก็เห็นร่างสูงใหญ่ของคนที่คุ้นตากำลังเดินตรงมาทางโต๊ะที่เธอกำลังนั่งอยู่ ส่วนคนที่เดินมาข้างๆก็ไม่ใช่ใคร

                “อ๋อ...นับดาว ผู้ช่วยพี่ธีร์น่ะค่ะ”

                ทันทีที่ได้คำตอบรอยยิ้มบนใบหน้าของปราณภพจางหายไปอย่างรวดเร็วราวกับถูกสับสวิตช์ เขาลอบมองปฏิกิริยาของคนที่หันกลับมาตักข้าวใส่ปาก แล้วเคี้ยวตุ้ยๆอย่างเอร็ดอร่อยก็ได้แต่ผ่อนลมหายใจออกอย่างโล่งอก ความจริงจะบอกว่าโล่งอกก็คงไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะมันยังมีความหนักอกผสมคละเคล้าอยู่เต็มไปหมด

                จะพูดจะบอกก็ทำไม่ได้ มันเหมือนน้ำท่วมปาก คงต้องปล่อยให้เป็นไปตามทางที่มันควรจะเป็น เพราะหากจะฝืนทางกรรมก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้

                “กินอิ่มหรือยัง พ่อให้มาตามไปตักบาตร อีกเดี๋ยวพระจะฉันแล้ว”ร่างสูงใหญ่เดินมาหยุดอยู่ข้างๆ ก่อนที่ฝ่ามือหนาจะแตะลงบนไหล่เบาๆ ทำเอาคนที่กินก่อนพระฉันได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆไปให้ พร้อมกับรีบวางช้อนแล้วยกน้ำขึ้นดื่มอย่างรวดเร็ว

                “เอ้าๆ ไม่ต้องรีบขนาดนั้น เดี๋ยวก็สำลัก”คุณหมอหนุ่มเห็นอาการรีบร้อนของคนที่เปรียบเสมือนน้องสาวแท้ๆก็ส่งเสียงปรามด้วยความเป็นห่วง

                “ไม่สำลักหรอก นี่ความเร็วระดับมาตรฐาน”

                “ให้มันจริง”คราวนี้เป็นน้ำเสียงขุ่นๆจากคนที่ยืนค้ำหัวอยู่ข้างๆ พริมมาดาเงยหน้าขึ้นมองแสร้งทำตาขวางกลับไป แม้จะเห็นว่าอีกฝ่ายหน้าตาไม่ค่อยจะแจ่มใสเท่าไหร่ ทั้งที่วันนี้มีงานบุญแท้ๆ

                “เป็นอะไรคะ ทำไมหน้าตาเครียดๆ หรือว่างานยังไม่เรียบร้อย”

                 พริมมาดานึกเดาไปว่าเขาคงจะเครียดจากงานที่ต้องตามแก้ ไหนจะงานใหม่ที่ต้องเร่งทำให้เสร็จตามกำหนดอีก เพราะตั้งแต่วันนั้นก็เห็นพงศกรน้องชายเธอต้องอยู่ทำโอจนถึงเที่ยงคืนทุกวัน ธีทัตที่เป็นหัวหน้าวิศวกรก็คงจะต้องรับภาระเพิ่มอีกเป็นเท่าตัว

                “ไม่มีอะไรหรอก”เขาเลี่ยงที่จะตอบ ก่อนจะหันไปทักทายปราณภพเพื่อกลบเกลื่อนร่องรอยบางอย่างที่เขาคงแสดงออกมากไป “คราวนี้หยุดกี่วันล่ะ”

                “ห้าวันครับ โชคดีปีนี้ได้หยุดตรงวันลอยกระทง ตั้งใจว่าจะชวนสาวสวยแถวๆนี้ไปลอยกระทงด้วยกัน”น้ำเสียงเย้าแหย่พร้อมกับส่งสายตาแพรวพราวไปทางสาวสวยที่ว่า แต่โดนสวนกลับมาด้วยความเร็วว่า

                “ไม่ว่าง”

                “ผมก็ไม่ได้บอกว่าจะชวนพี่ เพราะพี่คงจะไปลอยกับคุณนับดาวใช่ไหมล่ะ”คำพูดที่พูดไปโดยไม่คิดมักให้โทษเสมอ

                สายตาสองคู่มองตรงมายังคุณหมอหนุ่ม คู่แรกเต็มไปด้วยความสงสัย ดวงตากลมโตจิกมองราวกับกำลังจะเค้นคำสารภาพจากปากของนักโทษ ส่วนอีกคู่จ้องมองด้วยความร้อนแรง หากมีประกายไฟออกมาเชื่อแน่ว่าตัวเขาต้องไหม้กลายไปขี้เถ้าภายในเวลาชั่วพริบตาแน่นอน

                “อย่ามองแบบนั้นสิ ผมพูดผิดตรงไหน ยังไงก็ต้องไปกันให้ครบทีมอยู่แล้ว” ปราณภพแสร้งหัวเราะเพื่อกลบเกลื่อนพิรุธ ก่อนจะหันไปหาแนวร่วม “จริงไหมครับคุณนับดาว ”

                “เอ่อ...ค่ะ”นับดาวส่งยิ้มเออออไปตามชายหนุ่มแปลกหน้า

                “อย่ามัวแต่คุยเรื่องไร้สาระกันอยู่เลย เข้าไปในบ้านได้แล้ว”ธีทัตตัดบทก่อนที่เรื่องราวจะบานปลายมากไปกว่านี้

                พริมมาดาลุกขึ้นจากเก้าอี้ รอให้เจ้าของบ้านเดินนำไปก่อน แต่เขาก็ยังไม่ขยับ จนกระทั่งเขาเดินมาหา ยื่นมือออกมาจับมือเธอแล้วให้เธอเดินไปพร้อมกับเขา

                ทางเดินที่โรยกรวดเม็ดเล็กๆทอดสู่ตัวบ้านเป็นระยะทางราวๆยี่สิบเมตร พริมมาดาเดินมาเคียงข้างกับธีทัตโดยมีปราณภพและนับดาวเดินตาม ความอุ่นจากฝ่ามือหนาทำให้มุมปากเล็กยกยิ้มอย่างมีความสุข แต่ความเย็นเล็กๆที่เธอสัมผัสอยู่ทำให้หัวคิ้วขมวดมุ่นด้วยความแปลกใจ มันคล้ายกับโลหะ...แหวนหรือ?

                ปกติพี่ธีร์เป็นคนไม่ชอบสวมเครื่องประดับ โดยเฉพาะแหวน จะมีก็แต่นาฬิกาที่จำเป็นต้องใช้ แล้วอะไรที่เธอสัมผัสอยู่ตอนนี้?

                เอาไว้ค่อยถามก็แล้วกัน ตอนนี้ขอซึมซับเอาความอบอุ่นจากฝ่ามือหนาที่กุมกระชับมือเธออย่างแนบแน่นราวกับจะบอกว่าเขาจะไม่มีวันปล่อยมือเธอแบบนี้ไปก่อนก็แล้วกัน

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา